ดินแดนมารที่มีจอมมารซวิ่นเฟิงขึ้นนั่งบัลลังก์แลดูจะมีชีวิตชีวาขึ้นกว่าแต่ก่อน อย่างน้อยพี่น้องร่วมเผ่ามารก็ดูมีขวัญกำลังใจในการใช้ชีวิตต่อไปอย่างไม่ไร้ซึ่งความหวัง จากเมืองที่แสนจะเงียบร้างในคราแรกที่ซวิ่นเฟิงกลับมา บัดนี้ดูจะครึกครื้นไม่เงียบเหงาไร้สีสันเช่นนั้นแล้ว
ภายในตำหนักฮุยอินกง ซวิ่นเฟิงนั่งอยู่เพียงลำพังในห้องทำงาน เขาจุดกำยานด้วยการร่ายคาถาง่ายๆ ที่ปลายนิ้วชี้ ควันสีขาวจากกำยานส่งกลิ่นหอมของเกสรดอกบัวค่อยๆ ลอยขึ้นมาจากโคมไฟ ซวิ่นเฟิงสูดลมหายเข้าลึกอย่างทำสมาธิ แล้วร่ายคาถาภาษามือสองสามกระบวนท่า เกิดประกายแสงสีครามหมุนวนรอบสองฝ่ามือของเขาอยู่ครู่หนึ่ง เพียงอึดใจเดียวประกายแสงสีครามนั้นก็ดับลง ปรากฏเป็นตั๊กแตนไม้แกะสลักวางอยู่บนฝ่ามือ
ซวิ่นเฟิงมองตั๊กแตนไม้ชิ้นเล็กในมือแล้วระบายยิ้มบางอย่างพอใจ พลันนึกย้อนกลับไปเมื่อหลายวันก่อนที่เขาร่ายคาถาให้ตั๊กแตนไม้แกะสลักชิ้นนี้มีชีวิตขึ้นมา แล้วส่งไปยังแดนสวรรค์เพื่อสืบข่าวบนนั้นอย่างลับๆ
ไม่นานนักเขาก็ได้รู้ว่าตอนนี้แดนสวรรค์เก้าชั้นฟ้ามีเรื่องวุ่นวายเพียงใด ทั้งเรื่องไท่เซียนอี้ตี้จวินลงไปจุติยังโลกมนุษย์ด้วยจิตเทพครบสมบูรณ์ ทั้งเรื่องของเทพธิดาน้อยที่ถูกผนึกจิตเทพในร่างมนุษย์ธรรมดา หรือแม้กระทั่งเรื่องรักๆ ใคร่ๆ ของเทพธิดาดอกไม้สวรรค์กับเทพสงครามอวี๋หลี่จวิน ตั๊กแตนไม้แกะสลักชิ้นนี้ก็สืบข่าวกลับมารายงานเขาได้อย่างละเอียดถี่ถ้วน
ดังคำกล่าวที่ว่ารู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้งคงเป็นเช่นนี้เอง เมื่อซวิ่นเฟิงรู้แล้วว่าไท่เซียนอี้ตี้วินจุติอยู่ที่ใด เขาจึงคิดอุบายแปลงกายเป็นชายนักเล่านิทานเพื่อลองโยนหินถามทางกับจตุรเทพตี้จวินสักนิดเป็นอย่างไร เขาลงมือเขียนนิทานลงในม้วนอักษรด้วยตัวเองจากเรื่องจริงที่เกิดขึ้นในเผ่ามารเมื่อสองแสนปีก่อนอย่างไม่ได้แต่งเสริมเติมเนื้อเรื่องใด จะมีละเว้นไว้ไม่เล่าออกไปก็เพียงแค่เรื่องของเขาผู้เป็นจอมมารซวิ่นเฟิงเท่านั้น
ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ว่าเขามีตัวตนอยู่บนโลกนี้นับตั้งแต่สิ้นสุดสงครามเผ่ามารฮุยอินครั้งที่สอง ทุกคนต่างพากันคิดว่าเขาคงจะสิ้นชื่อตามบิดาไปเสียแล้วกระมัง และนั่นเป็นเรื่องดี เขาประกาศทั่วดินแดนมารฮุยอินว่าห้ามมิให้ผู้ใดพูดถึงจอมมารซวิ่นเฟิงอีก ให้นามของเขาเป็นเพียงผู้อยู่เบื้องหลังอย่างลับๆ ในเผ่ามารก็พอ เพราะแต่ไหนแต่ไรมาหลังจากสูญเสียบิดาไป เขาก็ไม่ได้มีตัวตนอยู่แล้ว มีเพียงเสวี่ยหยาง ท่านลุงผู้อาวุโสของเขาเท่านั้นที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้าทุกคนว่าเป็นผู้ครองบัลลังก์ต่อจากน้องชาย
ซวิ่นเฟิงเก็บตั๊กแตนไม้แกะสลักในมือหายวับไปด้วยคาถา สองมือที่ว่างเปล่าร่ายคาถาอีกบทเพื่อแปลงกายเป็นชายนักเล่านิทาน แล้วพาตัวเองกลับไปยังโลกมนุษย์
"หอมจังเลย" เยว่ซินยกถาดนึ่งซาลาเปาขึ้นจากเตาร้อน วันนี้นางทำซาลาเปาไส้ถั่วแดงและไส้เม็ดบัวเพื่อฝึกรสมือก่อนจะทำถวายไท่จื่อในวันงานเลี้ยงที่ใกล้จะถึง มีหลินหลินอยู่ช่วยเป็นลูกมืออยู่ข้างๆ เยว่ซินหยิบซาลาเปาไส้ถั่วแดงมาแบ่งครึ่ง นางเป่าคลายร้อนออกเสียหน่อยก่อนจะส่งให้หลินหลินได้ลองชิมดู
"เจ้าชิมดูสิ ข้าต้องปรับปรุงรสชาติอีกหรือไม่" หลินหลินรับซาลาเปามากัดชิมหนึ่งคำ สีหน้าบ่งบอกว่านางถูกใจรสชาติของซาลาเปาฝีมือเยว่ซินยิ่งนัก
"อร่อยมากเลยแม่นางเยว่ ไท่จื่อต้องชื่นชอบซาลาเปาของท่านแน่" หลินหลินเอ่ยชมจนเยว่ซินยิ้มกว้าง
"เจ้าไม่ได้ยอข้าแน่นะ"
"ไม่เลย อร่อยจริงๆ ไม่เชื่อข้า แม่นางเยว่ก็ลองชิมอีกครึ่งดูก็ได้" หลินหลินส่งซาลาเปาอีกครึ่งลูกให้เยว่ซินได้ชิมเอง ปรากฏว่าเยว่ซินก็ถูกใจในรสชาตินี้เช่นกัน
"อื้ม อร่อยจริงๆ ด้วย ข้าเอาไปให้ท่านแม่ทัพเฉิง อาอู๋กับอาลู่ชิมด้วยดีกว่า หลินหลินเจ้าช่วยข้าหยิบซาลาเปาใส่ปิ่นโตที"
เฉิงอี้ที่เดินมาถึงห้องครัว เขาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าประตูเมื่อเห็นว่าเยว่ซินกับหลินหลินกำลังยุ่งกับการจัดปิ่นโต แต่เยว่ซินหันมาเจอเขาพอดี เฉิงอี้จึงยิ้มทักแล้วเดินเข้าไปหานางเสียเอง
"แม่ทัพเฉิง ท่านมาได้อย่างไร นี่ข้ากำลังจัดซาลาเปาไปให้ท่านลองชิมอยู่พอดี"
"เช่นนั้นข้าชิมตอนนี้เลยได้หรือไม่"
"ได้สิ ข้าทำไว้สองรส ท่านจะชิมให้ข้าทั้งสองรสเลยได้หรือไม่" เยว่ซินหยิบซาลาเปาสองลูกใส่จานส่งให้เฉิงอี้ได้ลองชิม เฉิงอี้ไม่ตอบ แต่หยิบซาลาเปาทั้งสองรสมากัดชิมลูกละหนึ่งคำ เขาพิจารณารสชาติอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะผงกศีรษะแล้วเอ่ยชมยิ้มๆ
"ซาลาเปาของเจ้าอร่อยมาก" เมื่อได้ยินคำชมชัดเจนเช่นนี้ เยว่ซินก็ฉีกยิ้มกว้างขึ้นทันใด
"ข้าดีใจที่ท่านแม่ทัพเฉิงชอบซาลาเปาของข้า หลินหลินเจ้าช่วยนำปิ่นโตนี้ไปให้อาอู๋กับอาลิ่วแทนข้าที"
"เจ้าค่ะ ข้าไปก่อนนะเจ้าคะ" หลินหลินรับคำสั่งก็ยกปิ่นโตซาลาเปาออกจากห้องครัวไป
"เจ้าเสร็จงานแล้วใช่หรือไม่" เฉิงอี้ถามให้แน่ใจเมื่อเห็นว่าเยว่ซินกำลังถอดผ้ากันเปื้อนอยู่พอดี
"เสร็จแล้วเจ้าค่ะ"
"ในเมื่อว่างแล้วเจ้าไปกับข้า ข้ามีอะไรจะให้เจ้า" เฉิงอี้ไม่รอช้า เขาหมุนตัวเดินกลับออกมาจากห้องครัว เยว่ซินรีบเดินตามหลังเขามาจนถึงหน้าห้องพักของตัวเอง
"มีสิ่งใดในห้องพักของข้า" เยว่ซินหยุดยืนข้างเฉิงอี้ที่หน้าประตูห้องพัก เห็นเฉิงอี้มองไปยังประตูที่ปิดอยู่จึงเอ่ยถาม
"เจ้าลองไปเปิดดูสิ" เฉิงอี้แกล้งบอกให้เยว่ซินรู้สึกประหลาดใจ เยว่ซินไม่ปล่อยให้ตัวเองเกิดความสงสัย นางเดินตรงไปเปิดประตูอย่างเบามือ ก่อนจะร้องเรียกชื่อสิ่งที่รออยู่เบื้องหลังบานประตูเสียงดังอย่างดีใจ
"เสี่ยวเข่ออ้าย!" เจ้าสุนัขตัวโตขนนุ่มฟูสีขาวนั่งกระดิกหางระริกรอผู้เป็นนายอย่างรู้ความ มันกระโจนเข้าหาเยว่ซินทันทีที่นางเรียกชื่อของมันเสียงดัง
เยว่ซินนั่งคุกเข่ากอดกับเจ้าเสี่ยวเข่ออ้ายจนตัวกลมด้วยความคิดถึง ปกติเสี่ยวเข่ออ้ายจะอยู่ข้างกายนางตลอดเวลา แม้กระทั่งตอนนอนก็ยังนอนเฝ้านางที่ข้างเตียง แต่เมื่อนางต้องมาฝึกงานที่จวนของเฉิงอี้ นางจึงไม่กล้าพามันมาด้วยเพราะเกรงว่ามันอาจจะมาเป็นภาระในจวนเสียเปล่าๆ คิดไม่ถึงว่าเฉิงอี้จะใจดีกับนางเช่นนี้ เขาไปรับตัวเสี่ยวเข่ออ้ายมาอยู่เป็นเพื่อนนาง นางซึ้งใจยิ่งนัก หลังจากนี้นอกจากหลินหลินจะเป็นเพื่อนคุยคลายเหงา นางก็จะมีเสี่ยวเข่ออ้ายเป็นเพื่อนเล่นอีกตัวหนึ่งแล้ว
"ถูกใจเจ้าหรือไม่"
"ท่านแม่ทัพเฉิง ข้าดีใจจนอยากจะร้องไห้อยู่แล้ว ข้าคิดถึงเสี่ยวเข่ออ้ายมาก ขอบคุณท่านมากที่ช่วยพามันมาหาข้า" เยว่ซินยังคงนั่งกอดเสี่ยวเข่ออ้ายแน่น เฉิงอี้ยิ้มเอ็นดูทั้งคนทั้งเจ้าสี่ขาที่กอดกันตัวกลมจนแทบจะรวมเป็นร่างเดียวกันอยู่แล้ว
"เจ้าคิดถึงมันมาก วันนี้ก็อยู่กับมันให้หายคิดถึงเถอะ ข้าขอตัวก่อน" เยว่ซินพยักหน้าแทนคำตอบรับ เฉิงอี้จึงช่วยปิดประตูให้แล้วเดินกลับไปยังห้องของตัวเอง
เมื่อกลับมาถึงห้องนอน เฉิงอี้เดินตรงไปนั่งยังโต๊ะทำงาน กลิ่นกำยานจากไม้กฤษณาหอมคละคลุ้งกรุ่นกลิ่นเดียวกับห้องนอนของเยว่ซิน เฉิงอี้นั่งมองไปทางซ้ายมือจ้องผนังห้องแล้วอมยิ้มบาง เขานึกเดาเล่นๆ ว่าเบื้องหลังผนังห้องในตอนนี้มีสาวน้อยกับสุนัขน้ำหมึกที่คงจะวิ่งเล่นกันไปทั่วห้องแล้วกระมัง
เพียงครู่เดียวเฉิงอี้ก็หันกลับมาสนใจม้วนอักษรที่วางอยู่ตรงหน้า ใต้ม้วนอักษรมีม้วนกระดาษเล็กๆ ถูกทับอยู่ มือหนาหยิบขึ้นมาอ่านทันทีที่เห็น เมื่อคลายกระดาษแผ่นเล็กออกก็พบว่าเป็นกลบทที่ถูกส่งกลับมาจากหวังจิ้นนั่นเอง
'จุ่มพู่กันหยกตวัดน้ำหมึก เรียงอักษร พู่กันย่อมรู้เส้นนั้นก่อนจรดปลาย'
ความหมายของกลบทนี้ทำให้เฉิงอี้รู้ว่าตัวเองตัดสินใจไม่ผิดที่ส่งม้วนอักษรนิทานของซวิ่นเฟิงไปให้หวังจิ้นได้ตรวจสอบ เพราะหวังจิ้นเป็นผู้ดูแลเทียบคำสั่งของเทียนจวิน ดังนั้นไม่ว่าเรื่องใดที่สำคัญเกี่ยวกับแดนสวรรค์และเทียนจวิน หวังจิ้นจะเป็นผู้หนึ่งที่รู้เรื่องราวนั้นก่อนเทพองค์ใดเสมอ
เช่นเดียวกับเรื่องราวของสองทูตที่ไปเยือนดินแดนเผ่ามารฮุยอิน เฉิงอี้คิดอยู่แล้วในใจว่าหวังจิ้นต้องรู้แน่ว่าเป็นผู้ใดที่ได้รับคำสั่งจากเทียนจวินในครานั้น ทว่านอกจากกลบทนี้แล้วก็ไม่มีจดหมายใดแนบมาอีก เช่นนี้แปลได้ว่าหวังจิ้นยังไม่อยากบอกเขาว่าสองทูตนั้นคือผู้ใด และหวังจิ้นคงตัดสินใจที่จะสืบเรื่องนี้ให้แน่ชัดด้วยตัวเองแล้วกระมัง หวังจิ้นหาได้ไม่ไว้ใจเขา ตรงกันข้ามหวังจิ้นกำลังปกป้องทุกคนที่เกี่ยวข้องอยู่ต่างหาก ตราบใดที่เรื่องจริงยังไม่ปรากฏแน่ชัด การเอ่ยชื่อสองทูตออกมาให้กลายเป็นผู้ต้องสงสัยจนแดนสวรรค์เกิดความระแวงในใจกันเองก็ดูจะเกินเรื่องเกินราวไปจริงๆ มิสู้ปล่อยให้หวังจิ้นจัดการเรื่องนี้ไปอย่างเงียบๆ เขาในฐานะตี้จวินและสหายสนิทคอยช่วยเหลืออยู่ห่างๆ เช่นนี้หวังจิ้นน่าจะคล่องตัวกว่า
ที่ตลาดใจกลางเมืองเฉียวเซียน ท่ามกลางผู้คนที่เดินพลุกพล่านขวักไขว่ ซวิ่นเฟิงในร่างชายนักเล่านิทานกำลังเดินหาโรงเตี๊ยมสำหรับพักแรมในโลกมนุษย์ จังหวะนั้นชาวบ้านกลุ่มหนึ่งก็วิ่งกรูไปยังป้ายประกาศใจกลางตลาดที่เพิ่งแปะประกาศเสร็จ ซวิ่นเฟิงสงสัยว่าเป็นประกาศข่าวเรื่องใด ถึงแม้เรื่องของมนุษย์ จอมมารอย่างเขาไม่จำเป็นต้องสนใจ แต่ตอนนี้เขาจำเป็นต้องอยู่ในโลกมนุษย์ชั่วคราว ดังนั้นหากเขาทำความรู้จักถิ่นที่อยู่ในตอนนี้ไว้บ้างก็ดูจะเป็นเรื่องจำเป็นไม่น้อย
"โอ้! อีกสองสัปดาห์ไท่จื่อจะเสด็จมาพักที่เมืองของเรา" เสียงอาอี๋คนหนึ่งดังขึ้นในกลุ่มฝูงชน
"มีงานเลี้ยงต้อนรับที่จวนท่านแม่ทัพใหญ่ ขอให้ชาวเมืองรักษาความสงบเรียบร้อย และความสะอาดภายในเมือง" อาแปะที่อยู่ด้านหน้าป้ายอ่านเสียงดัง เพื่อแจ้งข่าวแก่ผู้ที่ยืนมุงด้านหลังได้รับรู้ทั่วกัน
'งานเลี้ยงต้อนรับไท่จื่อ'
ซวิ่นเฟิงที่ยืนอยู่ด้านหลังของฝูงชนครุ่นคิด พลางนึกภาพไท่เซียนอี้ตี้จวิน เทพผู้ยิ่งใหญ่แห่งแดนสวรรค์ที่ใครๆ ต่างเคารพและเทิดทูน เป็นถึงจตุรเทพแท้ๆ เวลานี้มาจุติอยู่โลกมนุษย์กลับต้องคอยทำหน้าที่เป็นผู้ดูแลไท่จื่อมนุษย์ธรรมดา ช่างน่าสนใจยิ่งนัก ดูท่างานนี้เขาคงต้องร่วมแสดงกับไท่เซียนอี้ตี้จวินด้วยสักบทหนึ่งแล้ว เพราะคงจะน่าเสียดายมาก ถ้าไม่ได้เห็นไท่เซียนอี้ตอนเป็นข้ารับใช้มนุษย์ด้วยตาตัวเองสักครั้ง
เบื้องหน้าทหารเฝ้าประตูจวนใหญ่แม่ทัพเฉิงอี้ ซวิ่นเฟิงปรากฏตัวพร้อมห่อผ้าและม้วนอักษรนิทาน แล้วแจ้งต่อทหารเวรยามที่เฝ้าประตูว่าเขาต้องการพบแม่ทัพเฉิงอี้
"นายท่าน นักเล่านิทานนามว่าซวิ่นเฟิงมาขอพบนายท่านขอรับ" ระหว่างที่เฉิงอี้กำลังสนใจม้วนอักษรนิทานอยู่นั้น ทหารเฝ้าประตูเวรยามนายหนึ่งก็เดินเข้ามารายงาน เฉิงอี้แปลกใจอยู่บ้างแต่ก็ไม่ได้แสดงท่าทีใด เพียงแค่พยักหน้าให้ไปเชิญผู้มาเยือนเข้าพบได้
"คารวะท่านแม่ทัพเฉิงอี้" ซวิ่นเฟิงทักทายพร้อมยกมือคำนับตามท่วงท่ามารยาทแบบมนุษย์ เฉิงอี้มองปราดเดียวก็พอจะเดาออกว่าซวิ่นเฟิงผู้นี้คงมีเรื่องใดสักเรื่องที่คิดจะมาขอความช่วยเหลือจากเขาแล้วกระมัง
"เจ้ามาหาข้าด้วยเรื่องใด แล้วเหตุใดจึงมีสัมภาระมามากมายเช่นนี้"
"ท่านแม่ทัพเฉิงอี้ จริงๆ แล้วข้าเป็นเพียงนักเล่านิทานเร่ร่อน ครั้งนี้ข้ามายังเมืองเฉียวเซียน มีโอกาสได้มาเจอท่าน นับว่าสวรรค์เมตตาข้าแล้ว"
"เช่นนั้นเจ้านั่งลงก่อน แล้วค่อยๆ พูดให้ตรงประเด็นเถิด" เฉิงอี้ผายมือให้ซวิ่นเฟิงนั่งลงด้วยกันที่โต๊ะกระดานหมากล้อม
"ข้ารินให้ ข้ารินให้" ซวิ่นเฟิงเห็นเฉิงอี้กำลังจะรินน้ำชาอุ่นร้อนจึงรีบรับกาน้ำชามารินให้อย่างเอาอกเอาใจ
"ว่าธุระของเจ้ามาเถิด" เฉิงอี้เร่งเร้า
"คือที่ตลาดข้าเห็นป้ายประกาศว่าไท่จื่อกำลังจะเสด็จมาเยือนเมืองเฉียวเซียน และจะมีงานเลี้ยงฉลองต้อนรับไท่จื่อที่จวนของท่าน ข้าเองก็เป็นแค่ผู้น้อยเร่ร่อน ครั้งหนึ่งในชีวิตหากข้าได้ถวายงานเล่านิทานต่อหน้าไท่จื่อสักครั้งชาติข้าคงไม่เสียชาติเกิด ข้าจึงอยากมาขอร้องท่าน ช่วยเมตตาส่งเสริมข้า ให้ได้เล่านิทานในงานเลี้ยงที่จวนของท่านถวายแก่ไท่จื่อได้หรือไม่" ซวิ่นเฟิงอธิบายเสียยาวด้วยน้ำเสียงอ่อนน้อมกิริยาดูถ่อมตนยิ่งนัก เฉิงอี้นิ่งคิดอยู่อึดใจหนึ่งจึงถามต่อว่า
"เจ้าจะเล่านิทานเรื่องใดกัน" เฉิงอี้แสร้งถามรายละเอียด
"ข้าอยากเล่าเรื่องตำนานความรักของเทพธิดาสวรรค์กับมนุษย์ ท่านว่าเรื่องนี้เข้าท่าดีหรือไม่" ซวิ่นเฟิงเองที่ได้เตรียมบทแสดงไว้ล่วงหน้าแล้ว จึงยิ้มเริงร่าตอบเฉิงอี้อย่างรู้ทัน โชคดีที่เจ้าตั๊กแตนไม้แกะสลักนั้นสืบเรื่องราวบนแดนสวรรค์มาเล่าสู่เขาได้อย่างละเอียดถี่ถ้วน การมาสวมบทนักเล่านิทานบนโลกมนุษย์เช่นนี้ ก็ดูจะสมจริงมากขึ้นไปอีกเจ็ดแปดส่วนแล้ว เพราะเป็นถึงนักเล่านิทาน หากเขาไม่มีเรื่องเล่าที่น่าสนใจ แบบนั้นเขาจะดึงดูดให้ผู้คนอยากฟังนิทานจากเขาได้เช่นไรกัน
"ชื่อเรื่องฟังดูน่าสนใจยิ่งนัก เช่นนั้นข้าขอลองอ่านนิทานของเจ้าก่อนได้หรือไม่" เฉิงอี้ถามอย่างตรงไปตรงมา เขาเกรงว่าหากในนิทานมีเรื่องเล่าที่ไม่เหมาะไม่ควร จะได้แก้ไขได้ทัน
"เอ่อ...หากท่านอ่านนิทานของข้าก่อน เช่นนั้นวันงานท่านจะสนุกได้อย่างไร ข้าเป็นนักเล่านิทานมานานแล้ว ท่านไว้ใจข้าได้ ข้าไม่ทำให้งานเลี้ยงของท่านหมดสนุกแน่นอน"
เฉิงอี้ไม่แสดงสีหน้าและท่าทางใด เขายกจอกน้ำชาอุ่นขึ้นยกจิบหนึ่งคำ พลางไตร่ตรองในใจว่าเขาจะอนุญาตให้ซวิ่นเฟิงมาร่วมงานเลี้ยงฉลองนั้นควรแล้วหรือไม่ แต่คิดดูแล้วเขาเองก็เคยได้ชมได้ฟังนิทานจากซวิ่นเฟิงมาแล้วครั้งหนึ่ง ยอมรับว่าเขาเป็นนักเล่านิทานที่เก่งใช้ได้ เช่นนั้นการตกลงรับเขาไว้สร้างความบันเทิงในงานเลี้ยงสักคนคงไม่เสียหายอะไรกระมัง
"ท่านแม่ทัพ ไยท่านเงียบไปเช่นนี้"
"ข้ากำลังพิจารณาเจ้าอยู่"
"แล้วท่านคิดว่าอย่างไร ท่านยินดีจะรับข้าไว้หรือไม่"
"ถ้าข้ารับเจ้าไว้ เจ้าต้องพักที่จวนของข้าจนกว่างานเลี้ยงฉลองจะจบ เจ้าตกลงหรือไม่"
"แน่นอน ข้าบอกท่านแม่ทัพแล้วว่าข้าเป็นเพียงนักเล่านิทานเร่ร่อน ข้าอยู่ที่ไหนก็ได้ทั้งนั้น"
"เช่นนั้นข้าตกลง ข้าจะให้อาลิ่วพาเจ้าไปดูห้องพักที่ด้านหลังโน้นก็แล้วกัน"
"ขอบคุณท่านแม่ทัพเฉิงอี้ สวรรค์เมตตาข้าจริงๆ ข้าสัญญาจะไม่ทำให้ท่านผิดหวัง ไท่จื่อจะต้องชอบนิทานของข้าแน่" ซวิ่นเฟิงดีใจจนออกหน้าออกตา จับมือเฉิงอี้ไปกุมไว้แน่นอย่างซาบซึ้ง อาลิ่วที่ยืนรอรับซวิ่นเฟิงไปดูห้องพักเห็นท่าทางปานเด็กน้อยถึงกับส่ายหัว แล้วอดกระซิบกับอาอู๋ที่ยืนอยู่ข้างกันไม่ได้ว่า
"เจ้านักเล่านิทานจะไม่ทำเรื่องขายหน้าให้จวนของเราแน่ใช่ไหมพี่ใหญ่" อาอู๋ไม่ตอบอะไรน้องชายฝาแฝด เขาเพียงพยักหน้าเบาๆ ให้อาลิ่วรีบพาซวิ่นเฟิงออกจากห้องของเฉิงอี้ก่อนจะดีกว่า อาลิ่วพยักหน้าเข้าใจรีบไปดึงแขนซวิ่นเฟิงออกมาทันที
อาลิ่วพาซวิ่นเฟิงมาส่งไว้ที่ห้องพักหลังเล็กท้ายจวน เขาแนะนำตำแหน่งทิศทางคร่าวๆ ให้ซวิ่นเฟิงได้รู้จักทางไว้บ้างจะได้ไม่เดินหลงเพ่นพ่านในคราวหลัง
ลับหลังอาลิ่วเดินออกไปแล้ว ซวิ่นเฟิงอยู่ลำพังในห้องพัก เขาเดินไปนั่งลงที่เตียงนอนแล้วตั้งสมาธิร่ายคาถามือ ครู่เดียวร่างจริงของซวิ่นเฟิง จอมมารแห่งเผ่ามารฮุยอินก็ปรากฏ เขาสะบัดมืออีกครั้งแล้วร่างก็พลันหายวับไป เหลือทิ้งไว้เพียงห้องโล่งกับสัมภาระจอมปลอมที่เขาหอบหิ้วมาด้วยในตอนแรกเท่านั้น
ณ ดินแดนเผ่ามารฮุยอิน เมื่อซวิ่นเฟิงกลับมาถึงแดนมาร เขาปรากฏตัวภายในห้องนอนแล้วทอดกายลงบนเตียงใหญ่หนานุ่มอย่างผ่อนคลาย ตอนนี้เขาพาตัวเองเข้าไปอยู่ใกล้ไท่เซียนอี้ตี้จวินได้อีกก้าวหนึ่งแล้ว ไม่รู้ว่าป่านนี้ไท่เซียนอี้ได้เริ่มสืบเรื่องราวของสองทูตชั่วนั่นตามคำบอกเล่าในนิทานของเขาแล้วหรือไม่
ใช่แล้ว! ที่แท้แผนการของเขาคือการยืมมือไท่เซียนอี้เป็นผู้สืบหาตัวสองทูตสวรรค์นั่นเอง เมื่อไหร่ที่ไท่เซียนอี้ได้รู้ความจริงว่าเทพสวรรค์เช่นพวกเขาต่างหากที่เป็นฝ่ายรังแกเผ่ามารตามคำบอกเล่าในนิทานตลกร้ายนั้นอย่างแท้จริง อยากรู้นักว่าเทพชั้นสูงผู้ที่เรียกตัวเองว่าเป็นผู้มีเมตตา มีคุณธรรมค้ำจุลฟ้าดินเช่นเขา จะชดใช้ต่อเผ่ามารเช่นไร