พอออกจากที่ไปทำลายรังเสร็จทั้งสองก็รีบเร่งฝีเท้าเพื่อมาให้ทันพิธีไว้อาลัยที่กำลังจะเริ่มขึ้นในอีกไม่ช้า ในขณะที่เดินนั้นทางแมม่อนสังเกตว่าสีหน้าของเซเลน่าดูไม่สู้ดี บางทีเธอคงอาจจะคิดมากเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ แมม่อนเลยพยายามพูดปลอบใจออกไป
"ท่านอย่าคิดมากเลย ถ้าเกิดพวกเราไม่ทำแบบนั้น ในอนาคตจะมีชาวบ้านอีกหลายคนต้องตายเพราะพวกมันอีกนะ"
"...ฉันรู้ดีว่าถ้าไม่ทำแบบนั้นพวกชาวบ้านจะเดือดร้อน ทั้งที่ควรจะแค้น เกลียด หรือระเบิดอารมณ์ออกมาทำลายพวกมันให้สิ้นซากแท้ๆ แต่ว่าภายในใจตอนนี้มันกลับรู้สึก...สับสน"
"นั่นเป็นหลักฐานว่าท่านยังเป็นมนุษย์อยู่ มีความเห็นอกเห็นใจ ถึงแม้ว่าสิ่งๆนั้นจะเคยทำร้ายตัวเองก็ตาม แต่มันก็ไม่ใช่สิ่งที่ผิดแต่อย่างใด ท่านควรจะยินดีกับมันด้วยซ้ำ การที่ท่านยังมีจิตใจแบบนั้นมันจะช่วยประคองสติให้ท่านในยามที่หลงทางได้ การใช้ความแค้นมาเป็นแรงผลักดันมันก็ดี แต่ถ้าปล่อยให้มันกลืนกินมากเกินไปตัวเองก็จะไม่ใช่ตัวเองอีกต่อไป เพราะฉะนั้น...เงยหน้าขึ้นเถอะ! มองไปที่ทางเดินข้างหน้า ถ้าเกิดยังก้มหน้าเดินอยู่แบบนี้ จะชนต้นไม้เอาได้นะ"
*ปลั๊ก!!!*
ไม่ทันได้ขาดคำเซเลน่าก็เดินชนเข้ากับต้นไม้อย่างจัง จนหน้าผากนั้นมีรอยแดงเป็นจ้ำอย่างเห็นได้ชัด เธอทรุดตัวลงเอามือกุมที่หน้าผากภายใต้ต้นไม้ร้องออกมาอย่างเจ็บปวด
"โอ๊ย...! ทำไมไม่บอกให้เร็วกว่านี้..."
"ข้าต้องขอโทษด้วย แต่ท่านเองก็ผิดเหมือนกันที่ไม่ยอมดูทางให้ดี" แมม่อนพูดพร้อมกับยื่นมือออกไปเพื่อให้เซเลน่าจับพยุงตัวขึ้นมา
ทางเซเลน่านั้นปัดมือของแมม่อนออกและใช้แรงของตัวเองรีบพยุงตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว "ไม่จำเป็น! แค่นี้เองฉันลุกเองได้"
"ต้องอย่างนี้สิ! สมกับที่เป็นนายท่านของข้า ช่างแข็งแกร่งและเด็ดเดี่ยวจริงๆ"
ทั้งสองใช้เวลาเดินสักพักก็มาจนถึงภายในตัวของหมู่บ้าน ในขณะนั้นเองดูเหมือนว่าพิธีไว้อาลัยก็กำลังจะเริ่มขึ้นเช่นเดียวกัน....
พิธีการไว้อาลัยเป็นไปอย่างเงียบเชียบ ไม่มีใครร้องไห้ฟูมฟายหรือโวยวายออกมาเสียงดัง เพียงแค่ชาวบ้านทุกคนนั้นอยู่ในท่าที่ไว้อาลัยอย่างสงบก็เท่านั้น โดยในพิธีปกติจะจำเป็นต้องนำร่างของผู้ตายมาฝังลงในหลุมก่อนที่จะทำพิธี แต่เนื่องจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในครั้งนี้นั้นไม่สามารถแม้แต่จะเก็บกูร่างศพมาได้ ทำได้แต่เพียงเอาสิ่งของเครื่องใช้ที่เคยเป็นของผู้ตายมาฝังแทน
พอทุกคนยืนไว้อาลัยได้สักพักหลังจากนั้นก็เริ่มที่จะกลบหลุมกันทีละหลุม ทีละหลุม จนครบทุกหลุม แล้วนำแผ่นไม้รูปกางเขนปักลงบนที่กลางหลุมศพจนครบ พอทำพิธีเสร็จชาวบ้านทุกคนก็แยกย้ายกันไปใช้ชีวิตตามปกติ
"พวกเขาดูปรับตัวได้เร็วกว่าที่ฉันคาดไว้เยอะเลย" เซเลน่าพูดขึ้นด้วยความน่าประหลาดใจ
"ถึงแม้ว่าจะสูญเสียคนสำคัญไปก็ตาม แต่ยังไงชีวิตก็ยังต้องดำเนินต่อไปนั่นเองก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี"
"ก็ใช่อยู่หรอก...แต่สำหรับฉันแล้วการที่สูญเสียคนที่รักไปนั้น มันค่อนข้างทำใจยากมากนะที่ก้าวต่อไปน่ะ"
"ท่านเองก็เคยสูญเสียคนที่เป็นที่รักไปอย่างนั้นหรอ?"
"ท่านแม่น่ะ...! ตอนที่ข้ายังเด็กท่านชอบอ่านนิทานให้ข้าฟังอยู่บ่อยๆ ที่ได้นิสัยชอบอ่านหนังสือ ก็เพราะว่าท่านแม่ด้วยส่วนหนึ่ง"
"ข้าพอจะเข้าใจบ้างแล้ว...นั่นเองก็น่าจะเป็นสาเหตุ ทำให้ตัวท่านเองมีนิสัยแบบนี้"
ในขณะที่ทั้งสองกำลังพูดคุยกันอยู่อับราฮัมก็เดินเข้ามา พร้อมกับพูดขึ้นว่า... "ไม่ทราบว่านอนหลับฝันดีไหมครับ?"
ทางเซเลน่าตอบกลับ "ที่นอนแข็งไปหน่อย อีกทั้งตอนกลางคืนแมลงก็เยอะ แบบนี้เรียกว่าฝันดีได้ไหม?"
"ฮ่าฮ่าฮ่า...!!!" อับราฮัมหัวเราะออกมาแห้งๆด้วยสีหน้าที่ดูชอบใจ "ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงก็ต้องขออภัยด้วย"
"นายต้องการอะไร?" แมม่อนถามขึ้นมาอย่างกะทันหันจนทางอัมราฮัมและเซเลน่าต่างก็ตกใจ
ทางอับราฮัมนั้นนิ่งไปสักพักหนึ่งก่อนที่จะพูดขึ้นมาด้วยสีหน้าที่ดูเศร้าๆ "นั่นสินะครับ ถ้าถามอย่างนี้ผมก็ลำบากใจอยู่เหมือนกัน"
ดูเหมือนว่าในวงสนทนาครั้งนี้จะมีเพียงแค่เซเลน่าคนเดียวที่ไม่รู้ว่าทั้งสองพูดอะไรกันอยู่ เธอได้แต่ทำหน้างงอย่างสงสัย "พวกนายพูดอะไรกัน? อย่างน้อยก็ช่วยบอกฉันด้วยคนสิ!"
"ช่วยตามผมมาหน่อยจะได้ไหมครับ พอดีมีที่ที่หนึ่งที่อยากจะพาไปดู" แล้วอับราฮัมก็เดินนำทั้งสองเข้าไปในป่าที่อยู่ไม่ไกลจากตัวหมู่บ้านมากนัก มันไม่ไกลเหมือนครั้นที่ทั้งสองเคยเข้าไปครั้งก่อน ทางที่เดินดูไม่รกตาแทบจะไม่มีหญ้าขึ้นตามทางเลย เหมือนมันได้ถูกถอนและถางเป็นทางเดินด้วยฝีมือของคน
จนกระทั่งทั้งสามคนก็มาหยุดอยู่ตรงบ้านหลังหนึ่งที่อยู่ท่ามกลางต้นไม้ที่ล้อมรอบ บ้านไม้ร้างหลังเก่าที่ไม่น่าจะมีใครอาศัยอยู่ได้ คานและกำแพงบ้านพังเหมือนโดนลูกหลงจากการต่อสู้ อีกทั้งยังมีข้าวของเครื่องใช้กระจัดกระจายเต็มไปหมด
เซเลน่าพยายามทำความเข้าใจสิ่งที่ทั้งสองพูดกันหน้านี้เรื่องที่อับราฮัมต้องการ เธอเลยตีความเกี่ยวกับบ้านหลังนี้ไปว่า... "อย่าบอกนะว่าสิ่งที่นายต้องการคือการให้พวกเราช่วยซ่อมบ้านหลังนี้น่ะ?"
"ไม่ใช่หรอกนายท่านของข้า...นั่นไม่ใช่อย่างที่ท่านเห็น"
อับราฮัมเดินเข้าไปเอามือแตะที่ตัวบ้านก่อนจะเริ่มเล่าเรื่องราวที่แสนยาวนาน... "ในอดีตมีชายคนหนึ่งได้ตกหลุมรักกับหญิงสาวนายพรานของหมู่บ้านแห่งนี้ พวกเขาตัดสินใจว่าสักวันจะแต่งานกัน แต่ด้วยความฝันของฝั่งชายจึงจำเป็นต้องออกเดินทางไกล เป็นเวลานับหลายปีพวกเขาทั้งสองแทบไม่ได้เจอกันเลย แต่ด้วยจิตใจที่มุ่งมั่นของชายคนนั้นว่าสักวันพอเขากลับไป ครั้งนี้แหละ! ที่จะขอเธอแต่งงาน"
"...นี่พวกลุงอับราฮัมมาทำอะไรที่นี่อย่างนั้นหรอ?" เสียงเล็กๆของเด็กดังขึ้นจากด้านหลังของพวกเขา ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นหันไปอย่างทันควันยกเว้นแมม่อน พบเห็นว่าเป็นเฟนที่ในมือถือดอกไม้สองดอก
"เฟนอย่างนั้นหรอ? เออ...! พอดีลุงมีอะไรที่ยังต้องจัดการให้เรียบร้อยอยู่น่ะ ว่าแต่หนูมาทำอะไรที่นี่ มันอันตรายนะรู้ไหม?"
"หนูอยากมาบอกลาพวกพ่อและแม่เป็นครั้งสุดท้ายน่ะ ในตอนที่อยู่ในหมู่บ้านหนูไม่ได้ขุดหลุมฝังสิ่งของพวกท่านเหมือนคนอื่นๆ เพราะว่าสิ่งของเพียงหนึ่งเดียวที่ท่านทั้งสองชอบมีเพียงแค่ดอกไม้นี้เท่านั้น" พอพูดจบเธอก็เดินตรงไปยังที่หน้าบ้านและวางดอกไม้ที่อยู่ในมือลงอย่างเบาๆ หลังจากนั้นก็นั่งอธิฐานอยู่สักพักหนึ่ง ก่อนจะลุกขึ้นพร้อมเช็ดกับคราบน้ำตาที่อยู่ติดบริเวณขอบตา ก่อนจะหันหลังกลับมายิ้มให้กับทางอับราฮัมแล้วพูดขึ้นอย่างยิ้มแย้ม... "ถ้างั้นหนูขอตัวก่อนนะคะ"
อับราฮัมพยักหน้าตอบกลับไปด้วยสีหน้าที่ดูเป็นกังวล "อื้ม...!" แล้วเอื้อมมือออกไปลูบที่หัวของเฟนอย่างเบาๆ
หลังจากที่เฟนวิ่งกลับไปที่หมู่บ้านทางอับราฮัมก็พูดขึ้นพร้อมกับคุกเข่าก้มหัวลงแนบชิดกับพื้นด้วยท่าทางที่จริงจังว่า... "นี่เป็นคำขอครั้งสุดท้าย...ช่วยพาเฟนออกเดินทางไปกับพวกคุณ ด้วยจะได้ไหมครับ!?"
"ทำไม!?" แมม่อนตอบกลับมาอย่างทันที
"คุณน่าจะรู้ดีในตอนที่เดินทางออกมาจากเมืองแพริออท ว่านี่...ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมพยายามที่จะช่วยชาวบ้าน"
เซเลน่านึกออกได้อย่างทันทีว่า ในตอนที่กำลังเดินออกจากเมืองแพริออทนั้นบังเอิญได้ยินพวกทหารยามซุบซิบนินทาเรื่องเกี่ยวกับตัวของอับราฮัม "ในตอนนั้นเองสินะ..."
"ครั้งก่อนตอนที่ผมจ้างพวกทหารรับจ้างให้มาคุ้มกันในตอนที่กำลังขนย้ายพวกชาวบ้าน พอพวกมันเห็นว่าไม่สามารถรับมือกับสัตว์อสูรได้เลยรีบชิ่งหนีไป ซึ่งในตอนนั้นเองพวกมันได้เห็นเฟนเข้า พวกคุณก็น่าจะรู้ดีใช่ไหมครับ ว่าพวกลูกครึ่งเป็นสิ่งที่หายากมากอีกทั้งราคาในตลาดทาสนั้นก็ค่อนข้างสูง ถ้าขืนให้อยู่ที่นี่ต่อไปมีหวังเธอได้ถูกจับแน่ ผมไม่มีพลังพอที่จะต่อกรกับพวกมันหรือว่าจะปกป้องเฟน แต่ถ้า...ให้ออกเดินทางไปกับพวกคุณละก็ อย่างน้อยเธอก็จะปลอดภัย ขอร้องแหละ!!! ช่วยพาเธอไปด้วยที!"
เซเลน่าเหลือบสายตาไปทางแมม่อนเพราะตัวเธอเองก็ไม่กล้าจะตัดสินใจ ขนาดตัวเธอเองไม่สามารถแม้แต่จะปกป้องตัวเองได้เลย ถ้าไม่มีแมม่อนอยู่ด้วยป่านนี้เธอเองก็คงได้ตายไปแล้ว...
"นายมั่นใจได้อย่างไงว่าฉันจะช่วยปกป้องเด็กคนนั้น ...บางทีฉันอาจจะเอาเด็กนั่นไปขายก็ได้ ใครจะรู้! หรือถ้ามันเกิดเหตุการณ์ที่ตัวฉันจำเป็นต้องเลือก ระหว่างเด็กสาวคนนั้นกับเจ้านาย ตัวฉันไม่ลังเลเลยที่จะเลือกช่วยเจ้านาย ถึงแม้ว่าจะปล่อยให้เด็กตาย ไม่สิ! ใครจะตายมันก็เรื่องของพวกเขา ขอแค่เจ้านายของฉันรอดก็เพียงพอแล้ว"
อับราฮัมที่ได้ยินแบบนั้นก็เริ่มมีท่าทีที่ไม่ค่อยมั่นใจในตัวของแมม่อน เขาเลยพูดตอบกลับไปอย่างกล้า ๆกลัว ๆ "คุณน่ะ...ไม่มีทางทำแบบนั้นหรอก!"
"นายรู้ได้อย่างไง? ชายที่อยู่ตรงหน้าของนายตอนนี้นั้นไว้ใจได้ สำหรับข้าแล้วเงินต่างหากที่จะไว้ใจได้..."
ด้วยท่าทีที่รนราน อับราฮัมล้วงเศษเงินทุกเหรียญเท่าที่มี "เงินสินะ! เงินของฉัน เอาไปให้หมดเลย เอาไปเลย เพราะว่าฉันไม่ต้องการ แต่ช่วยสัญญาได้ไหม?ว่าต่อจากนี้จะดูแลเธอให้ดี..." แล้วเขาก็ยื่นให้กับทางแมม่อน
แมม่อนเองก็หยิบเศษเงินเหล่านี้ขึ้นไป หลังจากนั้นก็ทำการโปรยใส่บนหัวของอับราฮัม "เศษเงินแค่นี้ มันไม่พอหรอก...!"
"เดี๋ยวผมจะหาให้อย่างแน่นอน! ไม่ว่าเท่าไหร่ผมก็จะหาให้!" เขาพูดพร้อมกับจ้องไปที่เหรียญที่หล่นกองอยู่บนพื้น
แมม่อนก้มตัวลงก่อนจะพูดขึ้นมาว่า... "นายไม่มีทางหามันได้... แม้แต่สิ่งสำคัญอย่างสุดท้ายที่นางฝากเอาไว้ นายเองก็กลับทิ้งมันไป..."
"แล้วจะให้ผมทำอย่างไง!? ผมไม่ได้มีพลังมากมายขนาดคุณ ผมมันก็แค่คนอ่อนแอ...แม้ว่าจะพยายามจนเลือดตาแทบกระเด็นแล้วก็ตาม พยายามอย่างหนัก พยายามมาโดยตลอด! แต่ท้ายที่สุดแล้ว... ทุกอย่างมันก็สูญเปล่า ผมที่ไม่สามารถปกป้องเธอได้ เลยฝากฝังไว้ที่คุณอย่างไงล่ะ!" อับราฮัมพูดระบายทุกอย่างออกมาด้วยอารมณ์ที่รู้สึกทั้งหมด
"สำรับนายแล้วเฟนสำคัญมากขนาดไหน?" แมม่อนถามกับอับราฮัมกลับไปด้วยน้ำเสียงที่นิ่งเฉย
"สำคัญมากสิ! ฉันรักเฟนเปรียบเสมือนดั่งลูกแท้ๆ ของตัวเอง ฉันอยากจะให้เฟนมีชีวิตที่สงบสุข ใช้ชีวิตโดยที่ไม่ต้องกลัวว่าจะถูกไล่ล่า ไม่ต้องกลัวว่าจะถูกใครทำร้าย อยากจะให้ใช้ชีวิตแบบนั้น"
"ถ้าอย่างนั้น เวลาที่นายมีความฝัน นายเคยฝากฝังให้คนอื่นทำแทนหรือเปล่า?" พอพูดจบแล้วแมม่อนก็ลุกขึ้นไปเดินไปหาทางเซเลน่าที่รออยู่ก่อนแล้ว "พวกเราเองก็ไปกันเถอะนายท่าน...ข้าอดลนทนเห็นคนน่าสมเพชไม่ไหว"
"ฉันสงสัยมาก่อนหน้านี้แล้ว...ว่าเรื่องทั้งหมดนี่ นายรู้อยู่แล้วงั้นหรอ?" เซเลน่าพูดขึ้นในขณะที่กำลังเดินห่างกับทางอับราฮัมไปเรื่อยๆ
"นั่นสินะ..."
"อะไรกัน! ทำไมนายชอบพูดอะไรที่มันดูเป้นปริศนาจังน้า!" แล้วทั้งสองก็เดินจนลับตาของอับราฮัมและออกนอกหมู่บ้านไปในที่สุด.....
...
...
"ช่างแปลกคนจังนะ! ดูแลเด็กอย่างนั้นหรอ?" อับราฮัมเดินไปที่ดอกไม้ที่เฟนได้วางไว้ก่อนหน้านี้ แล้วเขาก็เริ่มขุดหลุมเล็กๆ ขึ้นมาสองหลุม ก่อนจะทำการฝังแหวนคู่ที่ลงไป "คุณกาโร่! ผมจะทำให้ดีที่สุด....ในฐานะพ่อของเฟนเอง..."
ในขณะที่อับราฮัมกำลังจะเดินเข้าไปในหมู่บ้าน จังหวะนั้นเองที่พื้นก็มีเพชรพลอยมากมายกองอยู่บนพื้น เขาตกใจจนพูดไม่ออก เพราะของพวกนี้แค่มองจากภายนอกก็รู้ได้ทันทีว่ามีราคาสูง ทั้งที่ตรงๆ นั้นมันเป็นตรงที่แมม่อนเอาเหรียญของเขาโปรยลงพื้น "ช่างเป็นคนที่ชอบทำอะไรที่เหนือความคาดหมายจริงๆ"
ณ ทางพวกของเซเลน่า ที่กำลังเดินทางกันอยู่ท่ามกลางแสงอาทิตย์ที่กำลังสาดส่อง จู่ๆเธอก็เกิดสงสัยเรื่องต่อจากนี้ของพวกอับราฮัมเลยถามกับทางแมม่อนไป
"นายคิดว่าต่อจากนี้พวกเขาจะเป็นอะไรไหม?"
"ข้าไม่รู้..."
"ไม่คิดจะบอกกันสักหน่อยเลยหรือไง? แต่ก็นะ...ใจจริงแล้วฉันก็อยากจะให้เฟนเดินทางมากับพวกเราด้วยก็คงจะดีไม่น้อยเลย"
"ตอนแรกข้าเองก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน เผ่าหมาป่าค่อนข้างประสาทสัมผัสไวกว่ามนุษย์มาก แต่ข้าเองก็ไม่อยากจะเพิ่มภาระให้ตัวเองไปมากกว่านี้แล้ว"
"ขอโทษด้วยล่ะกันที่เป็นภาระน่ะ! นายนี่ชอบพูดอะไรที่มันทำร้ายจิตใจคนอื่นจังนะ"
"ข้าก็แค่พูดความจริงออกไปแค่นั้นเอง"
"แล้วเรื่องของแหวนวงนั้นล่ะ? ขนาดฉันมองแค่แวปเดียวก็รู้เลยว่ามันไม่ใช่แหวนธรรมดา..."
"สมกับที่เป็นนายของข้า ช่างฉลาดหลักแหลมเสียจริง อย่างที่ท่านว่ามา...นั่นไม่ใช่แหวนธรรมดาแต่มันเป็นของต้องคำสาป"
"นี่นาย!...เอาของแบบนั้นให้เด็กใส่อย่างนั้นหรอ? เอาสมองที่ไหนคิดถึงทำเรื่องที่อันตรายแบบนั้นได้"
"ใจเย็นก่อนสินายท่าน! ถึงแม้ว่าจะบอกว่าต้องคำสาป แต่มันก็ไม่ใช่คำสาปที่แย่เสียทีเดียว"
"ขึ้นชื่อว่าคำสาปมันก็ไม่น่าจะใช่เรื่องดีอยู่แล้วไม่ใช่หรอ?"
"คำสาปก็มีอยู่หลากหลาย จะพูดว่ายังไงดีล่ะ....ท่านรู้จักเรื่องสมดุลของโชคไหม?"
"สมดุลของโชค...แล้วมันคืออะไรล่ะนั่น"
"บนโลกนี้มักจะมีคำพูดที่ว่า หากวันนี้ดชคดี แล้ววันพรุ่งนี้โชคร้ายจะตามมา ท่านเคยได้ยินอะไรแบบนี้ไหม?" แมม่อนเริ่มพูดและยกตัวอย่าง
"เคยสิ! เคย พวกทหารยามกับพวกอัศวินที่ไปรบมาก็มักจะพดอะไรอย่างนี้กัน ว่าโชคดีจริงที่ไปรบรอบนี้ไม่ตาย ประมาณนี้หรือเปล่า?" เซเลน่าตอบกลับไปตามที่ตนเองเข้าใจ "แต่แล้วมันเกี่ยวอะไรกับแหวนวงนั้นล่ะ?"
"นั่นแหละคือคุณสมบัติที่แท้จริงของแหวนวงนั้น.. หากผู้ที่สวมกำลังจะพบเจอกับอันตราย โชคก็จะเข้าข้างทำให้รอดออกมาได้ แต่ก็ต้องแลกกับโชคร้ายที่จะตามมาทีหลัง เพื่อปรับตาชั่งของโชคให้สมดุล"
"แบบนั้นก็ดูเหมือนจะพึ่งไม่ค่อยได้เลยนะ"
"ก็จริงอย่างที่ท่านพูดเลย มันดูพึ่งไม่ได้จริงๆ นั่นแหละ แต่อย่างน้อยจนรกว่านางจะเติบโตพอที่สามารถเอาชีวิตรอดได้ด้วยตนเอง แหวนวงนั้นมันก็จำเป็น"
"ดูท่านายจะเป็นห่วงเฟนมากเลยนะ ไม่ใช่ว่าตอนที่มอบแหวนให้ คิดหวังอย่างอื่นไว้มั่งหรือเปล่า?" เซเลน่ามองแมม่อนมาด้วยสายตาที่ดูสงสัย
"ฮ่าฮ่าฮ่า...! ท่านนี่ตลกใช้ได้เลยนี่ แต้ข้าไม่ใช่คนประเภทนั้นหรอก ข้าแค่อยากมอบให้ มันก็แค่นั้นเอง"
"หืม...! มันจะเป็นอย่างนั้นแน่หรอสำหรับนายมันก็แค่ของไร้ค่า แต่สำหรับเฟนแล้วมันอาจจะมีอะไรที่มากกว่านั้นก็ได้" เซเลน่าพูดด้วยสัญชาตญาณผู้หญิง
"ท่านพูดถึงเรื่องอะไรน่ะ?"
"ไม่มีอะไร..."
เวลาผ่านไปสักพักเซเลน่าล้วงไปที่กระเป๋าสะพายหยิบแผนที่ออกมาดู แล้วก็เกิดสงสัยทางที่พวกเขากำลังเดินไปมันเป็นทิศทางตรงกันข้ามกับทางที่จะเดินทางไปยังท่าเรือ เลยถามกับทางแมม่อนไปว่า... "นี่พวกเรามาผิดทางแล้วไม่ใช่หรือไง? ในแผนที่มันบอกว่าการที่จะไปที่ท่าเรือจำเป็นต้องเดินไปอีกทางหนึ่งนิ..."
"ท่านยังจำสัตว์อสูรที่พวกเราปราบมันไปได้ไหม?"
"สลาแมนเดอร์ยักษ์สินะ? แต่แล้วมันเกี่ยวอะไรกับที่พวกเราต้องขึ้นเหนือด้วยล่ะ?"
"แล้วท่านรู้จะป่าสามส่วนไหม? นั่นแหละที่พวกเรากำลังจะไป"
"ป่าสามส่วน....เดี๋ยวนะ! นั่นมันที่ที่ไม่ควรจะเข้าไปไม่ใช่หรือไง?"
...ป่าสามส่วน เท่าที่อ่านเจอในหนังสือเล่มหนึ่งสมัยที่ยังเป็นเด็ก ในนั้นบอกแค่เพียงว่าเป็นที่ที่อันตรายที่สุดในประเทศนี้ เมื่อเข้าไปข้างในมีโอกาสที่จะรอดกลับมานั้นน้อยมาก การสำรวจในครั้งแรกทำการส่งกลุ่มคนเข้าไปข้างในจำนวน 13 คน มีเพียงแค่หนึ่งคนเท่านั้นที่รอดกลับมาได้ แถมยังไม่ครบสามสิบสองอีก จากการสอบถามชายที่รอดชีวิตมานั้นก็ทำให้ได้รู้ว่าในนั้นมีสัตว์อสูรที่ไม่รู้จักป้วนเปี้ยนอยู่เต็มไปหมด แต่ไม่ใช่เพียงแค่นั้นชายคนที่รอดชีวิตกลับมาได้นำสิ่งของบางอย่างติดไม้ติดมือออกมา มันคือก้อนผลึกแข็งสีแดงเข้มราวกับเลือด ซึ่งสิ่งนั้นในภายหลังถูกนำมาสกัดสร้างยาที่สามารถรักษาทุกโรคได้ ที่ชื่อป่าสามส่วนนั้นได้มาจากผู้เหลือสุดท้ายที่รอดออกมานั้นได้รับรู้ถึงสิ่งสามสิ่งที่วนเวียนอยู่ในหัวตลอดไม่หยุดทันทีที่ได้ก้าวขาเข้าไปในนั้น... ความรู้สึกสามสิ่งนั้นคือ ความกลัว,ความสิ้นหวัง และก็ความตาย...
ไม่นานจากนั้นเขาก็ได้ทำการบันทึกเรื่องราวทั้งหมด สัตว์อสูรบางประเภท และการตัวรอดเบื้องต้น ก่อนที่ตัวเองจะตายไปอย่างปริศนา
"ท่านเองก็รู้ดีนิว่าที่นั่นมันอันตราย"
"แล้วเราจะไปที่นั่นทำไม!? ในเมื่อรู้ว่ามันอันตรายน่ะ..."
"ก็เพราะว่าสลาแมนเดอร์ยักษ์นั้น เป็นสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศนั้นอย่างไงล่ะ? ข้าสงสัยว่ามันน่าจะมีคนแอบนำไข่ของสลาแมนเดอร์ออกจากป่ามาไว้ในที่ถ้ำใกล้หมู่บ้าน คนที่ลงมือนั้นต้องการอะไร? ตัวข้าที่สงสัยในจุดๆนั้นเลยว่าจะเข้าไปดูข้างในสักหน่อยว่าเกิดอะไรขึ้น"
"ก็บอกว่าที่นั่นมันอันตราย! นายฟังฉันบ้างสิ! แต่เดิมทีพวกเราก็แค่ปล่อยเรื่องนี้ไปแล้วเดินทางไปที่ท่าเรือกันเถอะ!?"
"ถึงท่านจะพูดอย่างนั้นก็ตาม...แต่ในป่านั้นมันมีของที่ข้าเผอิญทำหล่นเอาไว้น่ะ"
"เพื่อของชิ้นนั้นแล้ว ถึงขนาดจำเป็นต้องเสี่ยงอันตรายเข้าไปเอาเลยหรอ?"
แมม่อนพยักหน้าตอบกลับมา... "ใช่!"
ทางเซเลน่านั้นสีหน้าดูสิ้นหวังเป็นอย่างมากเพราะหลังจากที่ได้ยินว่าไอ้ตัวที่เจอในหมู่บ้านนั้นเป็นหนึ่งในสิ่งมีชีวิตของป่าสามส่วน อีกทั้งในนั้นยังมีพวกที่อันตรายกว่านั้นอยู่อีกมากเป็นแน่ เซเลน่าเลยพยายามคิดหาวิธีที่จะเลี่ยงไม่เข้าไป "ถ้าอย่างนั้น...นายก็เข้าไปในป่านั้นคนเดียว ส่วนฉันนั้นจะรออยู่ด้านนอก ตกลงตามนี้นะ!"
"คงจะปล่อยให้เป็นแบบนั้นไม่ได้หรอกนะ เพราะว่าที่ป่าแห่งนั้นมันมีทางลับที่เชื่อมต่อไปยังท่าเรืออยู่ด้วย ฉะนั้นแล้วท่านก็จำเป็นต้องมาด้วย"
"....ไม่อาววว!!!!"
เวลาก็ผ่านไปสักพัก....
พวกเซเลน่านั้นเดินทางกันมาเรื่อยๆ จนกระทั่งตอนนี้ดวงตะวันก็กำลังจะลับขอบฟ้า ทางแมม่อนสังเกตเห็นว่าเซเลน่านั้นเริ่มที่จะเดินช้าลงอย่างเห็นได้ชัด สำหรับตัวเขาที่เป็นปีศาจแทบไม่จำเป็นต้องพักผ่อนและสามารถที่จะอดอาหารเป็นเวลานานได้ แต่ทางเธอนั้นเป็นมนุษย์ เมื่อได้ข้อสรุปแล้วเขาเลยพูดไปว่า...
"ตอนนี้ตะวันก็กำลังลับขอบฟ้าไปแล้วสิ พวกเราพักกันแถวนี้ก่อนสักคืนแล้วค่อยเดินทางต่อในวันพรุ่งนี้จะดีกว่า"
"งั้นก็ดีเลย...ฉันเองก็แทบจะไม่มีแรงเดินแล้วเหมือนกัน" เธอนั่งลงที่พื้นอย่างทันที พยายามเอื้อมแขนลงไปถอดรองเท้าด้วยท่าทางที่ยากลำบาก เนื่องจากที่ตนเองก็เดินมาเป็นเวลานานแล้วที่เท้าก็คงเจ็บน่าดู
"เดี๋ยวข้าจัดการเอง" แมม่อนก้มตัวลงพร้อมกับค่อยๆถอดรองเท้าของเซเลน่าออกอย่างช้าๆ
"ขอบใจนะ!" เธอพูดขอบคุณด้วยใบหน้าที่แดงขึ้นเล็กน้อย สำหรับตัวเธอนี่ก็เป็นครั้งแรกที่มีผู้ชายทำอะไรแบบนี้ให้
"พักสักหน่อยเดี๋ยวก็หาย.."
"อืม...."
พอหลังจากดูอาการเสร็จแล้วทางแมม่อนก็ทำการรวบรวมไม้ที่แห้งนำมาทำเป็นฝืน ที่จะเพียงพอใช้ให้ความอบอุ่นในคืนนี้ จากนั้นก็ทำการจุดไฟซึ่งเป็นเวลาที่พระอาทิตย์นั้นได้ลับขอบฟ้าไปอย่างพอดิบพอดี ในขณะที่ทั้งสองกำลังนั่งอยู่รอบๆ กองไฟ จังหวะนั้นเองที่ท้องของเซเลน่าก็ได้ร้องขึ้นมาเสียดัง จนทำเอาทางแมม่อนนั้นหันไปมองอย่างทันควัน
"ต้องขอโทษท่านด้วย พอดีข้าไม่ได้จำเป็นที่จะต้องกินอาหารน่ะ เลยไม่ได้ตุนเสบียงก่อนที่จะออกมา" แมม่อนพยายามค้นของดูก็มีขนมปังแข็งๆเล็กๆก้อนหนึ่งที่ได้รับมาจากคนในหมู่บ้าน แล้วทำการยื่นให้กับทางเซเลน่าไป
"น่าอิจฉาจังนะที่เผ่าปีศาจไม่ต้องกินอาหารก็สามารอยู่ได้ แข็งจัง! แถมความเหนียวนี่...กัดแทบจะไม่ขาดเลย!"
"ทนไปก่อนเถอะนายท่านของข้า เดี๋ยวอีกวันสองวันก็น่าจะเมืองแล้ว อย่างน้อยก็น่าจะไปตุนเสบียงที่นั่นได้"
แต่ถึงจะพูดอย่างนั้นพอเซเลน่ากินขนมปังก้อนนั้นหมดแล้วดูเหมือนว่าท้องของเธอก็จะยังไม่หยุดร้องอยู่ดี "ต้องทนอยู่ไปแบบนี้จริงๆอย่างนั้นหรอ?"
"ช่วยไม่ได้! ถ้าอย่างนั้นท่านรออยู่ที่นี่ เดี๋ยวข้าจะออกไปหาอาหารมาให้ อย่างน้อยก็น่าจะพอหาพวกผลไม้ได้แหละ!"
"เดี๋ยวก่อน! ถ้านายไป แล้วถ้าเกิดมีสัตว์อสูรเข้ามาโจมตีฉันล่ะ จะทำอย่างไง?"
"เรื่องนั้นไม่ต้องห่วง เพราะว่าทางแถวนี้นั้นมีเพียงแค่สัตว์ป่าตัวเล็กอย่างพวกกระรอกกับกระต่ายอยู่เท่านั้นแหละ ฉะนั้นแล้วสบายใจได้"
"...อย่างไงก็รีบกลับมานะ อย่างน้อยก็ขอของที่กินได้แบบคนปกติหน่อยล่ะ!"
แมม่อนเดินเข้าไปในป่าจนลับสายตาไป ทางเซเลน่าเองที่ไม่รู้ว่าจะทำอะไรรอดีเลยหยิบสมุดบันทึกของตัวเองออกมาจากกระเป๋า
"จะว่ามีเรื่องเกิดขึ้นหลายอย่างเลย ต้องรีบบันทึกไว้ก่อนที่ตัวเองจะลืม"
เธอเริ่มเขียนเรื่องราวการเริ่มต้นการเดินทางของเธอ ความเศร้าเสียใจ ความประหลาดใจ ความดีใจ ความรู้สึกต่างๆลงไปในสมุดนั้นทั้งหมด จนเวลานั้นเองก็ได้ผ่านไปโดยที่ไม่ทันได้รู้ตัว
"หมอนั่นไปนานจังน้า...!" เธอเริ่มเบื่อและนอนกลิ้งเกลือกไป-มา
ในขณะนั้นเองก็มีเสียงเท้าเดินเข้ามาหาเซเลน่า เธอที่นึกว่าเป็นแมม่อนเลยออกปากทักไปว่า... "กลับมาแล้วหรอ? ฉันหิวจนจะตาย..."
"คุณผู้หญิงพอดีพวกเรามีเรื่องที่อยากจะถามน่ะ ช่วยตอบมาตามตรงจะได้ไหม?"
เสียงพูดที่ดูคุ้นเคยแต่นั่นไม่ใช่เสียงของแมม่อนแต่อย่างใด เซเลน่ารีบหันไปดูตามต้นทางของเสียงนั่นปรากฏเป็นกลุ่มชายสามคน สวมเสื้อคลุมสีดำ หลังมือมีรอยสักสามขีด และกำลังเดินเข้ามาหาอย่างช้าๆ เธอจำได้ดีความรู้สึกหนาวเย็นจนเสียวสันหลัง ขาที่สั่นกลัวจนแทบจะยืนไม่ไหว อากาศกลิ่นคาวเลือดฟุ้งโชยตามอากาศ นั่นก็คือ...
'...สเลเยอร์'