จิ๋นอี้ ได้รับคำสั่งโดยตรงจากท่านแม่ทัพ ให้จัดเวรยามเฝ้าตรงทางเข้าป่าอาถรรพ์ ทั้งยามกลางวันกลางคืน ด้วยไม่รู้กำหนดเวลาว่าฮูหยินน้อยจะกลับออกมาเมื่อใด เป็นการลงโทษที่เสียท่าให้กับผงนิทราของห้าพี่น้องแซ่ชงจนฮูหยินน้อยตกอยู่ในอันตราย
ห้าชั่วยามหลังจากผงนิทราหมดฤทธิ์ จิ๋นอี้ จิ๋นเอ้อ ก็ได้รับรู้ว่า ฮูหยินน้อยถูกช่วยออกมาได้อย่างปลอดภัย โดยกองกำลังปีศาจมู่ ทำทั้งสองหายใจหายคอคล่องขึ้น
ทั้งสองไม่ได้เกรงกลัวบทลงโทษจากท่านแม่ทัพ แต่ที่ทั้งสองกลัวคือ กลัวว่าฮูหยินน้อยจะได้รับอันตราย และหากเป็นเช่นนั้น พวกเขาไหนเลยจะกล้าอยู่สู้หน้าท่านแม่ทัพได้
"ฮูหยินน้อย โปรดอย่าวู่วาม ช่วยรออีกสักพักเถิด ข้าได้ส่งพิราบขอกองกำลังปีศาจมู่ เพื่อคุ้มกันท่านกลับจวนแล้วขอรับ"จิ๋นอี้เตือนสติ
"ไม่ ข้าจะกลับเดี๋ยวนี้!"ชิงหลินปฏิเสธเสียงแข็ง ใบหน้าจิ้มลิ้มที่มักจะประดับรอยยิ้มอ่อนโยน บัดนี้แข็งกร้าวน่าเกรงขาม จนองครักษ์ร่างสูงใหญ่ยังต้องยอมถอยฉากหลีกทางให้
ส่วนองครักษ์ใหม่ทั้งห้า ได้แต่ยืนมองหน้ากันด้วยความประหลาดใจและชื่นชมในความเด็ดเดี่ยวและดื้อรั้นของฮูหยินน้อย เหตุเพราะยุคสมัยนี้สตรีมักจะอ่อนแอ อยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือน สงบปากสงบคำและอยู่ในโอวาทของสามี น้อยนักที่จะพบเจอสตรีเช่นนี้
"หลินหลิน เป่าเปาได้ยินเสียงฝีเท้าม้าจำนวนมาก กำลังมุ่งหน้ามาทางนี้ขอรับ"จิ้งจอกน้อยส่งเสียงร้องเตือนนาง
"...อยู่ไกลแค่ไหน?"ชิงหลินนั่งยองตรงหน้าจิ้งจอกน้อย สังหรณ์ใจว่ากลุ่มคนที่มาจะมาร้ายมากกว่ามาดี
"สิบลี้เจ้าค่ะ"หมั่นโถวน้อยเป็นผู้ชิงตอบเสียเอง การฝึกในหนึ่งเดือนที่ผ่านมา นอกจากสี่สหายน้อยจะสามารถยืดหดตัวได้ตามใจชอบแล้ว ประสาทสัมผัสทั้งห้าต่างก็พัฒนาขึ้นมาก สามารถได้ยินไกลถึงสิบลี้ มองทะลุทะลวงสิ่งกีดขวางได้ราวกับเลเซอร์ จมูกสามารถแยกกลิ่นยาพิษยาดีได้อย่างชัดเจน สัมผัสถึงอันตรายได้ไกลนับสิบลี้ ซึ่งยามนี้มีเพียงชิงหลินเท่านั้นที่รู้
"ทั้งสิ้นหกสิบคนขอรับ"ฟงฟงพยัคฆ์น้อยตัวพี่บอกข้อมูลเพิ่มเติม
"ฟานฟานยังได้ยินเสียงอาวุธ และยังจับสัมผัสรังสีการฆ่าฟันจากพวกมันได้ด้วย"ฟานฟาน พยัคฆ์น้อยตัวน้องรีบเสริม ด้วยกลัวว่าจะน้อยหน้าพี่รองและสองจิ้งจอกน้อย
"ฮูหยินน้อย?"จิ๋นอี้เรียกเบาๆ ใบหน้าคมเข้มมีความสงสัยใคร่รู้ เมื่อเห็นฮูหยินน้อยมีท่าทีแปลกๆ ด้านหน้ามีสองพยัคฆ์น้อยและสองจิ้งจอกน้อย ส่งเสียงร้องสลับกันราวกับกำลังสื่อสารบางอย่างกับนาง
เช่นเดียวกับห้าพี่น้ององครักษ์ที่ได้แต่ยืนตะลึงอึ้งไม่อยากเชื่อสายตาว่า พยัคฆ์ขาวที่ขึ้นชื่อในเรื่องความดุร้ายและหายากยิ่ง จะเชื่องราวกับแมวเลี้ยงเช่นนี้ และไม่ใช่แค่หนึ่งแต่นางได้ครอบครอบถึงสองตัว แล้วยังมีสุนัขจิ้งจอก ฉายานักล่าผู้โดดเดี่ยวอีก นี่มันออกจะ...ฮูหยินน้อย ดูจะไม่ใช่สตรีธรรมดาอย่างที่คิดจริงๆ
"จิ๋นอี้"ชิงหลินลุกขึ้นมาเผชิญหน้าองครักษ์หนุ่มอีกครั้ง
"ขอรับฮูหยินน้อย"จิ๋นอี้ก้าวมาข้างหน้าหนึ่งก้าว ประสานมือขึ้นเสมออก
"เจ้าพาคนมาเพียงเท่านี้ใช่หรือไม่?"
"มีเพียงเท่านี้ขอรับแต่ทั้งห้าสามารถล่องหนได้"
"ล่องหน? หมายถึง หายตัวได้หรือ?"
"เรียนฮูหยินน้อย คล้ายอย่างนั้นขอรับ เป็นเคล็ดวิชาที่เหมาะสำหรับการหลบหนี แฝงตัวในเงามืด และใช้ในยามจำเป็น คับขัน"ชงซื่อเป็นผู้ไขข้อสงสัยของนาง
"..เจ้าคือ..."
"ข้าน้อย ชงซื่อ ขอรับ ส่วนทั้งสี่เป็นน้องชายของข้า ชงไฉ่ ชงซ่าน ชงอวี้ และ ชงผิ่น"ชงซื่อแนะนำตนเองและน้องชายทั้งสี่
"อืม..ข้าจำได้แล้ว"ชิงหลินพยักหน้า นางเป็นศิลปินวาดรูปที่มีชื่อเสียงคนหนึ่งในโลกเก่า มีความสามารถพิเศษในเรื่องการจดจำ รายละเอียดปลีกย่อยดีกว่าคนอื่น ดังนั้นการแยกแยะว่าใครเป็นใครสำหรับนางง่ายเหมือนปอกกล้วยเข้าปาก
จำได้แล้ว? แฝดสี่ที่เหมือนกันมาก แม้แต่ทหารองครักษ์ในจวนแม่ทัพไร้พ่าย รองแม่ทัพจาง หรือแม้แต่ ท่านแม่ทัพ ยังแยกแยะไม่ออก ขนาดพี่ใหญ่อย่างตนยังสับสนเรียกผิดเรียกถูกอยู่ร่ำไป แล้วจะให้ทำใจเชื่อได้อย่างไร? ร้อยไม่เชื่อ พันไม่เชื่อ ชงซื่อแอบสบประมาทนางในใจ
"จิ๋นอี้ พาคนและม้าไปซ่อนในป่าอาถรรพ์ก่อน"
"...ซ่อน? ขอบังอาจถาม เหตุใดต้องซ่อนขอรับ?"จิ๋นอี้เลิกคิ้วถามอย่างสงสัยเท่าที่สังเกตโดยรอบหามีสิ่งผิดปกติไม่
"...หึๆ..เดี๋ยวก็รู้"ชิงหลินเผยรอยยิ้มร้าย ทำเอาหกองครักษ์ถึงกับเสียวสันหลังวาบ รีบปฏิบัติตามคำสั่งอย่างรวดเร็ว ทิ้งไว้เพียงรอยเท้าม้าที่จงใจให้อีกฝ่ายสังเกตเห็น
หนึ่งเค่อต่อมา
ได้ปรากฏกลุ่มชายชุดดำปิดบังใบหน้า ราวห้าสิบถึงหกสิบคน ควบม้ามาด้วยความเร็วเต็มฝีเท้าและหยุดเมื่อชายชุดดำที่ควบม้านำหน้ายกมือขึ้นเป็นสัญญาณ
ชิงหลินเห็นหนึ่งในนั้น กระโดดลงจากหลังม้าก้มมองรอยเท้าม้าบนพื้นแล้วมองมายังป่าอาถรรพ์ที่พวกนางหลบซ่อนตัวอยู่ ก่อนจะหันไปพูดคุยกับชายชุดดำที่คาดว่าจะเป็นหัวหน้า
"ฮูหยินน้อย จะทำเช่นไรดีขอรับ?"จิ๋นอี้ถามเมื่อเห็นสถานการณ์ไม่สู้ดี หกต่อสิบสำหรับ จิ๋นอี้ไม่มีปัญหา แต่สำหรับห้าองครักษ์หนึ่งต่อสามก็ถือว่าตึงมือแล้วยังต้องคอยคุ้มกันความปลอดภัยของฮูหยินน้อยอีก งานนี้ไม่อาจปะทะซึ่งหน้าได้คงต้องหลบซ่อนในป่าอาถรรพ์นี้เป็นหนทางรอดที่ดีที่สุดในยามหน้าสิ่วหน้าขวานนี้แล้วจิ๋นอี้คิดเช่นนั้น
ฝ่ายชิงหลินไม่ได้สนใจตอบคำถามขององครักษ์หนุ่ม ดวงตากลมโตเป็นประกายสนุกสนานยามที่มองกลุ่มนักฆ่าเบื้องหน้า
"หลินหลิน ให้พวกเราจัดการเอง"ฟานฟานน้อยร้องอาสาทำงานนี้ มันกระตือรือร้นอยากลองใช้วิชาที่ฝึกตลอดหนึ่งเดือนในสนามจริงยิ่งนัก
"ใช่ ให้พวกเราทำงานนี้เถิด เราสัญญาจะมิทำให้หลินหลินผิดหวัง"ฟงฟงน้อยรับคำด้วยความมั่นอกมั่นใจ
"...ก็ได้ ข้ายกหน้าที่นี้ให้พวกเจ้า แต่ห้ามถึงตายนะ"เมื่อเห็นความกระตือรือร้นของสี่สหายน้อย ทำให้นางต้องพับเก็บความอยากลองวิชาของตัวเองไว้ก่อน
"ฮูหยินน้อย จะไม่เป็นไรแน่หรือขอรับ? พวกมันยังเป็นเพียงลูกพยัคฆ์กับจิ้งจอกน้อยไร้พิษสง จะไปต่อกรกับนักฆ่าเกินครึ่งร้อยได้อย่างไร?"จิ๋นอี้เอ่ยขึ้นหลังจากสี่สหายน้อยเดินออกจากที่ซ่อน ตรงไปยังกลุ่มของนักฆ่าที่อยู่ห่างราวหนึ่งลี้แล้ว
"ดูเงียบๆไปก่อนเถิด"หันมาทำตาดุใส่องครักษ์หนุ่ม อีกฝ่ายจึงยอมสงบปากสงบคำแล้วมุ่งความสนใจไปที่สี่สหายน้อยที่เดินอย่างองอาจ ไร้ความหวาดเกรง ไปยังกลุ่มนักฆ่าแทน แต่แล้วก็ต้องเบิกตากว้างค้าปากค้างกับสิ่งที่สะท้อนเข้ามาในดวงตา
ภาพเบื้องหน้าสร้างความตื่นตระหนก ประหวั่นพรั่นพรึงแก่หกองครักษ์ยิ่งนัก ขนาดผู้เฝ้าดูเหตุการณ์ยังตื่นตะลึงถึงเพียงนี้ ไม่ต้องกล่าวถึงนักฆ่าเคราะห์ร้ายเหล่านั้น
"เหวอออ...หะหะหัวหน้า...ปะปะปีปี...ปีศาจ!!...อยะ...อยะ..อย่าเข้ามานะ...อ๊ากกกก"
"โฮกกกก" แฮ่.. .กรรร"
เสียงร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวด ร่างในชุดสีดำล้มลุกคลุกคลานหนีตายกันจ้าละหวั่นราวกับคนเสียสติของเหล่านักฆ่าผู้เคราะห์ร้าย ทำชิงหลินนึกสงสารแต่ยังฝืนทำใจแข็งปล่อยให้สี่สหายน้อยจัดการตามใจชอบ
"อา...พี่ใหญ่ ข้ากำลังฝันอยู่ใช่หรือไม่?"ชงซ่านถามชงซื่อผู้เป็นพี่ชายคนโต ใบหน้าซีดเผือดมีเหงื่อเย็นผุดพราย ดวงตาดุดันเบิ่งกว้างจนแทบถลนออกมาดูน่าขบขันยิ่ง
"โป๊ก!"
"โอ๊ย!พี่รองท่านตีหัวข้าทำไม?"ชงซ่านร้องเสียงดังหันมาทางชงไฉ่ยกมือคลำศีรษะ
"ยังคิดว่าฝันอยู่อีกรึไม่เล่าพี่สาม?"ชงอวี้น้องชายคนที่สี่ถามยิ้มๆ
"หุบปากไปเลยเจ้าสี่"ชงซ่านหันมาถลึงตาใส่น้องชาย
"หยุดทะเลาะกันเป็นเด็กๆเสียที"ชงซื่อดุเสียงเข้ม ชงผิ่นน้องเล็กยิ้มขบขันเมื่อเห็นพวกพี่ๆถูกดุ
ไม่ใช่เรื่องแปลกที่พี่สามจะคิดว่าฝันไป เพราะเหตุการณ์เบื้องหน้า มันช่างมหัศจรรย์เหนือคำบรรยาย
แรกเริ่ม สี่สหายน้อยตัวเล็กจ้อยเท่าลูกแมว น่าเอ็นดูและไร้พิษสง เดินเข้าไปประจันหน้ากับเหล่านักฆ่าในชุดดำที่นั่งบนหลังม้า ชงผิ่นเห็นพวกนักฆ่าก้มมองร่างเล็กจ้อยทั้งสี่แล้วส่งเสียงหัวเราะเย้ยหยัน จนชงผิ่นรู้สึกโมโหแทนพวกมัน
แต่ต่อมา สิ่งที่ชงผิ่นเห็นทำให้เปลี่ยนความคิดไปเลย เมื่อร่างเล็กจ้อยทั้งสี่ค่อยขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆราวกับถูกเป่าลมเข้าไปและหยุดลงเมื่อสี่สหายน้อย อา..ไม่ใช่ ต้องเรียกว่า สี่สหายผู้ยิ่งใหญ่จึงจะถูกมีขนาดเทียบเท่าช้างพลายโตเต็มวัย!
มันทั้งสี่ตัวล้อมนักฆ่ากว่าห้าสิบชีวิตไว้ทั้งสี่ทิศ จนเหล่านักฆ่าไม่อาจหลบหนีกรงขังที่มีชีวิตนี้ได้ ม้าที่เหล่านักฆ่าขี่มาตื่นตกใจตัวแข็งทื่อไม่ยอมทำตามคำสั่ง จนเหล่านักฆ่าจำต้องทิ้งเจ้าม้าแล้วหาทางหนีเอาตัวรอด
มีนักฆ่าบางรายที่คิดต่อกรกับสี่สหายผู้ยิ่งใหญ่ เพียงแค่เงื้อดาบก็ถูกกรงเล็บมหึมาของหนึ่งในสองพยัคฆ์ตบเบาๆ แต่ร่างนั้นกลับกระเด็นกระดอนไปไกลนับลี้แน่นิ่งไปทันที ดูแล้วหากไม่ตายก็คงบาดเจ็บสาหัสมากเลยทีเดียว
เพียงแค่ตบเบาๆยังรุนแรงถึงเพียงนี้ แล้วถ้าตบสุดแรง อา...ไม่อยากคิดเลย ว่าจะสร้างความเสียหายมากขนาดไหน
เหตุการณ์นั้น ทำให้เหล่านักฆ่าที่คิดจะต่อกรพลังอำนาจของสี่สหายผู้ยิ่งใหญ่ ต่างพากันทิ้งดาบยอมจำนน บ้างคุกเข่าบ้างหมอบกราบเนื้อตัวสั่นเทาด้วยความหวาดกลัว ส่งเสียงร้องขอชีวิตกันระงม
"ไปเถิด"เสียงกังวานใสของฮูหยินน้อย ปลุกให้หกองครักษ์ตื่นจากภวังค์ เหลือบมองนางด้วยความเลื่อมใส ต่างคิดตรงกันว่า ตนช่างโชคดีเหลือเกินที่ไม่ได้เป็นศัตรูกับนาง ไม่เช่นนั้นแล้ว คงไม่แคล้วอายุสั้นไร้ที่กลบฝังร่างเป็นแน่!
"ขอรับ ฮูหยินน้อย"ขานรับพร้อมเพรียงและเชื่อฟังยิ่ง ก่อนจะเดินตามร่างเล็กบอบบางไปยังกลุ่มนักฆ่าที่ถูกสี่สหายผู้ยิ่งใหญ่บีบล้อมไว้แทบจะขี่คอกัน
"พอแค่นั้นแหละ จะแกล้งพวกเขาไปถึงไหน เห็นรึไม่ว่าฉี่ราดกันเป็นแถวแล้ว"ทำเป็นเสียงเข้ม มุมปากอวบอิ่มสีแดงยกขึ้นอย่างขบขับ
"หลินหลิน จะให้จัดการนักฆ่าใจเสาะพวกนี้อย่างไร? ว่ามาได้เลย"ฟานฟานน้อยจอมอวดดีร้องถาม เนื่องจากตัวที่ขยายใหญ่เทียบเท่าช้างของมัน ทำให้เสียงร้องของมันดังกึกก้อง เต็มไปด้วยพลังอำนาจของเจ้าป่า และร่างที่ใหญ่โตดั่งช้างสาร ทั้งสง่างามและน่าเกรงยิ่งนัก เล่นเอาหกองครักษ์ เหล่านักฆ่าผู้เคราะห์ร้ายและม้ากว่าห้าสิบชีวิต สั่นสะท้าน หวาดกลัวจนเหงื่อเย็นไหลซึมเป็นน้ำตก
"แม่นาง...แม่นาง..แม่นาง..โปรดไว้ชีวิตด้วย..โปรดไว้ชีวิตด้วย..."เจ้าตัวหัวหน้าคุกเข่าเบื้องหน้านางร้องขอชีวิตอย่างไม่กลัวอับอาย
"โปรดไว้ชีวิตด้วย...."ที่เหลือรีบคุกเข่าร้องขอชีวิตตามหัวหน้าของตนบ้าง
"โปรดไว้ชีวิตด้วย"
"โปรดไว้ชีวิตด้วย"
"..เฮ้อ.."ชิงหลินถอนใจพลางกล่าว "พวกเจ้าจะอยู่หรือตายขึ้นอยู่กับคำตอบของเจ้า"
"เชิญท่านถามมาได้ ข้าจะตอบความจริงทุกอย่าง"
"ใครส่งพวกเจ้ามา?"
"เอ่อ..เรื่องนั้น.."
"ตอบ!"จิ๋นอี้ชักดาบจี้ที่คอหัวหน้านักฆ่า
"ข้าตอบแล้ว...ข้าตอบแล้ว เป็นใต้เท้าหาน หานหนิงเฉิง!"
"ฮึ่ม..หานหนิงเฉิง เป็นเจ้าจริงๆ...ได้..ในเมื่อเจ้าใจคอโหดเหี้ยมถึงเพียงนี้ อย่าหาว่าข้าใจร้ายก็แล้วกัน!"ดวงตากลมโตเป็นประกายกริ้วโกรธ ริมฝีปากอวบอิ่มเม้มเข้าหากันจนเป็นเส้นตรง
จิ๋นอี้เห็นแล้วถึงกับลอบกลืนน้ำลาย ด้วยไม่เคยเห็นฮูหยินน้อยมีโทสะถึงเพียงนี้มาก่อน
"พวกเจ้าไปซะ อย่าให้ข้าเห็นหน้าอีกเป็นครั้งที่สอง"
"ขอบคุณแม่นาง ขอบคุณ ข้าจะไม่มีวันลืมบุญคุณที่ปล่อยพวกข้าในครั้งนี้เลย ขอบคุณ ขอบคุณ"หัวหน้านักฆ่ากล่าวขอบคุณแทนลูกน้องไม่หยุด ก่อนจะพากันลุกขึ้นมองร่างอันใหญ่โตทั้งสี่ที่ยังคงล้อมไม่ยอมเปิดทางให้อย่างหวาดหวั่นใจ
เจ้าหัวหน้านักฆ่าหันมาขอร้องนางผ่านทางสายตา ชิงหลินจึงโบกมือเป็นสัญญาณให้เปิดทาง ฟานฟานน้อยทำท่าฮึดฮัดขัดใจมันแสร้งร้องใส่กลุ่มนักฆ่าเสียงดัง ก่อนจะเชิดหัวอย่างเย่อหยิ่งยอมเปิดทางให้ เมื่อเห็นเหล่านักฆ่าใจเสาะแข็งขาอ่อนเพราะเสียงร้องคล้ายขู่ของมัน
"เดี๋ยว!"เสียงห้ามห้วนจัดของสตรีคนเดิม ทำเอาเหล่านักฆ่าผู้เคราะห์ร้ายชะงักกึกใจคอไม่ดี ใบหน้าของพวกมันซีดเผือดราวกับกระดาษ
"มะมะ..แม่นาง.."หัวหน้านักฆ่าทำใจดีสู้เสือ
"คนของเจ้าได้รับบาดเจ็บหลายคน เพราะสัตว์เลี้ยงของข้า ข้าผู้เป็นเจ้าของก็ต้องรับผิดชอบ รับไปสิ"
หกองครักษ์ได้แต่ยืนอึ้งมองฮูหยินน้อยเป็นตาเดียว พวกมันมาเพื่อสังหารนาง เหตุใดนางต้องรับผิดชอบด้วยเล่า!
หัวหน้านักฆ่าถึงกับพูดไม่ออก มองถุงเงินที่ยื่นออกมาจากสตรีที่พวกมันตั้งใจมาสังหารให้ดับดิ้นด้วยความรู้สึกตื้นตัน มีคนใจดีมีเมตตาเช่นนี้อยู่ในโลกนี้ด้วยหรือ? สวรรค์... ดีเหลือเกินที่ข้าทำงานล้มเหลว...ดีเหลือเกิน..
"ข้าจิวหู(ทะเลสาบแห่งโชคชะตา)และพี่น้องขอสาบานต่อฟ้า จะภักดีและซื่อสัตย์ต่อท่าน หากท่านต้องการเรียกใช้สอย จิวหูและพี่น้องจะรีบมาทันที นายหญิง"
คราวนี้เป็นฝ่ายชิงหลินอึ้งบ้าง เมื่อเห็นเหล่านักฆ่าคุกเข่ายกมือขวาทาบหน้าอกด้านซ้ายพร้อมกับกล่าวสาบานต่อหน้านาง
"ฮูหยินน้อย..ท่านควรรับไว้นะขอรับ"เห็นนางมัวแต่ยืนนิ่งจิ๋นอี้จึงเตือนเบาๆ
"ได้ พวกเจ้าลุกขึ้นเถิด แล้วพวกเจ้าจะไปอยู่ที่ใด? กลับไปหานายเก่าไม่ได้แล้วนี่"อดถามไม่ได้ นักฆ่าทำงานล้มเหลวมักจะถูกฆ่าปิดปากนั่นคือสิ่งที่นางรู้
"..เรื่องนั้น.."จิวหูหันไปมองพี่น้องที่ยืนหน้าเศร้าอยู่ด้านหลัง
"หากไม่มีที่ไป เช่นนั้นก็ตามข้ากลับไปแล้วกัน"
"ฮูหยินน้อย!"จิ๋นอี้ทำท่าจะคัดค้าน
"เอาเถิดน่า เดี๋ยวข้าคุยกับท่านแม่ทัพเอง"ยกมือห้ามองครักษ์หนุ่ม
"ขอบคุณฮูหยินน้อย!!"เหล่านักฆ่าทั้งหกสิบขอบคุณเสียงดัง ใบหน้าคร้ามแดดเป็นประกายความยินดี นึกเลื่อมใสและศรัทธาในตัว "นายหญิง" คนใหม่ยิ่งนัก
"ฮูหยินน้อย ไม่ควรรั้งอยู่นานนะขอรับ"จิ๋นอี้บอกนาง
"ข้ารู้แล้ว.."กล่าวกับองครักษ์หนุ่มเสร็จ ก็หันไปส่งกระแสจิตบอกสี่สหายน้อยที่ยังไม่ยอมกลับสู่ร่างเดิมเสียทีด้วยความระอาใจ
"...ฟานฟาน ฟงฟง เป่าเปา หมั่นโถว เลิกเล่นได้แล้ว"
"จะไปแล้วรึ ฟานฟานยังอยากเล่นต่อ ขอเล่นต่ออีกเดี๋ยวได้รึไม่?"
"ฟาน..ฟาน"
"ก็ได้ ก็ได้ เลิกเล่นก็ได้"มันทำท่าฮึดฮัดอย่างขัดใจ ก่อนจะหดตัวเล็กลงเท่าเดิมตามพี่รองและสองจิ้งจอกน้อย
และแล้วการเดินทางกลับจวนแม่ทัพไร้พ่ายก็ได้เริ่มต้นขึ้นเสียที โดยได้ผู้ติดตามเพิ่มขึ้นถึงหกสิบคน ถือเป็นผลพลอยได้ที่ไม่เลวเลยทีเดียว
ของขวัญจากผู้อ่านคือกำลังใจในการสร้างสรรค์ผลงาน ช่วยส่งกำลังใจให้ไรต์หน่อยน้า^_^