คนอื่นเขาได้ย้อนเวลาไปเป็นฮองเฮา เป็นเจ้าหญิงเป็นลูกเป็นหลานคุณนาง แต่เหมยกุ้ยคนนี้ดันซาลาเปาติดคอจนได้ย้อนเวลา แต่ก็ย้อนไปเป็นคนหมดตัว โชคดีที่อะไรบางอย่างดนบันดาลให้เธอเจอกับ เฟยเจิน เจ้าของร้านของของชำ ที่ไม่เล็กบนถนนทรงวาด ถึงกระนั้น พบเจอโลกใหม่ได้แค่วันเดียวก็ต้องจับพลัดจับผลูไปช่วยสืบคดี (เกือบ) ฆาตกรรมที่เกิดขึ้น ตรวจลายนิ้วมือก็ไม่มี ตรวจดีเอ็นเอก็ทำไม่ได้ งานนี้เธอจะทำอย่างไรกับเรื่องราวความรัก ความเศร้า ความแค้น ที่เกิดขึ้น ณ ทรงวาด
เหมยกุ้ย แปลว่าดอกกุหลาบ
แต่ดอกกุหลาบดอกนี้ไม่ใช่ดอกกุหลาบที่มีหนามไว้แทงคนอื่น แต่กลับเป็นดอกกุหลาบที่ถูกหนามของตัวเองแทงตัวเองจนเจ็บซะมากกว่า ถ้าเป็นภาษาที่จะเข้าใจง่ายๆก็คง สู้ชีวิต แต่ชีวิตสู้กลับจนน่วม
เหมยกุ้ยชอบงิ้วมาตั้งแต่ยังเล็ก และพ่อแม่ของเธอก็สนับสนุน พาไปดูงิ้วอยู่ตลอด จนกระทั่งช่วงมัธยมปลายเพียงไม่นานก่อนเธอจะก้าวออกจากชีวิตการเป็นนักเรียน และไปเรียนต่อด้านงิ้วที่เมืองจีน โชคชะตาก็ใจร้ายกับเธอเกินไป
เพราะมันพรากพ่อและแม่ของเหมยกุ้ยไปอย่างไม่มีวันกลับ
ทิ้งเหมยกุ้ยไว้เพียงลำพัง กับทรัพย์สินที่เพียงพอแค่ตั้งตัว ให้เปิดร้านขายอุปกรณ์ตัดเย็บที่สำเพ็ง แต่ไม่เพียงพอที่จะส่งเธอไปตามหาความฝัน
อย่างน้อยโชคชะตาก็ยังเข้าข้างเธอให้กิจการไปได้ดี
เหมยกุ้ยตัดสินใจพาความฝันอันสวยงาม มาพบกับความจริงที่โหดร้ายของชีวิต เธอตัดสินใจเพิ่มบริการรับซ่อมเสื้อผ้า ด้วยของที่เธอขายในร้านนั่นแหละ
แต่เศรษฐกิจแบบนี้ เหมือนว่าขายของอย่างเดียวจะไม่พอ ก็รับซ่อมเสื้อผ้า สอนตัดเย็บพื้นฐานไปเลยสิคะ
แต่มันก็ทำให้ไฟของความฝันอันริบหรี่ของเธอ ยังไม่ดับลงไปในทุกๆครั้งที่โรงงิ้วใกล้ๆ เอาเสื้อผ้ามาให้เธอช่วยซ่อมแซม ขอเพียงได้จับชุดงิ้ว เหมยกุ้ยก็สุขใจ
เพราะถ้าจะไปดูงิ้วที่โรงงิ้วก็ต้องเสียเงิน หรือไม่ก็รอตรุษจีน เหมยกุ้ยไม่กล้าใช้เงินกับเรื่องที่ไม่จำเป็นตั้งแต่พ่อกับแม่ของเหมยกุ้ยจากไป
แต่นั่นไม่ใช่กับเรื่องกิน
เหมยกุ้ยมีร้านซาลาเปาที่ชอบอยู่ร้านหนึ่ง ที่เธอยอมเสียเงินที่ได้มาอย่างยากลำบากให้ร้านนั้นทุกครั้ง ตัวเธอเองก็ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทำไมถึงชอบร้านนี้ขนาดนี้ เหมือนผูกพันกันอย่างประหลาด
แต่เหมยกุ้ยก็คิดว่าเธอน่าจะแค่ชอบกิน
คือชอบถึงขนาดที่แม่ค้าที่ร้านซาลาเปาพูดกับเธอเลยว่า
"เหมยกุ้ย ที่บ้านมีซึ้งมั้ยลูก"
"มีค่ะคุณน้า ทำไมหรือคะ"
"ไปซื้อแบบส่งที่แถวทรงวาดมั้ย แล้วนึ่งเองที่บ้าน เดี๋ยวน้าบอกวิธีนึ่งให้"
"มีร้านขายส่งด้วยหรอคะ"
"ใช่ลูก ลองไปดูตรงทรงวาดนะ ร้านตรงนั้นจะชื่อเตียท่งเซ้งนะ ร้านตรงนั้นทำซาลาเปามาเกือบร้อยปีละ"
"เกือบร้อยปี นี่มันก็ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ห้ามั้ยคะ"
เหมยกุ้ยถามด้วยความที่มีงานอดิเรกเป็นการอ่านหนังสือประวัติศาสตร์ที่คุณพ่อชอบเก็บสะสมไว้ในห้องหนังสือเล็กๆในบ้าน
"เอ้อ น้าก็ไม่รู้แฮะ อาจจะประมาณนั้น ลองไปดูละกันลูก เพราะน้าก็ไม่แน่ใจนะว่าเขาจะขายน้อยสุดเท่าไหร่ อ่ะ อันนี้ที่หนูสั่งของวันนี้"
คุณน้ายื่นถุงใส่ซาลาเปาสามสี่ลูกมาให้กับเหมยกุ้ย ก่อนที่จะหันไปหยิบเงินทอนให้
"ขอบคุณค่ะ ไว้เดี๋ยวหนูลองไปดูนะคะ"
หลังจากวันนั้น เหมยกุ้ยก็ไม่เคยแวะไปที่ร้านบนถนนเจริญกรุงอีกเลย เพราะเธอตัดสินใจที่จะซื้อทีละเยอะๆ มานึ่งที่บ้านเอง ถูกกว่าเป็นไหนๆ
คนแสนงกอย่างเหมยกุ้ยล่ะชอบจริงๆ
เหมยกุ้ยสนิทกับลูกจ้างร้านทำซาลาเปาในเพียงไม่กี่สัปดาห์หลังไปซื้อครั้งแรก เพราะได้รู้ตอนวันที่ไปซื้อครั้งแรกนั่นล่ะ ว่าเฮียเป็นแฟนกับเจ๊ลูกค้าประจำร้านขายอุปกรณ์ตัดเย็บของเธอ วันนี้เหมยกุ้ยจึงตัดสินใจที่จะถามคำถามที่สงสัยมานานกับพี่เขา
"เฮีย"
"เอ้า เหมยกุ้ย ลื้อมีอะไร ได้ซาลาเปาไม่ครบรึไง"
พูดจบอีกคนก็ขำออกมาเบาๆ
"ไม่ใช่ หนูอยากรู้ว่ามันกินแบบนี้ได้มั้ย"
พูดพลางเหมยกุ้ยชูถุงใส่กล่องซาลาเปา
"กินแบบไหน"
"แบบที่ยังไม่นึ่งอ่ะ"
"เห้ย ลื้ออย่าเล่นแผลงๆ"
"อ้าว ก็เฮียเคยบอกว่ามันสุกแล้ว"
"แต่มันยังกินไม่ได้"
"สุกแล้วก็ต้องกินได้สิ"
"ไม่ได้ ไอ้หยา เดี๋ยวลื้อก็ได้ท้องเสียหรอก"
"หนูลองเลยละกัน"
"เห้ย!! อาเหมยกุ้ย"
พี่ลูกจ้างคนนั้นตะโกนร้องขึ้นเมื่อเหมยกุ้ยกัดซาลาเปาที่ยังไม่นึ่งเข้าไปจนเต็มปาก ก่อนที่จะหลุดขำออกมาเมื่อเห็นเด็กสาวตรงหนาทำหน้าตาเหมือนจะร้องไห้
"เฮีย อันไอ้อะอ่อยเอยอ่ะ"
"อะไรนะ"
เหมยกุ้ยฝืนกลืนเข้าไปนิดนึงเพื่อให้พูดง่ายขึ้น
"มันไม่อร่อยเลยอ่ะ"
"ก็ถ้ากินแบบนี้มันอร่อยเค้าจะเอาไปนึ่งมั้ยล่ะเหมยกุ้ยเอ้ย เอ้า นั่งรอตรงนี้ เดี๋ยวไปหาน้ำมาให้"
"ขอบคุณนะเฮีย"
เหมยกุ้ยมองอีกคนเดินเข้าไปทางหลังร้าน ระหว่างนั้นเธอก็พยายามเคี้ยวซาลาเปาที่กัดเข้าไปเต็มคำ แล้วก็กล้ำกลืนฝืนทน จนซักพักเธอรู้สึกว่ามันมีอะไรแปลกๆ
และสามวินาทีหลังจากนั้น เหมยกุ้ยก็ได้รู้ว่า
ซาลาเปาติดคอ
เหมยกุ้ยไอเท่าไหร่มันก็ไม่ยอมออกมา ทำได้เพียงคิดในใจว่าไม่น่าหาทำกินซาลาเปาที่ยังไม่นึ่งเลย เธอไอจนเจ็บคอ ทรมานเพราะเริ่มหายใจไม่ออก
เสียงไอของเหมยกุ้ยดังจนพี่ที่วิ่งไปเอาน้ำให้ถึงกับต้องรีบวิ่งออกมา
แต่ดูท่าเขาคงจะวิ่งช้าเกินไป เพราะเหมยกุ้ยล้มลงไปกับพื้นแล้ว ตอนนี้สติสัมปชัญญะส่วนสุดท้ายได้ยินเพียงเสียงคนตะโกนบอกให้เรียกปอเต๊กตึ๊งกันจ้าล่ะหวั่น
แต่ทำไมซักพักเสียงเรียกปอเต๊กตึ๊ง มันถึงกลายเป็นเรียกชื่อไต้ฮงกงไปได้กันนะ
ไต้ฮงกง คือใคร คืออะไร คนจะตายอยู่แล้วทำไมต้องเรียก
ยังไม่ทันไร เหมยกุ้ยกู้สึกเหมือนมีคนยกตัวเหมยกุ้ยอุ้มขึ้นมา แล้วกระแทกกำปั้นเข้าไปที่หน้าอกอย่างแรง ถึงได้รู้สึกว่าไอก้อนซาลาเปานั่นออกจากปากไปแล้ว
สิ่งแรกที่ได้ยินหลังซาลาเปาหลุดจากปากคือ
"ขอบคุณมากนะพ่อฝาหรั่ง ถ้าไม่ได้วิธีแบบที่ลื้อบอกว่าพวกฝาหรั่งใช้เวลาเศษอาหารติดคอ เหมยกุ้ยอีคงตายไปแล้ว เอ้า ใครก็ได้วิ่งไปบอกคนที่วิ่งไปไต้ฮงกงทีไป ว่าไม่ต้องมาละ อีหายละ"
สิ่งที่เหมยกุ้ยเห็นตอนนี้คือ ฝรั่งตาน้ำข้าวหนึ่งอัตรา คุณลุงที่หน้าคล้าย แต่ไม่เหมือนเจ้าของร้านซาลาเปาหนึ่งอัตรา และคนมากมายล้อมรอบตัวเธอ
ก็คงไม่น่าตกใจเท่าไหร่หรอก ถ้าคนรอบข้าเธอไม่ใส่ผ้ารัดอกกับโจงกระเบนบ้าง เสื้อแขนหมูแฮมบ้าง เสื้อราชปะแตนบ้าง สไบบ้าง
นี่ฉันอยู่ไหน งานอุ่นไอรักกลางลมหนาวรึเปล่า
"เหมยกุ้ยเอ้ย อั๊วบอกแล้วว่าอย่ากินซาลาเปาที่ยังไม่นึ่ง"
คุณลุงที่ยืนอยู่หน้าซึ้งนึ่งซาลาเปาพูดขึ้น
เหมยกุ้ยยังคงสับสน แต่ก็ตอบเจ้าของร้านไป เพราะคิดว่าคงมีเหตุการณ์บางอย่างเกิดขึ้นตอนเธอมีซาลาเปาติดคอ
ก็เห็นเรียกว่าเหมยกุ้ยแถมยังซาลาเปาติดคอ มันก็ต้องคนเดียวกันสิ ประชากรบนโลกนี้ที่ชื่อเหมยกุ้ยและซาลาเปาติดคอนี่มันจะมีกี่คนกันเชียว
"ก็เห็นร้านเจ็กเปิดมาเป็นร้อยปี หนูก็คิดว่าจะอร่อยถึงขั้นกินได้ตั้งแต่ยังไม่นึ่ง"
"เหมยกุ้ย ลื้อพูดอะไร"
"อะไรนะคะ"
"อั๊วเพิ่งเปิดร้านได้ปีกว่า ลื้อมาร้อยปงร้อยปีอะไร"
"อะไรนะคะ"
เหมยกุ้ยเริ่มคิดแล้วว่ารอบข้างเธอมีอะไรที่ไม่ชอบมาพากล จึงลองถามออกไปเล่นๆ เผื่อจะได้ย้อนเวลาแบบในละครทีวีบ้าง
"นี่พ.ศ.อะไรคะเนี่ย"
"ไอ้หยา แค่ซาลาเปาติดคอ ลื้อถึงกับความจำเสื่อมเลยหรอ นี่ปี2455 ไง"
"อะไรนะคะ"
การที่ซาลาเปาติดคอนี่ก็นับเป็นวิธีการย้อนเวลาหรอวะ