เวลาล่วงเลยผ่านไปเกือบร่วมเดือน
ฟ่งหลันหลั่น ก็เริ่มอาการดีขึ้นเป็นลำดับ แม้พิษในร่างกายจะยังไม่ถูกขับออกมาได้หมด แต่นางก็สามารถกลับมาใช้ชีวิตได้ปกติเหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น ซึ่งได้สร้างความประหลาดใจให้กับแม่หนุ่ม จางเก่อ เข่อลั่ว และคนอื่น ๆ เป็นอย่างมาก
หลังจากหลงอี้หลิงได้ล่วงรู้ความลับนั้นของสตรีน้อย เขาเกิดความสงสัยที่มาเรื่องชาติกำเนิดของสตรีผู้นี้ ผนวกกับคำเสนอแนะจากท่านหมอ แม่ทัพหนุ่มจึงได้สั่งให้ลูกน้องไปสืบเรื่องราวชีวิตของฟ่งหลันหลั่นยังเมืองจิ่ว แต่ผู้คนที่นั่นกลับไม่มีผู้ใดล่วงรู้ภูมิหลังนั้นเลยสักคน
เพื่อจะสืบดูให้รู้แน่ชัดมากยิ่งขึ้น ว่าสตรีน้อยคือผู้ใด และตัวแม่ทัพหนุ่มรู้สึกได้ถึงความผูกพันแปลกประหลาดบางอย่างระหว่างเขากับนาง
จึงคิดว่าควรเก็บคนไว้ใกล้ตัวดีกว่า และบางทีในอนาคตเขาอาจจะต้องพึ่งพานาง ตามคำแนะนำของท่านหมอก็เป็นได้
หลงอี้หลิงได้ยื่นข้อเสนอให้ฟ่งหลันหลั่นอยู่ช่วยงานเขา ด้วยการเป็นผู้ช่วยส่วนตัว แต่ทว่าในจวนแม่ทัพที่เต็มไปด้วยเหล่าทหารซึ่งล้วนแต่เป็นชายฉกรรจ์ มันคงจะดูแปลกถ้ามีสตรีที่อายุเพิ่งเลยวัยปักปิ่นเข้ามาอยู่ในจวนอย่างโจ่งครึ่มโดยไม่มีผลงานหรือที่มาที่ไป เขาจึงต้องคิดหาวิธีว่าควรให้นางอยู่ในฐานะอะไร
ในตอนแรกฟ่งหลันหลั่นปฏิเสธเสียงแข็งอย่างหนักแน่น แต่พอย้อนคิดถึงเรื่องการตายของตาเฒ่าฟ่ง และจนกว่าจะสืบรู้ความจริงของความลับที่ตาเฒ่าของนางซ่อนและเก็บรักษาเอาไว้มานานนับสิบปีนั้นมันคือเรื่องอะไรกันแน่ นางจึงจำใจตกปากรับคำและยอมพักอยู่ที่เรือนหลงหลิงของแม่ทัพหนุ่มผู้นี้ไปก่อน
สิ่งหนึ่งที่ทำให้สตรีน้อยตัดสินใจเยี่ยงนี้ ก็เป็นเพราะว่าตอนนี้นางไม่สามารถเดินลมปราณหรือใช้วรยุทธ์ได้ ซึ่งเป็นผลจากพิษเก่าในร่างกายที่มีมานานแล้วและพิษใหม่ที่พึ่งได้รับมา จนกว่าพิษพวกนั้นจะถูกขับออกมาสิ้นเสียก่อน นางจึงจำต้องหาสถานที่รักษาตัว และด้วยตำแหน่งแม่ทัพของบุรุษผู้นี้ คือตัวเลือกที่ดีที่สุดในขณะนี้
และเพื่อไม่ให้เป็นที่ครหาของผู้คน ฟ่งหลันหลั่นได้พักอาศัยอยู่ที่เรือนหลงหลิง ในฐานะสาวใช้ส่วนตัวของเขานั่นเอง
แต่ว่านางไม่เคยใช้ชีวิตอยู่ในกฎระเบียบและสังคมของชนชั้นสูงหรือเหล่าขุนนางมาก่อน พอต้องมาเป็นสาวใช้ส่วนตัวให้กับแม่ทัพหนุ่มผู้มากความสามารถแถมยังรูปงามแบบนี้ ทำให้เจ้าตัวรู้สึกไม่ค่อยคุ้นชินและมีอาการประหม่าบ้าง
เพราะสตรีน้อยในวัยแรกแย้มต้องมาใกล้ชิดบุรุษรูปงามผู้ดูองอาจกล้าหาญ เป็นใครก็ต้องเกิดความรู้สึกหัวใจสั่นไหวคลอนแคลนเป็นธรรมดาและบางครั้งนางก็รู้สึกเหมือนตัวเองถูกจับขังไว้ในกรงทอง ไร้อิสรเสรีเหมือนตอนที่อยู่เมืองจิ่ว
ทว่า หากนางต้องการรักษาชีวิตไว้จนกว่าจะสืบหาความจริงที่ตามหาได้ ก็จำเป็นต้องฝืนใจอยู่แบบนี้ไปก่อนจนกว่าจะบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้
และทุกครั้งที่แม่ทัพหนุ่มเข้าวังเพื่อปฏิบัติหน้าที่ สตรีน้อยก็ฉวยโอกาสนั้นแอบหลบหนีด้วยการปีนป่ายกำแพงทางด้านหลังของเรือนหลงหลิง เพื่อเข้าไปสืบหาเบาะแสในเรื่องที่กำลังสืบอยู่เสมอ และเจ้าตัวไม่เคยถูกจับได้เลยสักครั้ง
เพลาล่วงเลยผ่านไปร่วมหลายเดือน
หลังจากที่สตรีน้อยได้เข้ามาเป็นสาวใช้คนใหม่ของหลงอี้หลิง ความสัมพันธ์ต่าง ๆ ภายในจวนแม่ทัพแห่งนี้ก็เริ่มก่อตัวขึ้นระหว่างทั้งสองคน
ช่วงยามซวี[1]แม่ทัพหนุ่มกำลังเดินตรวจตราความสงบสุขและความเรียบร้อยของผู้คนในเมืองหลวงพร้อมกับเหล่าทหาร พวกเขาเดินมาถึงถนนเส้นหลักซึ่งมีผู้คนพลุกพล่าน เพราะสองข้างทางเต็มไปด้วยร้านค้าและร้านอาหารรวมทั้งสถานเริงรมย์ก็ตั้งอยู่ไม่ไกล
ทันใดนั้นเอง สายตาอันคมกริบของแม่ทัพหนุ่มก็พลันเหลือบมองไปเห็นคนผู้หนึ่ง ใบหน้าช่างดูคุ้นตายิ่งนัก ซึ่งเขาผู้นั้นกำลังเดินเข้าไปในหอโคมแดงพอดี
ในขณะที่หลงอี้หลิงยืนคิดพิจารณาอยู่นั้น เข่อลั่วก็ได้โพล่งเสียงดังขึ้น พร้อมกับชี้หัวกระบี่ไปทางหอโคมแดง [2]
"นายน้อย! บุรุษหน้าหวานผู้นั้นช่างดูคุ้นตาเสียจริง ดูคล้าย ๆ กับการแต่งกายของแม่นางฟ่ง ตอนที่เจอกันยังเมืองจิ่งเลย"
จางเก่อได้ฟังสหายทหารนายกองกล่าวเช่นนั้น เขาก็ใช้กระบี่ในมือกระทุ้งเข้าไปที่ลำตัวด้านข้างของสหาย พร้อมกับขยิบตาและส่ายหน้าส่งสัญญาณให้กับเจ้าตัวสงบปากลง
'นางมาอยู่ที่นี่ได้ยังไงกัน' หลงอี้หลิงเองก็คิดไม่ต่างจากเข่อลั่ว แต่การที่สตรีน้อยผู้นั้นมาปรากฏตัวอยู่ตรงนี้แทนที่จะพักผ่อนอยู่ที่เรืองหลงหลิงของเขา มันเป็นเรื่องที่ผิดปกติมาก แถมนางไม่ได้แจ้งหรือขออนุญาตเขาก่อนด้วยซ้ำ ทำให้ตอนนี้เขามีทั้งความสงสัยและความไม่พอใจระคนกัน
[1] ยามซวี (戌:xū) คือ 19.00-20.59 น.
[2] สถานที่บุรุษรูปงามคอยให้บริการแขก มีทั้งร้อง เต้นรำทำเพลงและบริการอื่น ๆ ตามความต้องการของลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการ
"พวกเจ้าสองคน พาทหารไปลาดตระเวนในจุดที่เหลือต่อโดยไม่ต้องรอข้า พรุ่งนี้รายงานสถานการณ์"
แม่ทัพหนุ่มกล่าวขึ้นเสียงเข้มกับลูกน้องทั้งสองนาย ในเนื้อเสียงแฝงไปด้วยอารมณ์ขุ่นมัวไม่พอใจ
"ขอรับนายน้อย" นายกองทั้งสองนายขานรับขึ้นพร้อมกัน แต่ทว่าแม่ทัพหนุ่มไม่ได้อยู่รอฟัง ตอนนี้เขาเดินตรงดิ่งหายเข้าไปในร้านขายผ้าที่อยู่ข้าง ๆ กัน ก่อนจะตามหลังฟ่งหลันหลั่นเข้าไปในหอโคมแดงด้วยอากัปกิริยาเร่งรีบดูไม่เป็นตัวเอง
พอหลงอี้หลิงได้เข้าไปในโถงของหอโคมแดง เขาก็เลือกโต๊ะที่นั่งหลบมุมและสามารถมองเห็นฟ่งหลันหลั่นได้อย่างชัดเจน
จากนั้นแม่ทัพหนุ่มก็คอยเฝ้าสังเกตสตรีน้อยอยู่ห่าง ๆ ด้วยสงสัยว่าเหตุใดนางถึงแอบหนีออกมานอกเรือนหลงหลิงในเวลานี้ แถมยังเข้ามาในสถานที่อโคจรเช่นนี้ ซึ่งไม่ใช่สถานที่ของสตรีที่ดีมิควรย่างกรายเข้ามา
หลังจากที่ฟ่งหลันหลั่นเข้าไปด้านในของหอโคมแดง นางจำเป็นต้องไหลตามน้ำ ทำให้ต้องเรียกใช้บริการของบุรุษในนั้นเพื่อไม่ให้เป็นที่สงสัย มีบุรุษรูปงามเข้ามาให้บริการแวะเวียนสลับกันไป นางก็คอยแอบสอบถามสืบหาข้อมูลจากพวกเขาในสิ่งที่ตนต้องการ
แต่สุดท้ายนางก็แพ้ภัยตัวเอง เพราะเจ้าตัวดันเผลอไปสั่งสุราชนิดพิเศษของหอโคมแดง ซึ่งดีกรีของมันรุนแรงมาก
หนึ่งชั่วยามผ่านไป ฟ่งหลันหลั่นที่คิดว่าตัวเองนั้นคอทองแดงมาก ก็ต้องศิโรราบให้กับสุราดอกท้อร้อยปี ขึ้นชื่อของหอโคมแดงแห่งนี้ ความแรงของสุราทำให้นางเมาจนควบคุมสติแทบไม่อยู่ โชคดีที่การกระทำทุกอย่างของนางล้วนอยู่ภายใต้สายตาอันคมกริบของหลงอี้หลิง ซึ่งจ้องเขม็งมองบุรุษหนุ่มหน้าหวานอย่างดุดันไม่วางตา
เมื่อแม่ทัพหนุ่มเห็นสาวใช้ของตนเริ่มเมามายจนแทบจะขาดสติ สูญเสียการควบคุมและการระมัดระวังตัวเอง พูดจ้อไม่หยุดปากฟังไม่ได้ความ แถมมือก็เลื้อยไปมาอย่างกับหนวดปลาหมึก โดยมีบุรุษรูปงามหลายคนกำลังรายล้อมคอยให้บริการ
หลงอี้หลงนั่งทำหน้าตาโกรธขึ้งมองดูเหตุการณ์ด้วยความรู้สึกที่ยากจะอธิบาย มือที่ถือจอกสุราอยู่แทบอยากจะบีบมันให้แตกคามือเสียตรงนั้น และก่อนที่จะมีอะไรเกินเลยไปมากกว่า เขาจึงแสดงตัวและเดินเข้าไปยังโต๊ะของตัวก่อเรื่องในวันนี้
ฟ่งหลันหลั่นที่กำลังเมามายได้ที่ พลันหันไปเห็นหลงอี้หลิง สวมใส่อาภรณ์สีขาวขลิบเงินเดินตรงมายังโต๊ะของนาง ด้วยใบหน้าโกรธขึ้ง
ตอนนี้สตรีน้อยมีสติไม่ครบสมบูรณ์ จึงปราศจากความเคารพหรือเกรงกลัวในอำนาจของบุรุษตรงหน้า
อย่างที่เคยมีผู้กล่าวไว้
เมื่อสุราเข้าปาก
ความจริงที่ซ่อนไว้ในใจ
ย่อมถูกเผยออกมา
.....
เซียงไค 盛開
การสร้างสรรค์งานเป็นเรื่องยาก ส่งกําลังใจให้กันด้วยนะ!
อ่านแล้วชอบไหม เพิ่มในคลังหนังสือเลยสิ!
มีความเห็นเกี่ยวกับนิยายเรื่องนี้ใช่รึเปล่า คอมเมนต์มาได้เลยไรต์อยากฟัง