ณ ยามเย็น แสงอาทิตย์อัสดงเลือนรางลับขอบฟ้า อับราฮัมหยุดรถม้าลงที่เนินเขาลูกนึ่ง และนั่งคอยพวกของแมม่อนกลับมา พวกชาวบ้านสีหน้าก็เหมือนยังไม่หลุดอกจากฝันร้าย ภาพสัตว์อสูรขนาดยักษ์มันยังตามหลอกหลอนพวกเขาอยู่ เป็นอันระแวงทุกครั้งที่ได้ยินเสียงแปลกๆ
เมื่อเวลาผ่านไปสักพัก ไม่มีวี่แววใดๆ พวกเขาก็เริ่มพากันถอดใจกัน คิดว่าสองคนนั้นคงไม่รอด ไม่ว่าจะเก่งอย่างไรก็ตามสิ่งมีชีวิตนั้นไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์จะรับมือได้ อีกทั้งยังมีถึงสองตัว
ในตอนนั้นเองที่สายตาของอับราฮัมนั้นได้สังเกตเห็นแมม่อนกำลังเดินตรงเข้ามาหาพวกเขา
"ทุกคน! เขากลับมาแล้ว!" เขาเรียกให้ชาวบ้านทุกคนมาดู
ร่างกายสีดำกำลังเดินตรงมาหาพวกเขาพร้อมกับแบกส่วนหัวของสัตว์ประหลาดนั้นอยู่บนบ่า พวกชาวบ้านที่เห็นดังนั้นก็ต่างเริ่มร้องดีใจออกมาเสียงดัง บางคนก็ร้องไห้ออกมา และมีอีกหลายคนที่เข้ามาพร้อมกับขอบคุณที่แมม่อนนั้นเข้ามาช่วยกำจัดสัตว์อสูรยักษ์นั่นให้ สีหน้าที่เข้ามาต่างดูมีชีวิตชีวามากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
"ขอบคุณมากจริงๆ นะครับ"
"พี่ชายนี่มันสุดยอดจริงๆเลย ขอบคุณนะที่ช่วย"
"สุดยอดจริงเลยพี่ชาย ที่ปราบมันลงได้"
อับราฮัมนั้นมองไปที่แมม่อนก็รู้สึกได้อย่างทันทีว่ามีบรรยากาศที่เปลี่ยนไป เขาเห็นว่าเซเลน่าสีหน้าไม่ค่อยดีและพยายามจะเดินออกห่างตัวของแมม่อน
"เอาล่ะ! ดูท่าแล้วเรื่องนี้อาจจะจบไม่ค่อยสวยสักเท่าไหร่"
หลังจากเหตุการณ์นั้นชาวบ้านก็เริ่มทำการฉลองที่พวกเขานั้นรอดชีวิตมาได้ ดื่มกินกันอย่างเต็มที่ พวกเขาฉลองกันอยู่ได้สักพักใหญ่ๆก่อนจะพากันหลับไปท่ามกลางแสงจันทร์ในยามค่ำคืน
....
อับราฮัมที่นั่งเงียบๆอยู่หน้ากองไฟเพียงคนเดียว ในขณะเดียวกันเขาก็ได้ยินเสียงเท้าเดินเข้ามา เขารู้ได้อย่างทันทีว่านั่นคือเซเลน่า เลยพูดขึ้นว่า...
"ฉันไม่ขอโทษเรื่องที่เกิดขึ้นหรอกนะ ก็เพราะว่าฉันไม่ผิดตั้งแต่แรกอยู่แล้ว"
เซเลน่าเดินเข้ามาข้างๆของอับราฮัม ทันใดนั้นเธอชกเข้าที่หน้าอย่างแรงจนหน้าของเขานั้นสะบัดหันไปอีกทาง
อับราฮัมลุกขึ้นนั่งที่เดิมอย่างปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เขาเอามือนาบไปที่แก้มของตัวเองแล้วพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่นิ่งเฉย
"แค่หมัดเดียวพอใจแล้วหรือ?"
ในตอนนั้นเซเลน่าก็โกรธจัดง้างหมัดออกกำลังจะชกอีกครั้ง ขณะนั้นเองที่มีเด็กสาวที่มีหูและหางเป็นหมาป่าเดินเข้ามาหาด้วยท่าทางที่งัวเงียเหมือนว่าเธอจะตื่นจากเสียงทะเลาะตะกี้นี้
"พวกพี่สาว...ทะเลาะกับคุณลุงอย่างนั้นหรอ? ไม่เอานะ! อย่าทะเลาะกันนะ พ่อหนูบอกว่าการทะเลาะกันเป็นสิ่งไม่ดี เพราะงั้น..." เธอทำท่าเหมือนกำลังจะร้องไห้ออกมา
ทางอับราฮัมรีบลุกขึ้นอย่างรวดเร็วเข้าปลอบเด็กสาวครึ่งคนครึ่งสัตว์นั่น... "เปล่านะพวกเราไม่ได้ทะเลาะกัน แค่มีแมลงมาเกาะที่หน้า แล้วพี่สาวใจดีเห็นก็เลยตบแมลงให้เท่านั้นเอง หนูรีบไปนอนเถอะนะ พรุ่งนี้ยังมีเรื่องอีกมากมายที่ต้องทำนะ"
"...เข้าใจแล้วค่ะ!" แล้วเด็กสาวนั่นก็เดินเข้าไปนอนบนรถม้า
หลังจากนั้นอับราฮัมก็เดินกลับมานั่งที่กองไฟเช่นเดิม แล้วพูดชักชวนทางเซเลน่าว่า...
"นั่งก่อนสิ!"
ทางเซเลน่าก็ตอบรับคำเชิญนั้นนั่งลงที่ข้างกองไฟเช่นเดียวกัน ในท่ากอดเข่าเหมือนกับคนที่กำลังอมทุกข์
"ถึงแม้ว่าสิ่งที่นายทำมันจะถูกต้อง แต่คนอย่างนายเคยเข้าใจความรู้สึกของคนอื่นบ้างไหม?"
"ทำไมฉันต้องเข้าใจด้วย? ในเมื่อมีอีกหลายคนเจ็บปวดกว่าเธออีกตั้งมากมาย เธอไม่ได้สูญเสียอะไรไปสักหน่อย"
"ทำไมจะไม่ล่ะ! ฉันเองตอนนี้ก็ยังรู้สึกได้ ถ้าหากวันๆหนึ่งทุกอย่างเรียบร้อย และเขาเกิด...ไม่มีอะไร!"
สิ่งที่อยู่ในใจของเซเลน่าในตอนนี้คือภาพสัตว์อสูรที่ระเบิดต่อหน้าต่อตา เธอกังวลว่าถ้าหากในวันที่ความปรารถนาของตนเองเป็นจริง แล้วตราพันธะแห่งเลือดนี้หายไป แมม่อนจะหันกลับมาทำร้ายเธอ แค่ความคิดแบบนั้นก็ทำเธอกลัวขึ้นมา...
เซเลน่าเริ่มกอดเข่าแน่นขึ้น "มันแปลกดีนะ ทั้งๆ ที่เขาช่วยชีวิตฉันเอาไว้แท้ๆ แต่ฉันกลับไม่สามารถที่จะพูดขอบคุณออกไปได้ กลับผลักไสไล่เขาให้ออกห่างจากตัวเอง เพราะแค่กลัว..."
....ฉันในตอนนี้คงไม่มีหน้าไปพบเขาอีกแล้ว การเดินทางของฉันคงต้องจบซะตรงนี้แหละ....
...
..
"การที่กลัวมันไม่แปลกหรอก แต่การที่ให้ความกลัวนั้นเข้ามารั้งตัวเราเอาไว้นั่นแหละที่แปลก..."
"!!!"
แล้วอับราฮัมยังพูดต่ออีกว่า... "ทุกคนต่างก็เคยกลัวกันหมดแหละ ดูอย่างพวกชาวบ้านสิ! ในตอนแรกที่เจอสีหน้าพวกเขานั้นต่างก็เต็มไปด้วยความสิ้นหวังและความกลัว แล้วหันมาที่ตอนนี้ พวกเขากลับกินอิ่มนอนหลับกันอย่างสบายใจ เห็นไหม? ว่าไม่แปลกหรอกที่จะกลัว แต่การที่อยู่กับมันทั้งแบบนั้นนั่นแหละที่แปลก..."
จากนั้นอับราฮัมหยิบอะไรบางอย่างออกมาจากกระเป๋า มันคือสมุดบันทึกและแผนที่ของรางวัลที่ได้ตกลงกันไว้ก่อนหน้านี้ แล้วเขาก็ยื่นมันให้กับทางเซเลน่า
"ฉันไม่เคยบอกใครนอกจากพ่อ ว่าฉันสามารถสร้างวัตถุเวทได้ ตั้งแต่ยังวัยรุ่นฉันได้เคยเดินทางไปอีกทวีปหนึ่งเพื่อศึกษาวิชาของเผ่าดวอร์ฟ สมุดเล่มนั้นเองก็เป็นวัตถุเวท มีแต่เจ้าของเท่านั้นที่เปิดมันออกได้และไม่สามารถทำลายมันได้ตราบใดที่เจ้าของไม่อนุญาต ...ซึ่งตอนนี้มันเป็นของเธอแล้ว เพียงแค่ประทับเลือดลงไปเท่านั้น"
"ทำไมของพวกนี้จำเป็นต้องใช้เลือดด้วยล่ะ?"
"เลือดเปรียบดั่งชีวิตและจิตวิญญาณ การที่เราเลือกประทับสิ่งใดด้วยเลือด แสดงว่าสิ่งๆ นั้นย่อมเป็นของเราไปจน ตราบชั่วชีวิต อาจารย์ข้าบอกเอาไว้น่ะ!" แล้วเขาก็ยื่นมีดเล่มเล็กๆให้กับเธอ
หลังจากนั้นเซเลน่าก็ทำการเอามีดจิ้มไปที่นิ้วเป็นแผลเล็กที่พอจะมีเลือดไหลออกมา และแปะมันลงที่หน้าปกสมุดบันทึกนั้นอย่างทันที เกิดเป็นแสงสีแดงส่องสว่างออกมา แล้วหลังจากนั้นมันก็ดับลงไปเป็นอันเสร็จพิธี
"เอาล่ะ...เท่านี้ธุระของฉันหมดลงเสียที!" อับราฮัมลุกขึ้นยืดเส้นยืดสายและกำลังจะไปนอน "คราวนี้ก็ถึงเวลาที่ตัวเธอเองจะต้องเลือกคำตอบของคำถามแล้วนะ..."
"คำตอบของคำถาม?"
"ไม่ว่าผลลัพธ์ที่ตนเองเลือกจะเป็นอย่างไร จงยืดอกยอมรับมัน ไม่ว่าจุดจบจะดีหรือแย่ไม่เกี่ยวกับพระเจ้าหรือว่าโชคชะตาใดๆ ทั้งนั้น ทั้งหมดนี้อยู่ที่ตัวเองจะเลือกเดิน"
หลังจากนั้นเซเลน่าก็ลุกขึ้นแล้วเดินออกจากกองไฟไปหาแมม่อนเพื่อปรับความเข้าใจกัน ทิ้งให้ทางอับราฮัมนั้นก็ดับกองไฟก่อนที่จะเข้านอน...
...
...
ในยามกลางคืนที่แสงจันทร์สาดส่อง เสียงแมลงขับร้องประสานกันดูน่ารำคาญ ที่ส่วนลึกด้านในป่า ท่ามกลางสิ่งเหล่านั้นมีร่างสีดำนั่งอยู่บนก้อนหินขนาดใหญ่ เหมือนว่าเขากำลังนั่งอยู่เงียบๆ คิดทบทวนเรื่องราวที่เกิดขึ้นในตอนกลางวัน
เซเลน่าที่เดินมาจนถึงที่แมม่อนอยู่และกำลังจะพูดขอโทษเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อตอนกลางวันไป แต่ทางนั้นก็พูดขัดขึ้นมาก่อนว่า...
"ข้าว่าท่านล้มเลิกที่จะไปทวีปอีเดนเถอะ! ท่านเป็นมนุษย์ส่วนทางนี้นั้นเป็นปีศาจ ไม่เพียงแค่ร่างกายเท่านั้นที่ต่างกัน แต่รวมไปถึงจิตใจด้วย ข้าเกรงว่าต่อจากนี้จะทำให้ท่านเจอแต่อันตราย เพราะฉะนั้นแล้วช่วยล้มเลิกไปทีได้ไหม? ทั้งหมดนี่ก็เพื่อตัวท่านเอง"
เซเลน่าได้ยินถึงกับกำแผนที่อยู่ในมือจนแน่น "แล้วเรื่องพันธะแห่งเลือดล่ะ จะเอาอย่างไงมันไม่สามารถยกเลิกได้ไม่ใช่หรอ?"
"เรื่องนั้นเดี๋ยวทางนี้จัดการหาทางเอง พอถึงพรุ่งนี้เช้าข้าจะพาท่านไปส่งที่ราชวังดั่งเดิม แล้วพวกเราก็จบกันแค่นั้น..."
...
"ไม่เอาด้วยหรอก! ความปรารถนาของฉันยังไม่เป็นจริงเลยทั้งๆที่มันอยู่แค่เอื้อมแล้วแท้ๆ ฉันไม่ยอมให้มันจบแค่นี้!"
"...สิ่งที่เกิดเมื่อตอนกลางวัน ข้ายังจำสีหน้าของท่านได้ดี มันแสดงออกมาอย่างชัดเจนเลยว่า...ท่านกลัวในตัวข้า"
"ใช่! ฉันกลัว กลัวมากๆ เลยด้วย นี่เป็นครั้งแรกเลยที่รู้สึกแบบนั้น แต่ว่า....! ต่อจากนี้ไป ไม่สิตั้งแต่นี้ไปฉันจะไม่กลัวนายอีกแล้ว ไม่ว่านายจะฉีกตัวฉันเป็นชิ้นๆหรือกินฉันทั้งเป็น ฉันก็จะไม่กลัว!" เซเลน่าสูดลมหายใจเข้าลึกๆเอามือเท้าเอวพร้อมกับชี้ไปที่แมม่อนแล้วตะโกนออกเสียงดัง
"ฉันมีนามว่า "เซเลน่า" องค์หญิงอันดับที่หนึ่งของราชวงศ์เรนาเลีย นับแต่นี้จะเป็นเจ้านายของเจ้า ข้าได้มอบอิสระให้ไปแล้ว...นับแต่นี้ทุกสิ่งทุกอย่างของเจ้าเป็นของข้าแต่เพียงผู้เดียว!!!"
....
แมม่อนที่ได้ยินถึงกับอึ้งไปชั่วครู่หนึ่งก่อนที่จะหัวเราะออกมา... "ฮะ... ฮ่าฮ่าฮ่า...!"
ซึ่งเสียงหัวเราะนั้นทำเอาทางเซเลน่านั้นมีท่าทีที่เขินออกมาอย่างเห็นได้ชัด เลยพยายามพูดกลบเกลื่อนไปว่า... "หยุดหัวเราะได้แล้วน่า! ทางนายเองก็รีบทำสิ! ขืนปล่อยให้ทางนี้ทำอยู่ฝ่ายเดียวมันน่าอายเป็นบ้า!"
แมม่อนกระโดดลงจากหินมาหยุดลงตรงหน้าเซเลน่า ก่อนที่จะคุกเข่าลงพร้อมกับก้มศีรษะอย่างนอบน้อม
"นามของข้าคือแมม่อน หนึ่งในเจ็ดบัญญัติต้องห้าม ปีศาจแห่งความโลภ เป็นข้ารับใช้ของท่าน มีหน้าที่เพียงหนึ่งเดียวคือการทำความปรารถนาของท่านให้เป็นจริง นายของข้า... "เซเลน่า"
...ต่อให้หนทางที่เลือกนี้จะเป็นทางที่ผิด แม้ว่าจุดจบมันจะไม่สวยเหมือนดั่งที่หวัง ถึงอย่างนั้นฉันได้ตัดสินใจแล้วว่าจะเชื่อใจเขาคนนี้ไปจนบทสุดท้ายของการเดินทาง และฉันก็จะไม่มีวันเสียใจกับการตัดสินใจครั้งนี้เด็ดขาด! ไม่มีวัน ...
....
.....
รุ่งเช้าได้มาเยือน เซเลน่าลืมตาตื่นขึ้นมาก็เห็นว่าตัวเองนอนอยู่ข้างกองไฟที่มอดพร้อมกับมีผ้าห่มคลุมร่างกายของเธอเอาไว้ มองไปรอบๆ เห็นว่ามีเด็กสาวเผ่าครึ่งคนครึ่งสัตว์ที่มีหูและหางเป็นหมาป่าเฝ้าเธออยู่ ซึ่งเธอก็เคยเป็นหนึ่งในคนที่พวกเธอเข้าช่วยในเมื่อวานนี้
"อ๊ะ! พี่สาวตื่นแล้วหรอ?" เด็กสาวพูดพร้อมกับหูและหางที่ส่ายกระดิกไปมา
"...แล้วคนที่เหลือล่ะ?" เซเลน่าตอบกลับด้วยสีหน้าที่งัวเงีย
"พวกเขากำลังเตรียมทำพิธีไว้อาลัยให้กับผู้ที่ตายอยู่ในหมู่บ้านน่ะ"
"ทางหนูไม่ไปเข้าร่วมกับพวกเขาอย่างนั้นหรอ?"
"พี่ชายตัวใหญ่เขาบอกให้หนูเฝ้าพี่สาว จนกว่าพี่สาวจะตื่น ไม่ต้องห่วงหรอกนะเพราะว่าพิธีมันยังไม่เริ่ม"
พอได้ยินแบบนั้นเซเลน่าก็ค่อยพยุงร่างกายตัวเองขึ้นอย่างช้าๆ "ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็ไปกันเถอะ!?"
"อื้ม!" เด็กสาวคนเผ่าครึ่งคนครึ่งสัตว์นั้นวิ่งนำทางเซเลน่าไปที่หมู่บ้านด้วยท่าทางที่ร่าเริงเร่งรีบ
...เด็กสาวที่เกิดจากที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นเผ่าบีสท์ ถึงให้กำเนิดมาเป็นลูกครึ่งร่างกายเป็นมนุษย์มีส่วนใดส่วนหนึ่งเป็นเผ่าบีสท์ ถือว่าค่อนข้างหายากเพราะว่าการแต่งงานในต่างเผ่าพันธุ์นั้นเป็นสิ่งที่สังคมโดยกว้างไม่ค่อยให้การยอมรับ ถึงแม้ว่ามันจะไม่ผิดต่อกฎหมายของประเทศนี้อย่างไร มันก็ยังมีพวกที่ต่อต้านอยู่เหมือนกัน
...นอกจากนี้ ด้วยความที่เป็นสิ่งที่ค่อนข้างหายากแล้วเลยมีบ่อยครั้งที่มักจะถูกจับไปค้าขายเป็นแรงงานและทาสกามอยู่ในหลายๆ กรณี ความเป็นอยู่ก็ค่อนข้างลำบาก เลยมีเพียงไม่กี่ทางรอดที่เลือกไม่กลายเป็นยอดฝีมือที่สามารถปกป้องตัวเองได้ หรือไม่ก็อยู่แบบหลบๆ ช่อน
แต่ดูจากที่เด็กคนนี้อาศัยอยู่ในหมู่บ้านได้อย่างปกติแล้ว แสดงว่าชาวบ้านไม่ได้รังเกียจที่เด็กคนนี้เป็นลูกครึ่งแต่อย่างใด ถือว่าค่อนข้างโชคดีเลยล่ะ....
ณ ภายในหมู่บ้าน....
ชาวบ้านทุกคนกำลังยุ่งวุ่นวายกับการเก็บกวาดและเตรียมจัดพิธีไว้อาลัยให้กับผู้ที่เสียชีวิต ทางแมม่อนเองก็ถูกห้อมล้อมไปด้วยเหล่าเด็กๆ ต่างเข้ามาหาด้วยความที่เคยช่วยชีวิต พวกเขาและเหล่าชาวบ้านรอดจากสัตว์อสูร ซึ่งในสายตาของเหล่าเด็กๆนั้นแมม่อนเปรียบได้ดั่งราวกับวีรบุรุษเลย
"นี่ๆพี่ชายทำไมถึงได้ใส่หน้ากากปกปิดใบหน้าเอาไว้อย่างนั้นล่ะ?" เด็กชายคนหนึ่งถามขึ้นด้วยความสงสัย
"นี่น่ะหรอ? ที่จริงแล้วถ้าหากพี่ชายเกิดเปิดใบหน้านี้ขึ้นมาล่ะก็ โลกใบนี้อาจจะถูกทำลายได้เลยนะ! อยากจะดูไหมล่ะ?"
"น่ากลัว...! ไม่เอา...! อย่าเปิดมันนะพี่ชาย!" เด็กหลายคนพยายามห้ามและมีอีกหลายคนที่กลัวคำขู่ของแมม่อนจนแทบจะร้องไห้
"พี่ชายล้อเล่นน่ะ พี่ชายไม่มีทางทำแบบนั้นหรอก"
ในระหว่างนั้นทางเด็กสาวลูกครึ่งก็วิ่งเข้ามาเกาะที่ขาอย่างรวดเร็วแล้วชี้นิ้วไปทางเซเลน่าที่กำลังเดินเข้ามา ก่อนจะพูดขึ้นว่า...
"พี่ชาย...! หนูพาพี่สาวคนสวยมาแล้วนะ"
"ขอบใจมากนะ" แมม่อนลูบไปที่หัวเบาๆ ซึ่งดูเหมือนว่าเธอเองจะชอบด้วย ก่อนจะยื่นสิ่งหนึ่งออกไป มันเป็นแหวนวงหนึ่งที่ดูธรรมดาข้างบนประดับด้วยอัญมณีสีแดง แล้วเอาสวมเข้าที่นิ้วนางของเธอ "อะนี่...พี่ชายให้"
"นี่มัน!?" เด็กสาวลูกครึ่งที่กำลังสับสนกับสิ่งที่เกิดขึ้น
"ของตอบแทนที่ช่วยพี่ชายยังไงล่ะ...ดูแลมันดีๆนะ"
"อื้ม! ขอบคุณนะพี่ชาย หนูจะดูแลมันเป็นอย่างดีเลย" เด็กสาวลูกครึ่งนั่นตอบกลับมาพร้อมกับรอยยิ้มที่อยู่บนใบหน้า พร้อมกับจ้องมองไปที่แหวนตาไม่กระพริบ
จากนั้นสักพักเด็กคนอื่นก็อยากจะได้เหมือนกัน "พี่ชายให้แต่เฟนคนเดียวขี้โกง!" เด็กคนอื่นๆเริ่มเรียกร้องออกมาแบบเดียวกัน ว่าอยากจะได้ของขวัญที่เหมือนกับ "เฟน" ซึ่งนั่นเป็นชื่อของเด็กสาวลูกครึ่งหมาป่า
"ใช่แล้ว! ให้แต่เฟนคนเดียว ไม่ยุติธรรมเลย!"
"เออ...คือว่า เฟนช่วยงานของพี่ชาย ตัวพี่ชายเองก็เลยอยากจะมอบสิ่งขอบตอบแทนให้"
หลังจากนั้นเด็กๆหลายคนเริ่มจะร้องไห้และเริ่มที่จะโวยวายออกมา เมื่อทางแมม่อนเห็นแบบนั้นเลยเอามือลูบไปที่หัวของเด็กเหล่านั้นจนครบทุกคน ทันทีเหล่าเด็กๆ นั้นก็เงียบลงอย่างทันที ก่อนที่แมม่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนกลับมาว่า...
"ถ้าพี่ชายมอบสิ่งของให้กับทุกคนแล้ว สิ่งที่เฟนทำลงไปก็จะไร้ความหมายสิ! ถ้าทุกคนได้เหมือนกัน โดยที่ไม่ทำอะไรเลย เพราะฉะนั้นนั่นเป็นสิ่งที่เฟนสมควรจะได้รับแล้วเพราะว่าเธอนั้นช่วยงานพี่ชาย การที่เธอต้องรอพี่สาวตื่นมันยากมากนะรู้ไหม? ทั้งชอบนอนดิ้น ไหนจะกรนเสียงดัง อีกทั้งเวลานอนยังชอบน้ำลายไหลอีก ดังนั้นเพื่อเป็นการเห็นแก่การพยายามของเฟนแล้วช่วยปล่อยเรื่องนี้ไปได้ไหม?"
"ก็ได้ครับ! ถ้าพี่ชายพูดแบบนั้นล่ะก็...ขอโทษนะครับที่ชอบเอาแต่ใจ"
"เข้าใจก็ดีแล้ว...พอดีพี่ชายมีเรื่องที่ต้องคุยกับพี่สาวนิดหน่อย ช่วยไปเล่นกันตรงที่อื่นจะได้ไหม?"
"ครับ!"
...แล้วเหล่าเด็กๆรวมถึงเฟนก็วิ่งไปเล่นที่อื่นอย่างทันทีที่ทางแมม่อนได้ขอร้องไป หลังจากนั้นไม่นานเซเลน่าก็เดินเข้ามาต่อยที่แขนอันใหญ่โตของเขาหลายครั้ง...ต่อหลายครั้ง เพื่อเป็นการระบายอารมณ์ที่ทางแมม่อนได้พูดถึงนิสัยตอนที่เธอถูกนินทาก่อนหน้านี้...
"รู้ไหม? ว่านายโดนแบบนี้เพราะอะไร?"
"ข้าขอโทษด้วยนายของข้า แต่ที่ข้าพูดไปนั้นมันก็มีบางส่วนที่เป็นความจริงอยู่ด้วย"
"นี่นายจะบอกว่าในตอนที่นอนฉันมีน้ำลายไหลออกมาอย่างนั้นหรอ?" เธอเริ่มต่อยไปที่แขนแรงขึ้นและถี่ขึ้นเรื่อยด้วยท่าทีที่เขินอาย
"ข้ายังไม่ทันพูดอะไรเลยว่าจริงหรือเปล่า แต่ท่านก็ยอมรับเองเสียแล้ว ช่างหน้าชื่นชมจริงๆ"
หลังจากที่รู้ว่าต่อให้เธอจะต่อยไปอย่างไร แมม่อนก็ไม่มีท่าทีที่แสดงความรู้สึกแต่อย่างใด เธอจึงหยุดการกระทำนั้น "ฉันเห็นทางนายสนิทกับพวกเด็กๆ ได้เร็วเหมือนกันนะนี่ เผ่าปีศาจเองก็มีแบบนี้เหมือนกันสินะ?"
"ท่านเข้าใจผิดแล้ว! พวกเราเผ่าปีศาจไม่มีอะไรแบบนี้หรอก..."
"หรอ?..."
...ทั้งที่เคยบอกว่าตัวเองนั้นก็มีพ่อและแม่เหมือนกันกับมนุษย์แท้ๆ แต่ทำไมถึงบอกว่าที่เผ่าปีศาจนั้นไม่มีเด็กน้อยวิ่งเล่นแบบนี้ มันยังไงกันนะ?...
"เอาล่ะ! พอดีข้ามีเรื่องจะคุยด้วยช่วยตามมาทีจะได้ไหม?" พอพูดจบแล้วเขาก็เดินนำหน้าเซเลน่าไป
"เดี๋ยวสิ! คุยกันตรงนี้ไม่ได้หรอ ว่าแต่...เรื่องที่จะคุยนี่มันเรื่องอะไรกันเล่า?"
"เราคุยกันตรงนี้ไม่ได้! เอาเป็นว่า...แค่ท่านตามข้ามาก็พอแล้ว"
ทางเซเลน่าก็เข้าใจและเดินตามไปแต่โดยดี เข้าลึกไปในป่าเริ่มห่างจากตัวหมู่บ้านขึ้นเรื่อยๆ ทางที่เดินเองก็รกขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน จนกระทั่งได้พบกับถ้ำขนาดใหญ่ ดูเหมือนว่ามันจะเกิดขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่มีใครรู้ แม้แต่ชาวบ้านที่อาศัยอยู่แถวนั้นก็ไม่เคยมีใครพูดถึงว่ามีถ้ำอยู่ห่างจากตัวหมู่บ้านอยู่ด้วย
"ถึงแล้ว..." แล้วแมม่อนก็เดินเข้าไปในนั้นอย่างทันที ทางเซเลน่าเองก็รีบเดินตามหลังเขาไปแต่ว่าภายข้างในของถ้ำที่ทั้งมืดและชื้นแฉะ...
"เดี๋ยวก่อนสิ! ฉันมองทางข้างหน้าไม่เห็นเลย ถ้ายังไงก็น่าจะบอกกันก่อนจะได้ขอคบเพลิงจากหมู่บ้านมาสักอันก็ยังดี"
ในตอนนั้นเองที่แมม่อนก็ได้แสดงเวทมนตร์ขึ้นมาให้กับทางเซเลน่าดู เขาจุดดวงไฟขนาดเล็กขึ้นในมือ แล้วเดินนำทางเธอไป ถึงแม้ว่าแสงไฟนั้นจะไม่สว่างมากแต่มันก็เพียงพอที่จะใช้ให้ตนเองมองเห็นทางข้างหน้า
"เห....! ฉันก็พึ่งจะรู้นะเนี่ยว่านายใช้เวทมนตร์แบบนี้ได้ด้วย เพราะเห็นจากการต่อสู้เมื่อวานก็ทำเอาคิดไปว่า น่าจะเป็นพวกที่ชอบใช้แต่กำลังเสียอีก..."
"ชู่~! เงียบๆหน่อย" แมม่อนบอกให้ทางเซเลน่าเงียบ เหมือนว่าเขาจะเจอกับอะไรบางอย่าง เขาเอาไฟที่อยู่ในมือส่องไปทางข้างหน้า ในจังหวะนั้นเองที่เซเลน่าก็ได้เผอิญพบเห็นกับซากกองกระดูกมหาศาลกองทับถมกองพะเนินระเกะระกะเต็มเรี่ยราดพื้นไปหมด
"นี่มัน...! คงจะ ไม่ใช่กระดูกของมนุษย์สินะ?" เธอพยายามไม่ตื่นตระหนกและมองโลกในแง่ดี
"โทษที แต่นี่มันกระดูกของมนุษย์ ถึงจะไม่ทั้งหมดแต่ส่วนมากก็เป็นมนุษย์"
"ถ้างั้นแสดงว่านี่คือ..."
"รังของสัตว์อสูรที่พวกเราเจอเมื่อวันก่อนยังไงล่ะ?"
ทันใดนั้นก็มีเสียงฝีเท้าของสัตว์เร่งเข้ามาหาพวกเซเลน่าอย่างรวดเร็ว มันคือสัตว์อสูรในแบบที่เหมือนกับเมื่อวานแต่ในขนาดที่เล็กกว่าเดิมมาก มันพุ่งเข้าจะโจมตีเซเลน่า แต่ทางแมม่อนก็จับตัวมันไว้ได้ทันและทุบมันลงกับพื้นอย่างแรง ตามด้วยกระทืบเข้าที่หัวจนมันเละแทบไม่มีชิ้นดี
"พวกเรายังมาทันเวลาสินะ?"
"หมายความว่ายังไง?"
"ท่านยังจำในตอนแรกที่พวกเราเจอมันได้ไหม?"
"....สิ่งนี้ไม่ใช่สิ่งที่สมควรจะอยู่ที่นี่ อย่างนั้นสินะ?"
"ใช่! พวกมันคือสลาแมนเดอร์ยักษ์ ตอนที่ข้าเจอในตอนแรกค่อนข้างตกใจอยู่เหมือนกัน โดยที่แต่เดิมแล้วพวกมันไม่น่าจะตัวใหญ่ขนาดนั้น ขนาดปกติน่าจะเท่าๆ กับผู้ใหญ่ที่โตเต็มวัยละมั้ง"
"ถ้านายพูดอย่างนั้นจริงๆล่ะก็ ทำไม? ที่พวกเราเจอมันถึงได้มีขนาดใหญ่โตถึงขนาดนั้นได้"
"อาหารอุดมสมบูรณ์ยังไงล่ะ! ตามทางที่พวกเราเดินทางก่อนจะถึงเมืองแพริออทได้ไหม? ทำไมทั้งๆที่เป็นเมืองที่ขึ้นชื่อเรื่องการค้าขายแท้ๆ แต่ทำไม? กลับไม่มีรถม้าสินค้าวิ่งผ่านไป-มาเลยแม้แต่คันเดียว ถึงแม้ว่าในส่วนกระดูกพวกนี้จะมีมนุษย์ซะเป็นส่วนใหญ่ แต่มันก็มีพวก สัตว์อสูรและพวกสัตว์อื่นๆ ปนอยู่ด้วย โดยถ้าคิดตามเวลาที่ขนสินค้าลงจากท่าเรือขนส่งตามทางมาเรื่อยๆ จากระยะทางแล้วก็น่าจะต้องพักแรมแถวนั้นอย่างน้อยสักหนึ่งคืน"
"ถ้าอย่างนั้นแล้วทำไมทางอัศวินที่ประจำการอยู่ที่เมืองแพริออทถึงไม่เข้ามาจัดการล่ะ ทั้งที่มันมีผลกระทบตั้งมากมายขนาดนั้น"
"ไม่ใช่ไม่จัดการ แต่จัดการไม่ได้ต่างหาก ถ้ามันขนาดปกติที่ข้าเคยเจอละก็อัศวินสักสองสามคนก็น่าจะพอสู้ไหว แต่ด้วยขนาดนั้นแล้วต่อให้รวบรวมอัศวินทั้งหมดเข้าสู้...ไม่สิถ้าหากมันบุกรุกเข้าเมืองแพริออทล่ะก็ ทั้งเมืองได้ล่มสลายเป็นแน่" พอหลังจากที่พูดจบแมม่อนก็เดินเข้าไปลึกขึ้นอีก
ท่ามกลางกองซากกระดูกที่กระจัดกระจายเต็มทั่วทั้งพื้นที่ มันระเกะระกะทางจนดูน่าสยดสยอง ทันใดนั้นสิ่งที่อยู่ตรงหน้าของทั้งสองเป็นไข่จำนวนนับสิบที่เรียงรายอยู่บนรังที่ทำจากกระดูกของทั้งมนุษย์ สัตว์ และมีกิ่งไม้ประปราย ซึ่งไข่แต่ละใบมีขนาดเทียบเท่ากับเด็กน้อยหนึ่งคนมันเรียงรายนับสิบ กำลังรอวันที่มันจะฝักออกมาอย่างพร้อมเพรียง
"บ้าน่า! เยอะขนาดนี้เลย...!" ทางเซเลน่าที่เห็นถึงกับสิ้นหวัง เพราะถ้าไข่หลายฟองที่อยู่ตรงนี้มันเกิดฝักออกมาไม่รู้ว่าต่อจากนั้นจะเกิดอะไร? ภาพความวุ่นวายและการล่มสลายของเมืองต่างเข้ามาในหัวของเธออย่างรวดเร็ว "ถ้าเกิด...ปล่อยแบบนี้มีหวัง"
"ท่านไม่ต้องกังวลไป เพราะที่พวกเรามาก็เพื่อเรื่องนั้นอยู่แล้ว" จากนั้นแมม่อนสัมผัสไปที่ไข่ฟองหนึ่งทันใดนั้นมันก็ระเบิดออกอย่างรวดเร็ว เกิดเป็นตัวอ่อนของสลาแมนเดอร์ที่ห่อหุ้มได้ด้วยเมือกเหนียวปนเลือดดูน่าสะอิดสะเอียนไหลออกมา พอหลังจากก็มีเสียงฝีเท้าพุ่งเข้ามาหาทางแมม่อนอย่างรวดเร็ว
สลาแมนเดอร์ที่ตัวเล็กพุ่งเข้ามาโจมตีทางแมม่อนที่กำลังจะทำลายไข่ แต่มันก็ไร้ความหมายพวกมันถูกทางแมม่อนจับเข้าที่ตัวได้อย่างง่ายดายและบีบจนเละคามือ ถึงพวกมันจะเห็นว่าสิ่งที่อยู่ตรงหน้าไม่ใช่สิ่งที่พวกมันจะต่อกรได้ แต่ถึงอย่างนั้นพวกมันก็ยังพุ่งเข้ากัดแมม่อนอยู่ดี
"น่ารำคาญ" แมม่อนจับที่ตัวที่กัดที่ไหล่แล้วฟาดกับตัวที่กำลังกัดที่ขาอยู่อย่างแรงจนพวกมันทั้งคู่นั้นเละไม่มีชิ้นดี "หมดแล้วสินะ?"
หลังจากนั้นแมม่อนก็กลับไปทำลายไข่ต่อ ใบแล้ว ใบเล่า ทุกใบที่แตกออกมามีตัวอ่อนอยู่ในนั้นด้วยพวกมันที่ออกมาสัมผัสกับอากาศก็จะตายอย่างทันที ซึ่งมันมีอยู่ตัวหนึ่งที่เป็นตัวอ่อนพยายามคลานอย่างน่าอดสูมาที่รองเท้าของเซเลน่า เหมือนท่าทางจะขอร้องชีวิตไม่ให้ฆ่าพวกพี่น้องของตนไปมากกว่านี้ จนกระทั่งมันก็ได้ตายลงเหมือนอย่างตัวอื่นๆ
ทางแมม่อนเองก็กำลังจะทำลายไข่ใบสุดท้าย ในตอนนั้นทางเซเลน่าก็พูดขึ้นมาก่อนว่า... "นี่...ไม่มีทางอื่นเลยอย่างนั้นหรอ? ที่จะไม่จำเป็นต้องฆ่าพวกมัน"
"ท่านเกิดสงสารมันขึ้นมาอย่างนั้นหรอ?"
"ถึงแม้พ่อแม่ของพวกมันจะเคยกินมนุษย์ก็ตาม แต่มันไม่มีวิธีที่นอกจากการฆ่าพวกมันเลยหรอ? อย่างเช่นเลี้ยงพวกมันให้เชื่องอะไรอย่างนี้"
"ข้าขอถามท่านอีกครั้ง พวกชาวบ้านที่ถูกพวกมันโจมตีในครั้งนี้ ถูกพรากคนที่รัก ถูกไล่ล่า อยู่อย่างหวาดกลัว พวกเขาจะคิดยังไง? ยังจะรับได้อยู่ไหม? เพราะฉะนั้นแล้วในตอนนี้มีเพียงแค่ทางเลือกเดียว" พอพูดจบเขาไม่ลังเลเลยแม้แต่นิดเดียวทำลายไข่ใบสุดท้ายอย่างทันที
พอแน่ใจแล้วว่าทำลายไข่ทุกใบและพวกตัวที่เหลือรอดจนหมด พวกเขาก็เดินออกมาจากข้างในถ้ำ ซึ่งสีหน้าของเซเลน่าดูเศร้าอย่างเห็นได้ชัด เธอรู้สึกขัดแย้งขึ้นในจิตใจทั้งที่ตัวเองก็รู้ดีว่าพวกมันเคยพยายามจะฆ่าเธอ แต่อีกใจหนึ่งมันก็รู้สึกสงสารอย่างบอกไม่ถูก
หลังจากนั้นแมม่อนก็ทำลายเพดานถ้ำเพื่อไม่ให้มีใครก็ตามเข้าไปข้างในถ้ำ และทั้งสองก็เร่งฝีเท้าไปยังที่หมู่บ้านอย่างทันที....