ช่วงนี้ที่เมืองเหมิงจูเป็นช่วงร้อนสุดของปี บรรยากาศทั้งเมืองจึงเต็มไปด้วยสีสันสดใสของคิมหันตฤดู อีกไม่นานก็จะถึงเทศกาลเรือมังกรที่จัดขึ้นเพื่อระลึกถึงวีรบุรุษสงครามที่ล่วงลับไปแล้วทุกคน ประชาชนในเมืองจึงค่อนข้างตื่นเต้นเป็นพิเศษออกมาจัดเตรียมสิ่งของสำหรับค้าขายในช่วงเวลาดังกล่าว
บรรยากาศจึงเต็มไปด้วยชีวิตชีวา แม้จะไม่ครึกครื้นเท่ากับเมืองหลวง แต่ผู้คนที่นี่ทำให้เจิ้นหลินเฟิงหลงลืมเรื่องราวต่าง ๆ ไปได้ชั่วขณะ
เด็กหนุ่มสองคนให้ซวนผิงอี้เดินนำหน้า นางอยากไปที่ใดพวกเขาก็ไม่ขัด จะซ้ายหรือขวาล้วนได้รับการตามใจ คนหนึ่งใบหน้างดงามอีกสองคนหล่อเหลาองอาจย่อมโดดเด่นเป็นที่สังเกตของผู้คนโดยรอบ
"เราไปหาอะไรทานที่เพิงด้านหน้ากันเถอะ" ซวนผิงอี้เสนอ นางไม่เคยทานอาหารข้างทางเช่นนี้มาก่อน
เด็กหนุ่มทั้งสองเองแม้นจะไม่เห็นด้วย แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ พวกเขามองหน้ากันเลิ่กลั่กโดยมิได้นัดหมาย ส่วนองครักษ์ที่ตามมาก็มีสีหน้าบอกบุญไม่รับเช่นกัน
ร้านบะหมี่เผ็ดจอมพลัง!!
ป้ายร้านเขียนไว้เช่นนั้น ซวนผิงอี้ที่แสนซุกซนเดินนำหน้าเขาไปด้านใน เมื่อเข้าไปภายในร้านกลิ่นพริกแห้งและเครื่องเทศฉุนปะทะเข้าจมูก ยิ่งพริกที่พึ่งลงคั่วยิ่งหอมหวน
ของเผ็ดกับเจิ้นหลินเฟิงนั้น เป็นเส้นขนานกันมาโดยตลอด เขาเกลียดอาหารที่มีรสชาติเผ็ด ตอนอยู่วังหลวง เสด็จพ่อเสด็จแม่จะสั่งห้องเครื่องเป็นกรณีพิเศษในเรื่องนี้
"ไง คุณชายเจิ้นเห็นของเผ็ดแค่นี้ก็ทำท่าราวกับจะร้องไห้" ฟ่านอี้หยวนแกล้งพูดกดดัน
"คะ.....ใครบอกข้าจะร้องไห้กัน ข้าน่ะชอบของเผ็ดเป็นที่สุด" เจิ้นหลินเฟิงละล่ำละลักพูดในสิ่งที่ตรงกันข้าม
"เถ้าแก่ขอบะหมี่เผ็ดที่สุดในร้านสองชาม และบะหมี่เผ็ดน้อยหนึ่งชาม" ฟ่านอี้หยวนยักคิ้วหลิ่วตาแสนกวนประสาทให้
บะหมี่ชามไม่เล็กไม่ใหญ่ ที่เต็มไปด้วยพริกถูกนำมาวางอยู่บนโต๊ะ นอกจากนั้นยังมีสมุนไพรที่มีรสเผ็ดแซมอยู่ในนั้นด้วย เจิ้นหลินเฟิงหน้าซีดเผือด
"เสี่ยวเฟิงถ้าเจ้ากินไม่ไหว ไม่ต้องกินก็ได้นะ" ซวนผิงอี้พูดอย่างห่วงใย
"ไม่ต้องหวงข้าผิงเอ๋อ แค่นี้สบายมาก ศักดิ์ศรีลูกผู้ชาย" เขาตบอกบอกอย่างภาคภูมิใจ แต่ใจนั้นหวาดหวั่น
เจิ้นหลินเฟิงและฟ่านอี้หยวนกลืนน้ำลายอึกใหญ่ เมื่อซวนผิงอี้ให้สัญญาณพวกเขาก็ลงมือกินบะหมี่เผ็ดทันที
เมื่อปลายลิ้นแตะกับเส้นบะหมี่ครั้งแรก รสชาติเผ็ดร้อนก็ซาบซ่านไปทั้งปาก กลิ่นเครื่องเทศและพริกแห้งอบอวลไปทั้งกระพุ้งแก้ม เส้นบะหมี่เหนี่ยวนุ่มอร่อยมากก็จริง แต่ไม่ใช่กับความเผ็ดระดับนี้
เด็กหนุ่มทั้งสองเหงื่อแตกผลัก น้ำเป็นถังที่ถูกนำมาวางไว้แค่เพียงครู่เดียวก็ถูกพวกเขากินจนหมด เอามาเติมอีกก็หมดอีก ริมฝีปากของทั้งคู่ก็บวมเจ่อเหมือนคนถูกต่อย จนใกล้หมดชามทั้งคู่เริ่มหน้าซีด รู้สึกปวดท้อง แต่ก็พยายามอดทนทานให้หมด
เมื่อมองหน้ากันแล้วรู้สึกว่าจะเสียศักดิ์ศรีครั้งนี้ไปไม่ได้ โดยไม่มีใครแสดงอาการว่าตัวเองรู้สึกปวดท้อง
ซวนผิงอี้ไม่ใช่คนโง่ นางเห็นแล้วว่าพวกเขาปวดท้อง จึงรีบให้บ่าวรับใช้ไปตามรถม้าที่จวนเจ้าเมืองมารับสองคนกลับบ้าน
เมื่อรับคนขึ้นรถ รถม้าด่วนจี๋ก็รีบปรี่กลับจวน
บ่าวรับใช้รีบอุ้มนายน้อยทั้งสองเข้าไปยังห้องพัก และตามลู่จวิ้นอ๋องมาดูอาการ
ลู่เหิงเทาเมื่อได้รับรายงานก็ทิ้งงานรีบมาที่เรือนโดยเร็วที่สุด
เขาเห็นแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ เด็กหนอเด็ก
สรุปว่าพวกเขาทั้งคู่ต้องวิ่งเข้าออกห้องน้ำตลอดทั้งคืน ซ้ำร้ายยังอ่อนเพลียจนมาเรียนหนังสือไม่ได้ ลำบากลู่ซีต้องคอยดูแลอาการเด็กทั้งสองคน ส่วนซวนผิงอี้ทำได้แค่เพียงให้กำลังใจเท่านั้น
สารพัดโจ๊กถูกส่งไปที่ห้องของทั้งคู่ชนิดที่ว่าไม่ซ้ำกันสักมื้อ ไม่รู้ว่าลู่ซีไปหาสูตรการทำโจ๊กพวกนี้มาจากไหน แม้นลู่ซีจะไม่ได้เป็นคนลงมือทำด้วยตัวเองทุกครั้งไป แต่ก็กำกับดูแลวัตถุดิบด้วยตัวเองทุกอย่างต้องปรุงสุกและสะอาดเพื่อไม่ให้พวกเขาต้องลำบากซ้ำสอง
คราแรกลู่จวิ้นอ๋องจะให้อยู่ร่วมห้องเดียวกัน แต่ถึงป่วยขนาดนั้นก็ยังมีแรงตีกันที่หน้าห้องน้ำ พวกเขาจึงจนใจ ต้องจับแยกอันธพาลออกจากกัน
ซึ่งลำบากลู่ซียิ่งกว่าเดิม แต่นางก็ไม่ได้บ่น ยินดีทำด้วยความเต็มใจ
"พี่ซีซี ข้าขอโทษ" ฟ่านอี้หยวนสำนึกผิด ไม่เพียงแค่เรื่องที่นางมาดูแลเท่านั้นยังรวมไปถึงเรื่องที่เขาทะเลาะกับเจิ้นหลินเฟิงจนต้องแยกเรือน
ก่อนหน้าเขาเคยดูแคลนว่านางไม่โดดเด่นไม่งดงาม ตอนนี้เขาต้องเปลี่ยนทัศนคติเสียใหม่แล้ว นิสัยของนางต่างหากที่เป็นเสน่ห์เกินจะมองข้าม ยิ่งได้รู้จักตัวตนจริง ๆ ของพี่สาวคนนี้ฟ่านอี้หยวนยิ่งรู้สึกเคารพนับถือ
"รู้ตัวก็ดีแล้ว ทีหลังก็อย่าเล่นอะไรแบบนั้นอีก" นางยื่นถ้วยยาให้เขาดื่ม พลางนึกถึงคนที่อยู่อีกเรือน รายนั้นไม่เพียงไม่สำนึกซ้ำยังดื้อดึงเอาแต่ใจ อยากแต่จะเอาชนะ
ฟ่านอี้หยวนกำลังจะใช้แขนเสื้อเช็ดคราบยาที่ปาก แต่ลู่ซียื่นผ้าซับให้เขาเสียก่อน
"ขอบคุณพี่ซีซี" ฟ่านอี้หยวนซาบซึ้ง
"เจ้าก็พักผ่อนไป โจ๊กนั่นข้าตั้งใจทำมากทานให้หมด ตอนนี้ข้าไปดูเขาก่อน" ใบหน้าของนางยังคงเจือยิ้มตลอดเวลาเช่นเคย
ลู่ซีเดินไปอีกเรือน นางเคาะประตูก่อนเข้าห้อง
พบเด็กชายนอนตัวสั่นอยู่บนที่นอน คนตัวเล็กให้เสี่ยวจูวางถาดอาหารไว้บนโต๊ะและบอกเขาไปรอด้านนอกแต่ไม่ต้องปิดประตูห้อง
นางเดินไปนั่งข้างเตียงของเด็กชาย ท่าทางเขาดูเหมือนว่าจะฝันร้าย ที่นางรู้ก็เพราะว่าดูคล้ายกับอาการของนางไม่มีผิด
ลู่ซีเอื้อมมือไปเขย่าตัวเผื่อจะปลุกเขาให้ตื่น แต่เขาดันคว้ามือนางไปกอดกุม
"เสี่ยวเฟิงปล่อย" นางตกใจเขย่าตัวเขาแรง ๆ หลายที "นี่...เสียวเฟิง" ลู่ซีเสียงดังขึ้น พยายามดึงมือออก แต่เรี่ยวแรงเขาเยอะเกินไป ซ้ำยังดึงนางเข้าไปอีก
หญิงสาวใช้แรงทั้งหมดที่มียันตัวเองกับขอบเตียง ถึงหลุดออกมาได้ ด้วยความไม่ทันระวังทำให้ตอนนางถอยหลังจึงสะดุดชายกระโปรงตัวเองล้มครื่น แจกันดอกไม้โต๊ะน้ำชาต่างล้มระเนระนาด
เสียงดังโครมครามทำให้เจิ้นหลินเฟิงตื่นจากฝันร้าย เขาขยี้ตาเล็กน้อยก็เห็นสภาพของหญิงสาวล้มกลิ้งอยู่กับพื้น ไม่เพียงไม่รีบไปช่วย แต่ดันนั่งกุมท้องหัวเราะนางแทน
ลู่ซีพองแก้มอย่างไม่พอใจ
"เสี่ยวจู" คนตัวเล็กเรียกบ่าวรับใช้ตัวโตผู้นั้นมาประคอง
"ท่านหญิง" เสี่ยวจูได้ยินก็รีบประคองแขนนายหญิงของตนให้ลุกขึ้น
"คุณหนู" นางให้เขาเปลี่ยนสรรพนามใหม่
"เจ้าค่ะ" เสี่ยวจูลืมตัวซ้ำยังทำท่าสะบัดสะบิ้งหมั่นไส้คนที่ทำให้นายหญิงของตนบาดเจ็บ
เสี่ยวจูเป็นขันทีในวัง แต่เพราะตัวใหญ่ซุ่มซ่ามทำอะไรไม่ระมัดระวัง ไปใช้แรงงานอยู่โรงซักล้างก็ไปทำฉลองพระองค์ตัวโปรดราคาแพงของอดีตฮองเฮาขาดวิ่น ขณะที่โดนโบยจนเกือบตายลู่จวิ้นอ๋องผ่านมาพอดีจึงช่วยขอร้อง และรับตัวมาอยู่เหมิงจู ตั้งแต่นั้นมาเขาก็ตั้งใจตอบแทนบุญคุณของลู่จวิ้นอ๋องและบุตรชายหญิง โดยเฉพาะท่านหญิงผู้น่าสงสารคนนี้
เขาก้มหน้าก้มตามองพื้นเห็น เพราะโกรธที่ทำอะไรเด็กคนนั้นไม่ได้ แต่มองไปมองมากองสีแดงนั่นทำไมยิ่งใหญ่ขึ้นล่ะ
"กรี๊ดดดด คุณหนูท่านเลือดไหล"
ลู่ซีย่นคิ้วเรียวสวย ผ้าเช็ดหน้าสีขาวถูกนางดึงออกมาจากอกส่งให้เสี่ยวจู ขันทีหนุ่มรับมาและปฐมพยาบาลให้นางเป็นการด่วน
เจิ้นหลินเฟิงเห็นว่านางบาดเจ็บก็หน้าถอดสีรู้สึกผิด
"ขะ ข้าขอ...." เด็กชายกำลังจะเอ่ยคำขอโทษแต่ลู่ซีกลับเมินเฉย
"อาหารอยู่ตรงนั้น ถ้ายังเดินได้ก็ลุกขึ้นมากินเสีย" น้ำเสียงของนางเย็นชา พูดจบก็หมุนตัวจากไป โดยมีเสี่ยวจูคอยประคองไม่ห่าง
คนที่นอนอยู่บนเตียงกลืนน้ำลายอึกใหญ่ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นนางมีอารมณ์โกรธ ทั้งที่ปกติต่อให้เขาแกล้งนางรุนแรงแค่ไหน สตรีหน้าตายผู้นั้นก็ไม่เคยเลิกยิ้มให้เขาเลยสักครั้ง
แสดงว่าครั้งนี้เขาทำผิดเกินไปแล้ว