หออักษรภายในตำหนักอักษรสวรรค์ หวังจิ้นยืนอยู่ท่ามกลางม้วนอักษรมากมายที่ถูกยกมาวางอยู่กลางห้องอย่างระเกะระกะ โดยมีหยู่ถงคอยช่วยตามเก็บอยู่ข้างๆ
"เฮ้อ! ม้วนตำราของข้ามีมากมายที่สุดในแดนสวรรค์แล้ว เหตุใดจึงไม่มีตำราใดที่เอ่ยถึงวิธีการปลดคาถาต้องห้ามได้เลยหรืออย่างไร" หวังจิ้นบ่นอย่างเหนื่อยใจ
"อาจจะเป็นเพราะไม่มีผู้ใดเคยทำสำเร็จ จึงไม่มีบันทึกไว้ขอรับ"
"หยู่ถง เจ้าว่าเซียนอี้จะพาเทพธิดาน้อยกลับมาได้สำเร็จหรือไม่" หวังจิ้นทิ้งตัวลงนั่งกลางกองม้วนตำราอย่างหมดแรง
"คำถามของนายท่านตอบยากเกินไปแล้วขอรับ ถ้าหากการปลดคาถาต้องห้ามทำได้ง่ายดายเช่นนั้น จะเรียกว่าคาถาต้องห้ามไปทำไมกันเล่า" หยู่ถงมุ่ยหน้าตอบคล้ายกับกำลังสิ้นหวังเสียเต็มประดา
"ก็จริงอย่างเจ้าว่า แต่ข้าเชื่อว่าทุกปัญหาย่อมมีทางแก้ได้แน่ เพียงแต่..."
"เพียงแต่อะไรหรือขอรับ"
"เพียงแต่...ไม่มีสิ่งใดที่จะได้มาง่ายๆ โดยไม่สูญเสียสิ่งใดน่ะสิ"
"นายท่านเหนื่อยมากแล้ว ข้าออกไปทำอาหารมาให้ท่านทานดีกว่าขอรับ"
"ตกลง"
เมื่อหยู่ถงออกไปแล้ว หวังจิ้นลุกขึ้นจากกองม้วนอักษรแล้วเดินไปนั่งที่โต๊ะทำงาน พลางถอนหายใจพิงพนักเก้าอี้อย่างเหนื่อยล้า ควันกำยานสีขาวลอยฟุ้งกลิ่นดอกปีบหอมกรุ่นชวนให้รู้สึกผ่อนคลาย
ดูแล้วคงจะเป็นจริงตามที่หยู่ถงพูดก็ไม่ผิด หากคาถาต้องห้ามสามารถปลดผนึกได้ง่าย ไหนเลยจะเรียกได้ว่าเป็นคาถาต้องห้าม เหลือเวลาอีกเพียงหนึ่งเดือนเท่านั้น ไม่รู้ว่าเซียนอี้คิดแผนการอันใดได้แล้วหรือไม่
ด้านเฉิงอี้ ยิ่งใกล้วันที่ไท่จื่อจะเสด็จมาเท่าไหร่ วันที่เขาจะได้อยู่ใกล้ชิดกับเยว่ซินก็ลดน้อยลงเท่านั้น นั่นเท่ากับว่าโอกาสที่เขาจะหาทางช่วยปลดผนึกจิตเทพให้เยว่ซินได้น้อยลงไปด้วยเช่นกัน เฉิงอี้พลิกตัวบนเตียงนุ่มพลางครุ่นคิดจนนอนไม่หลับ แม้ควันกำยานกลิ่นไม้กฤษณาจะหอมอบอวลก็ไม่ได้ทำให้เขารู้สึกคลายวิตกกังวลน้อยลงไปได้เลย
เฉิงอี้ถอนหายใจยาว เขาลุกขึ้นจากเตียงหยิบเสื้อคลุมแล้วเดินออกไปยืนที่ระเบียงหน้าห้องเพื่อรับลมเย็นในกลางดึก หวังว่าเมื่อลมพัดให้รู้สึกสบายขึ้นมาบ้าง อาจจะช่วยกล่อมให้เขาหลับได้ง่ายขึ้นในคืนนี้
"ท่านแม่ทัพเฉิง" จู่ๆ ซวิ่นเฟิงก็เอ่ยทักเขาจากด้านหลัง
"ซวิ่นเฟิง เจ้าก็นอนไม่หลับหรือ"
"ข้าอ่านนิทานจนจบแล้ว แต่ยังไม่รู้สึกง่วงเลยออกเดินมาเล่นรับลมเย็นๆ พอเห็นท่านยืนอยู่ ข้าเลยเดินมาหาท่าน"
"เช่นนั้นเจ้ามาดื่มน้ำชาเป็นเพื่อนข้าดีหรือไม่"
"ข้าว่าท่านดื่มสุราของข้าดีกว่า ข้าเป็นนักเล่านิทานเร่ร่อน พบเจอสุรารสดีมามากมาย ข้าให้สุราท่าน ท่านดื่มเป็นเพื่อนข้าดีหรือไม่"
"ตกลง" เฉิงอี้พยักหน้าตอบรับ ไหนๆ ก็นอนไม่หลับ หากได้ดื่มสุราสักหนึ่งจอก คงช่วยให้นอนหลับสบายขึ้นได้บ้าง
ซวิ่นเฟิงและเฉิงอี้พากันมานั่งรับลมเล่นบนโต๊ะม้าหินที่สนามหญ้า ซวิ่นเฟิงนำจอกสุราออกจากสายรัดเอวมาสองจอก แล้วมอบให้เฉิงอี้จอกหนึ่ง
"เชิญท่านแม่ทัพ" ซวิ่นเฟิงชนจอกสุรากับเฉิงอี้โดยให้ระยะปากจอกสุราอยู่ในระดับต่ำกว่า เพื่อแสดงถึงความเคารพผู้ที่มียศศักดิ์สูงกว่าตนตามธรรมเนียม
"สุราของเจ้ารสชาติดี คล้ายลูกท้อ นี่ใช่สุราลูกท้อหมักหรือไม่" เฉิงอี้พิจารณารสชาติแล้วคล้ายกับรสชาติของน้ำชาดอกท้อป่าที่เขาโปรดปรานอยู่มาก
"ใช่ขอรับ" ซวิ่นเฟิงยิ้มรับ
"เจ้าได้สุราลูกท้อหมักมาจากที่ใดกัน" แม้จะดูคล้ายว่าเฉิงอี้เพียงชวนคุยไปเรื่อยๆ แต่เขาสนใจในสุราลูกท้อหมักนี้จริงๆ ซวิ่นเฟิงยิ้มเล็กน้อย เขาเพิ่งใช้คาถาเสกสุรานี้มาเพียงพริบตาเดียว หาได้เดินทางเร่ร่อนไปทั่วตามบทแสดงนั้นไม่
"ข้าซื้อมาจากพ่อค้าต่างเมือง จำไม่ได้แล้วว่าเมืองใด ข้าเดินทางไปทั่ว หากจำรายละเอียดพวกนั้น ข้าคงไม่มีหัวไว้จดจำนิทานแล้วกระมัง" ซวิ่งเฟิงแกล้งเล่าให้ตนนั้นดูเบาปัญญา เฉิงอี้หลุดขำในประโยคท้าย เขาชนจอกกับซวิ่งเฟิงอีกครั้งแล้วดื่มเข้าไปอีกอึกใหญ่ ซวิ่นเฟิงเห็นว่าเฉิงอี้มีท่าทางกลุ้มใจ จึงเอ่ยถามต่อว่า "ท่านแม่ทัพมีเรื่องอันใดไม่สบายใจเช่นนั้นหรือ"
รสสุราขมปร่าอมเปรี้ยวที่เพิ่งดื่มไปอึกใหญ่ ทำให้เฉิงอี้ต้องขบเม้มริมฝีปากเพื่อคลายรสชาติติดลิ้นให้เบาลงเสียก่อน แล้วจึงพยักหน้าตอบซวิ่นเฟิงว่า "ใช่ ข้ามีบางเรื่องที่ข้ากำลังกลัว กลัวว่าจะทำไม่สำเร็จ"
"เรื่องนั้นคงเป็นเรื่องใหญ่มากกระมัง มิเช่นนั้นท่านแม่ทัพคงไม่กังวลใจถึงเพียงนี้" ที่ซวิ่นเฟิงถามหาใช่ว่าเขาจะไม่รู้ เรื่องเดียวที่ทำให้เซียนอี้ตี้จวินเป็นกังวลได้ถึงเพียงนี้ คงไม่พ้นเรื่องของเทพธิดาน้อยเยว่ซินเป็นแน่
เฉิงอี้ไม่ได้เอ่ยตอบคำถามของซวิ่นเฟิง ฤทธิ์ร้อนของสุราทำให้เฉิงอี้มีใบหน้าสีแดงฝาดระเรื่อขึ้นมาแล้ว เขาสะบัดศีรษะไล่ความมึนงงอยู่สองสามครั้งทว่าไม่เป็นผล ครู่เดียวเฉิงอี้ก็หมอบฟุบลงไปกับโต๊ะม้าหินที่พื้นผิวเย็นเยียบ
ซวิ่นเฟิงนั่งมองเฉิงอี้ที่หลับไปแล้วอยู่เพียงครู่หนึ่งเพื่อให้แน่ใจว่าเขาหลับไปแล้วจริงๆ ซวิ่นเฟิงหาได้ไร้ซึ่งน้ำใจ เขาแบกร่างที่มีความสูงพอกันแล้วพาเข้าไปนอนภายในห้องอย่างเรียบร้อย
จากนั้นซวิ่นเฟิงก็มายืนข้างเตียง เขาจดจ้องใบหน้าของเฉิงอี้ด้วยอารมณ์ที่ซับซ้อน ก่อนจะร่ายคาถามือแล้วชี้ไปที่หน้าผากของเฉิงอี้ แสงสีฟ้าจากสองปลายนิ้วของซวิ่นเฟิงวิ่งตรงไปยังกลางหน้าผากเพียงครู่เดียวแสงนั้นก็หายวับไป เฉิงอี้กระตุกขมวดคิ้วอยู่ทีหนึ่งทั้งๆ ที่ยังหลับสนิท ซวิ่นเฟิงปล่อยให้คาถาแห่งห้วงนิทรานั้นทำหน้าที่ต่อไป เขาสะบัดมือแล้วหายตัวไปกับอากาศในทันที
ภายในหมู่บ้านเมืองเฉียวเซียนบรรยากาศยามเย็นทำให้หมู่บ้านเรียบง่ายแห่งนี้ดูอบอุ่นใจยิ่งนัก เฉิงอี้ยืนนิ่งอยู่บนสะพานเหนือลำธารเล็กหน้าหมู่บ้านด้วยความมึนงง เหตุใดอยู่ๆ เขาจึงมาปรากฏตัวที่นี่ได้เล่า เขามิได้กำลังดื่มสุราลูกท้อหมักกับนักเล่านิทานเช่นนั้นหรอกหรือ
แต่ไม่ทันที่จะหาคำตอบใดให้ตัวเอง แม่นางลี่จิ่นอดีตเทพธิดาดอกไม้สวรรค์ก็เดินตรงมาหาเขาด้วยสีหน้าตึงเครียด เฉิงอี้ขมวดคิ้วแน่นอย่างไม่เข้าใจสถานการณ์ตรงหน้านัก แต่ยังคงยืนรออยู่นิ่งๆ จนลี่จิ่นเดินเข้ามาใกล้ตัว
"ท่านมาที่นี่ได้อย่างไร ท่านคิดจะมาปลดผนึกจิตเทพให้เยว่ซินใช่หรือไม่"
คำถามของลี่จิ่นที่ตรงไปตรงมาเช่นนั้นฟังแล้วน่าตกใจอยู่มากทีเดียว แต่เพราะคำถามนี้เอง เฉิงอี้ลองตรองดูแล้วว่าถ้าหากเป็นเรื่องจริง ลี่จิ่นคงไม่กล้ามาเอ่ยถามกับเขาเช่นนี้ตามตรงเป็นแน่ เว้นแต่ว่าตอนนี้เขากำลังตกอยู่ในห้วงนิทราเท่านั้น
หากว่านี่เป็นห้วงนิทราจริง...เขาก็สามารถเอ่ยถามตามตรงเช่นเดียวกับลี่จิ่นที่เอ่ยถามกับเขาได้ใช่หรือไม่
"ท่านช่วยปลดผนึกให้นางได้หรือไม่ ลิขิตชะตาของนางจะได้ดำเนินไปอย่างปกติ มิซ่อนเร้นในดาราจักรลิขิตชะตาอยู่เช่นนี้" ลี่จิ่นมองเฉิงอี้ด้วยแววตาไม่พอใจทันทีเมื่อได้ยินคำถาม
"เป็นเทพแล้วดีอย่างไร หากถูกบังคับให้ไร้ซึ่งความรักที่ปรารถนา เป็นอมตะแล้วดีอย่างไร หากต้องพบว่าสิ่งที่รัก สิ่งที่หวงแหนกำลังดับสิ้นไปต่อหน้าต่อตา มิสู้มีอายุขัยเพียงร้อยปี เช่นมนุษย์ทั่วไป สุขก็สุขชั่วคราว ทุกข์ก็ทุกข์ชั่วคราว ข้าเพียงหวังให้บุตรสาวของข้ามีความสุขเพียงหนึ่งภพชาติข้างกายข้า ให้ข้าได้อยู่ดูแลนางจนนางหมดอายุขัยก็พอแล้ว แต่หากนางกลับไปเป็นเทพธิดา นางต้องผจญด่านเคราะห์มากมายอีกหลายแสนปี ข้ารักเยว่ซินสุดหัวใจ ข้ามิอาจทำใจได้หากนางต้องเป็น เช่นเดียวกับที่ข้าเคยเป็นมาแล้วอย่างไรเล่า"
ลี่จิ่นที่แววตาดุดันในตอนแรก แต่เมื่อยิ่งได้ระบายความในใจแววตาก็หม่นลงจนดูเศร้าและน่าเห็นใจยิ่งนัก ที่แท้แล้วทุกสิ่งที่นางทำต่อเยว่ซินนั้นล้วนเกิดจากความรัก นางยอมรับได้หากต้องสูญเสียเยว่ซินไปต่อหน้าต่อตา หากเยว่ซินเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาที่มีอายุขัยแสนสั้น นางหวังเพียงว่าจะได้ดูแลนางตลอดไป ได้อยู่เป็นแม่ลูกกันไปอย่างนี้ตลอดภพชาติหนึ่งเท่านั้น
กลับกันหากเยว่ซินกลับคืนสู่แดนสวรรค์ นอกจากสองแม่ลูกจะพลัดพรากจากกันแล้ว เกรงว่าลี่จิ่นจะถูกเทียนจวินลงโทษหนักถึงชีวิต หากถึงเวลานั้นลี่จิ่นจากไปแล้วอย่างไร นางคงพ้นทุกข์ไปตลอดกาลแล้ว เหลือเพียงเยว่ซินเท่านั้นที่ต้องแบกรับความเจ็บปวดแสนสาหัสทั้งหมดนั้นไว้เอง และเพราะเหตุนี้ที่ทำให้ลี่จิ่นยอมทำผิดต่อกฏสวรรค์อีกครั้ง นางใช้คาถาต้องห้ามผนึกจิตเทพเพียงเพื่อเฝ้ารอวันคืนจิตเทพของเยว่ซิน นางแค่ต้องการให้เยว่ซินมีแต่ความสุขตลอดชีวิตในภพชาตินี้เท่านั้นเอง
"ข้าเข้าใจท่านแล้ว แต่ถึงอย่างไรกฏสวรรค์ก็ใช่ว่าจะหลีกหนีได้ เยว่ซินกลายเป็นมนุษย์แล้วอย่างไร หากถึงวันนั้นที่เยว่ซินไร้หนทางกลับสู่ภพเทพแล้วจริงๆ เทียนจวินไยต้องไว้ชีวิตท่าน ท่านได้คิดถึงข้อนี้ดีแล้วหรือไม่"
"ข้ารู้ดี และต่อให้เป็นเช่นนั้นข้าก็ยังยินดีให้นางเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดา"
"มีทางใดหรือไม่ที่ข้าจะเปลี่ยนใจท่านได้บ้าง สรรพชีวิตล้วนมีชะตากรรมเป็นของตนเอง เหตุใดท่านจึงกักขังนางไว้ด้วยคาถาต้องห้ามเช่นนี้เล่า หากลิขิตชะตาของนางกลับสู่ดาราจักรลิขิตชะตาของซือมิ่ง ไม่แน่ว่าเทพบรรพกาลอาจจะประทานชีวิตที่ดีให้แก่นางก็เป็นได้ ชีวิตของนางอาจไม่ได้โชคร้ายเช่นที่ท่านกำลังจินตนาการไปเองอยู่ในตอนนี้"
ลี่จิ่นสบตาเขาอีกครั้ง แววตาของนางเต็มไปด้วยความรู้สึกสับสนยากจะอธิบาย แต่แล้วนางก็ยอมเอ่ยถึงวิธีปลดผนึกจิตเทพให้เยว่ซินออกมาด้วยสีหน้าเรียบนิ่งว่า
"มีทางเดียวที่เยว่ซินจะกลับสู่ภพเทพได้ นั่นก็คือ..."
เฉิงอี้ลืมตาตื่นขึ้นมาพร้อมหายสูดหายใจเข้าไปเฮือกใหญ่ เขากรอกสายตามองไปรอบๆ จึงพบว่าเขาได้ตื่นขึ้นมาจากห้วงนิทราเสียแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นประโยคสุดท้ายที่ลี่จิ่นได้พูดแก่เขาก็ยังคงดังก้องอยู่ในหัวอย่างชัดเจน
ที่แท้เรื่องทั้งหมดนางได้คิดไว้อย่างถี่ถ้วนรอบคอบแล้วเช่นนี้เอง เพียงแต่วิธีการนั้นเกรงว่าคงจะเกินความสามารถของไท่เซียนอี้ตี้จวินเช่นเขาแล้ว แล้วใครกันล่ะที่จะปลดผนึกจิตเทพของเยว่ซินได้ด้วยวิธีการนั้นจริงๆ
ด้านซวิ่นเฟิงหลังกลับมาจากจวนใหญ่แล้ว เขามานั่งดื่มสุราลูกท้อหมักต่อเพียงลำพังที่ห้องในจวนเล็กของตัวเอง ภายในใจของเขากำลังภาวนาให้เฉิงอี้ตกเข้าสู่ห้วงนิทราแล้วได้พบคำตอบที่กำลังตามหาเสียที ห้วงนิทราที่เกิดจากมนต์คาถาของจอมมารเช่นเขาเป็นห้วงนิทราที่ลึกถึงจิตใต้สำนึก หากผู้ใดได้ล่วงเข้าสู่ห้วงฝันก็ยากที่จะฝืนความต้องการของตนเองในห้วงฝันนั้นแล้ว เขาจึงหวังว่าคาถาห้วงนิทรานี้จะได้ผลกับเฉิงอี้เช่นนั้น
หลังจากที่ได้รู้ว่าไท่เซียนอี้ตี้จวินหรือเฉิงอี้ผู้นี้ต้องหาทางช่วยเทพธิดาน้อยกลับคืนสู่ภพเทพ แท้จริงแล้วซวิ่นเฟิงไม่ได้ต้องการจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องของภพเทพแต่อย่างใด หากแต่เขาต้องการช่วยเหลือเพียงเล็กน้อยเพื่อล่นระยะเวลาให้ไท่เซียนอี้ตี้จวินทำสำเร็จเร็วขึ้นเท่านั้น เพราะยิ่งไท่เซียนอี้ตี้จวินกลับสู่แดนสวรรค์เร็วขึ้นเท่าไหร่ พวกเขาจะได้ตามสืบหาตัวสองทูตชั่วร้ายได้ไวขึ้นเท่านั้นใช่หรือไม่
หากมัวแต่หาทางช่วยเทพธิดาน้อยอย่างไร้ทิศทางอยู่เช่นนี้ แล้วเมื่อไหร่ที่การแค้นของเผ่ามารจะได้เริ่มต้นเสียทีเล่า!
ช่วงเช้าในวันที่อากาศแจ่มใส ลมหนาวเย็นพัดผ่านแสงแดดอ่อนๆ ทำให้รู้สึกกำลังสบายตัว ผู้คนภายในจวนแม่ทัพเฉิงอี้วันนี้ค่อนข้างยุ่งกันยิ่งนัก เพราะในวันพรุ่งนี้ไท่จื่อจะเสด็จมาแล้วตามกำหนดเวลา
เยว่ซินกับหลินหลินมาที่ห้องครัวกันแต่เช้าตรู่ เพราะต้องช่วยกันจัดเตรียมเครื่องครัวและวัตถุดิบอาหารให้เรียบร้อยและครบครันตามรายการที่ได้ตระเตรียมไว้
ด้านพลทหารในจวนทุกนายเองก็ยุ่งกับการเตรียมงานรักษาความปลอดภัย การเตรียมอาวุธ และการวางแผนอารักขาไท่จื่อให้เดินทางมาถึงได้อย่างราบรื่น
ส่วนบรรดาพ่อบ้านแม่บ้านต่างแยกย้ายไปทำความสะอาดห้องพักทุกหลังในจวนให้สะอาดและตกแต่งอย่างสวยงาม เพื่อให้สะดวกสบายพอสำหรับต้อนรับเหล่าขุนนางและแม่ทัพที่มาจากวังหลวงอีกหลายสิบชีวิต ด้วยเหตุนี้เยว่ซินจึงให้เสี่ยวเข่ออ้ายรอนางอยู่แต่ในห้อง เพราะเกรงว่าเสี่ยวเข่ออ้ายออกมาจะวิ่งเล่นเพ่นพ่านแล้วจะสร้างเรื่องให้พ่อบ้านแม่บ้านไปกันใหญ่
สำคัญที่สุดคือหมอหลวงที่เดินทางมาถึงล่วงหน้าก่อนใคร ตอนนี้เฉิงอี้กำลังต้อนรับหมอหลวงอยู่ที่จวนใหญ่เรียบร้อยแล้ว โดยอาอู๋กับอาลิ่วเองต่างก็ยุ่งเช่นกัน ทั้งสองแยกย้ายกันตรวจตราไปทั่วบริเวณ รวมทั้งตรวจคอกม้าด้วย เพื่อให้จวนแม่ทัพใหญ่แห่งเมืองเฉียวเซียนแห่งนี้เป็นสถานที่ปลอดภัยมากที่สุด
ผ่านเวลามาถึงยามโหย่ว (*ช่วงเวลาหกโมงเย็นถึงหนึ่งทุ่ม) ทุกชีวิตในจวนแม่ทัพใหญ่แห่งนี้ต่างพากันอ่อนล้าหมดแรงจากการตระเตรียมงานกันมาตลอดทั้งวันจนเสร็จเรียบร้อย
เหลือเพียงเยว่ซิน หลินหลิน แม่ครัวและบรรดาสาวรับใช้ที่ประจำอยู่ในครัวเท่านั้นที่ยังไม่ได้หยุดพัก เพราะต้องเตรียมอาหารให้ทุกคนในมื้อเย็นได้เติมพละกำลังกลับมาให้มีแรงก่อนเข้านอนในคืนนี้
"แม่นางเยว่ สำรับของท่านแม่ทัพเฉิงจัดเรียบร้อยแล้ว ท่านรีบนำไปให้ท่านแม่ทัพเฉิงก่อนเถิด" แม่ครัวใหญ่ยกสำรับมาส่งให้เยว่ซิน แล้วค่อยหันไปบอกกับหลินหลินว่า "ส่วนนั่นเป็นสำรับของท่านหมอหลวง วานเจ้านำไปส่งให้ท่านหมอหลวงด้วยหลินหลิน"
"เจ้าค่ะ" หลินหลินเอ่ยรับ
ทั้งเยว่ซินและหลินหลินต่างยกสำรับออกมาจากห้องครัวที่อบร้อน เมื่อทั้งสองได้ออกมาสูดอากาศด้านนอกก็รู้สึกหายใจโล่งขึ้นมากทีเดียว
"แม่นางเยว่ ข้าขอไปส่งสำรับให้ท่านหมอหลวงก่อนนะเจ้าคะ" เมื่อเดินมาถึงทางแยกหลินหลินจึงหันมาบอกกล่าว
"ได้ พอส่งสำรับให้ท่านหมอหลวงเรียบร้อยแล้ว เจ้าต้องรีบพักผ่อนนะ พรุ่งนี้ยามอิ๋น (*ช่วงเวลาตีสามถึงตีห้า) พวกเราต้องตื่นกันแล้ว"
"เจ้าค่ะแม่นางเยว่"
ระหว่างทางที่เดินถือสำรับอาหารมาที่จวนใหญ่ เมื่อผู้คนแยกย้ายกันไปพักผ่อนหมดแล้ว บรรยากาศระหว่างทางเดินรอบข้างจึงเงียบเหงา ความเงียบเช่นนี้จู่ๆ เยว่ซินก็รู้สึกวูบไหวขึ้นในใจอย่างบอกไม่ถูก
"ซือฝุ ข้านำอาหารเย็นมาให้ท่านเจ้าค่ะ"
"เชิญ" เสียงเฉิงอี้ตอบรับมาจากภายในห้อง เยว่ซินจึงเปิดประตูเข้ามา นางวางสำรับอาหารที่โต๊ะตามปกติ เฉิงอี้ละสายตาจากม้วนอักษร มองเห็นใบหน้าเยว่ซินดูหงอยเหงาผิดตา จึงเอ่ยถามนางด้วยน้ำเสียงนุ่มทุ้มว่า
"เยว่ซิน เหตุใดเจ้าจึงทำหน้าหงอยเช่นนั้น วันนี้เจ้าเหนื่อยมากหรือ"
"วันนี้ข้าเหนื่อยมากเจ้าค่ะ งานในครัวยุ่งมาก แต่ถึงอย่างนั้น ทุกคนในจวนของท่านก็เหนื่อยมากพอกันเจ้าค่ะ แต่ข้าไม่ได้หงอยเพราะว่าข้าเหนื่อย"
"แล้วเจ้าทำหน้าหงอยเช่นนั้นเพราะอะไรกัน"
"เพราะข้าใจหายเจ้าค่ะ ซือฝุ" จบประโยคเยว่ซินเกิดน้ำตาซึมขึ้นมาเสียดื้อๆ เฉิงอี้เลิกคิ้วอย่างแปลกใจ เขาวางม้วนอักษรลงแล้วลุกจากโต๊ะทำงานเดินมาหาเยว่ซินใกล้ๆ เพื่อถามไถ่ความให้แน่ชัด
"เจ้าใจหายเรื่องใด แล้วเหตุใดต้องร้องไห้" เยว่ซินรู้สึกก้อนน้ำตาจุกล้นในลำคอจนยากจะเอื้อนเอ่ยคำใด นางเงยหน้าสบตาเฉิงอี้ด้วยสายตาที่พร่าเบลอเพราะน้ำตาที่เอ่อล้น เพียงกระพริบตาหนึ่งครั้งน้ำตาก็ไหลลงอาบสองแก้มของนางแล้ว
เฉิงอี้ประคองใบหน้าด้วยสองมือ พลางกวาดนิ้วหัวแม่มือปาดน้ำตาให้นางอย่างแผ่วเบา แววตาอ่อนโยนของเฉิงอี้แม้จะรู้สึกอุ่นใจขึ้นมาไม่น้อย แต่เยว่ซินกลับร้องไห้หนักกว่าเดิม
"ซือฝุ ข้าจะได้พบท่านอีกหรือไม่เจ้าคะ" เยว่ซินเอ่ยถามทั้งน้ำตา น้ำเสียงของนางสั่นเครือแม้ว่าจะพยายามปรับให้ปกติแล้วเช่นนั้น
"เหตุใดเจ้าจึงถามข้าเช่นนี้เล่า" เฉิงอี้ลูบหัวนางอย่างเอ็นดู เวลานี้นางช่างคล้ายเด็กน้อยเยว่ซินในวันนั้นเสียเหลือเกิน
"วันพรุ่งนี้ไท่จื่อจะเสด็จมาถึง หลังงานเลี้ยงจบแล้วข้าต้องกลับบ้านไปหาท่านแม่ เช่นนั้นข้าจะได้เจอท่านอีกหรือไม่เจ้าคะ" เฉิงอี้หัวเราะเบาๆ เมื่อได้ยินเยว่ซินถามเช่นนั้น
"ก่อนหน้านี้เราก็ได้เจอกันที่หมู่บ้านมิใช่หรือ" คำตอบของเฉิงอี้ใช่ว่าเยว่ซินจะลืมไปแล้วเสียเมื่อไหร่ แต่บางอย่างในใจทำให้นางรู้สึกกังวลขึ้นอย่างไม่มีสาเหตุ
"จู่ๆ ข้าก็รู้สึกกลัวเจ้าค่ะ ข้ากลัวว่าจะไม่ได้เจอท่านอีก แต่ข้าก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะอะไรข้าจึงคิดเช่นนั้น"
"อาจเป็นเพราะวันนี้เจ้าเหนื่อยเกินไปแล้วกระมัง ข้าไปส่งเจ้ากลับห้องดีหรือไม่ รีบพักผ่อนเถิด พรุ่งนี้เจ้าต้องตื่นแต่เช้า"
เยว่ซินพยักหน้ารับฟังอย่างว่าง่าย เฉิงอี้เดินมาส่งนางที่หน้าห้องซึ่งอยู่ข้างกัน เมื่อเปิดประตูมาก็พบว่าเจ้าเสี่ยวเข่ออ้ายนั่งกระดิกหางรอรับนางอย่างน่ารัก
"รีบพักผ่อนเถิด เจ้าเหนื่อยมากแล้ว" เฉิงอี้ย้ำอีกครั้ง
"เจ้าค่ะ ซือฝุ"
เมื่อเยว่ซินปิดประตูห้องไปแล้ว เฉิงอี้มิได้เดินกลับห้องของเขาทันใด ทว่าเขายังคงยืนอยู่ที่หน้าประตูห้องของเยว่ซิน พลางนึกถึงภาพห้วงนิทราในคืนนั้นที่ยังคงชัดเจนไม่จางหาย
อย่าว่าแต่เยว่ซินที่ใจหายเลย เพราะลึกๆ แล้วเขาเองก็รู้สึกไม่ต่างจากนางเช่นกัน มิหนำซ้ำความรู้สึกของเขาอาจมากกว่านางเสียด้วยซ้ำ นางเพียงกังวลว่าจะไม่ได้เจอเขาอีกหลังจากงานเลี้ยงต้อนรับไท่จื่อ แต่เขากำลังกังวลและกลัวว่านางจะกลายเป็นมนุษย์ไปตลอดกาล หากโชคร้ายเช่นนั้นจริง เกรงว่าเขาและเยว่ซินคงไม่มีโอกาสได้พบหน้ากันอีกแล้ว
เพราะร่างที่แท้จริงของเขาเป็นถึงไท่เซียนอี้ตี้จวินบนแดนสวรรค์เก้าชั้นฟ้า จะมีความเกี่ยวพันกับมนุษย์ได้เช่นไร ทางเดียวที่เขากับเยว่ซินจะมีโอกาสได้เจอกันอีกครั้ง คือเขาจะต้องพานางกลับสู่ภพเทพในฐานะเทพธิดาสวรรค์เท่านั้น
ที่หมู่บ้านชนบทเมืองเฉียวเซียน ภายในเรือนไม้ไผ่มีเปลวเทียนส่องแสงสว่างรำไร ลี่จิ่นนั่งพิงหมอนบนเตียงมีสีหน้าเรียบนิ่ง ทว่าภายในใจนางกลับรู้สึกหวาดกลัวจนไม่กล้าข่มตาหลับ นางกลัวจะฝันร้ายเช่นคืนนั้น ฝันว่าไท่เซียนอี้ตี้จวินจะมาพรากเยว่ซินไปจากนาง ขออย่าให้ความจริงเป็นเช่นนั้นเลย...