"ไชโย! ข้าจำเส้นอักษรได้แล้ว เส้นอักษรมีสามสิบเอ็ดตัว ข้าจำได้ทั้งหมดแล้ว เย้ๆ!" เยว่ซินกำพู่กันในมือแน่น พร้อมกระโดดโลดเต้นวิ่งไปรอบๆ โต๊ะม้าหินในสนามหญ้าภายในจวนแม่ทัพ ทั้งกู่ร้องดีใจที่เขียนลำดับเส้นอักษรได้เสียที
"เก่งมากเยว่ซิน เจ้าอยากได้รางวัลอะไรจากซือฝุของเจ้าหรือไม่" เฉิงอี้เอ่ยถามพลางยิ้มขำเมื่อมองเยว่ซินที่กำลังกระโดดโลดเต้น ตั้งแต่สอนนางเรียนอย่างจริงจัง เยว่ซินก็ไม่เรียกเขาว่าท่านแม่ทัพอีกแล้ว เขาจึงต้องแทนตัวเองว่าซือฝุเช่นเดียวกัน
ผ่านมาสามวันแล้วที่เยว่ซินเรียนเขียนอ่านกับเฉิงอี้ตามที่เขาได้ให้สัญญาไว้ว่าจะเป็นซือฝุของนาง นางเป็นเด็กหัวดีและเรียนรู้ไวมากทีเดียว เฉิงอี้ปล่อยให้นางกระโดดร้องเต้นดีใจอยู่สักครู่ รอยยิ้มและดวงตากลมโตเป็นประกายนั้นทำให้เขาหวนคิดถึงเมื่อครั้งที่เยว่ซินยังเด็ก นางก็เป็นเด็กช่างพูดและฉลาดมีไหวพริบเช่นนี้มาแต่ไหนแต่ไร
"ซือฝุ ข้าขอรางวัลท่านได้จริงๆ หรือเจ้าคะ" เยว่ซินได้ยินคำว่ารางวัลก็รีบวิ่งกลับมาคุกเข่าลงตรงหน้าเฉิงอี้
เฉิงอี้ก้มมองใบหน้ารอยยิ้มกว้างจนตาหยีของนางแล้วเกิดรู้สึกมันเขี้ยวยิ่งนัก จึงยกมือดีดหน้าผากนางเบาๆ หนึ่งทีก่อนพยักหน้าแล้วเอ่ยว่า "เจ้าเป็นลูกศิษย์เพียงคนเดียวของข้า ข้าให้เจ้าได้อยู่แล้ว"
"เช่นนั้น..." เยว่ซินทำท่าครุ่นคิด "เช่นนั้นซือฝุพาข้าไปเดินเล่นตลาดโคมไฟคืนนี้ได้หรือไม่เจ้าคะ"
"ตลาดโคมไฟ" เฉิงอี้เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย
"พาข้าไปหน่อยนะเจ้าคะ ข้าได้มาในเมืองเฉียวเซียนทั้งที ข้าอยากเห็นบรรยากาศตอนกลางคืนบ้าง" เยว่ซินกะพริบตาออดอ้อน ใบหน้าทะเล้นแต่ก็น่ารักอยู่ในทีเช่นนี้ ใครได้เห็นเข้าไหนเลยจะไม่ยอมใจอ่อนให้แก่นางกันเล่า
"ได้ ข้าจะพาเจ้าไป"
"ขอบคุณซือฝุ"
คืนนี้พระจันทร์เต็มดวงมีสีเหลืองทองระบายเป็นแสงอ่อนๆ บนท้องฟ้าจนกลบแสงดาว รถม้าของเฉิงอี้ที่บังคับยอดอาชาสีดำสนิทคู่กันมาโดยอาอู๋กับอาลิ่วค่อยๆ วิ่งช้าลงแล้วจอดสนิทที่ปากทางเข้าตลาดโคมไฟ
ที่นี่เป็นตลาดยามค่ำคืนบนถนนสายหนึ่งในเมืองเฉียวเซียน พ่อค้าแม่ค้าจะเริ่มตั้งร้านกันตั้งแต่ช่วงเย็นใกล้ค่ำ ทุกร้านจะประดับโคมไฟสีแดงเขียนชื่อร้านของตนประดับไว้ เมื่อทำเช่นนี้เหมือนกันหลายๆ ร้านจึงเกิดเป็นเอกลักษณ์ของตลาดกลางคืนแห่งนี้ แล้วถูกเรียกขานอันเป็นที่รู้กันว่า 'ตลาดโคมไฟ'
เช่นเคยเมื่อรถม้าจอดสนิทอาลิ่วกับอาอู๋ก็ยืนหันหลังอย่างรู้ความ เยว่ซินเองก็รู้ดีว่านางต้องลงจากรถม้าเช่นไร เมื่อเห็นเฉิงอี้ยืนรออยู่ด้านล่างแล้ว นางก็จับไหล่เขาทั้งสองข้าง เพื่อยอมให้เขาอุ้มลงมาแต่โดยดี ตามหลังด้วยเจ้าเสี่ยวเข่ออ้ายที่กระโดดลงมา เพราะเยว่ซินพามันออกมาเดินเที่ยวเล่นด้วยกัน
"เมื่อไหร่อาลิ่วจะนำบันไดรถม้ามาเสียที ทั้งๆ ที่วันนั้นยังมีอยู่เลยแท้ๆ" เยว่ซินหันไปมองอาลิ่ว อาลิ่วทำสีหน้าไม่ถูกเมื่อเยว่ซินเอ่ยถามกะทันหัน เขาปรายตามองเฉิงอี้กะพริบตาปริบๆ เฉิงอี้หลุดขำเบาๆ แล้วตอบกลับนางแทนอาลิ่วเสียเอง
"ข้าเป็นคนสั่งให้อาลิ่วนำออกไปเอง ปกติรถม้าของข้ามีเพียงข้าเท่านั้นที่ขึ้น ข้าไม่จำเป็นต้องใช้บันได เหตุใดต้องแบกไว้ให้ม้าทั้งสองตัวต้องรับน้ำหนักเพิ่มขึ้นกันเล่า ส่วนเจ้าก็ไม่ได้ขึ้นรถม้าของข้าบ่อยๆ เสียเมื่อไหร่ ตัวเจ้าเล็กนิดเดียวข้าอุ้มเจ้าได้สบายมาก" พูดจบเฉิงอี้ก็ดีดหน้าผากนางอีกที เยว่ซินลูบหน้าผากป้อยๆ แล้วพยักหน้าอย่างเข้าใจ
"เช่นนั้น ที่วันนั้นมีบันได ก็เพราะต้องไปรับข้ามาคนเดียว ข้าเข้าใจถูกต้องหรือไม่เจ้าคะ" จบคำถามของเยว่ซิน เฉิ้งอี้ไม่เอ่ยคำใด เขาเพียงพยักหน้าตอบกลับไปเท่านั้น
เมื่อเดินเข้ามาภายในตลาดแล้ว ร้านรวงต่างๆ เต็มไปด้วยของกินและข้าวของเครื่องใช้มากมายละลานตา เยว่ซินเดินเล่นพร้อมรอยยิ้มร่า บรรยากาศช่างรื่นเริงต่างจากเขตชนบทที่หมู่บ้านของนางมากนัก
"พุทราเคลือบน้ำตาล เจ้าอยากกินหรือไม่" เฉิงอี้เห็นว่ามีคนขายพุทราเคลือบน้ำตาลเสียบไม้กำลังเดินเข้ามาใกล้ จึงหันไปถามเยว่ซิน เพราะเขาจำได้ว่าเป็นของโปรดนาง
"กินเจ้าค่ะ นั่นของโปรดข้า" เยว่ซินชะเง้อมองหาคนขาย เมื่อเจอแล้วนางก็รีบวิ่งไปหาพ่อค้า เฉิงอี้รีบก้าวเท้าตามไป ส่วนอาอู๋กับอาลิ่วนอกจากจะต้องคอยอารักขาเจ้านายแล้ว ยังต้องทำหน้าที่ดูแลคอยจูงสายคล้องคอเสี่ยวเข่ออ้ายไปด้วย
"ไม้เดียวเจ้าอิ่มแน่นะ" เฉิงอี้ถามเพื่อความแน่ใจก่อนจะจ่ายเบี้ยเงินให้พ่อค้า เยว่ซินกัดพุทราไปแล้วเต็มคำจึงทำได้แค่พยักหน้าเท่านั้น
"เหมือนข้างหน้านั่นจะมีร้านขายขนมดอกกุ้ยฮวา" เฉิงอี้อ่านป้ายชื่อร้านบนโคมแดงเบื้องหน้า จึงเห็นได้ว่ามีร้านขนมดอกกุ้ยฮวาอยู่แถวๆ นั้น
"ท่านรู้ได้อย่างไรว่าข้าชอบกินอะไร ทำไมท่านถึงพาข้าไปซื้อแต่ของที่ข้าชอบกินทั้งนั้น" คำถามตอบยากมาอีกแล้ว เฉิงอี้จะตอบนางเช่นไรดี ความจริงแล้วเขาจำได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้พบนาง ในวันที่เขาแปลงกายเป็นลูกสุนัขบาดเจ็บ วันนั้นเขาเห็นได้ว่าลี่จิ่นเตรียมอาหารใดไว้ให้นางบ้าง มีทั้งต้มปลาที่เยว่ซินยังตักแบ่งมาให้เขาได้กินด้วย มีขนมดอกกุ้ยฮวาและพุทราเคลือบน้ำตาล หากนั่นมิใช่ของโปรดนาง ลี่จิ่นคงไม่เตรียมไว้ให้เพื่อปลอบใจที่ต้องทิ้งให้นางอยู่บ้านเพียงลำพังกระมัง
แต่จะให้ตอบความจริงที่น่าเหลือเชื่อเช่นนั้นได้อย่างไรกันเล่า อีกทั้งตอนนั้นเป็นไท่เซียนอี้ตี้จวินต่างหากที่ได้เจอนาง ไม่ใช่มนุษย์นามเฉิงอี้ผู้นี้
"ข้าแค่เดาใจเจ้า" ตอบแบบนี้เยว่ซินถึงกลับหันมามองหน้า ซือฝุของนางจะเดาใจเก่งเกินไปแล้วกระมัง
เมื่อเดินมาถึงร้านขนมกุ้ยฮวา เยว่ซินรีบตรงเข้าไปเลือกไส้ขนมรสที่ชอบ ครั้งนี้นางหยิบมาถึงห้าชิ้น เฉิงอี้เข้าใจว่าเพราะเป็นขนมโปรดของนางจึงไม่ขัดใจ แต่เมื่อจ่ายเบี้ยเงินให้แม่ค้าเรียบร้อยแล้ว เยว่ซินก็ส่งห่อขนมยื่นให้เขา อาอู๋ อาลิ่วและเสี่ยวเข่ออ้ายตามลำดับ
"ซือฝุ ข้าเลือกไส้ขนมดอกท้อป่าผสมเม็ดบัวให้ท่าน เป็นรสที่ข้าชอบมากที่สุด ท่านลองชิมดูสิเจ้าคะ" เยว่ซินไม่เพียงพูดเจื้อยแจ้วเท่านั้น นางแกะห่อขนมที่เฉิงอี้ถืออยู่ในมือให้เรียบร้อยพร้อมทั้งจับมือของเขาป้อนขนมเข้าปากตัวเอง เฉิงอี้จึงต้องกัดขนมหนึ่งคำ
"อร่อยหรือไม่เจ้าคะ" เยว่ซินเงยหน้าเอ่ยถาม สายตาเลื่อนผ่านจากริมฝีปากที่กัดขนมไปแล้วเมื่อครู่ ขึ้นมาจรดที่ดวงตาของคนตัวสูงกว่า เยว่ซินนิ่งไปทันใดเมื่อพบว่าเฉิงอี้เองก็กำลังจดจ้องใบหน้าของนางอยู่เช่นกัน
ทั้งสองยืนสบตากันนิ่งคล้ายกับกำลังรอฟังอีกฝ่ายพูดสักหนึ่งประโยค ทว่าความจริงกลับไม่มีผู้ใดเอ่ยคำใดออกมาทั้งนั้น แต่ถึงแม้ต่างฝ่ายต่างเงียบไป ใช่ว่าภายในใจจะนิ่งเงียบไปด้วยเสียเมื่อไหร่ แม้จะพยายามฝืนความรู้สึกอยู่ในที แต่เฉิงอี้ก็รับรู้ได้แน่ชัดว่าจิตเทพของเขากำลังสั่นไหวอย่างยากจะควบคุมเสียแล้ว ด้านเยว่ซิน แม้นี่จะไม่ใช่ครั้งแรกที่อยู่ใกล้ชิดกับเฉิงอี้ แต่เมื่อได้สบตากันตรงๆ เช่นนี้ นางกลับรู้สึกแปลกประหลาดขึ้นมา จู่ๆ ก็รู้สึกร้อนๆ หนาวๆ คล้ายไข้จะขึ้นเสียอย่างนั้น
"ช่วยด้วย! ช่วยด้วย! มีเด็กจมน้ำ ช่วยลูกชายของข้าด้วย" เสียงตะโกนดังขึ้นกะทันหัน เสี่ยวเข่ออ้ายที่นั่งรอผู้เป็นนายนิ่งๆ อยู่เมื่อครู่ก็ลุกขึ้นเห่าเสียงดัง แล้วออกแรงวิ่งไปตามทิศทางของเสียงร้องนั้นทันที แรงวิ่งของเสี่ยวเข่ออ้ายนั้นแรงจนกระชากให้อาลิ่วที่จับสายจูงอยู่ต้องวิ่งตามไป
เยว่ซินกับเฉิงอี้เองพลันรู้สึกตัวจึงถอยห่างกันคนละก้าวด้วยสีหน้าที่ยังปรับไม่ถูก แต่ถึงอย่างนั้นเยว่ซินที่เป็นห่วงเสี่ยวเข่ออ้ายจึงไม่รอช้า นางรีบวิ่งตามเสี่ยวเข่ออ้ายและอาลิ่วไปทันที ตามมาด้วยเฉิงอี้กับอาอู๋ที่คอยอารักขาอยู่เบื้องหลัง
เมื่อเสี่ยวเข่ออ้ายวิ่งมาถึง มันทำท่าจะกระโจนลงน้ำแต่ติดสายจูงที่ปอกคอ อาลิ่วเห็นท่าทางของเสี่ยวเข่ออ้ายจึงปลดสายจูงให้ ทันใดนั้นเสี่ยวเข่ออ้ายก็กระโจนลงไปในคูน้ำทันที ไม่นานนักเสี่ยวเข่ออ้ายก็งับคอเสื้อด้านหลังของเด็กชายตัวเล็กๆ คนหนึ่งให้ลอยคอขึ้นมาเหนือน้ำได้ ชาวบ้านที่มายืนดูต่างโห่ร้องอย่างโล่งใจที่เห็นเด็กน้อยปลอดภัย
เมื่อทั้งสองว่ายมาถึงริมฝั่ง อาอู๋กับอาลิ่วที่ยืนรอรับอยู่ก็รีบอุ้มเด็กชายกับเสี่ยวเข่ออ้ายขึ้นมา แม่ของเด็กชายร้องไห้ด้วยความดีใจโผเข้ากอดลูกชายที่กำลังขวัญเสียไว้แน่น ด้านเสี่ยวเข่ออ้ายเมื่อขึ้นจากน้ำก็ยืนสะบัดขนที่เปียกจนน้ำกระเด็นโดนผู้คนที่ยืนอยู่รอบๆ แต่นาทีนี้ใครเล่าจะถือสาเจ้าหมาแสนฉลาดตัวนี้ ทุกคนต่างปรบมือและเอ่ยชมเสี่ยวเข่ออ้ายจนเสียงดังก้อง
"เสี่ยวเข่ออ้าย เจ้าเก่งมากจริงๆ" เยว่ซินภูมิใจในตัวเสี่ยวเข่ออ้ายมาก นางโผกอดมันแน่นทั้งๆ ที่ตัวมันยังเปียกชุ่มเช่นนั้น แต่เยว่ซินก็ไม่ได้สนใจ เสี่ยวเข่ออ้ายเองคงรับรู้ได้ว่าเยว่ซินกำลังชื่นชมจึงเลียใบหน้านางอย่างเอาอกเอาใจ
"เจ้าหมาน้อย ข้าขอบคุณเจ้ามากที่ช่วยชีวิตลูกชายของข้าไว้ แม่นางน้อย ข้าขอตอบแทนพวกท่านได้หรือไม่ หากไม่ได้หมาของพวกท่าน ลูกชายของข้าคงเกิดอันตรายไปแล้ว" มารดาของเด็กชายจับมือลูกของตนไว้แน่น แล้วเดินมาหาเสี่ยวเข่ออ้าย ส่วนชาวบ้านคนอื่นๆ ต่างทยอยแยกย้ายกันออกไปแล้วเมื่อเห็นว่าตรงนี้ไม่มีปัญหาใดอีก
"ไม่เป็นไรเจ้าค่ะอาอี๋ แค่เด็กปลอดภัยก็พอแล้วเจ้าค่ะ" เยว่ซินตอบอย่างเกรงใจ เพียงเห็นชีวิตเด็กที่ปลอดภัยดีแล้ว เรื่องตอบแทนเสี่ยวเข่ออ้ายกับพวกนางจึงไม่เห็นความจำเป็น
"ข้าเข้าใจ วันนี้ดึกมากแล้ว ข้าไม่รั้งพวกท่าน แต่ข้าขอถามชื่อแม่นางน้อยไว้ได้หรือไม่ ครั้งหน้ามีโอกาสข้าจะตอบแทนแม่นางน้อยกับเจ้าหมาน้อยแน่นอน"
"ข้าชื่อเยว่ซิน ส่วนหมาของข้าชื่อเสี่ยวเข่ออ้าย" เพื่อความสบายของอาอี๋ท่านนี้ เยว่ซินจึงเอ่ยตอบไป
"เช่นนั้นข้าขอถามเจ้าอีกประโยคได้หรือไม่ หากข้าต้องการพบแม่นางน้อย ข้าต้องไปหาที่ใด"
"นางอยู่จวนแม่ทัพของข้า อาอี๋" เฉิงอี้เอ่ยตอบแทน
"เช่นนั้นข้าไม่รบกวนพวกท่านแล้ว ข้าเองต้องขอตัวพาลูกชายไปเช็ดตัวเช่นกัน ข้าขอบคุณแม่นาง ขอบคุณท่านแม่ทัพด้วยเจ้าค่ะ"
เมื่อสองแม่ลูกเดินจากไปแล้ว เยว่ซินหันมาใส่สายจูงให้เสี่ยวเข่ออ้ายเช่นเดิม นางลูบหัวมันอย่างชื่นชมอีกครั้ง แล้วพากันเดินกลับไปที่รถม้า เมื่อมาถึงเยว่ซินหันมาสบตาเป็นเชิงคำถามกับเฉิงอี้ เพราะเสี่ยวเข่ออ้ายตัวเปียกชุ่มเช่นนี้ เขายังจะให้มันเข้าไปในรถม้าได้หรือไม่
"เจ้าอุ้มมันไหวหรือไม่ เช่นนั้นข้าจะอุ้มมันขึ้นไปเอง" เมื่อเฉิงอี้รู้ทันและเอ่ยเช่นนี้ เยว่ซินจึงยิ้มกว้างก่อนจะตอบว่า
"ข้าอุ้มเสี่ยวเข่ออ้ายเองเจ้าค่ะ เพราะข้าตัวเปียกแล้ว ส่วนซือฝุเก็บแรงไว้อุ้มข้าคนเดียวก็พอเจ้าค่ะ" พูดจบเยว่ซินก็หันไปอุ้มเสี่ยวเข่ออ้ายขึ้นรถม้าทันที
จังหวะที่เยว่ซินจะหันกลับมาหาเฉิงอี้ เขาก็เดินเข้ามาประชิดข้างหลังนางแล้วหนึ่งก้าว เมื่อนางหันมาปลายจมูกได้ชนเข้ากับแผ่นอกกว้างของร่างสูงอย่างพอดี เยว่ซินตกใจจึงจะถอยตัวออกมา แต่อ้อมแขนของเฉิงอี้ตวัดเอวนางเข้าไว้เสียก่อน
"ไหนบอกจะให้ข้าอุ้มเจ้าขึ้นรถม้า แล้วเจ้าจะถอยหนีข้าทำไมเล่า" ว่าแล้วเฉิงอี้ก็อุ้มนางขึ้นรถม้า ทว่าครั้งนี้ไม่เหมือนครั้งก่อน ตรงที่อ้อมแขนของเขากอดนางแนบแน่นกว่าเดิม
เมื่อรถม้าเคลื่อนตัวออก เฉิงอี้หยิบผ้าเช็ดหน้าในเสื้อคลุมออกมาผืนหนึ่ง แล้วใช้เช็ดใบหน้าให้เยว่ซินที่เปื้อนดินโคลนเปียกจากตัวของเสี่ยวเข่ออ้ายเมื่อตอนที่กอดกันริมคูน้ำ เยว่ซินรู้สึกตัวเองอีกครั้งว่าอาการหนาวๆ ร้อนๆ คล้ายจะเป็นไข้นั้นเกิดขึ้นทุกครั้งที่อยู่ใกล้เฉิงอี้แบบนี้ เพียงแต่ไม่เข้าใจว่าความรู้สึกเช่นนี้มีชื่อเรียกอย่างชัดเจนหรือไม่
โชคดีที่เมื่อเฉิงอี้เช็ดให้เรียบร้อยแล้วได้ถอยกลับไปนั่งที่เดิม เยว่ซินแอบสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เพื่อสงบสติตัวเอง ก่อนที่ความรู้สึกประหลาดจะทำให้นางปรับสีหน้าไม่ถูกเมื่ออยู่ตรงหน้าเฉิงอี้ใกล้ๆ เช่นนั้น
ด้านเฉิงอี้ เขามีอายุมากว่าหกแสนปีเช่นนี้แล้วไหนเลยจะดูไม่ออกว่าเยว่ซินกำลังรู้สึกเช่นใด นางคงกำลังรู้สึกเช่นเดียวกับที่ภายในใจของเขารู้สึกแล้วกระมัง เพราะนางคือด่านเคราะห์รักของเขามิใช่หรือ