webnovel

ณ ทรงวาด 4

เหมยกุ้ยก็ได้เข้าใจในวันนี้แหละว่ากิจการงิ้วที่เคยรุ่งเรืองน่ะมันรุ่งเรืองขนาดไหน เพราะบ้านของพี่ชายนายเฟยเจินนี่มันดูจะเกินคำว่าบ้านไปมาก สมควรจะเรียกว่าคฤหาสน์ด้วยซ้ำ

"ตกใจเลยหรือ ก็ฉันบอกแล้วไง ว่าบ้านพี่ชายฉันน่ะใหญ่กว่าบ้านฉันมากนัก"

เฟยเจินพูดเมื่อเห็นอีกคนยืนอ้าปากค้าง เมื่อเห็นบ้านของพี่ชายเขา

"แต่ทั้งคณะงิ้วก็อยู่ในนี้ใช่มั้ย"

"ไม่ทุกคน แต่ก็ส่วนใหญ่ ถ้าฉันจำไม่ผิด คนที่เล่นเป็นพระเอก กับพวกคนที่เล่นเป็นตัวหลักๆ เขาก็จะมีเงินหน่อย มีบ้านของตัวเองในพระนคร"

ยังไม่ทันที่เหมยกุ้ยจะได้ตอบกลับอะไร ก็มีผู้ชายหน้าตาดีมากๆ (ในความคิดของเหมยกุ้ย) คนหนึ่งเดินเข้ามาทางพวกเขาทั้งสองคน

"วันนี้มาดูงิ้วเฮียด้วยหรอ อาเจิน"

พูดจบผู้ชายคนนั้นก็เดินตรงเข้ามาโอบไหล่เฟยเจิน

"ฉันไหว้นะเฮีย"

"เออๆ เข้ามานั่งในบ้านก่อนสิ ว่าแต่ นั่นลื้อพาใครมาด้วยล่ะอาเจิน"

คนเป็นพี่ชี้มาทางที่เหมยกุ้ยยืนอยู่

"อ๋อ เด็กที่ร้านน่ะเฮีย เขาชอบงิ้ว อยากจะดูงิ้ว เลยพามา อีกอย่างเธอมีความรู้เรื่องงิ้วเยอะทีเดียว เหมยกุ้ย นี่เฮียห่าวซวน เจ้าของโรงงิ้วข้างหน้านี่"

เฟยเจินพูดกับพี่ชาย ก่อนจะหันมาแนะนำให้เหมยกุ้ยได้รู้จัก

"ฉันไหว้จ้ะ"

อีกคนก็รับไหว้เหมยกุ้ยก่อจะพูดขึ้น

"ชอบงิ้วมากเทียวหรือ เช่นนั้นก็เชิญๆ เข้าไปนั่งด้วยกันสิ"

เหมยกุ้ยแสนจะปลื้มผู้ชายคนนี้ที่ชื่อห่าวซวนเหลือเกิน คนอะไร หล่อแล้วยังเป็นเจ้าของโรงงิ้วอีก

"เหมยกุ้ยชอบงิ้วหรือ"

ห่าวเซินถามเมื่อทั้งเหมยกุ้ยและเฟยเจินเข้ามานั่งในบ้านของอีกคนแล้ว พร้อมกับที่รับน้ำชาจากแม่บ้านมาตั้งบนโต๊ะรับแขก

"ค่ะ ชอบมาตั้งแต่เด็กๆ แต่ไม่มีโอกาสได้ฝึก"

"อั๊วหวังว่าลื้อจะชอบงิ้ว ของคณะเล็กๆแบบนี้นะ"

"ไม่เล็กหรอกค่ะ นี่ใหญ่โตเสียด้วยซ้ำ ไม่คิดเลยว่าจะมีโอกาสได้ดูงิ้วโรงใหญ่"

"ลื้อก็ชมมากไปนะเหมยกุ้ย"

ห่าวซวนขำขึ้นเบาๆ ก่อนจะพูดต่อ

"งั้นเดี๋ยวอั๊วขอตัวไปดูในบ้านสักครู่นะ ให้เด็กเตรียมที่นั่งข้างหน้าไว้ให้แล้ว นี่ก็ใกล้เล่นแล้วล่ะ จะออกไปเลยก็ได้"

"สรุปวันนี้เล่นนางพญางูขาวใช่หรือไม่เฮีย"

"ใช่ๆ"

ห่าวเซินตอบก่อนจะเดินเข้าไปทางข้างหลังบ้านของตัวเอง เฟยเจินจึงตัดสินใจบอกเหมยกุ้ยให้ออกไปนั่งที่หน้าโรงงิ้วด้วยกัน

เรื่องราวของนางพญางูขาว และความรักอันไม่สมหวัง ที่ถูกถ่ายทอดผ่านเหล่าผู้คน ที่แต่งหน้า และแต่งตัวอย่างที่เหมยกุ้ยฝันจะได้ทำสักครั้ง สะกดสายตาของเหมยกุ้ยไม่ให้มองไปรอบตัว พลางนึกขอบคุณโชคชะตาตัวเองที่นำพาให้ตนได้ย้อนเวลามา ณ สถานที่แห่งนี้

แต่เสียงของคนที่นั่งดูงิ้วอยู่ข้างๆ ก็ขัดจังหวะการดูงิ้วของเหมยกุ้ยขึ้นมาเสียดื้อๆ

"เหมยกุ้ย"

เหมยกุ้ยหันหน้าไปหาเฟยเจินด้วยสีหน้าไม่ค่อยพอใจ ก่อนจะตอบอีกคนด้วยเสียงห้วนๆ

"อะไร อย่าขัดจังหวะสิ"

"ฉันแค่อยากเล่าอะไรให้ฟัง"

"ค่อยเล่าตอนจะกลับบ้านไม่ได้รึไง"

"จะเล่าตอนนี้ เธอก็ดูงิ้วไปสิ ฉันจะเล่าให้ฟัง"

"โอ้ย เล่าๆมาเร็วๆ"

"เฮียเคยชวนฉันมาทำโรงงิ้วด้วยกัน แต่ตัวฉันเองน่ะไม่ค่อยจะชอบเท่าไหร่"

ทีนี้เหมยกุ้ยถึงกับหันขวับมาทำตาเขียวปั้ดใส่อีกคน จนเฟยเจินต้องรีบพูดต่อ

"ฟังให้จบสิ เธอนี่ใจร้อนจริงเชียว ฉันชอบค้าขายมากกว่า แต่ฉันรู้ว่าพี่ชายฉันรักงิ้วมาก เพราะเฮียอีกคนที่เป็นแฝดกันเขาบอกให้ดูสายตาของเฮียห่าวตอนเขาดูงิ้ว สายตาคนเราเวลามองอะไรที่ชอบ ก็มักจะเป็นเช่นนั้น"

"แล้วมาบอกฉันทำไม"

"ตอนนี้สายตาเธอเป็นแบบนั้น ฉันก็เลยคิดว่า ไว้ทำงานกับฉันอีกสักอาทิตย์แล้วจะถามเฮียเรื่องมาทำงานที่นี่ให้"

"จริงหรอ"

"อืม ฉันไม่รู้หรอก ว่าจุดเริ่มต้นของเธอมันเป็นเช่นไร แต่เธอคงรักมันมากเทียว"

"ขอบคุณนะเฟยเจิน"

เหมยกุ้ยพูดก่อนจะหันกลับไปดูงิ้วต่อ เฟยเจินก็เช่นกัน เพียงแต่เฟยเจินแค่ไม่รู้ว่าตอนนี้สายตาของตัวเองที่มองเหมยกุ้ย ไม่ต่างกับสายตาของเหมยกุ้ยที่มองงิ้วบนเวทีเลยแม้เพียงนิด

เรื่องราวความรักอันผิดกฎสวรรค์ของนางพญางูขาว และบัณฑิตหนุ่ม เดินทางมาจนถึงตอนใกล้จบ ที่ไป๋ซู่เจิน หรือนางพญางูขาว จะถูกจองจำในเจดีย์ และในตอนนั้นเอง นางเอกงิ้วก็ชะงักค้าง ก่อนจะล้มทรุดลงไปบนพื้น

คนดูหรือก็ปรบไม้ปรบมือกันยกใหญ่ ด้วยคิดว่านางพญางูขาวบนเวทีกำลังแสดงความเสียใจต่อความอาภัพรักของตนจนถึงที่สุด จนกระทั่งหญิงสาวในชุดสีฟ้าที่รับบทงูเขียวกรีดร้องชื่อของนางเอกงิ้วคนนั้นขึ้นมา ผู้ชมจึงได้รู้ว่านี่ไม่ใช่เรื่องปกติที่จะเกิดขึ้น

เพียงเท่านั้นคนทั้งโรงงิ้ว บ้างก็วิ่งกันจ้าล่ะหวั่น บ้างก็ตกใจจนลมจับ พวกคนจีนสาวๆที่ใส่กี่เพ้ามาก็วิ่งไม่ถนัดจนสะดุด พอๆกับสาวๆชาวสยามที่อุตส่าห์แต่งกายใส่สไบมาชมงิ้ว ก็วิ่งกันจนสะดุดชายสไบกันให้วุ่น

เฟยเจินจึงตัดสินใจเดินเข้าไปตรงหน้าเวที ด้วยเพราะคุ้นเคยกับคณะงิ้วนี่พอประมาณ

"อาหง อาจูเป็นอะไร"

เฟยเจินถามอาหง หรือไฉ่หง ผู้รับบทงูเขียว น้องสาวร่วมสาบานของนางพญางูขาว

"อั๊วไม่รู้เลยเฮียเจิน อยู่ดีๆ อาจูเขาก็ล้มลงไปเลย"

"แล้วมัวทำอะไรกันล่ะ แกะเครื่องแต่งตัวชั้นนอกออกสิ เอ้านายน่ะ ไปเรียกเฮียห่าวมาเร็วเข้า"

เฟยเจินบอกเด็กหนุ่มคนหนึ่งให้ไปเรียกพี่ชายเขา

"เห้ย มันเกิดอะไรขึ้น"

ห่าวซวนวิ่งหน้าตาตื่นออกมาจากทางหลังโรง

"อาจูอยู่ดีๆก็หมดสติล้มลงไป ไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น"

"รีบพาลี่จูไปโรงหมอฝาหรั่ง ไป ใครก็ได้แบกไปเร็วเข้า"

ผู้ชายในโรงงิ้วไม่มีใครกล้าแตะตัวลี่จูที่นอนนิ่งอยู่ ด้วยเหตุผลใดก็ไม่มีใครทราบ ส่วนพวกผู้หญิงก็มองกันหวาดๆ เพราะถ้ายกขึ้นมา ลี่จูอาจจะหล่นลงพื้นจนเสียโฉม

งานนี้จึงต้องตกมาที่มือของสาวแกร่งอย่างเหมยกุ้ย ที่เดินเข้าไปแล้วอุ้มลี่จูขึ้นมาง่ายๆอย่างกับอีกคนเป็นขนนกก็มิปาน ก่อนจะหันไปพูดกับแม่งูเขียว

"เอ้า โรงหมอไปทางไหนล่ะ บอกมาสิ"

ได้ยินดังนั้น ไฉ่หงก็รีบถอดเครื่องหัวออกก่อน เดินนำเหมยกุ้ยออกฝ่าฝูงสยามมุงหน้าโรงงิ้วออกไปทางโรงหมอ

เมื่อเฟยเจินเห็นดังนั้น จึงเดินตามออกไปด้วยอีกคน

-----

"ญาติคนไข้คะ หมอขอคุยด้วยค่ะ"

ผู้หญิงในชุดกันเปื้อนสีขาว ปักกากบาทสีแดง ดูแล้วพอจะเดาได้ไม่ยากนักว่าเป็นพยาบาล เดินเข้ามาหาเฟยเจินและเหมยกุ้ยที่นั่งอยู่ตรงม้านั่งของโรงพยาบาล

"คนไข้ปลอดภัยแล้วนะขอรับ แต่คงต้องนอนพักที่นี่ก่อน"

หมอฝาหรั่งพูดกับเฟยเจินด้วยสำเนียงภาษาไทยที่แปร่งสักหน่อย ตามประสาคนไม่ได้พูดเป็นภาษาแม่

"ลี่จูเป็นอะไรหรือ"

เฟยเจินถามคนตรงหน้า

"หมอทราบแค่ว่าเป็นอาการแพ้อะไรสักอย่างขอรับ อาจจะต้องมาดูว่าคนไข้รับทานสิ่งใดเข้าไปก่อนหน้า จึงจะทราบได้"

"เช่นนั้นแล้ว ต้องมีคนอยู่เฝ้าเธอหรือไม่ขอรับหมอ"

"ไม่ต้องหรอก เดี๋ยวพรุ่งนี้มาใหม่ก็ได้ มีคนไข้อื่นในห้องด้วย หมอไม่อยากให้มีคนเยอะมากเสียจนเกินไป"

"เช่นนั้นกระผมขอลาคุณหมอ"

เฟยเจินยกมือไหว้คนเป็นหมอ ก่อนชวนให้เหมยกุ้ยเดินออกไปพร้อมกัน เพื่อจะเดินทางกลับบ้านของตน

แต่เมื่อมาถึงบ้าน ก็ต้องพบว่าพี่ชายของตนมานั่งรออยู่ที่ห้องรับแขกเสียแล้ว

"อ้าว เฮีย มาทำอะไรหรือ"

"นี่คือสิ่งสุดท้ายที่ลี่จูกินก่อนขึ้นแสดง"

ห่าวซวนยกแผ่นสมุนไพรเล็กๆขึ้นมา ดูเหมือนจะเป็นสมุนไพรที่ถูกต้มไปแล้วครั้งหนึ่ง

"นี่มันสมุนไพรจีนปกติมิใช่หรือเฮีย"

"ใช่ แต่เฮียก็สงสัย ที่จริงลี่จูกินเป็นประจำเพราะปวดหัวบ่อย"

"ถ้าอาจูกินประจำ มันก็ไม่น่าจะใช่อันนี้หรือไม่เล่า"

เหมยกุ้ยที่เดินตามเข้ามาในบ้านมองเห็นสมุนไพรแผ่นบางสีออกไปทางน้ำตาลเข้ม แล้วก็รู้ทันที ว่ามันคืออะไร และเธอเองก็ตกใจที่ได้เห็น จึงพูดแทรกขึ้นมากลางบทสนทนาของสองพี่น้อง

"โห ไปหาอึ่งคี้แบบผัดน้ำผึ้งมาจากไหนหรือคะ หายากนะเนี่ย"

เฟยเจินที่ได้ยินดังนั้นก็หันหน้ามาหาเหมยกุ้ย

"นี่เหมยกุ้ย เธอไปเอามาจากที่ใดกันว่าอึ่งคี้มันหายาก"

"เอ้า ก็มันทำยากไม่ใช่หรือ กว่าจะฝาน กว่าจะผัดน้ำผึ้ง กว่าจะรอให้เย็น"

"เขาขายกันให้เกลื่อนพระนครเทียว"

เหมยกุ้ยตั้งท่าจะเถียงกลับอีกคน ทว่าห่าวซวนกลับพูดบางอย่างที่ทำให้ทั้งสองคนต้องหันเหความสนใจไปทางห่าวซวน

"เหมยกุ้ย ลื้อแน่ใจหรือ ว่านี่คืออึ่งคี้"

"ใช่ค่ะ อาม่าของฉัน ท่านทานประจำค่ะ ส่วนแปะจี้ เป็นอากงที่ทานประจำ ฉันก็รับหน้าที่หลานประเสริฐ คอยซื้อให้ทั้งสองท่าน ดังนั้นฉันจำไม่ผิดแน่"

"หากเป็นเช่นนั้นก็แย่แล้วล่ะอาเจิน เหมยกุ้ย"

"ทำไมหรือเฮีย

"ลี่จูแพ้อึ่งคี้ แพ้รุนแรงเสียด้วย"

ฝากผลงานเรื่อง ณ ทรงวาดด้วยนะคะ

สามารถพูดคุยกับนักเขียนได้ทาง twitter:@littlelzybeez หรือ #ณทรงวาด นะคะ หรือจะพูดคุยกันทางคอมเม้นก็ได้นะคะ

* ศาลเจ้าเก่า ปัจจุบันคือ ศาลเจ้าเล่าปูนเถ้ากง บนถนนทรงวาด

*แปะจี้(แต้จิ๋ว) หรือ ไป๋จื่อ(จีนกลาง) เป็นสมุนไพรมีรสเผ็ดเบาๆ แก้ปวดหัวบริเวณหน้าผาก ลดการคัดจมูก

* อึ่งคี้(แต้จิ๋ว) หรือ หวงฉี(จีนกลาง) เป็นสมุนไพรจีน สามารถใช้ได้สองแบบ คือแบบผัดน้ำผึ้งและไม่ผัด ช่วยระงับอาการป่วย แต่สามรถแพ้รุนแรงและเกิดอาการช็อคได้

ทั้งนี้หากผิดพลาดด้านข้อมูลประการใด ขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วยนะคะ

- สมุทรา -

samuthracreators' thoughts
Next chapter