webnovel

ภาคต่อตอนที่ 7  หลบไปฝึกวิชา

"เราจะไปไหนกันหรือเจ้าคะ?"ชิงหลินถามสามีที่นั่งอยู่ด้านข้างเมื่อเห็นรถม้าออกมานอกเมืองหลวง มุ่งตรงไปทิศทางเดียวกับไปป่าอาถรรพ์

"ที่ๆเจ้าจะต้องชื่นชอบอย่างแน่นอน"ตอบนางเสียงหวาน โอบไหล่บอบบางเข้ามาพิงร่างของตนเอง ดวงตาคมทรงเสน่ห์ดูล้ำลึกเกินคาดเดาถึงความคิดที่มีอยู่ภายใน

"หลินหลิน จะพาฟานฟานไปหาท่านพ่อกับท่านแม่ที่ป่าอาถรรพ์หรือ?"เจ้าพยัคฆ์น้อยที่นั่งอยู่อีกฝั่งกระโดดขึ้นมาบนตักนุ่มนิ่มที่มันชื่นชอบเรียกร้องความสนใจจากนาง

"อา..หากเจ้าคิดถึงอยากไปเยี่ยมพ่อแม่ ข้าจะบอกเขาให้"ตอบมันทางจิต เพราะเท่าที่ดูรถม้าคันนี้กำลังมุ่งหน้าไปทางป่าอาถรรพ์ หากจะขอให้เขาแวะสักพักก็คงจะไม่เป็นไร

"ฟานฟานบอกเมื่อไหร่ว่าคิดถึงพวกท่าน"เจ้าพยัคฆ์น้อยสะบัดหัวกลมๆเล็กๆอย่างแง่งอน

ชิงหลินยิ้มอ่อนขบขันกับอาการปากไม่ตรงกับใจของมัน หมั่นโถวน้อยเห็นการกระทำของหัวหน้าก็เลยเอาอย่างบ้าง มันเดินมาหยุดเบื้องหน้าแม่ทัพหนุ่มเงยหน้าส่งสายตาชนิดเดียวกับที่ใช้ได้ผลกับหลินหลินให้ ซึ่งได้ผลเพราะแม่ทัพหนุ่มอุ้งมันขึ้นวางบนตักทั้งยังลูบหลังให้มันจนมันเคลิบเคลิ้มครางออกมาอย่างมีความสุข โดยมีสายตาจากเป่าเปาน้อยที่มองหัวหน้าและน้องสาวด้วยสายตาเอือมระอา

มู่หลิ่งเหวินตั้งใจพาภรรยาไปพักผ่อนหลบหนีเรื่องราววุ่นวาย อันอาจจะเกิดหลังจากนี้ ด้วยไม่ปรารถนาเห็นใบหน้าจิ้มลิ้มเศร้าสลด สะเทือนใจ และที่สำคัญหากนางรู้ว่าตนเป็นผู้อยู่เบื้องหลัง แล้วเกิดเกลียดกลัวเขาขึ้นมา แค่คิดก็รู้สึกเจ็บแปลบไปทั้งใจแล้ว!

"กำลังคิดอะไรอยู่หรือเจ้าคะ?"ถามเมื่อเห็นสามีนิ่งเงียบไป คล้ายกำลังครุ่นคิดอะไรอยู่

"อา..พี่กำลังคิดว่า...คืนนี้...."

"เอ๊ะ...คืนนี้ทำไมหรือเจ้าคะ?"

ใบหน้าหล่อเหลาก้มลงมาใกล้จนลมหายใจเป่ารดใบหน้าจิ้มลิ้ม หลุบตามองร่างเล็กบอบบางที่อยู่ในอ้อมแขนครู่หนึ่งก่อนจะยกยิ้มเล็กน้อย แล้วกระซิบกระซาบข้างหู "คืนนี้....พี่จะจัดการเจ้าอย่างไรดี"

"บ้า! พูดออกมาได้ ไม่อายปากเลยนะเจ้าคะ"ทุบอกเขาแรงๆกลบเกลื่อนความอาย พยายามดันตัวเองออกห่าง แต่กลับถูกมือหยาบหนากดศีรษะให้แนบชิดกับอกแกร่งเสียจนหน้าแทบจะมุดหายเข้าไปในอกแกร่งหนั่นแน่นนั่น

"หึๆ..พี่เพียงเย้าเล่น เหตุใดจึงคิดจริงจังนักเล่า?"แกล้งกระชับอ้อมแขนแน่นขึ้นอย่างหยอกล้อ

"หลินเอ๋อร์เปล่า...แล้วนี่เราจะไปไหนกันแน่เจ้าคะ?"รีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนาเพราะกลัวจะถูกแกล้งมากกว่านี้

"ไปเรือนตากอากาศของตระกูลมู่"

"เอ๊ะ...เหตุใดปุบปับนัก?...แล้วจะไปพักกี่วันหรือเจ้าคะ?"

"อา..จนกว่า...หลินเอ๋อร์..จะมีทายาทให้พี่..เช่นนี้ดีรึไม่?"กล่าวเย้าทีเล่นทีจริง แต่ในคำกล่าวที่เหมือนทีเล่นทีจริงนั้น มีความจริงแฝงอยู่ซึ่งสำคัญมากนั่นคือ ความปลอดภัยของภรรยา

ด้วยไม่อาจคาดเดาได้ถึงความคิดของขุนนางชั่ว มันอาจพานักฆ่ามาถล่มจวนแม่ทัพ หรืออาจใช้วิธีสกปรกอย่างการลักพาตัวนางอีกครั้งก็เป็นได้

ประการแรกมู่หลิ่งเหวินมั่นใจว่า จางมู่หลงและกองกำลังปีศาจมู่เพียงหนึ่งกอง สามารถจัดการกับเรื่องนี้ได้ แต่ที่ทำให้เขาไม่อาจวางใจให้นางอยู่ที่จวนแม่ทัพในยามนี้ นอกจากไม่อยากเห็นนางไม่สบายใจแล้ว นางยังเป็นจุดอ่อนอันดับหนึ่งของเขา!

ดังนั้นการพานางออกมาให้ห่างจากวงโคจรที่สุ่มเสี่ยงเต็มไปด้วยอันตราย ย่อมเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดแล้ว แม้จะมั่นใจว่าสามารถปกป้องคุ้มครองนางได้ แต่ป้องกันไว้ก่อนย่อมดีกว่ารออย่างหวาดระแวง

"พี่เหวิน?...พี่เหวิน?"เขย่าแขนสามี

"หือ? มีอันใดหรือ?"

"เป็นอะไรไปเจ้าคะ? เหตุใดวันนี้จึงดูเหม่อลอยนัก หลินเอ๋อร์เรียกตั้งหลายครั้ง" ยังไม่ทันได้ตอบกลับ เสียงหนึ่งก็ดังเข้ามา

"เรียนท่านแม่ทัพ ถึงเขตป่าอาถรรพ์แล้วขอรับ"จิ๋นซานที่ขี่ม้าประกบด้านข้างรถม้ารายงานผู้เป็นนาย

"ข้ารู้แล้ว"ตอบกลับเสียงเรียบ

"หลินเอ๋อร์ขอเวลาสักครึ่งชั่วยามนะเจ้าคะ"เอ่ยขออนุญาตสามีทันทีที่เท้าแตะพื้น

"ได้สิ...อยากให้พี่ไปด้วยหรือไม่?"

"พี่เหวินรออยู่ที่นี่เถิดเจ้าค่ะ หลินเอ๋อร์จะรีบไปรีบกลับ"

"ได้..รีบไปรีบมาเล่า ยังต้องเดินทางอีกหลายชั่วยาม"

"ทราบแล้วเจ้าค่ะ ท่าน แม่ ทัพ"ประสานมือคำนับล้อเลียน ทำเอาสองจิ๋นซาน จิ๋นซื่อ และกองกำลังเงาซึ่งสังกัดอยู่ในกองกำลังปีศาจมู่ เชี่ยวชาญการใช้เงาและการต่อสู้กว่าห้าสิบนาย ติดตามคุ้มกันไปบ้านตากอากาศในครั้งนี้ด้วย ลอบยิ้มขบขันในความน่ารักน่าเอ็นดูของฮูหยินน้อย

ร่างสูงยืนกอดอกมองนางกับสามมารน้อยที่เดินหายเข้าไปในป่าอาถรรพ์ เพียงลำพังไร้ผู้คุ้มกัน เหตุเพราะในป่าอาถรรพ์แห่งนี้มีสัตว์เทพคุ้มครองอยู่ ซึ่งเป็นพ่อแม่ของเจ้าพยัคฆ์น้อย ดังนั้นจึงเป็นที่ที่นับว่าปลอดภัยอย่างยิ่งต่อนาง

ที่ผ่านมามู่หลิ่งเหวินมักจะคาดเดาเหตุการณ์ได้ค่อนข้างแม่นยำและมีประสิทธิภาพยิ่ง แต่ในครั้งนี้ การคาดเดาของเขาใช้ไม่ได้เสียแล้ว เพียงหนึ่งเค่อที่นางและสามมารน้อยเข้าไปก็เกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น

โฮกกกกกก เสียงร้องอันทรงพลัง พัดเอาลมพายุหอบใหญ่ออกมาจากป่าอาถรรพ์ พุ่งตรงมายังกลุ่มของแม่ทัพหนุ่มจนแทบตั้งรับไม่ทัน ม้าศึกที่คุ้นชินกับเสียงอึกทึกแตกตื่นส่งเสียงร้องอย่างตื่นตระหนก ทำท่าจะวิ่งหนีตามสัญชาตญาณยังดีที่กองกำลังเงา ช่วยกันจับไว้และทำให้มันสงบได้อย่างรวดเร็ว

"ท่านแม่ทัพ!"จิ๋นซาน จิ๋นซื่อสองก้าวเร็วๆเข้ามาหาแม่ทัพหนุ่มที่ยืนปักหลักมั่นคงอยู่ข้างรถม้า สายตาจับจ้องป่าอาถรรพ์ "ท่านแม่ทัพ จะทำเช่นไรกันดีขอรับ?"จิ๋นซานถามใบหน้าคมเข้มมีความกังวลใจเล็กน้อย

"ข้าคิดว่าเราควรเข้าไปช่วยฮูหยินน้อยนะขอรับ"จิ๋นซื่อแสดงความคิดเห็น

ยังไม่ทันได้ตัดสินใจก็มีเสียงดังก้องกังวานออกมาจากป่าอาถรรพ์ เพียงแต่คราวนี้เป็นมู่หลิ่งเหวินได้ยินชัดเจนและยังเข้าใจทุกถ้อยคำ

"ข้าคือสัตว์เทพของราชามังกร ยามนี้ฮูหยินน้อยของเจ้ากำลังมีภัย ข้าจะคอยดูแลนางแทนเจ้าเอง ส่วนเจ้ากลับไปจัดการสะสางเรื่องวุ่นวาย ให้เรียบร้อย แล้วค่อยมารับนางกลับไป"เสียงนั้นแม้จะแหบแห้งแต่กลับทรงพลังและเย่อหยิ่งยิ่งนัก

"น้ำใจของท่านข้าขอรับไว้ด้วยใจ ข้ากำลังพานางไปยังที่ที่ปลอดภัยอยู่แล้ว ไม่บังอาจรบกวนความสำราญของท่าน"โต้กลับออกเสียงอย่างสุภาพ ด้วยยามนี้ตนกำลังเป็นรอง

"เจ้าคิดว่า คนของเจ้าซื่อสัตย์ ภักดีต่อเจ้าทุกคนเช่นนั้นรึ?"

"ย่อมเป็นเช่นนั้น"แม่ทัพหนุ่มตอบอย่างมั่นใจ คนเหล่านั้นที่ว่า คือทหารภายใต้บังคับบัญชาของตน

"ฮ่าๆๆๆหากเจ้าหมายถึงเหล่าทหารหาญ ย่อมเป็นดังที่เจ้ากล่าว แล้วบ่าวไพร่ที่อยู่ในบ้านในจวนนับร้อยนั่นเล่า เจ้าก็มั่นใจรึ?"

"...."แม่ทัพหนุ่มมีอาการชะงักไปเล็กน้อย

"ที่ที่เจ้าคิดว่าปลอดภัย กลับเป็นที่ที่อันตรายสำหรับนาง จงเลือกซะ ว่าจะให้นางอยู่กับข้า หรือจะดันทุรังพานางไปตาย"

"..."แม่ทัพหนุ่มถอนใจออกมาอย่างจนใจ หากเป็นดังที่สัตว์เทพบอกกล่าว แล้วตนยังพานางไป มิใช่ว่าตนเลอะเลือนหรอกหรือ?

"เช่นนั้น ข้าคงต้องรบกวนท่านช่วยดูแลฮูหยินของข้าด้วย"แม่ทัพหนุ่มประสานมือคำนับไปทางเสียงที่ดังออกมาจากป่าอาถรรพ์

"เรื่องนั้นเจ้าวางใจได้ นางเป็นคนสำคัญของพวกเรา"

"ข้าขอพบฮูหยินของข้าอีกสักครั้งได้หรือไม่?"แม่ทัพหนุ่มไม่ใส่ใจกับคำพูดของอีกฝ่าย กลับขอพบนางอีกครั้งเพื่อล่ำลา

"จะพบก็พบได้ แต่เจ้าจะบอกนางว่าอย่างไร?"

"...."นับเป็นครั้งแรกที่แม่ทัพหนุ่มจนด้วยคำพูด ไม่รู้จะบอกกล่าวเหตุผลให้นางเชื่ออย่างไรดี หากบอกนางตามจริง ด้วยนิสัยดื้อเงียบของนางย่อมไม่ยอมทำตามคำพูดของตนเป็นแน่ แต่จะให้บิดเบือนความจริงหากนางรู้เข้า ไม่แคล้วถูกนางโกรธเคือง

"เช่นนั้น ข้าขอฝากข้าวของเครื่องใช้นี้ มอบให้นางแทนข้าด้วย"แม่ทัพหนุ่มส่งสัญญาณมือให้ จิ๋นซานนำของใช้ของฮูหยินน้อยในรถม้ามาถือไว้ "บอกนางด้วยว่า ข้าจะรีบกลับมารับนางกลับจวนให้เร็วที่สุด"

"แล้วข้าจะบอกนางให้" จบคำก็เกิดลมพายุพัดออกมาจากป่าอาถรรพ์หอบใหญ่ ข้าวของเครื่องใช้ของนางก็หายวับไป แล้วทุกอย่างก็เข้าสู่ภาวะปกติ ร่างสูงยืนมองลึกเข้าไปในป่าอาถรรพ์อีกครั้ง ก่อนจะหมุนตัวกลับเข้าไปในรถม้าแล้วสั่งให้มุ่งหน้ากลับจวนแม่ทัพไร้พ่าย

"ปู่เสือ ที่ข้าถูกลักพาตัวครั้งนี้ เกี่ยวข้องกับครั้งก่อนๆใช่หรือไม่?"ชิงหลินถามพยัคฆ์โคร่งขาวหรือปู่เสือ หลังจากที่ยืนดูทั้งสองสนทนากันตั้งแต่ต้นจนจบ ไม่อาจเข้าไปแทรกแซงได้ เพราะถูกพลังอำนาจของปู่เสือสกัดกั้นไว้ แม้แต่จะบอกลายังไม่มีโอกาส ปู่เสือช่างใจร้ายนัก!

"ฮึ!....กล้าต่อว่าข้าในใจรึ! ข้าอุตส่าห์ออกหน้าช่วยเจ้า เพราะเห็นเจ้ากำลังมีภัย ยังไม่สำนึกอีก มันน่าโมโหนัก!"พยัคฆ์โคร่งขาวใช้พลังสัตว์เทพคุยกับนาง เช่นยามที่นางคุยกับสามสหายน้อย

"ข้าไม่แปลกใจเลยว่าทำไมฟานฟานน้อยถึงได้ขี้น้อยใจนัก คิกๆ"ชิงหลินไม่ได้สำนึกผิด ซ้ำยังพูดจาล้อเลียนอีกฝ่าย

"เจ้า...ข้าไม่อยากเสียเวลากับเจ้าแล้ว!!"พยัคฆ์โคร่งขาวสะบัดก้นเดินเข้าไปในถ้ำที่เนรมิตขึ้น ปล่อยให้ชิงหลิน สามสหายน้อย ย่าเสือและพยัคฆ์น้อยตัวพี่ มองหน้ากันขบขันแล้วเดินตามเข้าไปในถ้ำ

"เฮ้อ!...สุดท้ายคำถามข้าก็เป็นหมัน ใครกันที่สั่งให้คนมาจับข้า? จะใช่คนเดียวกับที่ส่งคนมาลอบสังหารข้ารึเปล่า? คงไม่ใช่คุณหนูหานหรอกนะ? หากไม่ใช่นาง แล้วจะเป็นใครไปได้?"ช่อลดาพึมพำกับตนเอง คิ้วเรียวขมวดมุ่นอย่างคิดไม่ตก

"...หลินหลิน เป็นอันใดไป? รีบเข้ามาข้างในเถิด"เจ้าพยัคฆ์น้อยหมุนตัวกลับมาเรียก เมื่อเห็นนางยืนนิ่งอยู่กับที่ ร่างกายที่ใหญ่โตกว่าพยัคฆ์เต็มวัยหนึ่งส่วนของมัน ดูสง่างามน่าเกรงขามยิ่งนัก

"ข้ารู้แล้ว"ชิงหลินเดินตามเข้าไป พร้อมกับความคิดที่มุ่งมั่นอย่างหนึ่ง

------------

"ปู่เสือ ข้าอยากฝึกวิชาไว้ป้องกันตัว ท่านพอจะมีหนทางช่วยเหลือข้าบ้างหรือไม่?"ชิงหลินถามหลังอาหารมื้อค่ำผ่านไป

"...นั่นเป็นอีกหนึ่งเหตุผล ที่ข้ารั้งเจ้าอยู่ที่นี่"พยัคฆ์โคร่งขาวให้ความกระจ่างกับนาง

"แล้วข้าต้องทำเช่นไรบ้าง โปรดบอกมาได้ ข้าพร้อมเสมอ ท่านอาจารย์"คุกเข่ากราบ ฝากตัวขอเป็นศิษย์

"ข้าเป็นสัตว์เทพ ไม่สามารถเป็นอาจารย์เจ้าได้ เรียก ปู่เสือ เช่นเดิมเถิด"

"วิชาที่ข้าจะสอนเจ้า ไม่ใช่วิชาที่มนุษย์เช่นพวกเจ้าฝึกกัน แต่เป็นการฝึกปราณพลังจิตให้แข็งแกร่ง หากฝึกจนบรรลุขั้นสูงสุด เจ้าจะสามารถใช้พลังจิตเรียกสัตว์ต่างๆทั้งยังสามารถสะกดจิตให้สัตว์เหล่านั้นทำตามคำสั่งได้อีกด้วย"

"...เป็นวิชาที่ล้ำเลิศยิ่งนัก เหตุใดท่านจึงสอนวิชาปราณพลังจิตนี้ให้แก่ข้า? หรือเป็นเพราะรูปสักมังกรฟ้าที่หลังของข้า?"

"ถูกต้องส่วนหนึ่ง อีกส่วนคือ จิตใจที่งดงาม มีเมตตาต่อสรรพสัตว์และมนุษย์ด้วยกันเองของเจ้า ทำให้ราชามังกรพึงพอใจยิ่งนัก ถึงกับสั่งให้ข้า สอนวิชาปราณพลังจิตนี้แก่เจ้าให้จงได้"

"ขอบคุณท่านราชามังกร"พอกล่าวจบก็ให้รู้สึกจั๊กจี้ที่กลางหลัง คล้ายมีบางอย่างเคลื่อนไหวก็ทำให้รู้ว่า มังกรฟ้าตอบรับคำขอบคุณของนางแล้ว นั่นทำให้นางสบายใจอย่างบอกไม่ถูก

"ข้าจะเริ่มสอนเจ้าตั้งแต่พรุ่งนี้ รวมทั้งพวกเจ้าสามตัวด้วย"พยัคฆ์โคร่งขาวดักคอเพราะได้ยินความคิดที่อยากจะหนีเที่ยวของเจ้าลูกชายตัวดีกับสองจิ้งจอกน้อย ซึ่งมีกลิ่นอายของปีศาจจิ้งจอกเก้าหางอยู่ นับว่านางมีสัตว์ผู้พิทักษ์ที่ไม่เลวเลยทีเดียว

"..ทราบแล้วขอรับ/เจ้าค่ะ"สามสหายน้อยรับคำสั่งน้ำเสียงละห้อย

"เจ้ารอง เจ้ามีหน้าที่คอยเฝ้า จับตาดูเจ้าสามตัวนี้ อย่าให้เถลไถลเด็ดขาด"หันมาสั่งพยัคฆ์น้อยตัวพี่ของเจ้าพยัคฆ์น้อยฟานฟาน

"ข้าทราบแล้วท่านพ่อ"พี่รองของเจ้าพยัคฆ์น้อยรับคำหนักแน่น

-------------

ทีแรกชิงหลินคิดว่า ต้องฝึกในถ้ำที่ปู่เสือเนรมิตขึ้น แต่ที่ไหนได้ ปู่เสือย่าเสือกลับพาพวกนางเดินลึกเข้าไปในป่าซึ่งห่างจากถ้ำราวสามลี้

ที่นั่น มีกระท่อมหลังเล็กอยู่หนึ่งหลัง ภายในมีข้าวของเครื่องใช้จำเป็นครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็น โต๊ะ เตียง หมอน ผ้าห่ม โคมไฟ ข้าวสารอาหารแห้ง เป็นต้น ส่วนเสื้อผ้าสามีรูปงามสั่งให้สาวใช้จัดเตรียมไว้พร้อมสรรพ ซึ่งนางนำมันมาที่กระท่อมด้วยตามคำสั่งของปู่เสือ

ห่างออกไปหนึ่งลี้มีน้ำตกชั้นเดียวที่ตกลงมาจากความสูงราวตึกสามชั้นอยู่ รอบน้ำตกมีต้นไม้หลากสีสันทั้งเหลือง ส้ม แดง งดงามไปอีกแบบ บ่งบอกให้รู้ถึงฤดูกาลได้เป็นอย่างดี เพราะนี่คือ"ฤดูใบไม้ร่วง"นั่นเอง

เมื่อทุกอย่างพร้อม การฝึกฝนจึงได้เริ่มขึ้น ชิงหลินแยกมาฝึกกับปู่เสือ ที่ลานกว้างหน้ากระท่อม ส่วนสามสหายน้อยมีย่าเสือเป็นผู้ฝึกให้ มีพี่รองของพยัคฆ์น้อยคอยดูแลไม่ให้พวกมันเหลวไหล

ผ่านไปสี่วันชิงหลินบรรลุปราณพลังจิตขั้นที่หนึ่ง คือ สามารถส่งกระแสจิตพูดคุยกับสัตว์ในระยะสิบลี้ได้ราวกับพวกมันอยู่ตรงหน้า

วันที่แปด ชิงหลินบรรลุขั้นที่สอง คือ สามารถส่งกระแสจิตพูดคุยกับสัตว์ได้ไกลถึงร้อยลี้มองเห็นพวกมันได้อย่างชัดเจนเช่นขั้นที่หนึ่ง และยังสะกดจิตสัตว์ตัวเล็กๆให้ทำตามคำสั่งได้ เช่น แมลง นก หนู

ล่วงเข้าวันที่สิบสอง นางก็บรรลุขั้นที่สาม สิ่งที่เพิ่มมาจากขั้นหนึ่งและขั้นสองคือ สามารถส่งกระแสจิตพูดคุยและควบคุมสัตว์ขนาดกลางได้ในระยะหนึ่งพันลี้เพียงแค่ขั้นสาม ชิงหลินก็สามารถโจมตีหรือถล่ม ยึดครองแคว้น มาเป็นของตนได้แล้ว นับเป็นบุคคลอันตรายที่ไม่ควรตั้งตนเป็นศัตรูด้วย

วันที่สามสิบของการฝึกในที่สุด ชิงหลินก็บรรลุขั้นที่สี่อันเป็นขั้นสูงสุดของวิชาปราณพลังจิต สามารถส่งกระแสจิตพูดคุยและควบคุมเหล่าสรรพสัตว์ทั่วหล้าได้อย่างใจนึกโดยที่สัตว์เหล่านั้นไม่อาจต้านทานหรือขัดขืนพลังของนางได้ รวมถึงสี่สัตว์เทพ ซึ่งเป็นผู้พิทักษ์ทิศทั้งสี่ของราชามังกร

สี่สัตว์เทพ ประกอบด้วย มังกรเขียว เสือขาว หงส์แดงหรือหงส์เพลิง และเต่าดำ เป็นสัตว์เทพที่คอยปกปักษ์รักษาทิศทั้งสี่ให้อยู่ในความสงบเรียบร้อย ซึ่งยามนี้นางได้พบหนึ่งในสี่สัตว์เทพแล้ว นั่นก็คือ พยัคฆ์โคร่งขาวหรือ ปู่เสือนั่นเอง

"ข้าไม่คาดคิดว่าเจ้าจะมีพรสวรรค์และเก่งกาจสามารถถึงเพียงนี้"พยัคฆ์โคร่งขาวเอ่ยปากชื่นชมนาง ภายหลังกลับมาที่ถ้ำเนรมิตแล้ว

"เป็นเพราะการช่วยเหลือของท่าน ย่าเสือและฟงฟงน้อย ข้าจึงฝึกปราณพลังจิตสำเร็จรวดเร็วถึงเพียงนี้ ขอบคุณมากเจ้าค่ะ"กล่าวขอบคุณครอบครัวพยัคฆ์ ด้วยความซาบซึ้งใจ

"ท่านพ่อ แล้วข้าเล่า?"เจ้าพยัคฆ์น้อยถามหาความดีความชอบ หนึ่งเดือนมานี้มันเองก็ฝึกฝนอย่างหนักเพื่อจะได้มีพลังมากพอ ไว้คอยคุ้มครองดูแลหลินหลิน ไม่ต้องอาศัยผู้อื่นเฉกเช่นที่ผ่านมา

"เจ้าทั้งสามเองก็พัฒนาไปมาก สามารถใช้ปราณยืดหดตัวได้ ตามที่ใจปรารถนา แต่จงจำไว้ อย่าใช้พร่ำเพื่อ เพราะจะทำให้สูญเสียพลังโดยไม่จำเป็น"พยัคฆ์โคร่งขาวเอ่ยชมพร้อมทั้งเตือนไปด้วย

"ทราบแล้วขอรับ/เจ้าค่ะ"สามสหายน้อยตอบรับอย่างพร้อมเพรียง

"ส่วนเจ้า อย่าลืมสิ่งที่ข้าเตือนเด็ดขาด"หันกลับมากำชับนางเสียงเข้ม

"ข้าจะจำไว้"ชิงหลินน้อมรับคำเตือนของปู่เสือผู้มีพระคุณและยังเป็นอาจารย์ในเวลาเดียวกัน

"ท่านพ่อ คือข้า...."พี่รองของพยัคฆ์น้อยหรือฟงฟงน้อยที่ชิงหลินตั้งชื่อให้ส่งเสียงออกมา

"เจ้าอยากออกไปดูโลกภายนอก ใช่หรือไม่?"

"ขอรับ"

"....ที่รัก เจ้าจะว่าเยี่ยงไร?"พยัคฆ์โคร่งขาวหันมาขอความเห็น

"...ท่านรู้คำตอบดีอยู่แล้ว เหตุใดจึงต้องมาถามความเห็นข้าอีกเล่า"ย่าเสือที่นั่งอยู่ข้างๆย้อนถามอีกฝ่าย

"ท่านพ่อ ท่านแม่ อนุญาตให้พี่รองไปเถิดขอรับ"เจ้าพยัคฆ์น้อยช่วยพูดอีกแรง ทั้งหมดเป็นเพราะเจ้าพยัคฆ์น้อยเล่าประสบการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้น จนพี่รองเกิดความสนใจใคร่รู้และปรารถนาประสบการณ์เช่นเดียวกับน้องชายของตัวเองขึ้นมาบ้าง

"...ยามเฉินวันพรุ่ง เจ้าก็สามารถกลับบ้านได้ และไหนๆก็จะไปแล้วก็ช่วยเอาลูกชายข้าอีกคนไปด้วยก็แล้วกัน"เสียงอนุญาตนั้นราวกับเสียงสวรรค์ สำหรับชิงหลินสองพยัคฆ์น้อยและสองจิ้งจอกน้อยยิ่งนัก

"ปู่เสือ ย่าเสือโปรดวางใจ ข้ารับปากจะดูแลฟงฟงน้อยอย่างดีเจ้าค่ะ"

------------

ยามเฉินวันต่อมา

หลังจากล่ำลาปู่เสือย่าเสือเรียบร้อยแล้ว ชิงหลินพร้อมด้วยสองพยัคฆ์น้อยที่หดตัวเล็กลงเท่าแมวบ้าน และสองจิ้งจอกน้อยสีขาวปลอดก็ได้เวลากลับจวนแม่ทัพไร้พ่ายเสียที

หนึ่งเดือนที่ผ่านมาชิงหลินยอมรับอย่างไม่อายว่า คิดถึงสามีรูปงามและอ้อมกอดที่อบอุ่นนั้นเหลือเกิน พี่เหวิน...ท่านเล่าคิดถึงข้าบ้างหรือไม่?

"ฮูหยินน้อย! ฮูหยินน้อย! ในที่สุดท่านก็ออกมาได้เสียที ข้ามาเฝ้ารอท่านทุกวันเลยขอรับ"จิ๋นอี้รีบเดินเข้ามาหาใบหน้าเปื้อนยิ้มยินดี

"จิ๋นอี้? แล้วคนพวกนี้..."ใบหน้าจิ้มลิ้มมองชายฉกรรจ์ในชุดดำสนิททั้งห้า ด้วยความประหลาดใจ ซ้ำสี่ในห้ายังมีหน้าตาคล้ายกันจนแยกแทบไม่ออก นี่มัน...แฝดสี่!!!

"เป็นองครักษ์คนใหม่ขอรับฮูหยินน้อย ทั้งห้าเป็นพี่น้องกัน"

"คารวะฮูหยินน้อย"ชายทั้งห้าแท้จริงคือ คนแซ่ชง ที่ลักพาตัวนางเพราะถูกบีบบังคับเมื่อหนึ่งเดือนก่อนนั่นเอง ยามนี้ทั้งห้ายอมติดตามรับใช้ท่านแม่ทัพด้วยความเต็มใจ

"ตามสบายเถิด..จิ๋นอี้ ท่านแม่ทัพไม่มาด้วยหรือ?"รับคำคารวะของทั้งห้าแล้วหันมาถามองครักษ์หนุ่ม

"เอ่อ...ยามนี้ท่านแม่ทัพ..."

"พี่เหวินเป็นอะไร? รีบบอกมาเร็วเข้า!"เดินเข้ามาใกล้อีกฝ่าย ใบหน้าจิ้มลิ้มซีดเผือดลงอย่างเห็นได้ชัด ทำเอาสี่สหายน้อยที่ยืนอยู่ข้างหลังรับรู้ได้ถึงความกังวลใจของหลินหลิน อดไม่ได้ต้องเดินมาข้างหน้าแหงนหัวเล็กๆขึ้นมองด้วยความห่วงใย

"เรียนฮูหยินน้อย ท่านแม่ทัพถูกพิษไม่ทราบที่มา เมื่อสามวันก่อนขอรับ"

"ถูกพิษ!!? ใครที่กล้าลงมืออุกอาจขนาดนี้!!!?"

"เจ้าขุนนางชั่ว หานหนิงเฉิงขอรับ!!"

"กลับจวนแม่ทัพ!!!"คำสั่งเด็ดขาดของนางเต็มไปด้วยพลังอำนาจผิดกับเมื่อเดือนก่อนลิบลับราวกับเป็นคนละคน เป็นเหตุให้ชายฉกรรจ์ทั้งหกลอบกลืนน้ำลายด้วยความหวาดหวั่น

Next chapter