น้ำเสียงหวานทุ้มออดอ้อนกับสีหน้าเคร่งเครียดจริงจังดูขัดกันยิ่งนักในสายตาชิงหลิน
หญิงสาวไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธคำขอของเขา เพราะกำลังอึ้งกับคำพูดที่บอกเป็นนัยๆ ว่า ข้อเสนอที่ขอยกเลิกการเป็นคู่หมายถูกปฏิเสธโดยสิ้นเชิง หารู้ไม่ว่าอาการนิ่งเงียบของนางทำให้อีกฝ่ายตีความเข้าข้างตัวเองเรียบร้อยแล้ว
มู่หลิ่งเหวินจึงบีบบ่าเล็กเบาๆ โน้มใบหน้าหล่อเหลาลงมาช้าๆ ชิงหลินที่พอรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อจากนี้คิดจะปฏิเสธ แต่พอเห็นสายตาหวานซึ้งเจือเว้าวอนของเขาแล้ว ก็ทำให้นางใจแข็งไม่ลง ได้แต่หลับตาลงรอสิ่งที่จะเกิดขึ้นด้วยใจที่เต้นกระหน่ำ
"แง้ว"
เสียงเจ้าฟานฟานน้อยช่วยนางไว้ได้พอดี ชิงหลินสบโอกาสผลักอกเขาเต็มแรงจนหงายหลัง ดีที่เขาใช้มือยันพื้นไว้ทัน
"ตื่นแล้วหรือ เจ้าตัวขี้เซา" นางเสอุ้มเจ้าฟานฟานน้อยมาแนบอก ไม่สนใจคนข้างๆ เลยสักนิด
"ตะ...ตื่น ซะ...เซา?" เจ้าฟานฟานน้อยเอียงหัวกลมๆ เล็กๆ ของมัน พยายามร้องเลียนเสียงนางที่ส่งเสียงทักมันด้วยภาษาเสือ ก่อนจะหันไปมองแม่ทัพหนุ่ม
คิ้วของมู่หลิ่งเหวินขมวดเข้าหากัน ไม่ได้ใส่ใจมันสักนิดเพราะมัวแต่พยายามทำความเข้าใจกับภาพเบื้องหน้า ครั้งแรกที่เห็นนางเผชิญหน้ากับพยัคฆ์กลางป่า เสียงของนางคลับคล้ายกับที่ได้ยินในเวลานี้ นางสามารถพูดคุยกับพยัคฆ์ได้เช่นนั้นหรือ หากไม่ใช่...แล้วที่ตนเห็นอยู่คือภาพลวงตา?
"หลินเอ๋อร์...เจ้ากับพยัคฆ์น้อย..." เขาเอ่ยขึ้นอย่างไม่ค่อยแน่ใจ
"แล้วท่านคิดเห็นอย่างไร คิดว่าข้าสติเลอะเลือนหรือไม่" หญิงสาวเลือกที่จะย้อนถามเขา
"ตั้งแต่เมื่อใดกัน"
"เมื่อไม่นานนี้เจ้าค่ะ" ชิงหลินลูบหัวเจ้าฟานฟานน้อยพลางยิ้มตอบเขา ไม่คิดจะปิดบังด้วยรู้ดีว่าเขาไม่มีทางทำร้ายนางด้วยเรื่องนี้แน่
"ผู้ใดล่วงรู้บ้าง" แม่ทัพหนุ่มเอ่ยถามเสียงเครียด หากนางสามารถควบคุมและสั่งการสรรพสัตว์ทั้งหลายได้ แคว้นทั้งแคว้นอาจล่มสลายได้ด้วยพลังของนาง หากเป็นเช่นนั้นใต้หล้านี้คงต้องทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้ครอบครองนาง และนางอาจถูกตามล่าหมายเอาชีวิตจากผู้ที่ไม่ได้ครอบครอง ด้วยหวาดเกรงในพลังอำนาจของนางที่อาจนำภัยพิบัติมาสู่แว่นแคว้นของตนก็เป็นได้
"อืม มีท่านพ่อ เฟิ่งอิง และผู้ติดตามสี่คน และบางทีท่านแม่ก็อาจจะทราบจากท่านพ่อแล้วเจ้าค่ะ"
"แล้วเรื่องเส้นทางในแผนที่ทั้งสองแผ่นที่อยู่ในมือข้ากับองค์รัชทายาท เจ้าจะอธิบายอย่างไร" พูดพลางดึงแผนที่ที่ซุกอยู่ในอกเสื้อออกมาถือไว้ ความจริงมู่หลิ่งเหวินไม่ได้อยากคาดคั้นความจริงจากนาง เพียงแต่ต้องการพิสูจน์บางอย่างให้แน่ใจ เพื่อหาหนทางช่วยนางในอนาคต เมื่อเห็นนางเงียบจึงเอ่ยต่อ "เจ้าบอกว่าเป็นการเดินทางเข้ามาหนแรก แต่แผนที่แผ่นนี้กลับแสดงจุดสำคัญต่างๆ ไว้อย่างชัดเจนราวกับตาเห็น"
"ข้า..." นางอับจนคำพูด จะบอกได้อย่างไรว่าปู่พยัคฆ์ยัดเยียดเส้นทางนี้เข้ามาในสมอง แล้วนางก็เขียนเป็นรูปออกมา มีด้วยกันสองเส้นทาง เดิมทีคิดจะใช้เส้นทางที่อยู่ในมือองค์รัชทายาท เพราะแม้จะต้องเดินอ้อมเขาและใช้เวลานานกว่าเกือบเท่าตัว แต่ก็เป็นเส้นทางที่ปลอดภัยไร้สัตว์อันตรายขัดขวาง แต่นางจำต้องเปลี่ยนแผนเพราะองค์รัชทายาทเกิดนึกสนุกอยากตามล่าอาชาสวรรค์ด้วยพระองค์เอง นางจึงต้องเลือกอีกเส้นทางที่ใกล้กว่าและเต็มไปด้วยอันตรายเส้นนี้แทน
เจ้าฟานฟานน้อยรับรู้ถึงความรู้สึกอึดอัดใจของนาง มันลงจากตักอบอุ่นเดินตรงไปยังมู่หลิ่งเหวินที่นั่งชันเข่าหันข้างให้กองไฟ แล้วยกขาหน้าตะกุยรองเท้าหนังทรงสูงที่เขามักใส่เวลารบทัพจับศึก เสียงดังแกร็กๆ และเสียงคำรามขู่ในลำคอ ถ้าเป็นเสือโตเต็มวัยคงสร้างความหวาดกลัวได้ แต่ในเมื่อไม่ใช่ มันจึงดูน่ารักน่าเอ็นดูในสายตาของทั้งสอง
จ้อกๆ จู่ๆ เสียงท้องใครบางคนก็ดังแทรกขึ้นมา
"คิกๆๆ" เมื่อรู้ว่าเป็นของใคร นางก็หัวเราะคิกคักชอบใจ
แม่ทัพหนุ่มถึงกับตะลึงมองอย่างหลงใหล ด้วยนี่เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นนางหัวเราะ รอยบุ๋มสองข้างแก้มนวลทำให้นางดูมีเสน่ห์น่าค้นหายิ่งนัก พลางกระแอมไอเรียกสติก่อนจะกล่าว "ฝนหยุดตกพอดี ข้าจะไปหาอาหาร รอข้าอยู่นี่ ห้ามไปไหน เข้าใจหรือไม่" เขาเอ่ยกำชับ ส่งเจ้าฟานฟานน้อยคืนให้นาง แล้วเดินออกจากถ้ำไปด้วยใบหน้าซับสีจางๆ
"หิวแล้วสิ ดีนะที่ข้านำน้ำนมแพะมาด้วย กินเสียสิ" เมื่อร่างสูงจากไปไกลแล้ว ชิงหลินจึงนำใบไม้มาห่อเป็นกระทงง่ายๆ แล้วเปิดฝากระบอกไม้ไผ่ที่ใช้ใบบัวปิดไว้กันนมไหลออกมา เทนมลงบนกระทงใบไม้ให้เจ้าฟานฟานน้อยได้กิน
หลังจากเจ้าฟานฟานน้อยอิ่มหนำสำราญ มันก็หลับปุ๋ยอยู่ในอ้อมแขนนางอีกครั้ง ขณะที่เฝ้ารอเขากลับมา ชิงหลินพลันได้ยินเสียงคุยกันของสัตว์ชนิดหนึ่งโดยบังเอิญ สองเท้าค่อยๆ ก้าวออกมาจากถ้ำ จับเจ้าฟานฟานน้อยใส่ลงในห่อผ้า กวาดตามองหาที่มาของเสียง อ้อ เสียงของเจ้านกน้อยนี่เอง นางเงยหน้ามองพวกมันที่เกาะอยู่บนกิ่งไม้
"เมื่อครู่ข้าเห็นเจ้าอาชาสีทองด้วย" นกสีดำท้องขาวตัวหนึ่งเอ่ยขึ้น
"ที่ใดหรือ" เสียงอีกตัวถาม
"ชายทุ่งฝั่งโน้น ช่างเป็นอาชาที่สง่างามยิ่ง" มันตอบด้วยน้ำเสียงชื่นชม
"ไปกันฟานฟาน" ด้วยความตื่นเต้นดีใจ ที่จู่ๆ อาชาสวรรค์ที่ตามหากลับปรากฏตัวออกมา ซ้ำยังอยู่ไม่ไกลจากจุดที่อยู่เท่าไรนัก ทำให้นางหลงลืมคำสั่งของแม่ทัพหนุ่มเสียสนิท แล้วมุ่งหน้าไปยังชายทุ่งอีกฝั่งทันที
ผ่านไปราวสองเค่อ มู่หลิ่งเหวินแทบคลั่งเมื่อกลับมาพบเพียงความว่างเปล่า ชายหนุ่มใช้วิธีแกะรอยจากรอยเท้านางที่ทิ้งไว้เป็นหลักฐานชัดเจนบนพื้น นับว่าโชคดีที่ฝนตกลงมาก่อนหน้า ช่วยให้การแกะรอยตามหานางง่ายขึ้น
ย้อนกลับไปที่เฟิ่งอิงและหน่วยคุ้มกันทั้งสี่ หลังจากกระจัดกระจายเพราะลูกธนูลึกลับ ทั้งห้าใช้เวลาเพียงหนึ่งเค่อก็กลับมารวมกลุ่มกันอีกครั้ง พร้อมมือธนูที่ถูกจับได้แล้วพยายามกลืนยาพิษ แต่ยังช้ากว่าเฟิ่งอิงที่สกัดจุดหยุดการเคลื่อนไหวและทำลายยาพิษไว้ได้ทันท่วงที
มันหัวเราะเสียงดัง พ่นถ้อยคำชวนให้บั่นคอออกมาอย่างไม่เกรงกลัว "ฮ่าๆๆ พวกเจ้าช่างโง่เขลานัก!"
"หุบปากเน่าๆ ของเจ้าซะ!" หนึ่งในสี่หน่วยคุ้มกันเตะเข้าที่ชายโครงมันเต็มแรง จนมันร้องออกมาพร้อมกับเงยหน้าเหี้ยมๆ จ้องผู้ที่เตะมันราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ
"ถ้าไม่อยากกลายเป็นอาหารอยู่ที่ป่านี่ จงสารภาพออกมาซะ!" หน่วยพยัคฆ์ดำคนเดิมนั่งชันเข่าลงตรงหน้ามันพร้อมทั้งขู่เสียงต่ำ
"ฝันไปเถิด ข้าไม่รู้อะไรทั้งนั้น" มันตะโกนใส่ชายตรงหน้า พลางแสยะยิ้มเย้ยหยัน
"หัวหน้า มันปากแข็งนัก จะทำอย่างไรต่อดี" หน่วยพยัคฆ์ดำคนเดิมลุกขึ้นถามเฟิ่งอิง
"หวังหง ยาปลิดวิญญาณ"
พอเจ้ามือธนูได้ยิน ดวงตาก็เบิกโพลง สีหน้าซีดเผือดลงทันที แม้จะถูกสกัดจุดก็ยังไม่อาจสกัดกั้นความหวาดกลัวที่เกิดขึ้นได้ ร่างของมันสั่นเทา มันไม่ได้กลัวตายแต่กลัวความทรมาน เพราะผู้ที่ถูกพิษนี้จะมีอาการคล้ายถูกเข็มนับหมื่นนับแสนเล่มทิ่มแทงร่างตลอดเวลา ไร้ยาถอนพิษ ไม่รู้วันที่พิษจะสลาย ผู้ที่ถูกพิษนี้มักจะทุกข์ทรมานแสนสาหัสจนขาดใจตายก่อน บางรายยอมปลิดชีพตัวเองเพื่อไม่ต้องเผชิญความเจ็บปวดทรมานเพราะยาปลิดวิญญาณนี้
"พวกเจ้าช่างโหดเหี้ยมอำมหิตนัก!" มันสบถออกมาและตัดสินใจกัดลิ้นตัวเองเพื่อหนีความทรมานที่รอตรงหน้า
"อ๊ะๆๆ อย่าแม้แต่จะคิดเชียว มันง่ายไปสำหรับคนชั่วอย่างเจ้า" หน่วยพยัคฆ์ดำอีกคนตาไว รีบใช้มือบีบกรามมันเต็มแรงจนต้องอ้าปาก อีกมือมียาลูกกลอนสีดำเตรียมพร้อมอยู่
"ออมแอ้ว อ้าออมอู้ดแอ้ว" (ยอมแล้ว..ข้ายอมพูดแล้ว) มันส่งเสียงอู้อี้ ดวงตาไหวระริกจ้องมองยาเม็ดสีดำดั่งเห็นภูตผีปีศาจก็ไม่ปาน
"ฮ่าๆๆ แฮ่กๆ ข้ารับคำสั่งโดยตรงจากใต้เท้าหานให้มาป่วนขบวนของพวกเจ้า" มันละล่ำละลักบอก
"ป่วน?" เฟิ่งอิงเลิกคิ้วถาม
"ใช่ จุดประสงค์จริงๆ คือสังหารคุณหนูชิงผู้นั้น โดยทำให้เหมือนเป็นเหตุสุดวิสัยว่าโดนสัตว์ร้ายฆ่าตาย แต่เพราะมีพวกเจ้าอยู่ ข้าจึงใช้วิธีล่อให้พวกเจ้าแยกจากกันเพื่อให้แผนนี้สำเร็จง่ายขึ้น" มันเผยความลับออกมาจนหมดเปลือก
"กี่คน?" เฟิ่งอิงเอ่ยถามถึงจำนวนมือลอบสังหาร
"ยี่สิบคน...ล้วนเป็นยอดฝีมือ" มันยิ้มเยาะหลังจากที่เอ่ยเน้นทุกคำ
"หัวหน้า เรากำจัดไปแล้วห้าคนขอรับ" หน่วยพยัคฆ์ดำคนหนึ่งรายงาน
"ฮ่าๆๆ ถ้าไม่รีบละก็ เห็นทีคุณหนูของพวกเจ้า...อึก!" มันพูดได้เพียงเท่านั้น ดาบยาวคมกริบก็พุ่งเสียบตัดขั้วหัวใจจนทะลุด้านหลัง มันก้มมองดูหน้าอก เห็นเพียงเลือดที่พวยพุ่งออกมาดั่งน้ำตก ก่อนจะค่อยๆ เงยหน้ามองผู้ที่มอบความตายให้มันด้วยดวงตาแดงก่ำที่แฝงแววอาฆาตแค้น แล้วก็ล้มลงขาดใจตายทันที
"หาคุณหนูให้พบก่อนพวกมัน!" เฟิ่งอิงเก็บดาบที่อาบเลือดเข้าฝัก ใบหน้าคมเข้มยามนี้ช่างน่ากลัวนัก จนหน่วยพยัคฆ์ดำทั้งสี่อดหวาดหวั่นมิได้
"แล้วเราจะเริ่มจากที่ใดดีขอรับ"
"หัวหน้า ช่วงชุลมุนข้าเห็นท่านแม่ทัพอุ้มคุณหนูมุ่งหน้าไปทางทิศประจิม ข้าพยายามตามแล้ว แต่วิชาตัวเบาของท่านแม่ทัพช่างร้ายกาจนัก ข้าตามไม่ทันจึงย้อนกลับมารายงานขอรับ" หนึ่งในหน่วยพยัคฆ์ดำที่เงียบอยู่นานรายงานเฟิ่งอิง
"ออกเดินทาง!" สิ้นเสียงร่างทั้งห้าก็พุ่งทะยานขึ้นไปสู่เบื้องสูงอย่างรวดเร็วด้วยวิชาตัวเบาที่ฝึกมาอย่างช่ำชอง
ชิงหลินกับเจ้าฟานฟานน้อยเดินตัดผ่านทุ่งราบที่ปกคลุมด้วยหญ้าสูงเกือบหัวเข่าอย่างลำบาก เพราะฝนที่ตกหนักทำให้ดินอ่อนยวบคล้ายโคลน
"แย่จัง อย่างนี้กว่าจะถึงน่าจะใช้เวลากว่าหนึ่งชั่วยามเป็นแน่" ชิงหลินบ่นกับตัวเอง ก่อนจะแหงนมองตะวันที่ยังอยู่สูง กะเวลาดูแล้วน่าจะประมาณยามอุ้ย คงต้องรีบหาเจ้าม้าสีทองแล้ว
ทุ่งราบระหว่างภูเขานี้เป็นแหล่งอาหารของอาชาสวรรค์ทั้งสามที่ชิงหลินและพวกพ้องตามหาอยู่ เพียงแต่ถ้ำที่พวกมันอาศัยอยู่เป็นถ้ำที่อยู่ในภูเขาคนละลูก
เจ้าอาชาสีทองอาศัยเพียงลำพังในถ้ำของภูเขาลูกที่กลุ่มของนางเข้ามา ส่วนอาชาสวรรค์สีดำกับสีน้ำตาลไหม้อาศัยอยู่ในถ้ำของภูเขาอีกฟากของทุ่งราบนี้ ซึ่งก็คือภูเขาลูกข้างๆ นั่นเอง
ร่างเล็กยังคงเดินไปข้างหน้าอย่างมุ่งมั่น โดยมีเจ้าฟานฟานน้อยคอยส่งเสียงบอกทางให้
"เอ๋? นี่มันลูกเชอร์รี? โชคดีจัง กำลังหิวเลย" นางนั่งลงสาวเถาเล็กๆ ของต้นเชอร์รีเข้ามา กำลังจะหยิบเข้าปาก ก็ต้องชะงักเมื่อได้ยินเสียงสวบสาบคล้ายเสียงคนเดิน นางผุดลุกขึ้นแล้วหันไปมองยังทิศทางที่จากมาทันที
"หลินเอ๋อร์ / คุณหนู" เสียงจากบุรุษสองคนแต่ต่างสถานะดังขึ้นพร้อมกัน ด้านหลังมีชายฉกรรจ์อีกสี่คนตามมาติดๆ
"ทุกคน! ดีจังที่ปลอด..." ยังพูดไม่ทันจบนางก็โดนร่างสูงของมู่หลิ่งเหวินโอบกอดไว้เสียแน่น ชิงหลินกะพริบตาปริบๆ ด้วยความงุนงงเล็กน้อย พอตั้งสติได้ก็คิดจะผลักเขาออก แต่กลับรับรู้ถึงลมหายใจที่หอบถี่และมือหนาอุ่นๆ ที่สัมผัสหลังคล้ายว่ากำลังสั่นอยู่
มู่หลิ่งเหวินกระชับอ้อมแขนแน่นขึ้น ขอบคุณสวรรค์ที่นางปลอดภัย หากนางเป็นอะไรไป เขายังจะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้อีกหรือ ยิ่งคิดคิ้วเข้มก็ยิ่งขมวดเข้าหากันจนเกิดรอยย่นตรงกลางหว่างคิ้วทั้งสอง ก่อนจะเผลอกอดนางแน่นขึ้นกว่าเดิม โดยไม่นำพาสายตาทั้งห้าคู่ที่มองดูอยู่
"เอ่อ...ข้าหายใจไม่ออก"
เสียงอู้อี้ของนางทำให้มู่หลิ่งเหวินได้สติ ก่อนจะดันนางออกห่าง โดยที่มือทั้งสองยังคงจับต้นแขนเล็ก ที่ถ้าออกแรงบีบเพียงนิดก็สามารถหักออกเป็นสองท่อนได้อย่างง่ายดาย นางช่างบอบบางยิ่งนัก
"แง้วๆ ฮื่อ" เจ้าฟานฟานน้อยส่งเสียงเมื่อโดนคู่แข่งรวบตัวมันเข้าไปด้วย
เฟิ่งอิงกำมือแน่น ข่มอารมณ์ปวดใจ ตระหนักดีว่าตนไม่มีสิทธิ์ในทุกๆ ทาง แต่จะให้หักห้ามใจก็แสนจะยากยิ่งนัก
"เหตุใดจึงขัดคำสั่งข้า"
"ข้าขอโทษ..." มู่หลิ่งเหวินฟังแล้วได้แต่ส่ายหน้าระอาระคนหงุดหงิดใจ ด้วยไม่รู้จะจัดการนิสัยเอาแต่ใจของนางอย่างไรดี
"เรื่องความผิดของข้าเอาไว้ทีหลังเถิด ข้ารู้แล้วว่าอาชาสวรรค์สีทองอยู่ที่ไหนเจ้าค่ะ"
ถ้อยคำของนางทำให้บุรุษอีกห้าคนเข้ามาล้อมตัวทันทีด้วยสีหน้าตื่นเต้น ยกเว้นเฟิ่งอิงที่เลิกคิ้วมองเฉยๆ
"เช่นนั้นก็ออกเดินทางเถิด" มู่หลิ่งเหวินออกคำสั่ง รวบเอวบางแล้วใช้วิชาตัวเบาพานางมุ่งไปยังทิศทางที่นางคอยบอกอย่างรวดเร็ว โดยมีเฟิ่งอิงและหน่วยพยัคฆ์ดำเหาะทะยานตามหลังมา
เพียงหนึ่งเค่อกลุ่มของชิงหลินก็มาถึงจุดหมาย ซึ่งเป็นชายทุ่งราบตามคำบอกของเจ้านกน้อย
"โอ้! ดูทางโน้นสิขอรับ" ที่เหลือหันไปมองแทบจะพร้อมกัน
"โอ้ ช่างเป็นอาชาที่สง่างามเหลือเกิน" อีกคนเอ่ยคล้ายละเมอ
ดวงตาคมทรงเสน่ห์จับจ้องอาชาที่อยู่เบื้องหน้าอย่างชื่นชม รูปร่างของมันสูงใหญ่กำยำและปราดเปรียว ลำตัวสีเหลืองทองมันวาวราวกับผ้าไหมชั้นดี ท่วงท่าที่เยื้องย่างสง่างามน่าเกรงขาม จนแม่ทัพหนุ่มคิดอยากมีไว้ในครอบครองสักตัว
ส่วนเจ้าอาชาสวรรค์สีทองคล้ายจะรับรู้ถึงผู้บุกรุก มันเงยหัวขึ้นมอง ระยะห่างราวร้อยก้าว ไม่ได้ทำให้มันตื่นกลัวแต่อย่างใด กลับมองด้วยแววตาสงบแล้วก้มลงกินหญ้าต่อไป
"ปะ...ไป...ไป" เจ้าฟานฟานน้อยเงยหน้าร้องบอกชิงหลิน
"แน่ใจหรือ" นางถามย้ำเพื่อความแน่ใจ เห็นมันพยักหน้าตอบ จึงหันมาขอความเห็นจากคู่หมาย
"ไปเถิด ข้าจะคอยคุ้มกันอยู่ห่างๆ"
เมื่อเขาอนุญาต ร่างเล็กจึงค่อยๆ เดินเข้าไปหาอาชาสวรรค์ช้าๆ จับจ้องมันอยู่ตลอดโดยไม่ละสายตา
"ระวังด้วย แขกไม่ได้รับเชิญกำลังมา" มู่หลิ่งเหวินกล่าวเสียงเครียดแต่ค่อนข้างเบา ด้วยไม่อยากให้คู่หมายรู้ เฟิ่งอิงที่รับรู้ได้เช่นกันก็พยักหน้าตอบ พร้อมกับหันไปชี้นิ้วสั่งการให้กระจายกำลังคล้ายรูปวงกลมหันหลังให้ชิงหลินที่กำลังเดินเข้าไปหาอาชาสวรรค์
ทันใดนั้นลูกธนูนับสิบก็พุ่งออกมาจากป่าซึ่งอยู่ห่างจากจุดของกลุ่มแม่ทัพหนุ่มเกือบครึ่งลี้ บุรุษทั้งหกเพียงตวัดดาบคนละสองสามครั้งก็กำจัดลูกธนูเจ้าปัญหาได้ทั้งหมด
นักฆ่าในชุดดำปิดบังใบหน้าสิบสามคนพร้อมอาวุธเป็นดาบยาวพุ่งเข้าโจมตีบุรุษทั้งหกอย่างรวดเร็ว หมายจะสังหารศัตรูเบื้องหน้าให้ดับดิ้นตามคำสั่งที่ได้รับมาจากเจ้านาย
ชิงหลินหันกลับมาด้วยความกังวลใจและหวาดกลัว ในดวงตากลมโตปรากฏภาพการต่อสู้ระหว่างคนสองกลุ่ม ดูแล้วฝ่ายของนางเก่งกว่ามาก โดยเฉพาะคู่หมายของนางที่ถูกรุมถึงสี่คนก็ยังทำอะไรเขาไม่ได้ เห็นพวกมันถอยร่นไม่เป็นท่าเพียงเขาตวัดดาบใส่พวกมันครั้งเดียว และวินาทีต่อมานางก็เห็นเขาตวัดดาบอีกครั้ง เจ้าชุดดำทั้งสี่ก็ร่วงลงบนพื้นขาดใจตายทันที นางลอบถอนใจโล่งอกและนึกชื่นชมในความเก่งกาจของเขา เมื่อเห็นว่าเขาปลอดภัยจึงละสายตาหันมาทางเฟิ่งอิงและผู้ติดตามของนางบ้าง ก็ทันได้เห็นฉากการสังหารที่งดงามหมดจด ตายในดาบเดียวอีกแล้ว!
'นี่พวกเขามาจากสำนักเดียวกันหรือไงนะ'
แต่ขณะที่นางและบุรุษทั้งหกพุ่งความสนใจไปที่พวกคนชุดดำ เพื่อความแน่ใจว่าพวกมันจะไม่ลุกขึ้นมาทำร้ายพวกนางได้อีกอยู่นั้น
ทันใดนั้นเองสายตาชิงหลินก็สังเกตเห็นลูกธนูถูกปล่อยออกมาจากในป่า เป้าหมายไม่ใช่ใครทั้งนั้น แต่เป็นเจ้าอาชาสวรรค์สีทองซึ่งตอนนี้อยู่ห่างนางเพียงสามก้าว ไวเท่าความคิดสองเท้าวิ่งเข้าหามันทันที
ฉึก! แม่นอย่างกับจัดวาง
"หลินเอ๋อร์! / คุณหนู!"
เสียงเรียกจากบุรุษทั้งหกดังก้องเข้ามาในโสตประสาทพร้อมกับร่างชิงหลินที่ทรุดลงบนพื้นหญ้าข้างเจ้าอาชาสวรรค์สีทอง
อาชาสวรรค์สีทองตื่นตระหนก ถอยหลังออกห่างหลายก้าว หลีกทางให้มนุษย์ทั้งหกที่กรูกันเข้ามายังร่างของมนุษย์ตัวเล็กสุดที่เอาตัวเข้ามารับลูกธนูจนตนเองต้องบาดเจ็บ แม้จะไม่ค่อยเข้าใจนักว่าเพราะเหตุใดมนุษย์ตัวเล็กๆ ผู้นี้ถึงเข้ามาช่วยมัน แต่มันก็ไม่ได้เก็บเอามาใส่ใจ ซ้ำยังนึกดูแคลนในสิ่งที่นางทำ ฮึ! ช่างเป็นมนุษย์ที่โง่เขลานัก
"แง้วๆ แง้วๆ ฮื่อๆ" เจ้าฟานฟานน้อยรีบกระโดดเข้ามาขวาง เมื่อเห็นอาชาสวรรค์เชิดหัวอย่างอวดดีเตรียมผละหนีอย่างไร้จิตสำนึก
อาชาสวรรค์จึงก้มหัวลงมองพยัคฆ์น้อยที่ยืนขวาง พองขนฟูๆ ส่งเสียงฮื่อใส่มันไม่ดูกำลังตนเอง ช่างเป็นพยัคฆ์น้อยที่โอหังนัก มันจึงพ่นน้ำลายใส่เจ้าพยัคฆ์น้อย จนหัวกลมๆ น้อยๆ ของมันเปียกชุ่ม
"แง้วๆ ฮื่อๆๆ" เจ้าฟานฟานน้อยทั้งโกรธ อับอาย และเสียหน้า มันสะบัดหัวทีหนึ่งแล้วจ้องมองอาชาสวรรค์อย่างไม่ยอมแพ้
"ฮี้ๆๆ พรืดๆๆ" อาชาสวรรค์เห็นความตั้งใจจริงของเจ้าพยัคฆ์ตัวน้อย มันร้องออกมาเบาๆ เอาจมูกดันใบหน้าเล็กๆ ของพยัคฆ์น้อยจนมันล้มหงายไม่เป็นท่า พลางคิดในใจว่า เพียงแค่ไปส่งคงไม่เป็นไร ถือเป็นการตอบแทนที่นางช่วยมันไว้ จะได้ไม่ต้องติดค้างกันอีก
ขณะเดียวกันมู่หลิ่งเหวินประคองคู่หมายไว้แนบอกแกร่งด้วยสีหน้าเครียดขรึม มือข้างหนึ่งกอบกุมมือเล็กไว้พลางบีบเบาๆ ดวงตาคมทรงเสน่ห์มองใบหน้าจิ้มลิ้มที่ซีดลงเรื่อยๆ ทั้งยังหายใจหอบถี่ เหนืออกข้างขวามีธนูเสียบอยู่ และมีเลือดไหลซึมออกมารอบๆ บาดแผล
"ทำเช่นไรดี หากปล่อยไว้นานข้าเกรงว่า..." หวังหง หนึ่งในหน่วยพยัคฆ์ดำกล่าวได้เพียงเท่านั้นก็ต้องกลืนถ้อยคำลงคอ เพราะถูกสายตาพิฆาตของแม่ทัพหนุ่มและหัวหน้าหน่วยเฟิ่งอิงจ้อง
"ขะ...ข้าไม่เป็นไรเจ้าค่ะ อึก!" ชิงหลินพยายามส่งเสียงบอก พร้อมส่งยิ้มน้อยๆ ให้ทุกคนคลายใจ ทั้งที่อาการน่าเป็นห่วงยิ่งนัก
"คุณหนู ท่านอย่าเพิ่งกล่าวอันใดเลยขอรับ" หนึ่งในหน่วยพยัคฆ์ดำเอ่ยเตือน
"ขะ...ข้าไม่เป็นไรจริงๆ ว่าแต่อาชาสวรรค์ปลอดภัยดีหรือไม่เจ้าคะ แล้วฟานฟานอยู่ไหน" นางถามขึ้นพร้อมทั้งมองหาอาชาสวรรค์และพยัคฆ์น้อย
"เจ้าวางใจเถิด พวกมันปลอดภัยดี" แม่ทัพหนุ่มกล่าวกับนางด้วยเสียงที่นุ่มนวล ดวงตาคมทรงเสน่ห์มองนางที่อยู่ในอ้อมแขนพลางถอนใจยาว นางช่างอ่อนโยนนัก เจ็บหนักเช่นนี้ยังมัวแต่เป็นห่วงผู้อื่น สตรีที่งดงามและจิตใจดีเช่นนางหาได้ยากยิ่งในแคว้นนี้ ที่มีแต่การแก่งแย่งช่วงชิงอำนาจของพวกขุนนาง แม้หนทางสู่อำนาจจะต้องแลกด้วยเลือดและชีวิตของผู้จงรักภักดีก็หาได้ใส่ใจไม่
"ดะ...ดียิ่งนัก" เอ่ยได้เท่านั้นนางก็หมดสติไป โดยมีสายตาหกคู่มองด้วยความห่วงใยระคนชื่นชมในความใจเด็ดและความมีเมตตาของนาง
"ท่านแม่ทัพ..." เฟิ่งอิงร้อนรนจนอกแทบระเบิด เรือนพสุธาอยู่ตรงข้ามกับทุ่งราบนี้ หากใช้วิชาตัวเบาก็ย่อมได้ และด้วยความสามารถของแม่ทัพก็คงไม่ใช่อุปสรรค เพียงแต่อุปสรรคที่ทำให้หนักใจก็คือ เจ้าอาชาสวรรค์สีทองตัวใหญ่และเจ้าพยัคฆ์น้อยที่ไม่ยอมให้ผู้ใดเข้าใกล้นี้ต่างหาก จะตัดใจปล่อยไปก่อนแล้วกลับมาตามหาอีกครั้ง ก็อาจจะถูกฆ่าตายหรืออาจจะหนีไปที่อื่นแล้ว ครั้นจะให้หน่วยพยัคฆ์ดำเฝ้าเอาไว้ แล้วผู้ใดจะกล้ารับประกันชีวิตของพวกเขาเล่า ยิ่งคิดใบหน้าของเฟิ่งอิงก็ยิ่งดำคล้ำลงเรื่อยๆ
มู่หลิ่งเหวินพอจะเข้าใจความคิดของเฟิ่งอิง เพราะเขาก็คิดเช่นนั้น แต่จะรอช้าไม่ได้ จำต้องเลือกสักทาง "กลับเรือนพสุธาก่อน แล้วค่อยออกมาตามหามันภายหลัง"
เขาตัดสินใจแทนทุกคน พร้อมกับอุ้มร่างของคู่หมายแล้วลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ทุกคนเห็นด้วยกับการตัดสินใจครั้งนี้ของแม่ทัพหนุ่ม
"แง้วๆ" เจ้าฟานฟานน้อยเดินเข้ามาหามู่หลิ่งเหวิน แหงนเงยหัวกลมๆ เล็กๆ พลางส่งเสียง เรียกความสนใจจากบุรุษทั้งหกได้เป็นอย่างดี
"หือ? มีอันใดหรือเจ้าพยัคฆ์น้อย" เฟิ่งอิงย่อตัวลงอีกครั้ง ส่วนหน่วยพยัคฆ์ดำสี่คนก็ก้มตัวลงเท้าแขนที่เข่าของตน สายตาจับจ้องพยัคฆ์ตัวน้อยที่คล้ายจะพยายามสื่อสารกับพวกตนด้วยความสนอกสนใจ
"ฮี้ๆๆ" เสียงร้องของอาชาสวรรค์ทำให้บุรุษทั้งหมดหันไปมองมันอย่างสนใจและประหลาดใจ มันเข้ามาอยู่ใกล้ขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน อาชาสวรรค์ผงกหัวเรียวยาวของมันให้ เป็นเชิงว่ามันอนุญาตให้ขึ้นขี่หลังของมันได้
มู่หลิ่งเหวินหรี่ตามองสบตาเล็กๆ ของมัน ก่อนจะตัดสินใจเดินเข้าไปหามันช้าๆ ด้วยท่วงท่ามั่นคง ครั้นเห็นว่ามันยืนนิ่งก็เข้าใจทันทีว่ามันยินยอม ไม่รอช้าชายหนุ่มรีบทะยานขึ้นไปนั่งบนหลังอาชาสวรรค์อย่างรวดเร็วโดยมีคู่หมายอยู่ในอ้อมแขนแข็งแรง
"แง้วๆ" เจ้าฟานฟานน้อยร้องเสียงดังเพราะกลัวถูกทิ้ง เฟิ่งอิงยิ้มขบขันเจ้าพยัคฆ์น้อย จึงถูกมันแยกเขี้ยวใส่ ก่อนจะยินยอมให้เฟิ่งอิงอุ้มมันใส่ในห่อผ้าแล้วส่งให้แม่ทัพหนุ่ม
"หวังว่าเจ้าจะไม่ทำให้นางบาดเจ็บมากขึ้นกว่าเดิม" เขากล่าวกับอาชาสวรรค์ หากเขาไม่เหนื่อยล้าจากการเดินทางและการต่อสู้ หนทางนี้จะเป็นหนทางสุดท้ายที่เขาจะเลือก เพราะคนที่บาดเจ็บควรหลีกเลี่ยงการเดินทางวิธีนี้
"ฮี้ๆๆ" อาชาสวรรค์คล้ายรับรู้ที่แม่ทัพหนุ่มบอกจึงขานรับ มันหันมามอง
'เฮอะ! เจ้ามนุษย์งี่เง่า หากไม่ใช่เพราะนางช่วยข้าไว้ ฝันไปเถิดว่ามนุษย์เช่นเจ้าจะมีโอกาสเยี่ยงนี้ได้' มันพ่นเสียงดังพรืดออกมาอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์นัก ก่อนจะพุ่งทะยานออกไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งห่างเฟิ่งอิงและคนอื่นๆ ออกไปเรื่อยๆ
มือหนึ่งของมู่หลิ่งเหวินยึดจับแผงคอหนาสีทองของอาชาสวรรค์ไว้แน่น ที่ไหล่สะพายเจ้าพยัคฆ์ตัวน้อยที่โผล่หัวออกมารับลม อีกมือก็โอบกอดคู่หมายไว้แนบอก ความเร็วของอาชาสวรรค์ตัวนี้เป็นหนึ่งในใต้หล้าจริงแท้แน่นอน รวดเร็วเสียจนภาพรอบข้างพร่ามัวไปหมด ไม่อาจระบุได้ว่าอยู่ที่ใด แรงสะเทือนหรือก็น้อยยิ่งกว่าอยู่ในเกี้ยวเสียอีก
สวรรค์! ช่างเป็นอาชาเหนืออาชาโดยแท้