webnovel

บทที่ 12 - 1/2

บริเวณทางเข้าตำหนักจวินเฟิง เซียนสาวรับใช้ในอาภรณ์เรียบง่ายสีขาวมวยผมปักปิ่นบุปผาสองคนเดินเคียงกันมา อาภรณ์เช่นนี้ผู้ใดพบเห็นก็รู้ได้ว่าเป็นเซียนสาวรับใช้จากตำหนักเหมยฮวานั่นเอง

"คารวะท่านอวี๋หลี่จวินเพคะ" สองนางย่อคำนับหลี่จวิน

"เจ้าสองคนเป็นเซียนรับใช้จากตำหนักเหมยฮวาใช่หรือไม่"

"เพคะ"

"พวกเจ้าทั้งสองมาหาข้ามีเรื่องอันใด"

"เทพธิดาฟางเหนียงได้ทำปลาเก๋าสามรส แล้วให้เราสองคนนำมาให้ท่านเพคะ"

หลี่จวินปรายตามองปิ่นโตไม้ในมือเซียนสาวใช้อย่างไม่สบอารมณ์นัก เขามิได้ไม่พอใจในปลาเก๋าสามรส แต่เขากำลังไม่พอใจที่ฟางเหนียงให้เซียนสาวรับใช้เป็นคนนำมาส่งให้ต่างหาก ปกติฟางเหนียงจะต้องมาด้วยตัวเองทุกครั้งแท้ๆ

"...เพียงแต่ต่อไปนี้ข้าควรระวังท่าทีที่มีต่อท่านให้มากขึ้นสักนิด ข้าจะไม่ไปรบกวนท่านที่ตำหนักจวินเฟิงอีก เช่นนี้ท่านพอใจแล้วใช่หรือไม่..."

หลี่จวินนึกย้อนไปถึงคำพูดของฟางเหนียงเมื่อครั้งที่เขาไปหานางที่ตำหนักเหมยฮวา ที่แท้นางก็ทำอย่างที่พูดจริงๆ

"วางไว้เถอะ ขอบใจพวกเจ้ามาก"

"เพคะ" เซียนสาวรับใช้วางปิ่นโตไว้บนโต๊ะข้างกระดานหมากล้อม แล้วเอ่ยคำนับหลี่จวินอีกครั้งก่อนจะขอตัวกลับไป

หลี่จวินนั่งมองปิ่นโตอยู่เพียงชั่วครู่ รอยยิ้มก็ปรากฏที่มุมปากดูเจ้าเล่ห์ชอบกลนัก

เวลาผ่านไปราวๆ สามก้านธูป หยู่ถงก็ปรากฏตัวที่ตำหนักเหมยฮวาด้วยสีหน้าร้อนใจ ฟางเหนียงรู้ว่าหยู่ถงเป็นเซียนนกหงส์อัคคีข้างกายหวังจิ้น เมื่อเห็นท่าทางรีบร้อนนั้นจึงรีบถามไถ่ไม่รอช้าว่าเกิดเรื่องอันใด

"คารวะเทพธิดาฟางเหนียง" หยู่ถงแม้จะรีบร้อน แต่ยังคงทำตามขนบธรรมเนียมสวรรค์ ฟางเหนียงผายมือเบาๆ ให้หยู่ถงยืนตามสบาย

"เจ้ามีเรื่องอันใดถึงได้รีบร้อนมาเช่นนี้" ฟางเหนียงขมวดคิ้วพลอยเป็นกังวลตามหยู่ถงที่มีสีหน้าคล้ายจะเป็นทุกข์ยิ่งกว่า

"ท่านอวี่หลี่จวินขอรับ เมื่อครู่ท่านอวี๋หลี่จวินส่งเวทสารไปหาท่านหวังจิ้นเพื่อขอยาแก้ปวดท้อง ข้าเป็นคนนำยาไปให้ แต่เมื่อทานแล้วไม่หายปวด ข้าเกรงว่าท่านอวี๋หลี่จวินจะอาหารเป็นพิษเพราะปลาเก๋าสามรสของท่านแล้ว"

"บังอาจ นี่เจ้ากล้าใส่ร้ายปลาเก๋าสามรสของเทพธิดาฟางเหนียงได้เช่นไร" เซียนสาวรับใช้นางหนึ่งของฟางเหนียงออกรับแทนอย่างไม่พอใจในคำกล่าวหาของหยู่ถงนัก

"ข้าไม่กล้า ข้าไม่กล้า..." หยู่ถงร้องเสียงหลงพลางโบกมือทั้งสองข้างเพื่อปฏิเสธ ก่อนจะรีบกล่าวต่อว่า "ข้าเพียงแค่จะมาขอยาเห็ดฝูหลิง ยาแก้ปวดท้องเพราะอาหารเป็นพิษจากท่านเท่านั้น ในแดนสวรรค์นี้จะมีผู้ใดมีพืชสมุนไพรมากมายเท่าสวนพฤกษชาติดอกไม้สวรรค์ของท่านอีกขอรับ" ล้วนเป็นความจริงดังที่หยู่ถงพูดแล้ว ในแดนสวรรค์เก้าชั้นฟ้านี้ มีเพียงฟางเหนียงที่รู้จักสมุนไพรถอนพิษทุกชนิดดีที่สุด

"เช่นนั้นเจ้ารอข้า ข้าจะไปเอายาเห็ดฝูหลิงก่อน แล้วจะกลับไปตำหนักจวินเฟิงพร้อมกับเจ้า"

ฟางเหนียงเดินกลับเข้าไปในตำหนักเหมยฮวา โดยมีหยู่ถงยืนรออยู่ด้านนอก เซียนสาวรับใช้ทั้งสองยืนเฝ้าหยู่ถงไม่ห่าง ทั้งยังมองหยู่ถงด้วยสายตาไม่พอใจอยู่มาก หยู่ถงยกมือเกาท้ายทอย สีหน้าราวกับจะร้องไห้ เขาไม่ได้ตั้งใจจะใส่ร้ายปลาเก๋าสามรสของเทพธิดาฟางเหนียงแม้แต่น้อย เขาเพียงพูดตามบทที่หวังจิ้นและอวี๋หลี่จวินไหว้วานให้เขาจัดการก็เท่านั้น

นึกย้อนไปเมื่อเวลาประมาณหนึ่งชั่วยามก่อนหน้านี้ หวังจิ้นได้รับเวทสารจากอวี๋หลี่จวิน ครู่เดียวหวังจิ้นก็บอกให้เขาติดตามมาที่ตำหนักจวินเฟิงด้วยกัน เมื่อมาถึงก็พบว่าอวี๋หลี่จวินนั่งทานปลาเก๋าสามรสอย่างเอร็ดอร่อย ทั้งยังน่าน้อยใจยิ่งนักที่อวี๋หลี่จวินไม่ชวนหวังจิ้นกับเขากินด้วยสักคำ จากนั้นเทพแห่งสงครามที่กินจนอิ่มแล้วก็ออกอุบายขึ้นมาเรื่องหนึ่ง

'หวังจิ้น ท่านได้นำยาที่ข้าขอมาด้วยหรือไม่'

'เจ้ากินน่าอร่อยเช่นนี้ จะขอยาแก้ปวดท้องจากข้ามาทำไมกัน' แม้จะพูดเช่นนี้แต่หวังจิ้นก็มอบยาให้อยู่ดี อวี๋หลี่จวินคลี่ยิ้มเจ้าเล่ห์ แล้วหันมาพูดกับหยู่ถงแทนคำตอบว่า

'หยู่ถง เจ้าจงไปหาเทพธิดาฟางเหนียง แล้วแจ้งนางว่าข้าปวดท้องอาหารเป็นพิษเพราะปลาเก๋าสามรสของนาง บอกด้วยว่าข้าทานยาของหวังจิ้นแล้วไม่ดีขึ้นเลย ข้าเลยให้เจ้ามาขอยาเห็ดฝูหลิงกับนาง เจ้าจำคำสั่งของข้าได้หรือไม่' หยู่ถงพยักหน้ารับอย่างเข้าใจคำสั่ง แต่ไม่เข้าใจว่าอวี๋หลี่จวินเกิดอาหารเป็นพิษเมื่อไหร่กัน ทั้งๆ ที่เพิ่งกินอิ่มต่อหน้าต่อตาเขาแท้ๆ

'ใช้ได้นี่อวี๋หลี่จวิน เดี๋ยวนี้เจ้าหัดเป็นคนร้อยเล่ห์ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน เกิดอะไรขึ้น เทพธิดาฟางเหนียงไม่ยอมพบหน้าเจ้าใช่หรือไม่' อวี๋หลี่จวินพยักแทนคำตอบ

'เอาล่ะๆ เจ้าวางใจเถอะ เรื่องนี้ข้ากับหยู่ถงจะร่วมแสดงละครเป็นเพื่อนเจ้าสักบทหนึ่งแล้วกัน' ไม่ผิดจากที่อวี๋หลี่จวินคาดไว้ แต่ไหนแต่ไรมาหวังจิ้นเป็นคนชอบเล่นสนุกและมีอารมณ์ขัน เรื่องแกล้งหยอกเย้าผู้อื่นถือว่าเป็นตัวเต็งบนแดนสวรรค์แล้ว

'เช่นนั้น ให้ข้าไปพบเทพธิดาฟางเหนียงตอนนี้เลยหรือไม่ขอรับ'

บทสนทนาจบเพียงเท่านั้น หยู่ถงก็มายืนปั้นจิ้มปั้นเจ๋อถึงตำหนักเหมยฮวาแล้วในตอนนี้ สายตาจิกงอนของสองเซียนสาวรับใช้ช่างน่ากระอักกระอ่วนใจยิ่งนัก จนหยู่ถงอยากจะกางปีกบินกลับป่ายงโจวไปให้รู้แล้วรู้รอด

ฟางเหนียงเดินออกมาจากตำหนักพร้อมกล่องยาขนาดกลางในมือ แล้วออกจากตำหนักเหมยฮวาพร้อมกับหยู่ถง หยู่ถงหายใจสบายขึ้นเมื่อได้ออกมาจากตำหนักเหมยฮวาเสียที

เมื่อมาถึงตำหนักจวินเฟิง ทั้งสองที่เพิ่งมาถึงเห็นว่าหวังจิ้นกำลังนั่งเฝ้าอวี๋หลี่จวินอยู่ไม่ห่าง คนแสร้งป่วยทำหน้าหงิกงอราวกับปวดท้องจนตัวจะขาดท่อนออกจากกัน ฟางเหนียงเห็นสีหน้าของอวี๋หลี่จวินดูย่ำแย่ จึงรีบปรี่เข้าไปดูอาการอย่างเป็นห่วงเป็นใย

"ท่านหลี่จวิน ท่านรู้สึกอย่างไรบ้าง"

"ฟางเหนียง เจ้ามาได้อย่างไร" หลี่จวินการละคร แสร้งทำเสียงแหบแห้งสมบทบาทยิ่งนัก หวังจิ้นเห็นอย่างนั้นถึงกลับเสมองไปทางอื่นเพื่อกลั้นขำ

"หยู่ถงไปขอยาเห็ดฝูหลิงจากข้าที่ตำหนัก ข้าจึงขอติดตามมาดูอาการท่าน ท่านรอข้าสักครู่ ข้าจะไปต้มยามาให้" ฟางเหนียงลุกขึ้นยืนแล้วหันไปหยิบกล่องยาเตรียมจะออกไปต้มยาให้ที่ห้องครัว หวังจิ้นจึงรีบพูดขึ้นมาก่อนว่า

"ฟางเหนียง ไหนๆ เจ้าก็มาแล้ว เช่นนั้นข้าก็เบาใจ ข้าฝากเจ้าดูแลหลี่จวินด้วย ข้าขอตัวก่อน" หวังจิ้นสะกิดหยู่ถงในตอนท้าย

"เอ่อ...ใช่ๆ ข้าด้วยขอรับ ข้าต้องตามท่านหวังจิ้นกลับไปช่วยงานขอรับ" โชคดีที่หยู่ถงหัวไวอยู่บ้าง จึงรับส่งอุบายได้ทันท่วงที แม้หยู่ถงจะดูลุกลี้ลุกลนไปสักหน่อย แต่ก็ไม่ใช่เวลาที่ฟางเหนียงจะมานั่งจับผิดผู้ใด นางเพียงตอบรับคำสั้นๆ เท่านั้น

"ได้เจ้าค่ะ ฟางเหนียงจะดูแลท่านหลี่จวินให้ทานยาจนเรียบร้อย ท่านหวังจิ้นโปรดวางใจ"

"เช่นนั้นข้าขอลา"

"ไม่ส่งนะ" หลี่จวินเค้นเสียงอันแหบพร่าเอ่ยบอก

"เจ้าพักเถอะ" หวังจิ้นยังคงแสดงตามบท แล้วเดินออกไปพร้อมกับหยู่ถง เหลือเพียงหลี่จวินที่นอนซมอยู่

"ข้าไปต้มยาก่อนนะเจ้าคะ"

ลับหลังฟางเหนียงเดินออกไปจากห้องนอน หลี่จวินยิ้มกว้างอย่างดีใจที่ฟางเหนียงดูเป็นห่วงเขาอยู่มาก ถ้าฟางเหนียงไม่ตั้งใจหลบหน้าเขาตั้งแต่แรก เขาก็ไม่จำเป็นต้องคิดอุบายเช่นนี้ถูกต้องหรือไม่ ครั้งนี้จะถือโอกาสปรับความเข้าใจกับนาง เขาจะไม่ยอมปล่อยฟางเหนียงกลับไปทั้งๆ ที่ยังเข้าใจเขาผิดอยู่เป็นแน่

เวลาเพียงช่วงน้ำเดือด ฟางเหนียงเดินกลับมาพร้อมถ้วยยา หลี่จวินรีบปรับสีหน้าแสดงความเจ็บปวดทรมานนอนขดตัวงอ สองแขนกอดรัดท้องแน่น ฟางเหนียงนั่งลงข้างๆ บนเตียงเดียวกัน ค่อยๆ ประคองให้คนป่วยลุกนั่งเพื่อทานยาได้สะดวก

"ข้าป้อนท่าน" ฟางเหนียงตักยามาหนึ่งคำ เป่าคลายร้อนแล้วป้อนให้หลี่จวินค่อยๆ จิบดื่ม

"ทำไมถึงขมมากเช่นนี้" ความขมของยาทำเอาหลี่จวินปิดเปลือกตาแน่นเพื่อฝืนกลืนยาลงคอ อันที่จริงเขาเคยกินยาเห็ดฝูหลิงมาบ้างแล้วในชีวิตนี้ แต่ไม่เคยกินที่มีรสขมเท่านี้มาก่อน หรืออาจเป็นไปได้ว่าฟางเหนียงจะเป็นห่วงเขามาก จึงเติมยาตัวอื่นเพื่อเพิ่มสรรพคุณให้ออกฤทธิ์ดีขึ้นกว่าเดิมลงไปด้วย

"ทานอีกนิด" ฟางเหนียงยังคงหน้านิ่ง นางค่อยๆ ป้อนยาหลี่จวินอีกสองสามคำจนยาพร่องลงไปจากถ้วยกว่าครึ่งหนึ่ง

"พอแล้วๆ ข้ารู้สึกดีขึ้นมากแล้ว ขอบใจเจ้ามากนะฟางเหนียง" เพราะความขมของยาทำให้หลี่จวินไม่สู้ต่อ เขารีบปรับสีหน้าให้ดีขึ้นตามลำดับ ราวกับว่ายาสูตรพิเศษของฟางเหนียงได้ออกฤทธิ์อย่างได้ผลดีแล้วเช่นนั้น

"ท่านปวดท้องเพราะปลาเก๋าสามรสของข้าใช่หรือไม่" เมื่อวางถ้วยยากลับไปที่โต๊ะเล็กๆ ข้างหัวเตียง ฟางเหนียงก็หันกลับมาไถ่ถามอาการต่อ

"ใช่ แต่ข้าไม่ได้โทษเจ้า ว่าปลาเก๋าสามรสของเจ้าเป็นพิษ เพียงแต่ข้าคงจะกินเยอะเกินไปเลยปวดท้องขึ้นมา เจ้าดูสิ ข้ากินคนเดียวทั้งหมดนั่นเลยนะ" หลี่จวินชี้ให้ฟางเหนียงดูว่าเขากินปลาเก๋าสามรสจนหมดจาน หากก้าง ครีบและหางนั้นกินได้ด้วย เกรงว่าเขาก็คงจะกินมันไปทั้งหมดนั่น

"ข้าเห็นตั้งแต่มาถึงแล้วล่ะ" ฟางเหนียงเอ่ยน้ำเสียงราบเรียบ จานปลาเก๋าสามรสตั้งอยู่กลางตำหนักขนาดนั้น ถ้านางไม่เห็นตั้งแต่แรก เกรงว่าต้องไปรักษาดวงตาแล้ว

"เจ้าทำอร่อยมาก ข้าชอบมาก คราวหน้าเจ้าทำให้ข้ากินอีกได้หรือไม่" หลี่จวินเสียงทุ้มนุ่มน่าฟัง รอยยิ้มอ่อนระบายบางๆ บนริมฝีปากนั้น ช่างเป็นใบหน้าที่ต่างจากเทพสงครามหน้าน้ำแข็งที่นางเคยเจอมาตลอดห้าหมื่นปีมากนัก ถ้านางไม่ได้เจอหวังจิ้นอยู่ด้วยกันก่อนในตอนแรก นางแทบจะอดคิดไม่ได้ว่าปีศาจตนใดสวมรอยปลอมตัวมานอนป่วยเป็นแน่

"ท่านไม่กลัวปวดท้องอีกหรือ"

"โธ่ เจ้าทำอร่อยถึงเพียงนี้ ต่อให้กินอีก แล้วปวดท้องอีก ต้องกินยาขมอีก ข้าก็จะยอม" พอเจอประโยคที่หลี่จวินจงใจจะเกี้ยวนางเช่นนี้ ฟางเหนียงถึงกับหลุดขำออกมาเบาๆ

"ถ้าเช่นนั้น ครั้งหน้าข้าคงต้องให้เซียนสาวรับใช้ที่ตำหนักเหมยฮวาไปเก็บบอระเพดมาไว้ต้มยาให้ท่านเพิ่ม วันนี้ข้าต้มไปมากถึงหนึ่งชั่ง ท่านว่ารสขมเข้มข้นดีหรือไม่"

"บอ...บอระเพด บอระเพดที่เป็นเถาวัลย์ขมถูกต้องหรือไม่" หลี่จวินรู้สึกได้ว่าหน้าชาไปหมดเมื่อรู้ความจริง ที่แท้ยาขมนั้นไม่ใช่ยาเห็ดฝูหลิง เพื่อรักษาอาการอาหารเป็นพิษ แต่คือเถาวัลย์ขมนามบอระเพดที่ปริมาณเยอะถึงหนึ่งชั่ง มิน่ารสยาถึงได้ขมบาดคอ กว่าจะฝืนกลืนได้แต่ละคำแทบจะสวดมนต์ขอชีวิต

"ท่านหลี่จวิน เหตุใดถึงหลอกข้า" นางถามจริงจังแล้ว

"เจ้ารู้ตั้งแต่แรกใช่หรือไม่" หลี่จวินเอ่ยถามอย่างยอมรับความผิดอยู่ในที

"ข้ารู้เพราะท่านแสดงไม่เนียน"

"อะไรกัน นี่ข้านอนขดตัวงอขนาดนี้ ยังดูไม่สมจริงอีกหรือ" หลี่จวินนิ่วหน้าอย่างสงสัย นี่เขาพลาดตรงไหนกัน

"ท่านเป็นถึงเทพสงครามท่านลืมแล้วหรือไม่ แม่ทัพใหญ่กองทหารสวรรค์เก้าชั้นฟ้าหากเพียงแค่ปวดท้องแล้วนอนตัวงอเช่นนี้จะไม่น่าขบขันไปหน่อยหรือ หากเป็นท่านคนเดิมตลอดห้าหมื่นปีที่ผ่านมา ต่อให้โดนคมดาบฟาดฟัน ท่านจะไม่มีทางแสดงความเจ็บปวดต่อหน้าข้าหรือใครทั้งสิ้น ใบหน้าที่งดงามของท่านจะแสดงเพียงสิ่งเดียวคือแววตามุ่งมั่นกล้าหาญไร้ความเกรงกลัวต่อสิ่งใด ท่านมีท่วงท่าสง่างามน่าเกรงขามเสมอ ผิดกับตอนนี้มากนัก ที่นอนร้องโอดโอยจนตัวงอ ทั้งยังแกล้งพูดเกี้ยวข้าเช่นนี้ ท่านเป็นปีศาจปลอมตัวมาใช่หรือไม่"

"ที่แท้ข้าในสายตาของเจ้า ช่างดูดีเช่นนี้นี่เอง" หลี่จวินไม่เพียงแค่พูดหยอกเย้า มือขวาของเขาคว้าเอวบางของฟางเหนียงที่นั่งอยู่ข้างๆ ให้เขยิบเข้าไปประชิดกับตัวเอง แล้วพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มนุ่มต่อว่า "ข้าดูน่าเกรงขามมาตลอดห้าหมื่นปี เวลานี้ข้ากลับดูอ่อนแอก็เพราะเจ้าคนเดียวฟางเหนียง เกรงว่าเจ้าต้องรับผิดชอบข้าแล้ว"

ริมฝีปากสีชมพูระเรื่อคลี่ยิ้มอย่างเขินอาย ฟางเหนียงเบือนหน้าหลบสายตาเจ้าเล่ห์ของคนตรงหน้า ขณะที่นางจะขยับตัวออกมา กลับกลายเป็นว่าท่อนแขนแข็งแรงข้างนั้นยิ่งดึงดันกอดรัดเอวนางให้เข้าใกล้เขาเข้าไปอีกสักหน่อย

"ท่านกอดข้าแน่นไปแล้ว"

"เพราะข้ากำลังลงโทษเจ้า"

"ลงโทษข้าเรื่องใด ท่านต่างหากที่หลอกข้า ข้าต่างหากที่ควรจะเป็นฝ่ายลงโทษท่าน"

"เจ้าลงโทษข้าแล้ว เจ้าให้ข้ากินยาเถาวัลย์ขม รักษาอย่างไรให้เหมือนจะมาเอาชีวิต" ฟางเหนียงหลุดขำอีกครั้ง เมื่อนึกถึงสีหน้าของหลี่จวินตอนกลืนยา เขาดูทรมานมากจริงๆ

"ท่านอย่างกังวลเลย บอระเพดมีฤทธิ์ช่วยเพิ่มน้ำย่อยในกระเพาะอาหาร ท่านทานปลาเก๋าสามรสไปเยอะขนาดนั้น ยาขมจะช่วยให้ท่านไม่ท้องอืด"

"อืม...จะว่าไปข้าก็รู้สึกเบาท้องขึ้นมากแล้วจริงๆ ข้านอนมาสักพักแล้ว อยากออกไปเดินรับลม เจ้าไปเดินเล่นเป็นเพื่อนข้าก่อนได้หรือไม่"

หลี่จวินจูงมือฟางเหนียงออกมาเดินเล่นรับลมที่ลานกว้างหน้าตำหนักริมสระดอกปทุม ลมหนาวพัดวูบไหวมาเป็นระยะๆ ในวสันตฤดู กิ่งต้นผีผาขยับลู่ตามลมจนใบไม้ปลิดปลิว หลี่จวินปลดเสื้อคลุมสีครามเข้มนำไปสวมกันลมให้ฟางเหนียง

"เจ้าหนาวหรือไม่" หลี่จวินช่วยกระชับเสื้อคลุมให้แน่นอีกสักหน่อย ฟางเหนียงจึงต้องคอยจับไว้อีกมือเพราะเสื้อคลุมตัวใหญ่กว่าตัวนางถึงสองส่วน

"ใส่เสื้อคลุมตัวใหญ่เช่นนี้ ข้าไม่หนาวแล้ว" ฟางเหนียงเอ่ยยิ้มๆ วินาทีนี้บรรยากาศรอบๆ ช่างสวยงามราวกับห้วงฝัน ทั้งคนตรงหน้ายังเป็นอวี๋หลี่จวิน ชายที่นางแอบรักมาตั้งห้าหมื่นปี ความรู้สึกของนางในตอนนี้ช่างเอ่อล้นใจเกินกว่าจะเชื่อได้ว่าเป็นเรื่องจริง ทว่าฝ่ามือหนาอบอุ่นที่กุมมือนางอยู่ข้างกายในตอนนี้ก็ทำให้รู้สึกตัวได้ว่านางไม่ได้ฝันไป

"ที่ข้าพูดวันนั้น..." หลี่จวินที่ยืนชมดอกบัวในสระน้ำอยู่เคียงข้างฟางเหนียงหันมาสบตานางเพื่อยืนยันน้ำหนักในสิ่งที่เขากำลังจะเอ่ยออกไป "...ที่พูดว่าข้าขอคบกับเจ้า ข้าหมายความเช่นนั้นจริงๆ"

หลังจบประโยคไม่มีใครเอ่ยคำใดออกมา มีเพียงเสียงกิ่งต้นผีผาที่โดนลมพัดจนวูบไหวเท่านั้น เนิ่นนานเป็นนาทีจนในที่สุดฟางเหนียงก็เรียบเรียงเรื่องราวแล้วเอ่ยถามหลี่จวินอีกครั้ง

"ท่านตอบคำถามข้าได้หรือไม่..." ฟางเหนียงเป็นฝ่ายเงยหน้าสบตามองเขาบ้าง "ท่านชอบข้าจริงๆ หรือไม่ ท่านไม่ได้อยากคบข้าเพียงเพราะแค่เรื่องข่าวลือนั้นหรอกหรือ"

หลี่จวินส่ายหน้าในประโยคท้ายพลันยกสองมือจับไหล่บางให้หันมาสบตาตรงกัน หลี่จวินกวาดสายตามองใบหน้างดงามของเทพธิดาดอกไม้สวรรค์พร้อมรอยยิ้ม แล้วรวบรวมประโยคแสนหวานที่เขาอยากเอ่ยให้นางได้รับรู้มาตั้งนานแล้วว่า

"เจ้าถามว่าเพราะข่าวลือนั่นใช่หรือไม่ หากข้าจะตอบว่าไม่ใช่ก็ไม่ถูกต้องนัก เพราะข่าวลือนั้นเองที่ทำให้ข้ารู้ว่าใจของข้าเป็นห่วงเจ้ามากเพียงใด เจ้าเสียใจหรือไม่ หากเจ้าเสียใจ ข้าจะอยู่เคียงข้างคอยปลอบเจ้า เมื่อข้าคิดได้เช่นนั้นข้าจึงไปหาเจ้าที่ตำหนักเหมยฮวา แต่เมื่อเจ้าปฏิเสธข้า กลับทำให้ข้าเข้าใจเจ้ามากขึ้น ห้าหมื่นปีที่ผ่านมา ฟางเหนียง ข้าไม่เคยไม่ชอบเจ้า แต่ข้าเป็นเทพสงครามเจ้าก็รู้ดีใช่หรือไม่ หากเจ้าอยู่กับข้าในเวลาที่สงครามยังไม่สงบ มีวันใดที่ข้าออกรบแล้วไม่ได้กลับมาหาเจ้า ข้าตายแล้วอย่างไร ข้าไม่รับรู้สิ่งใดแล้ว แต่เจ้าล่ะฟางเหนียง เจ้าจะทุกข์ใจเพราะข้าทิ้งเจ้าไปมากแค่ไหน เมื่อคิดเช่นนี้ข้าจึงต้องใจแข็งกับเจ้าให้มากๆ เพราะข้าไม่อยากให้เจ้าเจ็บปวดเพราะข้า"

ดวงตากลมโตที่กำลังจดจ้องดวงตาเรียวยาวของคนปราดเปรื่อง เมื่อได้ยินคำสารภาพราวกับเพลงรักแสนหวานในเนื้อร้องเพลงพิณผีผาช่างจับใจยิ่งนัก น้ำใสเอ่อล้นจนขอบตารู้สึกร้อนผ่าว ขนตางอนยาวชุ่มน้ำจึงไม่เรียงเส้นดั่งเช่นตอนแรก

ฝ่ามือหนาค่อยๆ ประคองใบหน้าเรียวเล็กแล้ววาดนิ้วหัวแม่มือปาดน้ำตาให้นางอย่างแผ่วเบา ฟางเหนียงเอียงแก้มกดทับไปบนฝ่ามือหนาอย่างออดอ้อนน่ารักคล้ายลูกแมวน้อย แม้น้ำตายังไม่หยุดไหล แต่ริมฝีปากบางกลับเผยยิ้มอย่างมีความสุข

"ข้าเชื่อใจท่านแล้วหลี่จวิน ต่อให้ท่านจะโกหก ข้าก็ยังเต็มใจจะเชื่อท่าน ตลอดห้าหมื่นปีที่ผ่านมา ข้ามีความสุขทุกครั้งที่ได้เห็นใบหน้าที่งดงามของท่าน ได้เห็นท่วงท่าสง่างามของท่านอยู่ไกลๆ พอมาถึงวินาทีนี้ข้าดีใจมากเหลือเกิน ถ้าหากว่าตอนนี้เป็นเพียงความฝัน ความฝันนี้ก็จะเป็นห้วงนิทราที่ข้าจะไม่ยอมตื่นขึ้นมาอีกเลย"

อวี๋หลี่จวินดึงฟางเหนียงเข้าสวมกอดแนบแน่นตามที่ใจปรารถนาจะทำเช่นนี้มาแสนนาน ห้าหมื่นปีที่ทำใจแข็งต่อนาง สุดท้ายแม้จะล้มเหลวไม่เป็นท่า แต่ก็นับเป็นความล้มเหลวที่ทำให้เขามีความสุขที่สุดในชีวิตนี้แล้ว หลี่จวินจุมพิตเบาๆ ที่หน้าผากบนใบหน้าเรียวเล็ก ก่อนจะเอ่ยกำชับต่อนางเสียงเข้มว่า

"เจ้าคือว่าที่ฟูเหรินของข้า"