บทที่ 28 อำนาจอันยิ่งใหญ่
เมื่ออวี๋หวั่นและคนอื่นๆ กลับถึงหมู่บ้านก็เข้าสู่ยามสายัณห์เสียแล้ว แต่ละบ้านต่างเริ่มทำกับข้าว ทั้งหมู่บ้านเต็มไปด้วยควันไฟจากห้องครัว
ช่วงเวลาแห่งการซุบซิบนินทาของชาวบ้านได้ผ่านพ้นไปแล้ว ทั้งสองครอบครัวปรากฏตัวพร้อมกันนั้นไม่ใช่เรื่องแปลกอีกต่อไป
วันนี้จำต้องรมควันเนื้อหมู ป้าสะใภ้ใหญ่อยู่ที่บ้านของอาหวั่นทั้งวัน อาหารเย็นจึงกินที่นั่น
“ขายของเป็นอย่างไรบ้าง” ป้าสะใภ้ใหญ่เอ่ยถามด้วยความกังวลเล็กน้อย นี่เป็นครั้งแรกที่สามีของนางเข้าไปในตำบล หลังจากที่ได้รับบาดเจ็บ
ลุงใหญ่ยิ้มกว้าง หยิบถุงเงินวางลงบนโต๊ะ
ป้าสะใภ้ใหญ่เปิดถุงดู นางก็ตกตะลึง “เหตุใดมากถึงเพียงนี้”
ลุงใหญ่ดูมีชีวิตชีวา กล่าวว่า “ขายหมดแล้ว แม้แต่น้ำพะโล้ก็ขายหมดแล้ว!”
สาวใช้เก่าแก่ของจวนแม่ทัพเบิกทางให้ หลังจากนั้นลูกค้าที่ซื้อหมูพะโล้ไม่ทัน ต่างก็เข้ามาช่วงชิงน้ำพะโล้กันยกใหญ่ หมายจะซื้อไปต้มเอง
“มากมายขนาดนั้น...ขายหมดเกลี้ยงเลยหรือ?” นั่นหมูครึ่งตัวเต็มๆ ทั้งยังมีเครื่องในหมูอีก! ป้าใหญ่จึงถามต่อว่า “เครื่องในหมูก็ขายหมดแล้วหรือ?”
ในหมู่บ้านที่ยากจนข้นแค้น เครื่องในหมูมิใช่สิ่งที่จะโยนทิ้งไปได้ง่ายๆ พวกเขาหิวแทบขาดใจ แม้แต่รากของต้นหญ้าหรือดินกวนอิม[footnoteRef:1]พวกเขาก็กินได้ ทว่าคนในตำบลย่อมไม่เป็นเช่นนั้น พวกเขาไม่กินเครื่องในหมู [1: ดินกวนอิม เป็นดินขาวชนิดหนึ่ง ชาวบ้านที่เผชิญกับความอดอยากในสมัยก่อน กินดินชนิดนี้เพื่อบรรเทาความหิวโหย]
อวี๋หวั่นเอ่ยชมด้วยความประทับใจว่า “ฝีมือทำอาหารของท่านลุงใหญ่ดีมาก ทุกคนที่ได้ชิมต่างบอกว่าอร่อยกว่าหมูพะโล้เสียอีก!”
ลุงใหญ่หัวเราะร่า ไม่รู้ว่าเพราะรู้สึกภาคภูมิใจในฝีมือทำอาหารของตน หรือเพราะอวี๋หวั่นชมเขากันแน่
ป้าสะใภ้ใหญ่ฝืนกดมุมปากของตนซึ่งกำลังยกขึ้น นางถลึงตาและกล่าวว่า “น่าเกลียด!”
จากนั้น อวี๋ซงก็เอ่ยถึงเรื่องที่ชุนจือและมือปราบจงใจหาเรื่อง ป้าสะใภ้ใหญ่ฟังด้วยใจตุ๊มๆ ต่อมๆ
“ต้องขอบคุณคุณหนูจากจวนแม่ทัพ คนของจวนนายอำเภอจึงไม่กล้าสร้างความยุ่งยากให้พวกเราอีก” อวี๋ซงกล่าวอย่างจริงใจ “คนของนางไม่ถือตัว อ่อนโอนและมารยาทดี เห็นได้ว่าตัวนางเองก็เป็นเช่นนั้น นางยังพูดแทนท่านอาสาม ห้ามไม่ให้มือปราบงี่เง่านั่นรังแกชาวบ้านอย่างพวกเรา”
“เป็นคนดีจริงๆ” ป้าสะใภ้ใหญ่รู้สึกขอบคุณ
“ไม่ดีเท่าท่านพี่ข้าหรอก!” เถี่ยตั้นน้อยเหยียดหลังตรงพลันพูดขึ้น
“ท่านพี่ดี” น้องสาวตัวน้อยก็พูดตาม
อวี๋หวั่นรู้สึกขบขัน จึงจับแก้มเด็กเล็กทั้งสอง “พี่คิดไม่ผิดจริงๆ ที่รักพวกเจ้า มา ดูสิว่าพี่เอาอะไรมาให้”
เธอพูด พลางหยิบห่อกระดาษเล็กๆ ออกมาจากตะกร้าสะพายหลัง
เถี่ยตั้นน้อยตาโตขึ้นทันใด “ขนมกุ้ยฮวา!”
“จะกิน” เด็กหญิงกล่าว
เถี่ยตั้นน้อยจูงมือน้องสาวไปกินขนมกุ้ยฮวาอย่างมีความสุข
นางเจียงมองพวกเขา ดวงหน้าเปี่ยมไปด้วยความสุข
“พรุ่งนี้ไม่ต้องไปขายหมูพะโล้แล้วใช่ไหม” ป้าสะใภ้ใหญ่เอ่ยถาม สามวันหลังจากนี้จึงจะมีตลาดครั้งต่อไป
อวี๋หวั่นพยักหน้า “พรุ่งนี้ไม่ต้องขาย แต่พวกข้าจะเข้าไปซื้อของในตำบล”
วันนี้คุณหนูไป๋ปรากฏตัวที่ตลาด ทว่าไม่ได้มาเพียงเพื่อช่วยเหลือพวกเขาเท่านั้น นางได้ยินว่าในตลาดที่ทางเข้าตำบล มีร้านขายหมูพะโล้ที่อร่อยกว่าหมูพะโล้ของหอหยกขาว นางจึงตั้งใจมาหาเรื่องโดยเฉพาะ ไหนเลยจะรู้ว่าอีกฝ่ายกลับเป็นคนคุ้นเคย หลังจากที่ได้ชิมน้ำพะโล้ของบ้านอวี๋หวั่น นางก็เปลี่ยนความคิด จึงสั่งหมูพะโล้จากบ้านของอวี๋หวั่นแทน
ป้าสะใภ้ใหญ่ตกใจจนแยกไม่ออกว่านี่เป็นเรื่องดีหรือไม่
เคยได้ยินเกี่ยวกับหอหยกขาวมาบ้าง ภัตตาคารที่ใหญ่ที่สุดในตำบล ของธรรมดาสามัญทั่วไปไม่สามารถนำไปขายได้ นี่นับว่าเป็นกรณีพิเศษ ทว่าพวกเขาก็มีพ่อครัว ถึงกับทำเองไม่ได้เชียวหรือ?
มีกิจการก็นับเป็นเรื่องดี สามีที่เคยท้อแท้สิ้นหวังกลับมามีแรงใช้ชีวิตอีกครั้งก็นับว่าเป็นเรื่องดี ป้าสะใภ้มิได้ไม่เห็นด้วย
“รอให้ทำการค้ากับหอหยกขาวครั้งนี้เสร็จ พวกเราก็จะได้ฉลองปีใหม่แล้ว!” อวี๋ซงกล่าวอย่างมีความหวัง เมื่อกล่าวจบ ก็ทำสีหน้าเรียบเฉยและพูดว่า “ไม่ได้อยากฉลองกับเจ้าหรอกนะ!”
ป้าสะใภ้ใหญ่ถลึงตาใส่เขา
อวี๋หวั่นหัวเราะ เด็กหนอเด็ก คำพูดของเด็กไม่ทำร้ายใคร
อยู่ๆ ลุงใหญ่ก็เงียบไป
“ท่านลุงใหญ่” อวี๋หวั่นเรียกเขา
ป้าสะใภ้ใหญ่ตอบว่า “เขาคิดถึงพ่อของเจ้า”
อวี๋หวั่นชะงัก เมื่อเธอมองไปยังนางเจียง ก็เห็นว่านางเจียงซึ่งก่อนหน้านี้กำลังยิ้มแย้ม บัดนี้กลับมองไปยังเส้นขอบฟ้าด้วยสายตาอันว่างเปล่า ราวกับจมอยู่ในความคิดของตัวเอง
ท่านแม่...ก็คิดถึงท่านพ่อสินะ
ในตอนที่ท่านพ่อเข้ากองทัพ เถี่ยตั้นน้อยยังไม่เกิด ผ่านไปหกปี ตอนนี้เขาโตถึงเพียงนี้แล้ว
……
เวลาเที่ยงตรง ลมและหิมะปกคลุมไปทั่วท้องฟ้าเหนือกองทัพใหญ่ของซีเป่ย ลมแรงเสียจนไม่ได้กลิ่นใดๆ แม้แต่กลิ่นของควันไฟ
หลังจากที่ลดจำนวนมื้ออาหารจากวันละสามมื้อ เตาไฟในห้องครัวก็ไม่ค่อยได้ใช้สักเท่าไร
อวี๋เซ่าชิงกำลังสวมชุดเกราะที่เพิ่งซ่อมเสร็จเมื่อเย็นวาน และเดินเข้าไปในกระโจมซึ่งใช้เวลาสร้างตลอดทั้งคืน
ด้านนอกกระโจม มีทหารนายหนึ่งเดินถือหอกมาในสภาพพร้อมรบ
เมื่อเขาเห็นอวี๋เซ่าชิงเดินไป ก็ยื่นมือออกมาหยุดไว้ “ทำอะไร”
อวี๋เซ่าชิงมองกล่องไม้ในมือ กล่าวว่า “นี่คือของที่แม่ทัพกุยเต๋อหลางยังเก็บไม่หมด เขาส่งคนมาบอกให้ข้านำไปส่ง เจ้านำของนี่ไปส่งให้เขาเถิด”
“ช้าก่อน” ทหารหนุ่มพูดขึ้น “ของมีค่าเช่นนี้ ท่านนำไปให้เขาด้วยตัวเองจะดีกว่า”
อวี๋เซ่าชิงมองผ้าฝ้ายขาดๆ ในกล่อง ใบหน้ามิได้ปรากฏความรู้สึกใด “ได้”
พูดจบ ก็ก้าวเท้าจะเดินเข้าไปด้านใน
ทหารนายนั้นเรียกเขาอีกครั้งหนึ่ง “เอ๋? ข้าบอกรึว่าให้ท่านเข้าไป แม่ทัพกุยเต๋อหลางจัดกระบวนทัพจนดึก ไม่ได้นอนมาหลายชั่วยาม เพิ่งได้นอนไปเมื่อครู่ ท่านรอเขาตื่นก่อนเถิด”
“เช่นนั้นข้ารออีกสักพักแล้วค่อยกลับมา” อวี๋เซ่าชิงกล่าว
เขายังพูดอีกว่า “หากท่านไป แล้วแม่ทัพตื่นมาพอดีเล่า? ท่านรออยู่ก่อนเถอะ! แม่ทัพกุยเต๋อหลางไม่ใช่คนหลับลึก ไม่แน่ว่าอาจจะตื่นแล้วก็เป็นได้”
อวี๋เซ่าชิงยืนรออยู่ด้านหน้ากระโจมท่ามกลางหิมะและสายลมด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
ทหารหนุ่มเหลือบมองเขาแวบหนึ่ง แสยะยิ้มถากถาง
อวี๋เซ่าชิงยืนรอท่ามกลางความหนาวเหน็บอยู่สองชั่วยามเต็มๆ เท้าทั้งสองข้างหนาวจนไม่รู้สึกอะไร บนร่างเต็มไปด้วยหิมะกองใหญ่ ริมฝีปากแห้งแตกเผยอขึ้นเล็กน้อย มองเห็นรอยเลือดสีแดง
“เกลี้ยดเกลียด”
มีเสียงเล็กฟังดูไพเราะดังมาจากในกระโจม จากนั้นก็มีสตรีรูปโฉมงดงามนางหนึ่งเดินออกมา
สตรีผู้นั้นดึงเสื้อที่เลื่อนหลุดขึ้นมา มองไปยังอวี๋เซ่าชิงอย่างมีเลศนัย
อวี๋เซ่าชิงมิได้กะพริบตา
นางส่ายสะโพกอย่างอ่อนหวาน และเดินผ่านเขาไปพร้อมกับกลิ่นหอมจรุงจิต
ทหารหนุ่มถือน้ำร้อนเข้าไปในกระโจม เมื่อเขาถือน้ำร้อนที่ใช้แล้วออกมา อวี๋เซ่าชิงก็เอ่ยถามด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า “ข้านำของเข้าไปให้แม่ทัพกุยเต๋อหลางได้หรือยัง”
ทหารนายนั้นเย้นหยันว่า “เกรงว่าคงไม่ได้ ท่านหัวหน้ากองร้อย เมื่อครู่แม่ทัพมีคำสั่งว่า หากแม่ทัพกุยเต๋อหลางตื่นเมื่อไร ให้รีบไปพบเพื่อเจรจาการศึกทันที ท่านก็...รอสักพักแล้วค่อยกลับมาเป็นอย่างไร?”
‘หัวหน้ากองพัน? ก็ต้องเป็นพี่ใหญ่อวี๋แน่!’
‘เหยียนฉงหมิงเทียบพี่ใหญ่อวี๋ไม่ได้เลยสักนิด!’
‘อวี๋เฒ่าฆ่าพวกป่าเถื่อนไปตั้งมากมาย บนตัวถูกแทงไปไม่รู้กี่แผล มีหรือที่เต่าหดหัวแบบเหยียนฉงหมิงจะเทียบได้?’
‘หัวหน้ากองพัน หากไม่ใช่อวี๋เฒ่า ข้าก็ไม่ยอมรับ! เหยียนฉงหมิงก็เป็นได้แค่ผายลมเหม็นๆ เท่านั้น!’
ทหารหนุ่มมองตามเงาด้านหลังของอวี๋เซ่าชิงที่ค่อยๆ เลือนหายไปพร้อมกับพายุหิมะ เขากล่าวเสียดสีว่า “เจ้าสิลมตดเหม็นๆ!”
.....................................................