เพียงหนึ่งเค่ออาชาสวรรค์ก็พาสองมนุษย์กับหนึ่งตัวมาถึงเรือนพสุธาอย่างปลอดภัย ยามที่เฝ้าทางเข้าสองคนยืนตะลึงลานอ้าปากค้าง เมื่อเห็นอาชาสีทองตัวใหญ่ตรงหน้าใกล้ๆ
"ตามหมอมาเร็วเข้า!" มู่หลิ่งเหวินกระโดดลงมาอย่างนุ่มนวล ออกคำสั่งเสียงดังจนยามทั้งสองคนสะดุ้ง คนหนึ่งรีบวิ่งไปตามหมอประจำเรือน ส่วนอีกคนก็วิ่งเข้าไปรายงานชิงหยวน
มู่หลิ่งเหวินอุ้มคู่หมายที่หมดสติเข้ามาด้านใน ไม่สนใจอาชาสวรรค์ที่ยืนมองนิ่ง ผิดกับเจ้าฟานฟานน้อยที่ตะกุยห่อผ้าและร้องแง้วๆ จนชายหนุ่มต้องวางห่อผ้าลงบนพื้นให้มันออกมาจากห่อผ้าเอง เพราะสองแขนอุ้มคู่หมายอยู่
เมื่อฟานฟานน้อยออกมาจากห่อผ้าได้ก็เดินเข้าไปหาอาชาสวรรค์ ส่งเสียงร้องชักชวนเชิญชวนให้อาชาสวรรค์ตามมันไป "แง้วๆ"
"ฮี้ๆๆ" อาชาสวรรค์ร้องตอบ มันก้าวเท้าเดินไปข้างหน้าก้าวหนึ่งแล้วถอยหลังเสียสองก้าวอย่างลังเล กว่าฟานฟานน้อยจะเกลี้ยกล่อมอาชาสวรรค์ได้ก็ใช้เวลาเกือบสองเค่อ เล่นเอาฟานฟานน้อยเสียงแหบแห้งและเกือบคอเคล็ด
ยามคนหนึ่งถึงกับตะลึงงันกับภาพเหตุการณ์ตรงหน้า จ้องมองอาชาสวรรค์เดินตามเจ้าพยัคฆ์น้อยของคุณหนูดั่งสัตว์เลี้ยงแสนเชื่องไปยังเรือนด้านในอย่างโง่งม
ขณะเดียวกันภายในห้องที่มีชิงหยวน ชิงฮูหยิน และมู่หลิ่งเหวิน เฝ้ารอการฟื้นของชิงหลินภายหลังจากที่ผ่าเอาหัวลูกธนูและเย็บแผลเสร็จสิ้น
"หลินเอ๋อร์" ชิงฮูหยินนั่งอยู่ข้างเตียง พลางกุมมือเย็นๆ ของบุตรสาวไม่ยอมปล่อย
"เจ้าอย่ากังวลไปนักเลย ท่านหมอก็ยืนยันแล้วว่าลูกไม่ได้บาดเจ็บร้ายแรง เพียงแต่เสียเลือดมากไป อีกเดี๋ยวก็ฟื้นแล้ว" ชิงหยวนบีบมือฮูหยินของตนเบาๆ เพื่อให้กำลังใจ
"จริงสิ หลานชาย เฟิ่งอิงกับคนอื่นๆ เล่า" ชิงหยวนหันมาถามชายหนุ่มที่นั่งหน้าเครียด ผมเผ้าหลุดลุ่ยยุ่งเหยิง อาภรณ์ด้านหน้าเต็มไปด้วยรอยฉีกขาดคล้ายถูกกิ่งไม้เกี่ยว แม้จะบอกให้ไปผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าก็หาฟังไม่ ซ้ำยังยืนกรานจะรอจนกว่านางจะฟื้นเสียก่อน
"คาดว่าอีกสักพักคงตามมาขอรับ" แม่ทัพหนุ่มละสายตาจากร่างของคู่หมาย หันมาตอบด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง
"นะ...นายท่าน!" บ่าวชายคนหนึ่งกระหืดกระหอบเข้ามา
"มีเรื่องอันใด" ชิงหยวนเอ่ยถามเสียงเย็น ส่งสายตาตำหนิเมื่อเห็นความไร้มารยาทของบ่าวในเรือน
"อะ...อาชา...อาชาสีทองขอรับ" บ่าวผู้นั้นละล่ำละลักแจ้งข่าว เหตุเพราะตื่นเต้นมากเกินกว่าจะระงับไว้ได้
"อาชาสีทอง?" ชิงหยวนทวนคำ ก่อนจะหันมามองชายหนุ่มฝั่งตรงข้าม
"อือ...อึก...เจ็บ" เสียงร้องครางอย่างเจ็บปวดของร่างบอบบางบนเตียงทำให้ชิงหยวนและมู่หลิ่งเหวินพุ่งพรวดมายืนชิดขอบเตียง ลืมเรื่องอาชาสวรรค์ไปจนสิ้น
"หลินเอ๋อร์ เจ้าฟื้นแล้ว เป็นเช่นไรบ้าง" ชิงฮูหยินถามบุตรี
"ท่านแม่? ลูกกลับมาได้อย่างไรเจ้าคะ จำได้ว่าลูกโดนธนูยิงแล้วหมดสติไป อาชาสวรรค์ ฟานฟานล่ะเจ้าคะ ฟานฟานอยู่ไหน ฟานฟานของลูก โอ๊ย! เจ็บ" หญิงสาวร้องครางเสียงดังด้วยความเจ็บปวด
"หลินเอ๋อร์!" ชายหนุ่มตรงเข้าประคองคู่หมายไว้แนบอกแกร่งอย่างรวดเร็ว ท่ามกลางความตกใจของทุกคน โดยเฉพาะชิงฮูหยินที่รีบลุกขึ้นหลีกทางให้อย่างงงงัน ผิดกับชิงหยวนที่เลิกคิ้วมองเพียงเท่านั้น ไม่ได้แปลกใจหรือไม่พอใจแต่อย่างใด
ส่วนบรรดาบ่าวรับใช้ต่างก็นิ่งอึ้ง ไม่กล้ามองเพราะกลัวว่าความอยากรู้อยากเห็นจะนำพาภัยพิบัติมาสู่ตนเองและครอบครัวได้
"อะ...เอ่อ...พี่เหวิน ปล่อยข้าก่อนเจ้าค่ะ" ชิงหลินบอกเขาด้วยเสียงแหบเบาหวิวจนแทบจะเป็นเสียงกระซิบ ใบหน้าจิ้มลิ้มที่แต่เดิมขาวซีดเริ่มแดงระเรื่อ สายตาเหลือบเห็นมารดาหน้าตึงขึ้นหนึ่งส่วน ทั้งยังส่งส่งสายตาไม่ค่อยพอใจมาให้ ต่างกับบิดาที่มีท่าทีขบขันลิบลับ แถมยังส่ายหน้าคล้ายระอาอีกต่างหาก
มู่หลิ่งเหวินชะงักวูบ ครั้นพอเงยหน้าก็สบเข้ากับดวงตาคมสองคู่ที่จ้องอยู่ แม่ทัพหนุ่มจึงรีบประคองคู่หมายให้นอนลง แล้วลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ก้มศีรษะให้อาวุโสทั้งสองแล้วรีบจ้ำอ้าวจากไปทันที ทำเอาชิงหยวนนึกขันกับทีท่าขัดเขินของแม่ทัพหนุ่มที่น้อยครั้งจะได้เห็นจนเผลอหัวเราะออกมาเบาๆ จึงถูกคนงามส่งค้อนวงเบ้อเริ่มให้ ส่วนตัวต้นเรื่องได้แต่ก้มหน้าหลบสายตาบิดามารดาด้วยใบหน้าแดงก่ำ ก่อนจะนึกอะไรขึ้นมาได้
"ท่านแม่ ท่านยังไม่ได้ตอบลูกเลย ฟานฟานของลูก..." นางยังพูดไม่ทันจบคำดี เจ้าฟานฟานน้อยก็เดินอาดๆ หลังตรงหัวเชิดเข้ามาหา ส่งเสียงร้องขอความช่วยเหลือจากสาวใช้ให้อุ้มมันขึ้นไปบนเตียง เพราะน้ำหนักค่อนข้างเยอะทำให้มันกระโดดขึ้นเองไม่ไหว
"บะ...บายดี? บายดี...แผล่บๆ ฮื่อออ" พยัคฆ์น้อยส่งเสียงถามอย่างห่วงใย เลียหน้าสลับกับร้องถามมิหยุดหย่อน
"คิกๆๆ ขอบใจนะ ขอบใจมาก" ชิงหลินจั๊กจี้ที่ถูกเลียหน้าจึงหลุดขำออกมา ท่ามกลางรอยยิ้มยินดีระคนโล่งใจของทุกคน
ชิงหยวนดึงตัวชิงฮูหยินมาซบกับไหล่กว้าง มองดูภาพน่าเอ็นดูอย่างมีความสุข ดวงตาคมเป็นประกายเมื่อตระหนักถึงความสามารถพิเศษเหนือผู้ใดของบุตรี
"ไปไป...อาชา...ข้างนอก...อาชา" ฟานฟานน้อยร้องบอกหลินหลินของมัน
"หือ? เจ้าหมายถึงอาชาสวรรค์ตัวนั้น?" ชิงหลินถามอย่างแปลกใจ เห็นมันผงกหัวตอบ รอยยิ้มกว้างก็ปรากฏบนใบหน้าจิ้มลิ้มทันที
"ท่านพ่อ ท่านแม่ อาชาสวรรค์อยู่ที่นี่หรือเจ้าคะ" นางเงยหน้าถามบิดา
"ใช่ มันรอเจ้าอยู่" แต่กลับเป็นคู่หมายที่เดินกลับเข้ามาอีกครั้งเป็นคนตอบ แม่ทัพหนุ่มออกไปก็พบอาชาสวรรค์ตัวนี้ยืนอยู่หน้าเรือนด้วยท่าทางสงบนิ่ง ไม่ยอมให้ผู้ใดเข้าใกล้ พอเดินเข้าไปสองก้าว มันก็ถอยหลังสองก้าว...เป็นเช่นนี้ร่ำไป
"นั่นเจ้าจะทำอันใดหลินเอ๋อร์" ชิงฮูหยินรีบเข้ามาหาบุตรีทันที เมื่อเห็นนางทำท่าจะลงจากเตียง
"เจ้าไม่ควรขยับสุ่มสี่สุ่มห้า เดี๋ยวแผลจะฉีกเอาได้"
"ท่านแม่ ลูกไม่เป็นไรเจ้าค่ะ เพียงแต่อยากจะไปดูอาชาตัวนั้นเสียหน่อยเจ้าค่ะ"
"เอาไว้ให้เจ้าหายดีแล้วค่อยไปดูมันดีหรือไม่" ชิงฮูหยินพยายามเกลี้ยกล่อม
ชิงหลินจึงหันไปขอความเห็นใจจากชิงหยวน เห็นบิดาส่ายศีรษะไม่อนุญาต นางจึงเงยหน้าส่งสายตาออดอ้อนคู่หมายที่ยืนกอดอกอยู่ข้างหัวเตียงแทน แม่ทัพหนุ่มตะลึงด้วยเป็นครั้งแรกที่นางมองตนเช่นนี้ ใจแม่ทัพหนุ่มจึงอ่อนยวบราวกับขี้ผึ้งถูกไฟลน
"ขออภัยขอรับ ข้าขออาสาพาน้องไปเอง" กล่าวจบเขาก็ช้อนร่างบอบบางของนางขึ้นมา โดยมีฟานฟานน้อยอยู่ในอ้อมแขนของนางอีกที
"ฮึๆ ดูท่าวันนี้หลานชายคงกินยาผิดสำแดงมาเป็นแน่ ถึงได้ทำสิ่งที่ชวนให้คนแก่หัวใจวายเสียหลายรอบ" ชิงหยวนอมยิ้มก่อนจะกล่าวติดตลกกับชิงฮูหยิน
"ท่านพี่! ไม่ใช่เรื่องตลกนะเจ้าคะ อาเหวินทำเช่นนี้จะเป็นที่ครหาได้นะเจ้าคะ อีกอย่าง ข้าสงสารลูกเจ้าค่ะ" ใช่ นางสงสารบุตรี แม้จะเห็นความเปลี่ยนแปลงของแม่ทัพหนุ่ม แต่ทุกสิ่งก็ยังคลุมเครือ เช่นนี้จะวางใจได้อย่างไร
"ข้ารู้ ดูต่อไปอีกหน่อยเถิด" ชิงหยวนยิ้มบางๆ พร้อมกับจับมือชิงฮูหยินให้เดินตามไป
ที่หน้าเรือนมีอาชาสวรรค์สีทองร่างสูงใหญ่กำยำ สง่างามและน่าเกรงขามยืนอยู่ รอบข้างมีบ่าวชายหญิงหลายคนยืนดูและเฝ้าสังเกตการณ์อยู่ห่างๆ นับสิบคนด้วยอาการตาโต อ้าปากค้าง บางรายหน้าซีดคล้ายพบเจอภูตผีปีศาจ
มู่หลิ่งเหวินอุ้มคู่หมายเข้าไปใกล้ๆ อาชาสวรรค์ช้าๆ ด้วยความระมัดระวัง แล้วก็ต้องประหลาดใจเมื่อเห็นมันยืนนิ่งไม่ขยับหนีเช่นก่อนหน้านี้
"พูด...พูด...อยู่...อยู่" ฟานฟานน้อยร้องอวด ตั้งใจจะบอกว่ามันมีความสามารถเพียงใด ที่กล่อมให้อาชาสวรรค์อยู่พบหลินหลินของมันได้
"คิกๆ เก่งจ้า ฟานฟานน้อยเก่งที่สุดเลย" ชิงหลินชมมันเสียงเบา มือซ้ายเกาคางให้อย่างเอาใจจนมันร้องครางด้วยความชอบอกชอบใจ
"แยกย้ายกันไปทำงานได้แล้ว" ชิงหยวนเห็นท่าไม่ดีจึงสั่งการบ่าวไพร่เสียงดัง สิ้นเสียงสั่งของชิงหยวน เหล่าบ่าวไพร่ก็หายไปจากหน้าเรือนแทบจะทันที
"สวรรค์! ช่างเป็นอาชาที่งดงามยิ่งนัก" เมื่อเห็นว่าไม่มีใครแล้ว ชิงหยวนจึงหันกลับมาก่อนจะอุทานเสียงค่อนข้างดัง
"ท่านพี่กล่าวถูกต้อง ข้าเองไม่เคยพบเห็นอาชาที่สง่างามเช่นนี้มาก่อน ช่างเป็นบุญตานักเจ้าค่ะ" ชิงฮูหยินกล่าวเสริม
"ท่านพ่อ ท่านแม่ทราบเรื่องนั้นหรือยังเจ้าคะ"
"ยังหรอก พ่ออยากให้เจ้าบอกท่านแม่ของเจ้าเอง" ชิงหยวนตอบยิ้มๆ
"เรื่องอันใดกันหรือ" ชิงฮูหยินถามอย่างอยากรู้ ชิงหลินไม่ได้ตอบ แต่หันหน้ากลับมามองอาชาสวรรค์ตรงหน้าแล้วกล่าวกับมันด้วยภาษาม้า
"ขอบคุณท่านมากที่พาข้ามาส่ง"
"เจ้าพูดภาษาข้าได้" อาชาสวรรค์อึ้งไปครู่หนึ่งจึงร้องตอบโต้นาง
"ก็ใช่ ข้าดีใจที่ท่านปลอดภัย แล้วท่านจะกลับเมื่อไรหรือ"
อาชาสวรรค์พอได้ฟังที่นางถามก็พลันรู้สึกแปลกใจ นางต้องการตัวมันมิใช่หรือ ถึงขนาดส่งเจ้าพยัคฆ์น้อยมาเกลี้ยกล่อมมันเป็นนานสองนาน แล้วเหตุใด...
"โฮ่! เจ้าไล่ข้า?" อาชาสวรรค์เชิดหัวเรียวแหลมขึ้นด้วยท่าทางหยิ่งยโส
"ไม่ใช่ ท่านก็รู้ว่าข้าต้องการท่านมากเพียงใด จะให้ข้าใช้กำลังบังคับก็ย่อมได้ แต่ข้าจะไม่ใช้วิธีนี้เด็ดขาด"
"ในแคว้นนี้ อาชาสีทองมีเพียงข้าตัวเดียว ถ้าเจ้าปล่อยข้าไป..."
"ข้าไม่สน ต่อให้ข้าต้องถูกลงอาญาหรือถูกประหารชีวิต ข้าก็ไม่กลัว"
"ตกลง ข้ายินดีที่จะอยู่ที่นี่" อาชาสวรรค์ตอบตกลงในที่สุด หลังจากที่หยุดคิดอยู่นาน
"ขอบคุณท่านมาก ข้าจะดูแลท่านอย่างดี ข้าสัญญา" ชิงหลินยื่นมือออกไปหา อาชาสวรรค์ก็ยื่นหัวเรียวยาวมาใกล้จนนางเอามือเรียวลูบหัวมันเบาๆ ก่อนจะก้มลงจูบตรงกลางหน้าผากของมันสองสามที
ไม่รู้เลยว่าการกระทำของนางทำให้แม่ทัพหนุ่มและฟานฟานน้อยไม่ชอบใจเท่าใดนัก
ผิดกับชิงฮูหยินที่ยืนมองเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างโง่งม นี่หรือคือสิ่งที่บุตรีต้องการจะบอกนาง นางส่งสายตาถามสามี ก็เห็นเขาพยักหน้าเป็นเชิงว่าที่นางคิดอยู่นั้นถูกต้องแล้ว สวรรค์! นี่นางควรยินดีหรือเศร้าเสียใจกันแน่
"นายท่าน หัวหน้าเฟิ่งอิงและหน่วยพยัคฆ์ดำกลับมาถึงแล้วขอรับ" บ่าวคนหนึ่งวิ่งเข้ามารายงาน
"งั้นหรือ ดี ให้เฟิ่งอิงไปพบข้าที่ห้องหนังสือ" กล่าวจบชิงหยวนก็หันมาพูดคุยกับบุตรสาวอีกสองสามประโยค แล้วสะบัดชายเสื้อเดินจากไป
"อาเหวิน พาน้องไปพักผ่อนก่อนเถิด" ชิงฮูหยินกล่าวกับแม่ทัพหนุ่มที่ยังคงอุ้มบุตรีของนางอย่างทะนุถนอม
"ขอรับ" แม่ทัพหนุ่มอุ้มคู่หมายมาวางลงบนเตียงอย่างเสียดาย ก่อนจะลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ดวงตาคมทรงเสน่ห์จับจ้องใบหน้างามนิ่ง จนคนถูกจ้องต้องหลบตาด้วยความขัดเขิน
"แล้วข้าจะมาใหม่" เขานิ่งไปชั่วครู่ก่อนจะเอ่ยออกมา
"เอ่อ...เจ้าค่ะ" นางก้มหน้าตอบรับเบาๆ
"อ๊ะ เดี๋ยวเจ้าค่ะ"
แม่ทัพหนุ่มชะงัก หมุนร่างสูงกลับมาเลิกคิ้วถาม
"โปรดให้อิสระแก่อาชาสวรรค์เช่นที่เขาอยู่ในป่าด้วยนะเจ้าคะ"
แม่ทัพหนุ่มพยักหน้าตอบ "ข้ารู้แล้ว" ก่อนหมุนกายจากไป ทิ้งให้คู่หมายอยู่กับมารดาเพียงลำพัง
ยามอิ่ว ณ ห้องหนังสือภายในเรือนพสุธา
เฟิ่งอิงนั่งรอชิงหยวนผู้เป็นนาย ใบหน้าคมเข้มเรียบเฉยเหมือนไร้ความรู้สึก แต่ภายในกลับร้อนรนดั่งอยู่ท่ามกลางกองเพลิง ดวงตาเรียวดุมองไปยังทิศทางที่คนเจ็บพำนักอยู่ อยากจะไปดูให้เห็นกับตาว่านางปลอดภัยดีมากกว่าได้ยินจากปากผู้อื่น แต่กลับถูกเรียกตัวไว้เสียก่อน
"มาแล้วหรือ" ชิงหยวนเดินเข้ามาเพียงลำพัง ไร้บ่าวติดตาม
"ขอรับ" เฟิ่งอิงลุกขึ้นเต็มความสูง ประสานมือทำความเคารพ
"นั่งลงเถิด" ชิงหยวนพยักหน้าให้เฟิ่งอิงนั่งลง รินน้ำชาให้ผู้คุ้มกันคนสนิทที่รักประดุจญาติคนหนึ่ง ก่อนจะรินชาในถ้วยของตน มองบุรุษตรงหน้าแล้วยกถ้วยชาขึ้นจิบเล็กน้อย
"คุณหนูเป็นเช่นไรบ้างขอรับ" เฟิ่งอิงเป็นฝ่ายเริ่มต้นสนทนาก่อน
"นางปลอดภัยดี" ชิงหยวนวางถ้วยชาลง ยิ้มบางๆ ไร้ร่องรอยโทสะที่ควรมี จนเฟิ่งอิงคลายความกังวลได้ส่วนหนึ่ง
"เพราะข้าไร้ความสามารถ ทำให้คุณหนูได้รับบาดเจ็บ ขอนายท่านลงโทษด้วยขอรับ" เฟิ่งอิงคุกเข่าโขกศีรษะกับพื้นเสียงดังปึก
"เฮ้อ! เอาเถิดๆ ข้าจะตัดสินโทษเจ้าภายหลัง แต่ที่ข้าเรียกเจ้ามาพบ เจ้าคงรู้ว่าเป็นเรื่องใด" ชิงหยวนโบกมือพลางกล่าวเสียงเข้มในท้ายประโยค
"ขอรับ เรื่องราวที่เกิดขึ้นในวันนี้ เป้าหมายของคนร้ายคือคุณหนูขอรับ" เฟิ่งอิงกล่าวเสียงต่ำ ดวงตาเรียวดุมีแววกังวล
"หมายความว่าอย่างไร ที่ว่าเป้าหมายของคนร้ายคือหลินเอ๋อร์" เสียงทุ้มต่ำจากบุรุษที่เข้ามาใหม่ ทำให้บุรุษต่างวัยทั้งสองคนหันมองประตูทางเข้าแทบจะพร้อมกัน
เฟิ่งอิงลุกขึ้นประสานมือเคารพแม่ทัพหนุ่ม ดวงตาคมเรียวดุประหลาดใจกับสภาพที่คล้ายผ่านการต่อสู้มาอย่างหนักหน่วง
"หลานชายมาก็ดีแล้ว นั่งลงก่อนสิ" ชิงหยวนผายมือเชิญชวนให้แม่ทัพหนุ่มนั่งลงข้างตน
"ลุงต้องขอโทษหลานชายที่รบกวนเวลาพักผ่อน ทั้งๆ ที่เจ้าเองก็เหน็ดเหนื่อยมิใช่น้อย" ชิงหยวนกล่าวน้ำเสียงเรียบๆ
"ท่านลุง อย่าได้กล่าวเช่นนั้น เป็นเรื่องที่ข้าสมควรทำอยู่แล้ว ตอนนี้ข้าใคร่รู้เรื่องราวเมื่อครู่มากกว่าขอรับ" มู่หลิ่งเหวินเอ่ยเสียงเครียด ดวงตาคมทรงเสน่ห์จับจ้องเฟิ่งอิงที่นั่งนิ่งอยู่ข้างผู้อาวุโส
"เรียนท่านแม่ทัพ ตอนที่พลัดหลงกัน ข้าจับหน่วยลอบสังหารได้คนหนึ่ง มันสารภาพว่าพวกมันได้รับการว่าจ้างจากขุนนางผู้มีอำนาจผู้หนึ่งให้มาสังหารคุณหนู ส่วนจะเป็นเพราะสาเหตุใดยังไม่แน่ชัดขอรับ" เฟิ่งอิงรายงาน
"ดูไปแล้ว...จุดประสงค์ของคนร้ายคงไม่ใช่เพียงชีวิตของหลินเอ๋อร์" แม่ทัพหนุ่มตั้งข้อสังเกต
"สิ่งใดทำให้หลานชายคิดเห็นเช่นนั้น" ชิงหยวนเอ่ยถาม เฟิ่งอิงเองก็ใคร่รู้เช่นกัน
"หรือเจ้าไม่สังเกต ตอนที่พวกมันเพลี่ยงพล้ำ กลับมีลูกธนูลึกลับพุ่งเข้าหาอาชาสวรรค์ หมายทำให้มันได้รับบาดเจ็บ แต่หลินเอ๋อร์เอาตัวเข้ามาบังเสียก่อน" แม่ทัพหนุ่มมองเฟิ่งอิง
"หากอาชาสวรรค์บาดเจ็บจนมีตำหนิ เมื่อนำไปถวาย อาจทำให้ฮ่องเต้กริ้ว..." เฟิ่งอิงมิได้กล่าวต่อ เหลือบมองผู้เป็นนาย ก่อนจะหลุบตามองถ้วยชาของตนเอง
"หากเป็นเช่นนั้น ข้าและคนสกุลชิงอาจต้องพบภัยพิบัติใช่หรือไม่" ชิงหยวนถามเสียงเรียบ ท่าทางสุขุมนุ่มลึกจนยากจะคาดเดา ทำให้บุรุษหนุ่มทั้งสองนึกชื่นชมอยู่ในใจ
"ท่านลุง / นายท่าน" บุรุษต่างสถานะเอ่ยเรียกแทบจะพร้อมกัน
"เอาเถอะ ยามนี้เราก็ได้อาชาสวรรค์มาแล้ว ที่เหลือต้องรอดูฝีมือขององค์รัชทายาทล่ะนะ" ชิงหยวนโบกมือเปลี่ยนเรื่องสนทนา
"ขอรับนายท่าน" เฟิ่งอิงรับคำ
"แล้วผู้ใดคือผู้อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ คงไม่ใช่..." แม่ทัพหนุ่มละไว้
ชิงหยวนทำท่าจะตอบ ทว่า...
"นายท่าน องครักษ์ขององค์รัชทายาทมาขอพบ บอกว่ามีเรื่องด่วนขอรับ" พ่อบ้านประจำเรือนพสุธาเดินเร็วๆ เข้ามารายงาน บุรุษทั้งสามต่างมองหน้ากัน
"เชิญเข้ามาเร็วเข้า" ชิงหยวนลุกขึ้น ยกมือลูบเคราอย่างครุ่นคิด
เพียงครู่เดียวองครักษ์ร่างสูงใหญ่ในชุดสีดำเต็มยศก็ก้าวยาวๆ เข้ามาหยุดยืนตรงหน้าบุรุษทั้งสาม ใบหน้าเข้มดุดันเคร่งเครียด มีร่องรอยความอ่อนเพลีย ผมเผ้าหลุดลุ่ย อาภรณ์เปียกชุ่มจนเหงื่อหยดลงพื้นตลอดทางที่ก้าว
"คารวะท่านแม่ทัพ" ประสานมือเคารพแม่ทัพหนุ่ม
"เกิดอันใดขึ้น" แม่ทัพหนุ่มตรงเข้าประเด็น เพราะดูแล้วคงไม่ใช่เรื่องดีแน่
"องค์รัชทายาทหายตัวไปขอรับ" รายงานเสียงต่ำและเบา เพราะจะให้คนภายนอกรู้เรื่องนี้ไม่ได้
ของขวัญจากผู้อ่านคือกำลังใจในการสร้างสรรค์ผลงาน ช่วยส่งกำลังใจให้ไรต์หน่อยน้า^_^