บทที่ 50 จะร่ำรวยแล้ว (1)
พวกเขาไปเช่ารถม้าที่สถานีรถในตำบล ค่ารถเพิ่มขึ้นไม่น้อยเหมือนที่อวี๋เฟิงคาดไว้จริงๆ
“สองร้อยอีแปะไม่ใช่หรือ? เหตุใดจึงกลายเป็นสามร้อยอีแปะเล่า?” อวี๋เฟิงขมวดคิ้วถาม พวกเขาเช่ารถม้าแบบที่เรียบง่ายที่สุด แทบไม่ต่างจากเกวียน เพียงแค่เปลี่ยนจากวัวเป็นม้า รถม้าเช่นนี้ปกติไม่ควรเกินหนึ่งร้อยอีแปะ
“สามร้อยอีแปะ! มิพอใจก็มิต้องเช่า!” เจ้าของรถโบกมือเบาๆ อย่างหมดความอดทน ปีก่อนธุรกิจเดินรถถือว่าดี แต่ไม่ได้ดีเป็นเทน้ำเทท่าเท่าปีนี้ มิทราบว่าเกี่ยวกับที่คุณชายเยี่ยนคนนั้นกลับไปเตรียมงานแต่งงานที่เมืองหลวงหรือไม่ คนสูงศักดิ์จากหลายท้องที่ต่างรีบไปรวมตัวกันที่เมืองหลวงแล้ว
อวี๋เฟิงยังอยากต่อราคาอีก แต่อวี๋หวั่นดึงเขาไว้เบาๆ แล้วเอ่ยกับเจ้าของรถว่า “สามร้อยอีแปะก็สามร้อยอีแปะ รบกวนเตรียมรถม้าให้พวกเราด้วย”
เจ้าของรถเหลือบมองอวี๋หวั่นครู่หนึ่ง “ต้องการคนขับหรือไม่? แต่คนขับต้องเพิ่มอีกหนึ่งร้อยอีแปะ”
“เจ้า!” อวี๋เฟิงโกรธจนไม่อยากเอ่ยวาจาอีก มีคนขับแล้วต้องเพิ่มราคาอีกมีที่ใดกัน? เห็นพวกเขาเป็นคนโง่ชัดๆ!
อวี๋หวั่นปลอบโยนเขา “พี่ใหญ่ ไปเมืองหลวงเป็นเรื่องเร่งด่วน ช่วงปีใหม่หาคนขับได้ไม่ง่ายหรอก”
สิ่งที่อวี๋หวั่นไม่ได้บอกคือ มีคนใช้บริการเดินรถมาก แต่คนขับกลับมีไม่พออุปสงค์ หากลังเลอีกเกรงว่าจะจ้างไม่ได้แล้ว
อย่างที่คาดไว้ ทันทีที่อวี๋หวั่นด้านนี้จ่ายเงินไป อีกด้านก็มีนายท่านกำลังเอะอะโวยวายด้วยสำเนียงต่างถิ่น “คนคับก็ไม่มีแล้ว จะทำอย่างไลเล่า?”
คนขับคนสุดท้ายถูกอวี๋หวั่นแย่งไปแล้ว
ระหว่างทาง อวี๋เฟิงก็เอาแต่ปวดใจกับเงินสี่ร้อยอีแปะ
เป้าหมายในอนาคตของอวี๋หวั่นเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งเรื่อง ‘เก็บเงินซื้อรถม้า แบบนี้พี่ใหญ่จะได้ไม่ต้องปวดใจเพราะต้องเช่ารถอีก’
เป็นน้องสาวที่รักพี่ใหญ่มากจริงๆ เลย!
“ขอสอบถามท่านหน่อย ร้านผ้าในเมืองหลวงร้านใดดีที่สุดหรือ?” เมื่อเข้าสู่เมืองหลวง อวี๋หวั่นก็ถามคนขับทันที
คนขับคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนตอบ “ดีที่สุด...ร้านผ้าหงเต๋อกับหอไฉ่อวิ๋นกระมัง หอไฉ่อวิ๋นเป็นที่ที่คนสูงศักดิ์ไปกัน หากพวกเจ้าจะไปซื้อผ้า ไปที่หงเต๋อก็ได้”
อวี๋หวั่นพยักหน้าเบาๆ ไม่ต่างจากที่ลุงใหญ่พูดไว้ ที่เธอถามเขาเป็นเพราะห่วงว่าผ่านไปสามปี ธุรกิจร้านผ้าจะมีการเปลี่ยนแปลง
ทว่าเธอไม่ใช่คนซื้อผ้าแต่เป็นคนขายผ้า ย่อมต้องไปร้านที่แพงที่สุดอยู่แล้ว
“รบกวนท่านไปส่งเราที่หอไฉ่อวิ๋นด้วย”
คนขับ “...”
หอไฉ่อวิ๋นตั้งอยู่ในเขตการค้าที่เจริญที่สุดในเมืองหลวง มีอาณาเขตกว้างมาก เพียงพอต่อการรองรับรถม้าสี่คัน ร้านค้าสองข้างทางตั้งเรียงราย คนเดินถนนคับคั่ง เมื่อเปรียบเทียบกัน ความครึกครื้นของตำบลเหลียนฮวาไม่มีค่าให้พูดถึงเลย
“ถึงหอไฉ่อวิ๋นแล้ว” คนขับหยุดรถม้าตรงหน้าตึกที่ตกแต่งอย่างหรูหรา
สองพี่น้องลงจากรถม้า
สมกับเป็นพื้นถนนของเมืองหลวง แม้แต่หินปูพื้นใต้เท้ายังปูได้ยิ่งใหญ่อย่างบอกไม่ถูก
หอไฉ่อวิ๋นนั้นสมกับชื่อของมัน ป้ายร้านล้อมรอบไปด้วยผ้าไหมหลากสี ภายในร้านก็สว่างสีสันสวยงาม กระทั่งสาวใช้ด้านในยังแต่งตัวได้สวยสดงดงามนัก
“ทั้งสองท่านมาดูผ้าหรือมาดูชุดสำเร็จหรือ?” พนักงานที่ดูฉลาดปราดเปรื่องผู้หนึ่งเข้ามาต้อนรับด้วยรอยยิ้มเต็มใบหน้า ราวกับไม่ได้ดูแคลนการแต่งกายที่ซอมซ่อของอวี๋หวั่นและอวี๋เฟิง
อวี๋หวั่นกลับมองความฝืนใจของเขาออก แต่คิดแล้วก็ไม่แปลก พวกเขาในวันนี้ก็เหมือนคนที่ใส่เสื้อกล้ามกับกางเกงขาสั้นเข้าโรงแรมห้าดาว ไม่ว่าใครก็ไม่มีทางมองดีๆ
รอบด้านมีสายตาแปลกประหลาดจับจ้องมา
อวี๋เฟิงไม่สบายใจเล็กน้อย
อวี๋หวั่นมองไปที่พนักงานแล้วเอ่ยด้วยสีหน้าสงบนิ่ง “พวกเราไม่ได้มาซื้อเสื้อผ้าหรอก แต่พวกเรามีผ้าชั้นดีอยู่หลายผืน มิทราบว่าร้านพวกท่านต้องการหรือไม่”
“ขายผ้าหรือ?” พนักงานพิจารณาทั้งสองคนครู่หนึ่งแล้วเผยรอยยิ้มจางๆ “ร้านเราไม่รับผ้าที่ขายตามท้องตลาดหรอกนะ”
อวี๋เฟิงรีบเอ่ย “ท่านลองดูก่อนเถิด ผ้าของพวกเรากระทั่งมิวางขายในตำบลเชียวนะ”
.................................................