webnovel

หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม

เธอคือหมอ(รักษาสัตว์)เทวดาคนแรกของอาณาจักร เริ่มจากข้ามมิติมาอยู่ในร่างของเด็กสาวชาวบ้านผู้แสนยากจน ทางซ้ายมีท่านแม่ที่ป่วยกระเสาะกระแสะ ทางขวาก็มีน้องชายตัวน้อยคอยให้ป้อนข้าว ที่แย่ไปกว่านั้นคือ เธอถูกผู้ชายเฮงซวยยกเลิกการแต่งงาน… ให้ตายเถอะ! เสือไม่โอ้อวดพลังก็จริง แต่เห็นเธอเป็น HelloKitty หรืออย่างไร ถึงมารังแกกันแบบนี้?! สั่งสอนผู้ชายเฮงซวย รักษาอาการป่วยของท่านแม่ เลี้ยงดูน้องชายที่ผอมแห้งแรงน้อย บุกเบิกที่นารกร้าง ปลููกพืชบนที่ดินว่างเปล่า นั่งดูความอุดมสมบูรณ์ แล้วก็ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข วันเวลาอันแสนสุขค่อยๆ ผ่านไป... วันหนึ่งก็ได้ยินว่าเทพแห่งความตายผู้น่าสะพรึงกลัวจะมาเยือนถึงหน้าบ้าน บังคับขู่เข็ญให้เธอแต่งงานด้วย? ถึงเธอจะชอบผู้ชายหน้าตาดีก็เถอะ แต่ได้ยินว่าท่านอ๋องผู้นี้… “ท่านอ๋อง พวกเราไม่ได้สนิทกันเสียหน่อย!” หญิงสาวพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “เหอะๆ” ท่านอ๋องยกยิ้มมุมปากอย่างมีเลศนัย แล้วคว้าเด็กน้อยตัวอ้วนจ้ำม่ำสามคนออกมาจากด้านหลัง “เรียกแม่สิ” เธอล่ะอยากจะเป็นลม...

เพียนฟางฟาง · History
Not enough ratings
867 Chs

027 ฮูหยินของคุณชาย

บทที่ 27 ฮูหยินของคุณชาย

รถม้าค่อยๆ เคลื่อนออกไป จนลับสายตา

มือปราบจางมองอวี๋หวั่นด้วยสายตาเย็นเยียบ

“ข้าแนะนำให้เจ้าอย่าผลีผลาม คุณหนูจากจวนแม่ทัพกล่าวออกมาเอง หากเจ้ายังพูดจาเหลวไหลอีก ก็หมายความว่าเจ้ากำลังจงใจมีเรื่องกับนาง” ไม่รู้ว่าไป๋ถังปรากฏตัวท่ามกลางฝูงชนตั้งแต่เมื่อไร

นางกล่าวพลางเดินเข้ามาหามือปราบจาง เขากำลังแยกเขี้ยวยิงฟัน แต่กลับกลายเป็นว่าง่ายขึ้นทันที “ท่านกำลังบอกว่านั่นคือรถม้าของจวนแม่ทัพหรือ?”

ไป๋ถังส่ายนิ้วชี้ไปมา “มิใช่แม่ทัพธรรมดาเสียด้วย ผู้ที่นั่งอยู่บนรถม้าเมื่อครู่ก็คือหลานสาวสายตรงของแม่ทัพอาวุโสเจิ้นเป่ย[footnoteRef:1]” [1: เจิ้นเป่ย เป็นชื่อตำแหน่งสำคัญทางการทหาร]

“หลานสาวของแม่ทัพอาวุโสเจิ้นเป่ย นั่นไม่ใช่...” มือปราบจางหน้าซีดเผือด ไม่สนใจแม้แต่ชุนจือ นำลูกน้องกลับในทันที!

“นี่! พี่ใหญ่จาง! เหตุใดไปเสียแล้วเล่า? ท่านไม่จับคนแล้วรึ?” ชุนจือโมโหจนกระทืบเท้า แต่ก็ทำได้เพียงตาลีตาเหลือกวิ่งหนีไป

พ่อลูกสกุลอวี๋ต่างถอนหายใจด้วยความโล่งอก

อวี๋ซงหมดจำจะพูด “เจิ้นอะไรนั่น...จวนแม่ทัพยิ่งใหญ่เช่นนี้ อำนาจเหลือล้น เล่นเอาข้ากลัวเสียจนขี้หดตดหาย”

“แม่ทัพเจิ้นเป่ยมิใช่ว่า...” ลุงใหญ่เคยคลุกคลีอยู่กับคนจากเมืองหลวง ครั้นเป็นพ่อครัวอยู่ในเมืองหลาง เรื่องราวของตระกูลเก่าแก่ก็ล้วนเคยได้ยินอยู่บ้าง เขาจำได้เลือนรางว่าจวนแม่ทัพเจิ้นเป่ยเข้าไปพัวพันกับคดีหนึ่ง ทั้งตระกูลจึงถูกจับเข้าคุก ชื่อเสียงของพวกเขามีประโยชน์เช่นนี้เชียวหรือ?

ไป๋ถังอุทานว่า ‘โอ้’ ด้วยความประหลาดใจ “ท่านลุงผู้นี้ ท่านก็เคยได้ยินข่าวจากเมืองหลวงด้วย! แต่ว่าเรื่องที่ท่านพูดนั้นเป็นเรื่องเมื่อสามปีก่อน ในปีนั้นท่านแม่ทัพได้รับโทษ ทุกคนล้วนถูกส่งเข้าคุก ทหารถูกส่งไปเสริมทัพที่ซีเป่ย มีคุณหนูคนหนึ่งรอดพ้นจากหายนะครั้งนี้ หลังจากนั้น นางก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย ทุกคนต่างคิดว่านางตายไปแล้ว แต่ไม่นานมานี้ นางก็กลับมา”

กล่าวถึงตรงนี้ นางก็เลิกคิ้ว “นางพาเลือดเนื้อเชื้อไขของคุณชายแห่งเมืองเยี่ยนมาด้วย พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าคุณชายแห่งเมืองเยี่ยนเป็นใคร ทั้งต้าโจว เขาเป็นเพียงคนเดียวที่กล้าอาละวาดในพระที่นั่งจินหลวน[footnoteRef:2] หลังแผลงฤทธิ์เสร็จแล้วก็เดินออกไปอย่างไร้รอยขีดข่วนใดๆ นางให้กำเนิดบุตรของเขา ทุกวันนี้มารดาพึ่งพาฐานะของบุตร ทำให้จวนแม่ทัพกลับมาอีกครั้ง” [2: พระที่นั่งจินหลวน รู้จักกันในชื่อ ‘พระที่นั่งไท่เหอ’ อยู่ในเขตพระราชฐานชั้นนอกของพระราชวังต้องห้าม]

อวี๋หวั่นไม่สนใจเรื่องซุบซิบนินทาของแวดวงขุนนางชั้นสูง แม่ทัพก็ดี คุณชายเยี่ยนก็ดี ล้วนมิได้เกี่ยวข้องกับเธอ คำพูดของไป๋ถังเมื่อครู่ ประโยคเดียวที่เธอสนใจก็คือ ‘ทหารถูกส่งไปเสริมทัพที่ซีเป่ย’ ถ้าหากจำไม่ผิด พ่อของเธอก็ถูกจับไปเป็นทหารที่ซีเป่ย

ผ่านมาหกปีแล้ว ไม่รู้ว่าท่านพ่อเป็นอย่างไรบ้าง

……

ณ ชายแดน หิมะตกปรอยๆ

การลาดตระเวนของวันนี้สิ้นสุดลง ทหารยามผลัดเวรกัน พวกเขาย่ำลงบนหิมะซึ่งหนาเกือบถึงต้นขา เดินกลับไปยังกระโจมอย่างทุลักทุเล

“หนาวจะตายอยู่แล้ว!”

เมื่อเข้าไปในกระโจม อู๋ซันเริ่มสะบัดหิมะบนชุดเกราะ หิมะบางส่วนจับตัวกันจนเป็นก้อนน้ำแข็ง เขาสะบัดเท่าไรก็สะบัดไม่ออก

“อวี๋เฒ่า ช่วยข้าหน่อย!”

เขาเดินไปตรงหน้าบุรุษซึ่งกำลังซ่อมชุดเกราะอยู่

บุรุษที่ถูกเรียกว่า ‘อวี๋เฒ่า’ วางมือจากชุดเกราะตัวเก่าหลุดลุ่ย เขาดึงมีสั้นเล่มเงาวับออกมาจากรองเท้า “หันไป”

“เอ้อ!” อู๋ซันหันไปอย่างว่าง่าย

อวี๋เซ่าชิงแซะน้ำแข็งออกจากชุดเกราะ

เหมันต์ฤดูนั้นหนาวเหน็บ ในกระโจมของพวกเขาไม่มีแม้แต่เตาไฟ หากไม่แซะน้ำแข็งออก ก็จะถอดชุดเกราะไม่ได้

“อวี๋เฒ่าเอ๊ย” อู๋วันผู้ซึ่งถูกแกะก้อนน้ำแข็งหัวเราะและกล่าวว่า “ได้ยินมาว่าจะเลือกหัวหน้ากองพันแล้ว ข้าว่าเจ้าต้องได้เป็นอย่างแน่นอน!”

อวี๋เซ่าชิงมิได้ตอบอะไร มือที่เต็มไปด้วยแผลเป็นจากการสู้รบมานานหลายปี กำด้ามมีดไว้แน่น มีน้ำแข็งอีกส่วนหนึ่งที่ยังแงะไม่ออก

“เจ้าเชื่อข้า เจ้าเป็นหัวหน้ากองร้อยมาสามปี ตำแหน่งก็ต้องสูงขึ้นอีก ครั้งก่อนเจ้าก็ตัดหัวรองแม่ทัพไปไม่ใช่รึ ถือเป็นความดีความชอบครั้งใหญ่เชียวนา หากเป็นคนอื่น ก็คงได้ไปอยู่กองพันใต้ตั้งนานแล้ว แต่เจ้านี่นะ พื้นเพออกจะด้อยเสียหน่อย ไม่เช่นนั้นในบรรดาหัวหน้ากองร้อยทั้งหมด ข้าดูแล้ว ไม่มีใครมีคุณสมบัติเท่าเจ้า แถมยังไม่ได้เกี่ยวข้องกับกองพันใต้อีกด้วย!”

กองพันใต้ กองพันเหนือ ก็คือคำที่ทหารชั้นผู้น้อยแอบใช้เรียกกองทัพใหญ่และกองทัพย่อย พวกเขาเป็นทหารที่ถูกจับมาเสริมทัพ ส่วนใหญ่แล้วจะสังกัดกองพันเหนือ

“กินข้าวเถอะ” เมื่อน้ำแข็งก้อนสุดท้ายหลุดออก อวี๋เซ่าชิงหยิบผ้าแห้งออกมา และค่อยๆ เช็ดมีด จากนั้นจึงเสียบกลับเข้าไปในฝัก

อู๋ซันวางชุดเกราะลง และเปลี่ยนเป็นสวมเสื้อผ้าฝ้าย

เสื้อผ้าฝ้ายของกองพันเหนือทำมาจากฝ้ายเก่า ชื้นง่าย ทั้งหนักทั้งไม่อบอุ่น เทียบกับของที่บ้านแล้ว ไม่มีอะไรดีเลยสักอย่าง

เมื่อเห็นกับข้าวบนโต๊ะ อู๋ซันก็เบะปาก กล่าวว่า “เจ้าเป็นหัวหน้ากองร้อย ไฉนกินกับข้าวแบบเดียวกับพลทหารอย่างข้าเล่า!”

หลายวันมานี้หิมะตกหนักเหลือเกิน ทั้งสองฝ่ายต่างพักรบกัน เพื่อที่จะประหยัดเสบียงอาหารของกองทัพ จากเดิมที่พวกเขากินข้าววันละสามมื้อ ก็เหลือเพียงวันละสองมื้อ อู๋ซันกินไม่อิ่ม จึงมาเติมกับข้าวจากอวี๋เซ่าชิง อาหารของอวี๋เซ่าชิงเองก็มีไม่มาก จึงได้แต่กินให้น้อยลง

อู๋ซันหยิบหมั่นโถวแข็งๆ ขึ้นมาลูกหนึ่ง กัดเข้าปากไปหนึ่งคำ กลับเจอเม็ดทรายหยาบระคายลิ้น

เขากลอกตา “มารดามันเถอะ! กองพันใต้มีเนื้อให้กินแล้ว! เมื่อครู่ตอนที่ข้าออกลาดตระเวน ได้กลิ่นเนื้อหอมๆ หากเจ้าเป็นหัวหน้ากองพันเหนือละก็ พวกเราต้องมีอาหารการกินอุดมสมบูรณ์เป็นแน่!”

อวี๋เซ่าชิงกินผักดองไร้รสชาติเข้าไปหนึ่งคำ

อู๋ซันเคี้ยวหมั่นโถวอย่างเกรี้ยวกราด “เจ้าวางใจเถอะ รอเจ้าได้ขึ้นเป็นหัวหน้ากองพัน เจ้าก็จะได้กินอาหารของกองพันใต้แล้ว”

ทันทีที่กล่าวจบ ก็ได้ยินเสียงดังอื้ออึงมาจากด้านนอกกระโจม

อู๋ซันรีบวางหมั่นโถวและปรี่ออกไปด้านนอก คว้าหมับไปที่พลทหารคนหนึ่งซึ่งดูตื่นตระหนก “ทำไม ทำไม เกิดอะไรขึ้น”

พลหทารกล่าวด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นว่า “เติ้งโถวเฒ่าขึ้นเป็นหัวหน้ากองพันแล้ว ตอนนี้เหล่าพี่น้องกำลังเข้าไปแสดงความยินดี!”

อู๋ซันขมวดคิ้ว “เติ้งโถวเฒ่าขึ้นเป็นหัวหน้ากองพันรึ? ไฉนเป็นเขาไปได้? คงไม่ใช่เข้าใจอะไรผิดกระมัง?”

พลทหารกล่าวว่า “ไม่ผิดแน่! แม่ทัพกุยเต๋อหลางเป็นคนแต่งตั้งด้วยตัวเองเชียวนา!”

“แม่ทัพกุยเต๋อหลาง?” อู๋ซันรู้สึกงุนงง กองพันของพวกเขามีคนชื่อนี้ตั้งแต่เมื่อไรกัน

พลทหารร้องว่า ‘ไอหยา’ และกล่าวว่า “เมื่อครู่ท่านออกไปลาดตระเวน คงไม่ได้ยินสิท่า? เหยียนเฒ่าได้รับราชโองการให้เป็นแม่ทัพกุยเต๋อหลางระดับห้าแล้ว!”

อู๋ซันตะลึงงัน!

เขาก็รู้จักเหยียนเฒ่า คนผู้นี้เป็นหัวหน้ากองน้อยเหมือนกับอวี๋เฒ่า ครั้งนี้มีผู้ได้เลื่อนตำแหน่งเป็นหัวหน้ากองพันเพียงคนเดียว ทว่าคนแซ่เหยียนผู้นี้เป็นทาสที่ติดโทษทัณฑ์ สถานะเทียบกับอวี๋เฒ่าไม่ได้ ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงความดีความชอบของอวี๋เฒ่ามีมากกว่าเขาเป็นไหน เขาเป็นหัวหน้ากองพันไม่ได้เสียด้วยซ้ำ เหตุใดผ่านไปเพียงชั่วพริบตา เขาก็กระโดดขึ้นมารับตำแหน่งที่สูงเช่นนี้ ได้เป็นถึงแม่ทัพกุยเต๋อหลางเชียวรึ? มิหนำซ้ำยังเป็นราชโองการ?!

พลหทารกล่าวด้วยน้ำเสียงซึ่งเต็มไปด้วยความอิจฉา “ได้ยินว่า ลูกสาวของเขาเป็นฮูหยินของคุณชายแห่งเมืองเยี่ยนแล้ว เป็นเพราะฝ่าบาทรู้สึกผิดต่อพ่อของคุณชายเยี่ยน จึงเลื่อนยศให้พ่อของนาง”

“เติ้งโถวเฒ่าท่านรู้จักใช่ไหม ก็คือเหยียนเฒ่า ไม่สิ ตอนนี้ต้องเรียกว่าแม่ทัพกุยเต๋อหลาง เขาเป็นคนสนิทของแม่ทัพกุยเต๋อหลาง หลังจากที่แม่ทัพกุยเต๋อหลางได้เลื่อนตำแหน่ง ก็รีบแต่งตั้งเขาทันที! ไอหยา แม่ทัพกุยเต๋อหลางมีความสามารถยิ่งนัก! รู้เช่นนี้ข้าไปติดตามเขาดีกว่า...”

คนสนิท? ข้าจะอ้วก! เป็นหนอนไชทวารก็พอแล้ว!

มีความสามารถ? ยังมีความสามารถไม่เท่านิ้วมือเดียวของอวี๋เฒ่า!

เมื่อมาคิดว่าตำแหน่งหัวหน้ากองพันของอวี๋เฒ่าถูกคนเจ้าเล่ห์จอมประจบประแจงแย่งชิงไป อู๋ซันก็โมโหเสียจนปอดจะระเบิด!

อู๋ซันขบเขี้ยวเคี้ยวฟันพลางเดินกลับไปยังกระโจม เห็นอวี๋เซ่าชิงกำลังกัดผักดองและหมั่นโถวเงียบๆ ราวกับไม่ได้ยินเรื่องที่เกิดขึ้น เขาก็พยายามระงับโทสะ และกล่าวว่า “อวี๋เฒ่า เจ้าอย่าเสียใจไปเลย”

“อืม” อวี๋เซ่าชิงตอบ

.............................................