webnovel

0087 เลือกสรร

ตอนที่ 87 เลือกสรร

ฉินเซี่ยวโหลวยิ้มขึ้นมาทันทีและกล่าว “ไม่ยากหรอก มันก็เป็นแค่การละเล่นตามกฎที่กำหนดเอาไว้เท่านั้นแหละ  ปัญหาเดียวก็คือ ครั้งก่อนข้าได้ไปมาแล้ว ดังนั้นในคราวนี้จึงไม่อาจไปได้อีก จำเป็นต้องขึ้นอยู่กับศิษย์น้องสามและเจ้าแล้วล่ะ”

 ซิวซิวมองไปยังกู่ฉิงซานด้วยความกังวลใจเล็กน้อย “แล้วพวกเราต้องไปกันแค่สองคนหรือเปล่า?” 

 หลังจากทั้งหมดนี้ ดูเหมือนว่าทั้งสองพึ่งแค่พบกัน ทำให้สาวน้อยดูจะกางชั้นเกราะป้องกันบางๆ ในหัวใจของเธออยู่บ้าง

 กู่ฉิงซานเผยรอยยิ้มจางๆ และกล่าว “มันจะไม่เกิดปัญหาอะไรหรอก วางใจเถอะ”

 เมื่อมาพร้อมหน้า ฉินเซี่ยวโหลวก็เริ่มจัดวางอาหาร

 ขณะที่กำลังจัดวางอาหารลงบนโต๊ะ เขาก็ถอนหายใจออกมา “ฉิงซาน เจ้าคงยังไม่รู้ ว่าพี่ใหญ่น่ะเป็นสัตว์ประหลาดของแท้เลยล่ะแต่เขามักจะไม่ค่อยสนใจสิ่งใด ส่วนข้าน่ะไม่ได้รักในการฝึกฝนวรยุทธ ซิวซิวก็ยังเด็กเกินไป ดังนั้นในนิกายของพวกเรา จึงยังไม่เคยปรากฏนักสู้จริงๆ ออกมาก่อนเลย”

 กู่ฉิงซานเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ไม่เป็นปัญหา ข้าจะพยายามอย่างหนักทดแทนในส่วนของทุกคนเอง”

 ฉินเซี่ยวโหล่วค่อนข้างพอใจกับทัศนคติของกู่ฉิงซาน เขาตบลงบนไหล่ของอีกฝ่าย “นั่นสินะ ต้องพึ่งพาเจ้าแล้วล่ะ”

 “ทำเป็นพูดดีไป เห็นอยู่ชัดๆ ว่าเจ้าน่ะขี้เกียจ เลยผลักภาระไปให้คนอื่น” ซิวซิวย่นจมูก บ่นอุบอิบ

 ฉินเซี่ยวโหลวแกล้งทำเป็นไม่ได้ยิน และบอกทั้งสองเริ่มกินกันได้แล้ว

 มื้ออาหารรสชาติยอดเยี่ยมอย่างแท้จริง สมแล้วที่ถูกกล่าวขวัญว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญในหกศิลป์

 กู่ฉิงซานและซิวซิวแย่งกันยัดอาหารเข้าปาก ไม่พูดไม่จากันไปครู่หนึ่ง

 หลังจากมื้ออาหารจบลง และได้ยินว่าทั้งสองจะไปมองหาซากเผ่ามาร ซิวซิวจึงผินหลังและเดินจากไปทันที

 ฉินเซี่ยวโหลวนำกู่ฉิงซานไปยังเนินเขาแห้งแล้ง

 พวกเผ่ามารน่ะมีกลิ่นเหม็นหึ่ง มาตั้งแต่ตอนที่มันยังมีชีวิตแล้ว พอตอนตายก็ยังรสชาติไม่ได้ความอีก ซากศพพวกมันทั้งหมดจึงถูกนำมาทิ้งไว้ที่นี่

 กู่ฉิงซานมองออกไปไกลจนสุดสายตา

 ที่นี่ไม่อาจสัมผัสได้ถึงชีวิตชีวา รู้สึกได้ถึงแค่เพียงความอ้างว้าง

 เมื่อมองไปยังเนินเขาจากในระยะไกลออกไป จะเห็นแค่เพียงสิ่งที่ดูประหลาดๆ จำนวนมากมายอยู่ในภูเขา

 ไม่ว่าจะเป็นศิลาก้อนกลมขนาดใหญ่เทียบเท่ากับคนเจ็ดคนที่เต็มไปด้วยร่องรอยขีดข่วน ต้นไม้ที่ทำจากทองแดงแต่มีสีขาว ตุ๊กตาที่เปรอะเปื้อนไปด้วยเลือดแห้งกรัง ฯลฯ 

 มีสิ่งที่อยู่เหนือจินตนาการและความเข้าใจกองเต็มภูเขาไปหมด มันปกคลุมทั่วทั้งภูเขา

 ฉินเซี่ยวโหลวกล่าว “ส่วนใหญ่แล้วที่นี่มีแต่พวกสิ่งของน่าเบื่อหน่าย แต่ก็ยังพอมีซากศพเผ่ามารอยู่บ้าง พวกเราเข้าไปดูกันเถอะ”

 “ตกลง” กู่ฉิงซานกล่าว

 พวกเขาทั้งสองย่ำขึ้นไปตามทางบันไดหิน และไม่นานเส้นทางก็ขาดลง จำต้องปีนป่ายขึ้นไปบนภูเขาแทน

 ผ่านไปได้แค่เพียงครึ่งทาง จู่ๆ ฉินเซี่ยวโหลวก็หยิบเอาดาบยาวหักๆ ที่ตกอยู่ขึ้นมาอย่างฉับพลัน ในปากเอ่ยเสียงกระซิบ “น่าแปลก ก่อนหน้านี้ข้ายังไม่เคยพบเห็นเจ้าสิ่งนี้มาก่อน”

 ก่อนที่เขาจะทันได้เอ่ยจบ บนดาบยาวก็พลันเกิดเสียงครวญและปรากฏภาพเสมือนของชายวัยกลางคนขึ้น

 “เจ้าหนู เจ้าได้คว้าวาสนามาไว้ในกำมือเสียแล้วล่ะ ข้าคือราชันอมตะที่อยู่ในขอบเขตที่ทรงพลังยิ่ง ทว่าด้วยอาการบาดเจ็บที่หนักหนาเกินไปจึงหลบซ่อนตัวอยู่ในดาบเล่มนี้ หากเจ้าพาข้าออกไป ข้าจะสอนสั่งวิถียุทธให้แก่เจ้าเอง” ภาพเสมือนของวัยกลางคนกล่าว

 “หือ? อย่างเจ้าน่ะหรือราชันอมตะ?” ฉินเซี่ยวโหลวเอ่ยถามด้วยความเหยียดหยัน

 ภาพเสมือนชายวัยกลางคนชะงักไป ตั้งแต่เริ่มจนกระทั่งถึงตอนนี้ เขาไม่คาดคิดเลยว่านี่คือคำตอบของฝ่ายตรงข้าม

 เขาขบคิดก่อนจึงเอ่ยปาก “เมื่อสามพันปีก่อน…”

 “คร่ำครึ!  เจ้ามันล้าสมัยสุดๆ”

 ฉินเซี่ยวโหลวไม่รอให้อีกฝ่ายเอ่ยอะไรอีกต่อไป เขาเสียบดาบกลับเข้าไปในฝักและโยนมันทิ้งลงบนพื้นอย่างไม่ไยดี

 บนฝักดาบปรากฏรังสีสว่างวาบ ราวกับดาบยาวกำลังดิ้นรน มันขยับไปมาอยู่สองสามครั้ง ก่อนจะกลับคืนสู่ความสงบดังเดิม

 “ขอบเขตราชันอมตะอะไรไร้สาระ ข้าไม่เคยได้ยินได้ฟังมาก่อนเลย”

 “แม้กระทั่งการเผชิญหน้ากับผนึกมนตราเล็กๆ วิญญาณของเจ้าก็ยังไม่สามารถหลุดพ้นและแยกตัวออกไปได้ เห็นได้ชัดว่าเจ้าน่ะได้กลายเป็นทรัพย์สินของนิกายแล้ว จงอย่าคิดหนีออกไปเลย”

 ฉินเซี่ยวโหลวกล่าว ก่อนจะเริ่มปีนเขาต่อไป

 “โปรดรอก่อนสักครู่” กู่ฉิงซานหยิบดาบยาวที่แตกหักขึ้นมาก่อนจะกล่าว “ข้าสามารถนำมันกลับไปได้หรือไม่?”

 “ตราบใดที่เจ้าสนใจ ก็เชิญ” ฉินเซี่ยวโหลวกล่าว

 กู่ฉิงซานหยิบถุงสัมภาระออกมาและเก็บมันใส่ลงไป

 เจ้าของสิ่งนี้คือสายพันธุ์หวงฉวน โลกเบื้องล่าง  และเป็นสายพันธุ์โลกเบื้องล่างที่ค่อนข้างพิเศษทีเดียว

 กู่ฉิงซานค่อนข้างพึงพอใจกับการเก็บเกี่ยวในครั้งนี้

 จากนั้นเขาก็พบกับซากกรงเล็บสีเทาคู่หนึ่งที่น่าจะเป็นของมังกรบนภูเขา และต่อมาก็พบกับซากมอนสเตอร์ที่มีตาสิบตาที่ทั้งร่างถูกปกคลุมไปด้วยเมฆขนาดเล็ก

 กู่ฉิงซานเชื่อมั่นว่าคงไม่มีที่ไหนอีกแล้ว ที่จะง่ายต่อการเก็บรวบรวมชิ้นส่วนต่างๆ ของมอนสเตอร์ได้มากมายกว่าที่นี่

 ดาบยาวที่แตกหักเป็นสายพันธุ์หวงฉวนโลกเบื้องล่างที่ค่อนข้างพิเศษ คู่กรงเล็บสีเทาคือสายพันธุ์ฮุ่นหลวนกลียุค  ร่างของมอนสเตอร์สิบตาคือสายพันธุ์เฉินหยวนหุบเหว และเมฆที่ปกคลุมร่างของมันคือประเภทปฐมบทแห่งความโกลาหลสายพันธุ์เหวยจีไร้ที่มา

 ยังคงเหลือแค่เพียงสายพันธุ์หยูโซว เอกภพ 

 หากในโลกนี้ไม่มีสายพันธุ์หยูโซว เอกภพ  เอาไว้หลังจากที่กู่ฉิงซานกลับไปยังโลกจริง เขาก็พอจะสามารถหาวิธีการที่จะได้รับมันมาได้

 ภารกิจนี้ หากมิใช่ว่าตนเป็นศิษย์ของนิกายร้อยบุปผา ย่อมยากที่จะทำสำเร็จ

 กู่ฉิงซานมองไปยังถุงสัมภาระ และพบว่าแต่ละอย่างที่ตนเลือก ล้วนแล้วแต่เป็นไอเท็มคุณภาพสูง

 ในที่สุดเขาก็ผ่อนคลายลงเล็กน้อย

 ปัจจุบันนี้ ภารกิจก็นับว่าเสร็จสมบูรณ์เกินครึ่งหนึ่งแล้ว กู่ฉิงซานสงสัยจริงๆ ว่าความสามารถของพลังศักดิ์สิทธิ์แบบใดกันนะที่เขากำลังจะได้รับ

 เมื่อลงมาจากเนินเขา กู่ฉิงซานก็มองไปยังซากศพของเผ่ามารที่กองล้นๆ กันจนดูเป็นภูเขาลูกเล็กๆ อีกลูก เขาอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามออกมา “พวกมันเหล่านี้ เป็นฝีมือของใครกัน? ท่านอาจารย์เป็นคนลงมือสังหารพวกมันใช่หรือไม่?”

 ฉินเซี่ยวโหลวทำท่าทางหดคออันหาได้ยากยิ่งและกล่าว “ท่านอาจารย์ไม่ได้มีเวลาว่างมากมายขนาดนั้น นี่คือฝีมือของเจ้าห่าน”

 ‘ก็นั่นแหละท่านอาจารย์หละ’

 กู่ฉิงซานคิดอยู่ในจิตใจอย่างเงียบๆ

 ทั้งสองเลือกที่จะเดินลงทางฝั่งภูเขาอีกด้านหนึ่ง ซึ่งเป็นจุดที่อยู่ใกล้กับศิลาฟ้า

 บริเวณโดยรอบของศิลาฟ้า คราคร่ำไปด้วยผู้ฝึกยุทธหลายร้อยคน ตาทั้งสองของพวกเขาปิดสนิท ทั้งหมดอยู่ในท่วงท่าสมาธิ ดูเหมือนว่ากำลังฝึกฝนอยู่ ทำให้ฉากโดยรอบดูงดงามไปเลวเลย

 ที่แห่งนี้คือสถานที่ของนักปราชญ์ ดังนั้นจึงไม่มีใครกล้าที่จะก่อให้เกิดปัญหาขึ้น

 ในเมื่อไม่มีใครออกมาจัดการเลือกรายการทดสอบ ทุกคนก็ไม่เต็มใจจะจากไปเช่นกัน จึงได้แต่นั่งรอฝึกฝนอยู่ในจุดเดียวกันไปพลางๆ

 ฉินเซี่ยวโหลวกล่าว “เอาล่ะ ข้าคงต้องไปทำหน้าที่แทนเจ้าห่านก่อน แล้วเจ้าล่ะ? จะกลับไปก่อนหรือว่าจะรอข้าอยู่ที่นี่?”

 “ข้าขอเลือกรอก็แล้วกัน”

 ฝ่ายตรงข้ามอุตส่าห์พาเขาชมสถานที่โดยรอบตั้งกว่าครึ่งวัน หากตนเองจากไปง่ายๆ มันคงจะดูไม่ดีไม่น้อย

 “งั้นก็ดี แต่ถ้าหากเจ้าขี้เกียจรอ เจ้าก็สามารถกลับไปยังวังร้อยบุปผาได้เลย คิดว่าเจ้าห่านนั่นคงจะเตรียมที่พักไว้เรียบร้อยแล้วล่ะ”

 “ตกลง”

 เมื่อทั้งสองกล่าวจบ ฉินเซี่ยวโหลวก็กระโจนเหินทะยานขึ้นไปในอากาศ ทว่ามันกลับดูส่ายไปมาสะเปะสะปะ แต่สุดท้ายก็มาหยุดอยู่เหนือศิลาฟ้าจนได้

 เขาตะโกนลั่น “จงฟัง! ไป่หยิงเทียนมีธุระต้องไปจัดการนิดหน่อย ดังนั้นในวันนี้ เวลานี้ ข้าฉินเซี่ยวโหลวจะเป็นคนทำการคัดเลือกด้วยตนเอง”

 ผู้ฝึกยุทธจำนวนมากพากันลุกขึ้นยืนและกล่าว “เช่นนั้นขอถามสหายเต๋า หัวข้อในคราวนี้คืออะไร”

 “เอ่อ กล่าวถึงเรื่องหัวข้องั้นหรือ ขอข้าคิดสักครู่” ฉินเซี่ยวโหลวจมลงสู่ห้วงความคิด

 ในขณะที่เหล่าผู้ฝึกยุทธทั้งหลายกำลังกระวนกระวาย เขาก็ตบต้นขาตนเองดังเพี๊ยะและกล่าว “ใช่แล้ว”

 “หัวข้อในวันนี้ก็คือ ทำอย่างไรก็ได้ให้ข้ารู้สึกสุขใจ”

 มวลผู้ฝึกยุทธต่างสำลักออกมาพร้อมๆ กัน

 ฉินเซี่ยวโหลวดูจะมีความสุขอย่างเห็นได้ชัด สำหรับความคิดอันยอดเยี่ยมที่ว่าทำอย่างไรตัวเขาจึงมีความสุข “เจ้า ใช่เจ้านั่นแหละ มาเลยเป็นคนแรก คนอื่นๆ ต่อแถวเสีย หากสามารถทำให้ข้ามีความสุขได้ เจ้าก็จะสามารถผ่านเข้าสู่ด่านต่อไปเพื่อเลือกรายการทดสอบร้อยบุปผา!”

 “ขอประกาศอย่างเด็ดขาด อย่ามาเกลี้ยกล่อมบิดาด้วยศิลาวิญญาณ ข้าไม่รับ!” เขาเอ่ยเพิ่มเติม

 กู่ฉิงซานมองไปยังฉากนี้อย่างเงียบๆ ขณะที่ทุกคนโดยรอบต่างกำลังสับสนวุ่นวาย

 เขารู้ถึงประวัติของฉินเซี่ยวโหลวในอดีตดี แต่เขาเพิ่งจะเคยเจอตัวจริงก็คราวนี้แหละช่างเป็นตัวตนที่สั่นสะเทือนโลกหล้าได้จริงๆ…ในหลายๆ ความหมายน่ะนะ

 “นั่นมันหัวข้ออันใดกัน แทบจะไม่อาจทนดูต่อไปได้แล้ว เฮ้อ นิกายของเรามีความจำเป็นอย่างเร่งด่วนจริงๆ ที่ต้องรับเผ่ามนุษย์ที่มีความปกติทางสมองเข้ามา” เสียงเสียงหนึ่งได้ดังขึ้น

 กู่ฉิงซานหันกลับไป และพบว่าเจ้าของเสียงคือห่านขาว ไป่หยิงเทียน

 นี่สินะ คือเหตุผลที่แท้จริงที่นางเซียนไป่ฮั่วรับฉันเข้ามาเป็นศิษย์!?

 กู่ฉิงซานอดไม่ได้ที่จะคิดเช่นนั้น

 “ไปกันเถิด อย่าเสียเวลาเฝ้าดูตัวตลกอยู่เลย ข้าได้จัดที่พำนักให้เจ้าเรียบร้อยแล้ว ข้าจะนำทางเจ้าไปเอง” ห่านขาวกล่าว

 กู่ฉิงซานประสานกำปั้นและกล่าว “ขอบคุณมาก ศิษย์พี่ใหญ่”

 ห่านขาวผงกหัว และบินนำหน้ากู่ฉิงซานไป

 “หากเป็นไปได้ ข้าขอฝากเจ้าดูแลน้องหญิงเล็กด้วย” ห่านขาวกล่าว

 “ทราบแล้ว”

 แม้ว่ากู่ฉิงซานจะรู้สึกแปลกใจอยู่บ้าง แต่หากเป็นคำขอของนางเซียนไป่ฮั่ว เพียงแค่เอ่ยเขาก็ย่อมต้องน้อมรับ

 ห่านขาวเกรงว่ากู่ฉิงซานจะเข้าใจไม่ชัดเจน จึงเอ่ยอธิบายต่อ “แท้จริงแล้วนางคือสหายเก่าของท่านนักปราชญ์… ”

........................................