webnovel

ระบบตกหนอนหนังสือไปเปิดไฟท์ที่ต่างโลก

ตอนที่ 2

แค่ย่างเท้าลงบนลานหน้าสำนักฮู่ซานเสียงตะเบ็งจนแก้วหูเต้นระบำก็พุ่งเข้ามากระแทกหูทำเอาเกือบลงไปซบพื้น พร้อมเจ้าของเสียงพุ่งมาไวราวงูฉกเหยื่อ

"เจ้าไปไถลถึงไหนมา ศิษย์ใหม่ทั้งหลายบอกว่าเจ้าตกจากกระบี่ เดือดร้อนให้ข้าต้องส่งคนลงไปหาที่ก้นเหวเสียพักใหญ่ ที่ไหนได้เจ้ากลับไปเที่ยวเล่นในเมืองเสียอย่างนั้น เย็นนี้หากเจ้าทำความสะอาดลานฝึกแห่งนี้ไม่เสร็จ ไม่ต้องกินข้าวและไม่ต้องกลับหอนอน!" เจ้าคนสั่งมีร่างใหญ่โตกว่าผานเฉียงเต้าเท่าตัว สูงใหญ่เต็มไปด้วยพลังเหนือกว่าแบบดูออกได้ง่ายๆ

"ไห่ซือเจ้าก็รู้ว่าข้าไม่ได้ไปเที่ยวเล่น ข้าไปหาซื้อยากินต่างหาก ไม่รู้ไอ้บ้าที่ไหนเลื่อนระดับ ทำสายฟ้าผ่าใส่ข้าเสียอย่างนั้น" พอมีเวลาจินตกชถึงทบทวนว่าทำไมสายฟ้าถึงมาผ่าลงทั้งที่ตนไม่ใช่คนกำลังเลื่อนระดับ มีความเป็นไปได้ว่าคงมีใครเอาเขาเป็นตัวตายตัวแทน เพียงแต่เป็นใครใช้วิธีการโหดแบบนี้เขาไม่ปล่อยลอยนวลสบายแน่ๆ เจอก่อนเถอะจะเอาให้เข็ดจนเกิดใหม่เลยนั่นแหละ

"นี่เจ้ากำลังบอกว่าที่ร่วงลงไปนั่นเพราะโดนสายฟ้าด่านเคราะห์?" คนขี้ริ้วพยักหน้า แม้ก่อนหน้าไม่ใช่แต่หลังจากนั้นโดนจริงนี่นา "ที่จริงแล้วทุกคนเห็นอยู่ว่ามีสายฟ้าผ่าลงไปแถวก้นเหว แต่เจ้ารอดมาได้นี่หลบทันหรือตอบโต้... โชคช่วยให้หลบทันละสิ" สรุปเองเสร็จสรรพ

"แหงสิ เจ้าคิดว่าอย่างข้าโต้สายฟ้าพวกนั้นได้หรือไง ถ้าทำได้ข้าคงไม่อยู่แค่นี้" ผานเฉียงเต้าตัวจริงทำไม่ได้แน่นอนแต่เสี่ยวผานคนนี้ตีกลับไปหมดแล้ว อีกเดี๋ยวจะไปตีไอ้คนเอาเขามาเป็นตัวตายตัวแทนด้วย

"แต่อย่างไรบทลงโทษเจ้าอาจารย์ผู้ดูแลกำหนดมาแบบนี้แล้ว เจ้าก็ทำไปละกัน" ไห่ซือตัดบท

"เจ้าไม่ช่วยข้าสักหน่อยหรือไง ลานฝึกกว้างขนาดนี้" จินตกชผายมือไปข้างตัว ลานฝึกกว้างกว่าสนามฟุตบอลสองสนามรวมกันเสียอีก

"ข้ายังมีงานอื่นรับผิดชอบช่วยเจ้าไม่ได้หรอก" ว่าแล้วเดินจากไปทันที ปล่อยคนขี้ริ้วยืนอึ้งอยู่หน้าลาน

จินตกชกำลังคิดว่าควรทำความสะอาดอย่างไร เงาร่างสง่างามในชุดสีขาวท่องกระบี่ข้ามหัวไปสู่ประตูใหญ่ด้านหน้า ศิษย์น้องศิษย์พี่มากมายรีบออกมาต้อนรับ

มีคนห้อมล้อมยกย่องแบบนั้นพ่อคุณคงไม่เลือกเข้าสู่สายดาร์กแน่ หรือจี้ย้ำปมสมัยก่อนที่เขาไร้กำลังดีหว่า โอยวิธีแบบนั้นฉันยังรังเกียจเลยให้ทำแบบนั้นฉันเข้าสู่สายดาร์กเองแล้วไปตบอินจันแทนดีกว่า ไม่ได้แมรี่ซูแค่ใจเขาใจเราเท่านั้น

ไม้กวาดธรรมดาวางไว้ข้างลานกองใหญ่ให้รู้ว่าผู้ทำความสะอาดลานฝึกย่อมมีจำนวนมาก กะดูแล้วไม้กวาดมีถึงสามร้อยด้าม ทว่ายามนี้มันถูกหยิบมาใช้แค่หนึ่ง แน่นอนว่าแค่กวาดทุกสิ่งอย่างมารวมกันแล้วเผาทิ้งหรือไม่ก็ใส่ถุงรอทิ้งสำหรับเสี่ยวผานยามนี้สบายมาก แต่เขาจะทำให้มันเสร็จทำไมเล่า นอนดูดาวข้างนอกก็ดีเหมือนกัน อากาศดีขนาดนี้ให้เข้าไปนอนอุดอู้กับบรรดาศิษย์คนอื่นจินตกชไม่เอาด้วยล่ะ

ต้นไม้ใหญ่หลายต้นรอบลานฝึกเอาไว้ให้ร่มเงายามกลางวันคือที่สิง เอ๊ย ที่พึ่งในยามนี้ หลังจากออกแรงกวาดลานพอเป็นพิธีคนขี้ริ้วก็มากลิ้งดุ๊กดิ๊กอยู่ใต้โคนต้นหนึ่ง

"พื้นดินที่นี่กลิ่นหอมจัง เพราะมีพลังทิพย์สถิตอยู่มากมายหรือไงนะ" พึมพำกับตนเองแล้วต้องสปริงตัวขึ้นจากพื้นอย่างไว อยู่ๆ ตรงที่นอนอยู่เกิดระเบิดกลายเป็นหลุมขนาดย่อม

"เขาให้ทำความสะอาดลานฝึกไม่ใช่หรือเหตุใดเจ้ามานอนขี้เกียจแบบนี้เล่า" หนึ่งในศิษย์ระดับผู้คุมกฎมาถึงไม่มีบอกกล่าวจู่โจมเอาตายเสียอย่างนั้น

"ผู้คุมกฎเสอทุ่ยมาถึงก็ลงมือเลยนะขอรับ ถ้าข้าหลบไม่ทันท่านจะทำความสะอาดลานฝึกแทนข้าหรือขอรับ?"

"กล้ายอกย้อนข้าแบบนี้ สงสัยอยากอดข้าวสักเดือนเพิ่มด้วยล่ะสิ" เสอทุ่ยยกมือลูบคางท่าทางอยากเพิ่มโทษให้ผานเฉียงเต้าจนเนื้อเต้น

"ท่านอยากอดเป็นเพื่อนข้าไหมเล่า" ถามแบบไม่ใส่ใจนักแล้วเอียงตัวหลบแวบ เมื่อกระแสพลังเส้นหนึ่งพุ่งใส่ "ขอแรงกว่านี้อีกขอรับ จะได้กวาดใบไม้ไปในตัว"

"ผานเฉียงเต้า ข้าไม่ใช่สวะอย่างเจ้า แค่เจียดเวลามานี่ข้าก็เสียดายมากแล้ว" เสอทุ่ยกัดฟันกรอด เมื่อครู่แปลกใจเล็กน้อยที่เจ้าขี้ริ้วหลบได้ถึงสองครั้ง

"เช่นนั้นแต่แรกท่านผู้อยู่บนหิ้งก็ไม่ควรลงมาแถวกองสวะสิ ลงมาเองแล้วมาโวยวายให้ได้อะไร" โต้กลับแล้วต้องสาวเท้าเร็วจี๋เพื่อยืมพลังชาวบ้านกวาดลาน ความเร็วของเสี่ยวผานยามนี้ต่อให้เซียนระดับจินตานขั้นต้นยังไล่ไม่ทันฉะนั้นแค่วิ่งไปวิ่งมาหลอกล่อเสอทุ่ยให้ใช้พลังกวาดลานอย่างหวังผลที่สุด ไม่สิ ฟาดใส่เพื่อลบเงาหัวเขาต่างหาก จินตกชหลบในระยะเฉียดฉิวนั้นไม่ยาก ยิ่งอีกฝ่ายยั่วยุง่ายด้วยฉะนั้นจึงได้แรงงานกวาดลานดั่งใจ

บนหอสูงหนึ่งในสิบหอของฮู่ซานมีแสงสว่างจากตะเกียงให้รู้ว่าผู้อยู่ในห้องนั้นยังไม่พักผ่อน นอกระเบียงชายชราท่านหนึ่งกำลังมองเหตุการณ์ในลานฝึกเงียบๆ หนึ่งอึดใจชายชราท่านนั้นก็หายไปจากระเบียง

"เจ้าคือคนที่โดนฟ้าผ่าใส่เมื่อกลางวันเช่นนั้นหรือ?"

จินตกชเบรกตัวโก่งเกือบได้เสยชายชราร่างเล็กสูงแค่อกเขาที่อยู่ๆ มาปรากฏตัวกลางลู่วิ่งเสียอย่างนั้น ทว่าแรงส่งมาเร็วขนาดนั้นย่อมเบรกไม่ทัน จินตกชจึงสปริงตัวข้ามหัวชายชราไปลงอีกฝั่งแล้วจ้ำอ้าวไม่เหลียวหลังด้วยความเร็วที่มากกว่าเดิมหลายเท่า แน่นอนว่าเสอทุ่ยไล่ตามไม่ทันแล้วยามนี้ ไวเท่าที่ทำได้ด้วยความสามารถทั้งหมดซึ่งไวจนเหลือแค่ภาพติดตา แล้วเลี้ยวหายไปทางตรงไปหลังเขาไกลลิบ

ผู้เฒ่าท่านนี้เป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้งฮู่ซานนี่หว่า ดึกดื่นไม่หลับนอนมาโผล่อะไรตรงนี้!

วิ่งมาอีกลี้ครึ่งถึงหยุดแล้วเหลียวกลับไปดู รอบด้านมืดมิดแต่ไม่เป็นปัญหามองเห็นในความมืดได้จากทักษะวิสัยทัศน์ระยะไกลขั้นต้น แล้วก็แทบกระโดดตัวลอย ร่างเล็กของชายชรายืนชิดแทบติดหลัง

"แว้ก!"

ผู้เฒ่าตามติดยิ่งกว่าผีชัตเตอร์ ขออนุญาตกรี๊ดก่อนได้ไหม

"ดูเจ้าต่างไปจากเดิม สายฟ้าด่านเคราะห์นั่นเปลี่ยนคนได้ระดับนี้เชียว?"

"ท่าน... ดูออกด้วยเหรอ?" ขยับห่างออกมาห้าก้าวอย่างไว สัญชาตญาณบอกว่าท่านผู้เฒ่าอันตรายร้ายแรงเลี่ยงการปะทะร้อยเปอร์เซ็นต์ฉะนั้นอย่าพยายามปั้นเรื่องหลอกลวง คุยกันด้วยเหตุผลคงทำให้รอดได้

ผู้ชราจับจ้องร่างขี้ริ้วตรงหน้าราวต้องการมองให้ทะลุถึงตัวตนด้านในทว่าทางนั้นมองกลับมาด้วยสีหน้าเหลอหลาไร้พิษภัยที่สุดในสามโลก แม้รับรู้ได้ว่ามีพลังบางอย่างในร่างประหลาดกว่าผู้อื่นแต่ไม่รู้สึกถึงพิษภัยใด ซ้ำยังดูน่าสนใจกว่ามนุษย์คนไหนที่เคยเจอมา

"เจ้าเป็นศิษย์ของหูฉานใช่หรือไม่" ผู้ชราหลับตาครุ่นคิดแล้วพูดออกมา

จินตกชสาวเท้าถอยหลังห่างออกไปอีกสามก้าวให้ได้ระยะปลอดภัยที่สุด "ใช่ขอรับ ข้าเป็นศิษย์ที่เพิ่งหลุดจากสถานะศิษย์เพราะไร้ฝีมือเกินทน ท่านอาจารย์จึงตัดข้าออกจากสถานะศิษย์ของท่านให้ไปใช้สถานะศิษย์รับใช้ของอาวุโสท่านไหนก็ได้ในสำนักโดยห้ามอ้างชื่อออกไปเด็ดขาดขอรับ" สถานะที่ว่าก็คนรับใช้ทั่วไปนั่นเอง ต่ำกว่าศิษย์เข้าใหม่เสียอีกในเมื่อโลกนี้กำหนดไว้ว่าพลังอำนาจคือทุกสิ่งผิดชอบชั่วดีแทบไม่มีในเรื่องนี้ ผู้เขียนเน้นพลังการต่อสู้ ชื่อเสียงอำนาจ สาวสวยเนื้อนมไข่และพระเอกผู้เทพฆ่าทำลายได้อย่างถูกต้องทุกประการแบบไร้เหตุผลรองรับก็ได้ แนวระเบิดพลังเอามัน แต่แนวนี้ถ้าเขียนดีมันก็สนุกนะ เพียงแต่จินตกชไม่ค่อยอ่านเท่านั้นเอง

มีแววว่าหลังจากนี้ฉันคงเจอแนวที่ไม่ชอบอีกมากมายแน่เลย ไว้อาลัยตนเองล่วงหน้าเลยได้ไหม

"หมายความว่ายามนี้เจ้าไม่ได้เป็นศิษย์หูฉานแล้ว"

"เอาง่ายๆ ก็ตามนั้นขอรับ"

ผู้ชราพยักหน้า "เช่นนั้นนับแต่นี้เจ้ามาเป็นศิษย์ข้า การฝึกสอนเริ่มตั้งแต่เดี๋ยวนี้!" มือเหี่ยวย่นตวัดออกมาด้านหน้าเร็วแบบจินตกชมองตามไม่ทัน ข้อมือกับต้นขามีโซ่ห้อยตุ้มถ่วงมัดพันไว้อย่างแข็งแรง ตัวเขาอยู่ในท่านั่งม้ามีตุ้มสุดหนักถ่วงทั้งแขนขา

"เดี๋ยว นี่มันอะไรกัน!?" คนขี้ริ้วแทบแหกปากจากน้ำหนักที่ถ่วงอยู่

"ฝึกในท่านี้ไปจนฟ้าสว่าง ถ้าเจ้าแอบอู้นั่งพักน้ำหนักจะเพิ่มขึ้นเท่าตัวรวมทั้งเวลาฝึกเพิ่มขึ้นตามไปด้วย เอาล่ะตั้งใจให้ดี" สั่งจบก็หายแวบไปเสียเฉยๆ

"ถามสักคำก่อนไหมว่าอยากเป็นศิษย์ท่านหรือเปล่า แล้วถ้าเสอทุ่ยมาเจอข้าตอนนี้ล่ะ เจ้านั่นคงไม่ปล่อยให้ยืนอยู่แบบนี้แน่" บ่นถึงก็มาเลยเชียวนั่น

เสอทุ่ยวิ่งหน้าตาตื่นราวสัตว์ร้ายตามล่าเหยื่อที่หายไป และมาเจอเหยื่อยืนล่อเป้าอยู่ในลานเล็กหลังเขามือเท้าไร้อิสระอีกต่างหาก

"ไม่รู้ว่าใครลงโทษเจ้า แต่แบบนี้ดีมากนี่หว่า" เจ้าร่างยักษ์ย่างสามขุมอย่างมุ่งร้าย แล้วสิ่งที่คาดไว้ก็เกิดขึ้น

หมัดหนักแบบต่อยหน้าหัน รัวใส่ ทั้งตัวแล้วยังมีขาถีบเตะ พอล้มน้ำหนักลูกตุ้มก็เพิ่มทันทีทำให้ต้องรีบลุกขึ้นมารับมือเท้าเสอทุ่ยอีก จินตกชไม่รู้ว่าเพราะทักษะการต่อสู้ขั้นแม็กซ์หรือเปล่าถึงไม่รู้สึกเจ็บมากอย่างที่คิด แม้มีปากแตกเลือดซึมรอยฟกช้ำมากมายก็ตาม

หรือฉันด้านหนาเป็นทางหลวงแผ่นดินแล้วเนี่ย

ทีแรกจินตกชว่าจะโต้กลับให้ลงไปคุยกับไส้เดือนอยู่เชียวแต่พอมันไม่ได้หนักหนาอย่างที่คาดเลยปล่อยไปก่อน สถานะตอนนี้ยิ่งต่ำต้อยอยู่ขืนมีเรื่องมากไปโดนขับออกจากสำนักล่ะแย่แน่ คิดแบบนั้นเลยยอมให้เสอทุ่ยซ้อมต่อไป โดยลืมไปแล้วว่ายามนี้ตนได้กลายเป็นศิษย์หนึ่งในผู้อาวุโสผู้ร่วมก่อตั้งฮู่ซานแล้ว สถานะสูงกว่าเสอทุ่ยมากมายและรองจากพระเอกระดับเดียวเท่านั้น

"จำไว้คราวหน้าหากเจ้ากล้าปากสุนัขใส่ข้าอีก ข้าจะทุบกระดูขาทั้งสองข้างของเจ้าให้ละเอียด" ข่มขู่อย่างที่เจ้าตัวคิดว่าน่ากลัวที่สุดแล้วถึงเดินจากไปอย่างอารมณ์ดี ส่วนจินตกชก็แทบกระอักเลือด... จากน้ำหนักตุ้มถ่วง

เพราะล้มกลิ้งเสียหลายครั้งทำให้น้ำหนักตุ้มถ่วงเพิ่มขึ้นมากมาย เวลาที่ต้องฝึกในท่านั่งม้าก็ยาวออกไปด้วย ทีแรกเขาคิดว่าผู้เฒ่าจะรู้ได้ไงว่าเขาแอบอู้ มันมีของที่คล้ายนาฬิกาน้ำโปร่งแสงปรากฏขึ้นมาทันทีที่เขาล้ม และมันก็เพิ่มขึ้นไม่หยุดจนกว่าเขาจะลุกขึ้นมานั่งม้าต่อ จากหนึ่งถังตอนนี้หกถังแล้วและปริมาณน้ำยังไม่ลดเลยสักถังคาดว่าคงเริ่มลดลงเมื่ออาทิตย์ขึ้น มันหมายความว่านั่นคือเวลาที่จินตกชต้องอยู่ในท่านั่งม้าเพิ่มนั่นเอง

เสอทุ่ย แค้นนี้ต้องมีคนรับผิดชอบ

ยามเส้นแสงจับที่ขอบฟ้าลานเล็กก็เต็มไปด้วยคนมุงเป็นร้อย หลังจากทยอยมาเพราะได้ยินจากบรรดาศิษย์คนต่างๆที่ตื่นเช้ามาหุงหามื้อเช้ากับพวกเดินตรวจตรามาเจอเข้า เสียงอื้ออึงชี้มือชี้ไม้ซุบซิบกันอลหม่านถึงสภาพศิษย์สวะว่าผู้ใดกันที่ทำแบบนี้และทำไปเพื่ออะไรก่อนศิษย์ทั้งหลายแหวกทางให้คนผู้หนึ่งเดินมา

"ผานเฉียงเต้า เจ้ากำลังทำอะไร?" ลู่เยวี่ยสือกดสายตาเยือกเย็น น้ำเสียงที่เปล่งออกมาเหมือนแถมพายุน้ำแข็ง

"ถ้าเจ้าระคายเคืองสายตาก็ไม่ต้องมองสิ มาสาดน้ำแข็งใส่ข้าแต่เช้าทำไม" เค้นเสียงตอบแล้วแทบวูบ นี่ถ้าไม่มีพลังขั้นแม็กซ์คงลงไปกองให้นาฬิกาถังน้ำเพิ่มเป็นร้อยถังแล้วกระมัง อาทิตย์เพิ่งขึ้นด้วย กว่าเจ้าหกถังนั่นไหลหมดทางนี้อาจไปคุยกับรากมะม่วง อ้อที่นี่ไม่มีงั้นคุยกับรากต้นพลับแทนก็ได้

"ข้าระคายเคืองตาอะไร ข้ากำลังถามว่าเจ้าทำแบบนี้ ไม่สิ ใครสั่งให้เจ้าทำแบบนี้?" ลู่เยวี่ยวสือมองเห็นพลังทิพย์จากนาฬิกาถังน้ำได้ชัดเจน ทว่าเขาไม่อยากเชื่อว่าผู้อาวุโสระดับนั้นยังเจียดเวลามาลงโทษศิษย์สักคนในสำนัก แม้ศิษย์คนนั้นชั่วช้าจนคนทั่วแผ่นดินประมาณหรือเลิศเลอยิ่งกว่าใครท่านก็ไม่เคยยื่นมือเข้ามา มันเกิดอะไรขึ้น แม้แต่ตนยังไม่เคยได้รับการชี้แนะจากท่านนี้สักครั้ง

"ใครงั้นหรือ... ก็ตาเฒ่า...เอ๊ย อาจารย์ข้านะสิ" อยู่ๆ ก็เย็นสันหลังวาบจนต้องรีบเปลี่ยนคำเรียกผู้เฒ่าอย่างไว

"อาจารย์... เจ้าไม่ได้พูดเล่นใช่ไหม?"

นั่นหรือว่าพระเอกดูออกว่านาฬิกาน้ำพวกนั้นเกิดจากพลังผู้ใด

"เจ้าคิดว่าท่านนั้นเอามาพูดเล่นได้หรือไง ต่อให้ข้ากินดีหมีหัวใจเสือมาอย่างละร้อยก็ไม่กล้าหรอกเว้ย" แค่หาทางเตะโด่งพระเอกเข้าไปปิดด่านเทินดาร์กเท่านั้นจำเป็นต้องมาฝึกวิชาแทบล้มประดาตายแบบนี้ด้วยหรือไง ฉันมีอะไรเข้าตาปู่แกได้เนี่ย ถึงระบบบอกว่าเรียนรู้วิชาต่างๆ ในเรื่องเพิ่มได้ หนอนหนังสืออย่างฉันอยากเรียนแค่อ่านไว อ่านได้วันละสามสี่เล่มนั่นแหละสอนสิรีบพุ่งเข้าไปเรียนเลยเชียว แต่เสริมสร้างความแข็งแกร่งไว้ตีกับชาวบ้านแบบนี้ขอผ่านเถอะ "ท่านให้ข้าฝึกท่านั่งม้าถึงดวงอาทิตย์ขึ้นถ้าแอบอู้เวลาฝึกจะเพิ่มขึ้น" บุ้ยใบ้ไปที่ถังน้ำ

"ท่านให้เจ้าฝึก... เขารับเจ้าเป็นศิษย์?... เรื่องจริง?"

อย่าว่าพระเอกไม่เชื่อเลยฉันเองยังเชื่อไม่ลง

"นี่เจ้ากำลังบอกว่ามีอาจารย์ท่านไหนให้เจ้าฝึกร่างกายอยู่งั้นหรือ ใครอยากได้สวะอย่างเจ้าเป็นศิษย์กัน"

"นั่นสิ ไม่ใช่ว่ากำลังถูกลงโทษหรือไง" ศิษย์พี่ศิษย์น้องมากมายหัวเราะกันครืน

จินตกชอยากบอกดังๆ ว่าถ้ามันเป็นการลงโทษเขาคงดีใจมากเลยเพราะพอรับโทษเรียบร้อยแล้วก็จบ แต่พอนึกถึงสีหน้าแววตาท่านผู้เฒ่าเมื่อคืนแล้วคอหดอย่างไว

นั่นสินะ ที่อยู่ๆ นึกครึ้มใจรับเขาเป็นศิษย์คงเป็นแค่ความคิดเลอะเลือนเพราะชราแล้วนั่นแหละ

โป้ก! เสียงดังไพเราะจากลูกพลังจากไหนไม่รู้ซัดเข้าหลังหัวทำเอาคนขี้ริ้วแทบหน้าคะมำดีที่ทรงตัวได้ทันไม่งั้นเวลากับน้ำหนักคงเพิ่มขึ้นอีก แม้ไม่มีใครรู้ว่าเมื่อครู่คนขี้ริ้วเซขาปัดไปวูบหนึ่งจากลูกพลังนอกจากลู่เยวี่ยสือกับคนโดนแล้ว ทุกคนต่างเข้าใจว่าจินตกชจะหมดแรงยืนแล้วนั่นเอง

เขามีวิชาอ่านใจระยะไกลหรือไงถึงรู้ว่าทางนี้คิดอะไร

ถึงบ่นโวยวายฟูมฟายโลกถล่มในใจทว่าร่างกายยังคงยืนหยัดอยู่ในท่านั่งม้า ก็ลองล้มสิ นาฬิกาน้ำได้เพิ่มอีกพอดี ท้องก็ส่งเสียงคร่ำครวญมาตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว ยังไม่มีอะไรตกถึงท้องสักอย่างแม้แต่น้ำ แถมวันนี้วี่แววได้กินอะไรสักอย่างดูแล้วไม่มีเช่นกัน

ว่าแต่น้ำในถังนาฬิกานั่นกินได้ไหมหว่า หิว กระหาย อยากกินหัวชาวบ้านเว้ย!

"เจ้าศิษย์อ่อนหัดของข้าคนนี้มีอะไรน่าดูหรือไร พวกเจ้าถึงทิ้งหน้าที่ประจำวันมามุงดูราวไม่เคยเห็นมาก่อนแบบนี้" น้ำเสียงเนิบนาบพอๆ กับการย่างเท้าใกล้เข้ามาของท่านผู้เฒ่าทำฝูงชนแหวกเป็นทางกว้างได้โดยไม่ต้องสั่ง สภาพเดียวกับตอนที่พระเอกเดินมาเลยนั่น เพียงแต่ยามนี้แม้แต่พระเอกก็หลบไปยืนด้านข้างด้วยเช่นกัน

"ท่านอาวุโสกังจวี้ ท่านกล่าวเช่นนั้นหมายความว่าท่านรับเจ้าสวะ เอ๊ย ผานเฉียงเต้าเป็นศิษย์ของท่านหรือขอรับ?" ไห่ซือถามอย่างไม่เชื่อที่ได้ยิน และมีศิษย์ทุกคนตรงนั้นไม่เชื่อเข่นกัน

อาวุโสร่างเล็กเดินมือไพล่หลังมายืนตรงหน้าคนขี้ริ้ว "เจ้าแอบอู้จนถังน้ำเยอะขนาดนี้เลยหรือเสี่ยวผาน"

"ไม่ใช่ความผิดข้าสักนิดนะท่านอาจารย์ เมื่อคืนข้าโดนหาเรื่องเสียยับเยิน ท่านดูสิท่านดู" โปรดอย่างสายตาเบลอยามนี้เชียวนะปู่ไม่งั้นข้าจะ... แอ้ก

ชัวร์แล้วปู่แก เอ๊ย ท่านอาจารย์อ่านใจได้

คนขี้ริ้วลงไปนองแบ็บที่พื้นจากพลังสุดหนักที่ฟาดใส่แบบคนมองทันมีแค่พระเอกคนเดียวนอกนั้นยังสีหน้าเคร่งเครียดจากเรื่องที่เหลือเชื่อที่เพิ่มได้รู้

"ขอโทษขอรับข้าไม่ปากสุนัขแล้ว ท่านอย่าหาเรื่องเพิ่มนาฬิกาน้ำให้ข้าอีกเลย แค่นี้ข้าก็จะหักเป็นท่อนๆ แล้ว" กว่าจะตะกายขึ้นมาอยู่ในท่านั่งม้าอีกครั้งได้สั่นกราวไปทั้งตัว ถังน้ำเพิ่มมาอีกสองถัง น้ำหนักที่ตุ้มถ่วงเพิ่มขึ้น แต่เพิ่มเท่าไหร่อย่าถามจินตกชไม่รู้จริงๆ รู้แค่ถ้าไม่ยืนหยัดให้ครบเวลาปู่ เอ๊ย ท่านอาจารย์ไม่ปล่อยเขาแน่

"เป็นผู้น้อยก็ควรรู้จักเคารพผู้ใหญ่ รู้ความแบบนี้อาจารย์จะลดการลงโทษให้เจ้าสักหน่อยละกัน" เพียงพูดจบนาฬิกาถังน้ำหายแวบไปสองถัง นั่นทำจินตกชค่อยยิ้มออก

"ท่านอาจารย์ ไหนๆ ท่านก็เมตตาข้าแล้วให้ข้าได้กินอะไรสักหน่อยเถอะ ตั้งแต่เมื่อวานยังไม่มีอะไรตกถึงท้องเลยแม้แต่น้ำสักหยด" คนขี้ริ้วพยายามปั้นสีหน้าให้น่าสงสารพร้อมช้อนสายตาอ้อนทว่าหน้าตาอันอุดมไปด้วยพลังทำลายสายตาแรงสูงแบบนั้นใครมองตรงๆ ก็แทบกระอักเลือด ขนาดท่านอาวุโสกังจวี้ยังเบนหน้าหนีอย่างไว แล้วคนอื่นๆ หรือไม่แตกฮือ

"กินลูกท้อนี่แล้วฝึกต่อไป" กังจวี้โยนลูกท้อผลเท่ากำปั้นให้จิตกชแล้วเจ้าตัวก็หายแวบไป เจ้าตัวรีบยกมือรับนั่นทำเอาได้ยินเสียงกระดูกแขนร้องกร๊อบหนึ่งเลย คงเพราะรีบเคลื่อนไหวทั้งที่มีตุ้มถ่วงน้ำหนักซึ่งไม่รู้ว่าตอนนี้หนักไปกี่กิโลแล้ว

เจ็บ... ถ้าแหกปากตอนนี้จะมีใครล้มตายไหมนะ มั่นใจพลังเสียงนะขอบอก

จินตกชงับลูกท้อไว้เต็มปากเพื่อไม่ให้เสียงแหกปากลอดออกไปได้ แล้วรีบแทะอย่างไวราวกลัวใครเข้ามาแย่ง ทว่าในความจริงแล้วหิวจนหน้ามืด ตอนนี้ถ้ามีใครเข้ามาแย่งเจ้าตัวคงกินเจ้าคนนั้นเข้าไปด้วยแน่นอน

"ไม่น่าเชื่อเจ้าสวะนั่น เอ๊ย จะ เจ้าเฉียงเต้านั่นน่ะ ศิษย์ของท่านอาวุโสกังจวี้"

"โลกนี้เป็นอะไรไปแล้ว ถ้าเป็นศิษย์พี่ลู่เยวี่ยสือข้าจะไม่กังขาเลย เป็นเจ้าสวะนั่นได้ยังไง"

"เรื่องใหญ่แบบนี้ท่านเจ้าสำนักกับผู้อาวุโสท่านอื่นรู้เรื่องหรือยัง"

ศิษย์คนอื่นๆ ต่างหน้าซีดท่าทางหวาดหวั่นมากกว่าอิจฉา ทว่าบางคนกลับมีสีหน้าสมเพชราวกำลังรอชมเรื่องสนุกหลังจากนี้

ลู่เยวี่ยสือจับจ้องคนขี้ริ้วสีหน้าทวีความไม่เข้าใจ รู้ว่าอีกฝ่ายแตกต่างจากที่เห็นอยู่เสมอทว่าไม่อาจเข้าใจได้ว่าแปลกอย่างไร มันไม่ใช่การแสดงออกภายนอกที่แปลกเท่านั้นพลังที่รู้สึกได้ก็ต่าง เสมือนว่าภายในไม่ใช่ผานเฉียงเต้าแต่เป็นบางคนที่เขาเคยรู้จัก

แต่เขาไม่รู้จักใครมาก่อนทั้งนั้นนี่นา แล้วทำไมถึงมีเงาแผ่นหลังของใคร... นำทางราวแสงของดวงดาวที่ไม่มีวันคว้ามือถึงผ่านแวบเข้ามาได้ล่ะ