กลางดึกคืนหนึ่งบรรยากาศอาณาบริเวณรอบจวนแม่ทัพเฉิงอี้เงียบสงบ มีเพียงแสงจากโคมไฟตามทางเดินเป็นระยะและเหล่าทหารเฝ้าเวรยามประจำจุดต่างๆ เดินตรวจตราอย่างขะมักเขม้น เฉิงอี้เดินเล่นรับลมหนาวเย็นยามค่ำคืนอยู่ริมสระเพียงลำพังก็สัมผัสได้ถึงปราณเซียนที่คุ้นเคย เฉิงอี้กลับหลังหันไปดูทันที เบื้องหลังแสงพริบตาระยิบระยับนั้นปรากฏเป็นหวังจิ้นจริงๆ ไม่ผิดคาด
"เจ้ามาได้อย่างไร"
"ข้ามีเรื่องอยากปรึกษาเจ้าสองสามเรื่อง เราเข้าไปคุยกันในห้องของเจ้าดีหรือไม่" หวังจิ้นเกรงว่าจะมีมนุษย์ผู้ใดผ่านมาพบเทพเซียนเช่นเขาตัวเป็นๆ คงจะไม่ดีแน่ หรือหากว่าเขามาแบบล่องหน แล้วผู้ใดเห็นแม่ทัพเฉิงอี้กำลังยืนคุยคนเดียวยามดึกเช่นนี้ก็ดูจะน่าขนหัวลุกยิ่งกว่า
เฉิงอี้เดินนำหวังจิ้นกลับเข้ามาที่ห้องนอนในจวนใหญ่ น้ำชาในกาที่หลินหลินนำมาเตรียมไว้ให้ก่อนหน้านี้ยังคงอุ่นๆ เฉิงอี้รินน้ำชาส่งให้หวังจิ้นเมื่อทั้งสองนั่งลงที่โต๊ะกระดานหมากล้อม
"เจ้ามีอะไรจะบอกกับข้า หวังจิ้น"
"เรื่องแรก ข้าตั้งใจจะมาบอกเจ้าเรื่องนิทานเผ่ามารฮุยอินครั้งที่สองตามคำบอกเล่าในนิทานที่เจ้าส่งให้ข้าตรวสอบ ข้าไม่ได้นิ่งนอนใจ เพียงแค่เรื่องนี้ออกจะซับซ้อนอยู่สักหน่อย เจ้าให้เวลาข้าสืบเรื่องนี้สักพักได้หรือไม่"
"เรื่องนั้นข้าได้อ่านกลบทของเจ้าแล้ว ข้าเข้าใจดี เจ้าวางใจเถอะ"
"อีกเรื่อง พักนี้หลี่จวินใจอ่อนต่อเทพธิดาฟางเหนียงลงแล้ว หากหลี่จวินรู้ว่าเรื่องสงครามเผ่ามารเป็นเรื่องเข้าใจผิด ต้องแก้ไขชดใช้ความผิดพลาดนั้น ในฐานะแม่ทัพแห่งสวรรค์ข้าเกรงว่าหลี่จวินจะห่วงหน้าที่จนเกินไป กลับไปเทพหน้าน้ำแข็งต่อฟางเหนียงอีก"
"นี่เจ้าเป็นเทพจันทราคอยผูกด้ายแดงให้คู่รักตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ข้าจำได้ว่าสหายรักของข้าที่โตมาด้วยกันเป็นเทพอักษรอยู่แท้ๆ"
"โธ่เอ๊ยเซียนอี้ ไม่ว่าเจ้าจะเป็นเทพหรือเป็นมนุษย์ เจ้าก็ยังกวนประสาทข้าไม่เปลี่ยน" หวังจิ้นนิ่วหน้าพลันส่ายหัวแสร้งน้อยใจ ก่อนจะหัวเราะเบาๆ แล้วยกจอกน้ำชาขึ้นจิบหนึ่งคำ
"เจ้าห่วงว่าหลี่จวินจะอกหักเป็นไข้ใจใช่หรือไม่ แต่ไหนแต่ไรหลี่จวินเองก็รักษาน้ำใจของฟางเหนียงอยู่มาก เป็นแม่ทัพแดนสวรรค์ไม่กล้ามีความรัก แต่กลับไม่เคยปฏิเสธนาง ตอนนี้เจ้ากลับมาบอกข้าว่าหลี่จวินใจอ่อนต่อนางแล้ว หากหลี่จวินต้องออกโรงแก้ไขเรื่องราวระหว่างเผ่ามารและแดนสวรรค์ด้วยตัวเองจริงๆ เกรงว่าหลี่จวินคงจะตัดใจจากนางอีกครั้งเช่นเจ้าว่าเป็นแน่"
"หลี่จวินเป็นน้องเล็กที่สุดของพวกเรา พอคิดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา ข้าอดห่วงไม่ได้จริงๆ"
"เจ้าห่วงเรื่องที่หลี่จวินต้องรับผิดชอบต่อเผ่ามาร หรือห่วงว่าน้องชายอวี๋หลี่จวินของเจ้าจะขายไม่ออกกันแน่" เห็นหวังจิ้นกำลังกลุ้มใจ เฉิงอี้จึงแกล้งเย้าแหย่ให้อารมณ์ดีขึ้นมาสักหน่อย จนเฉิงอี้ปรายตามองค้อนขวับ
"เจ้าเลิกหยอกข้าได้แล้ว ว่าแต่เรื่องของเทพธิดาน้อยมีความคืบหน้าบ้างหรือไม่ แล้วเจ้าสบายดีหรือไม่"
"ข้าสบายดี เพียงแต่ข้ารู้มาว่าอีกเพียงเดือนครึ่งจะถึงวันเกิดของนาง หากนางอายุครบยี่สิบปี จิตเทพของนางจะดับไปราวกับไม่เคยมีเทพธิดาได้ถือกำเนิดมาก่อน นางจะเหลือเพียงจิตวิญญาณมนุษย์เช่นบิดาของนางเท่านั้น"
"อีกเดือนครึ่ง เวลาเพียงเท่านี้เจ้ามีแผนการใดแล้วหรือไม่" หวังจิ้นแสดงสีหน้าวิตกกังวลเรื่องของเยว่ซินมากกว่าเรื่องของหลี่จวินเมื่อครู่เสียอีก
"..." เฉิงอี้ถอนหายใจยาว เขาส่ายหน้าแทนคำตอบด้วยวาจาใด หวังจิ้นขบเม้มริมฝีปากอย่างใช้ความคิดอยู่ครู่หนึ่ง
"ถ้าเช่นนั้น ข้าจะกลับไปที่หออักษร จะลองไปหาดูว่ามีตำราใดที่มีวิธีช่วยเหลือเทพธิดาน้อยได้บ้างหรือไม่ อีกอย่างนี่ก็ดึกมากแล้ว ตอนนี้เจ้าเป็นมนุษย์ เจ้าควรพักผ่อนให้มากๆ"
"เช่นนั้นเจ้ากลับไปก่อนเถอะ ข้าขอบคุณเจ้ามาก" เฉิงอี้ตบบ่าหวังจิ้นเบาๆ ราวกับจะบอกหวังจิ้นให้เบาใจว่าเขาไม่เป็นไร หวังจิ้นพยักหน้าเล็กน้อยก่อนจะหายวับไปในแสงพริบตา
ขณะเดียวกันที่ด้านนอกห้องนอนของเฉิงอี้ ที่มุมมืดไร้เงาในยามราตรีและยากที่ผู้คนจะสังเกตเห็นได้ง่าย ซวิ่นเฟิงได้แอบซ่อนตัวอยู่ตรงนั้นนานมาครู่หนึ่งแล้ว เขาได้ยินบทสนทนาระหว่างหวังจิ้นกับเฉิงอี้อย่างชัดเจนทีเดียว ที่แท้แผนการของเขาก็ได้ผลจริงๆ ในคราวแรกเขาหวังเพียงจะยืมมือไท่เซียนอี้ตี้จวินตามสืบหาตัวสองทูตชั่วร้ายนั่นให้พบ ทว่าในตอนนี้กับมีหวังจิ้นมาช่วยตามสืบอีกแรง ช่างเป็นข่าวดี เพราะถ้าไม่ใช้วิธีนี้ จอมมารเช่นเขาก็นึกไม่ออกว่าจะหาทางสืบเรื่องราวในอดีตจากแดนสวรรค์ได้เช่นไร หากไม่ใช้เทพสวรรค์ด้วยกันเอง
เวลานี้เขาทำได้เพียงแค่รอเท่านั้นแล้ว รอวันที่เซียนอี้เจอตัวสองทูตชั่วนั่น เมื่อถึงวันนั้นเขาจะปรากฎตัวในฐานะจอมมารผู้ยิ่งใหญ่ที่หมายจะเอาชีวิตเทพสวรรค์มาล้างแค้นให้เผ่ามารของเขาอย่างสาสม
ซวิ่นเฟิงยิ้มมุมปากอย่างพอใจ เขาเดินออกมาจากมุมมืดนั้นด้วยฝีเท้าแผ่วเบาราวกับแมวย่องเหนือกำแพง เขาเดินมาหยุดที่หน้าห้องนอนของเยว่ซิน เมื่อครู่เขาได้ยินว่าดวงจิตของเทพธิดาน้อยแห่งแดนสวรรค์เก้าชั้นฟ้ากำลังจะดับลงในเวลาอีกเพียงเดือนครึ่ง ตลอดระยะเวลาที่เขาเฝ้าติดตามเซียนอี้ที่โลกมนุษย์นั้นก็มิเห็นเซียนอี้เข้าใกล้สตรีใดอีกนอกจากนาง ดูท่าแล้วเทพธิดาน้อยที่ว่าคงจะเป็นเยว่ซินถูกต้องแล้วหรือไม่
ซวิ่นเฟิงร่ายคาถาไร้เงาจนกายาล่องหน ก่อนจะหายตัวเข้ามาในห้องนอนของเยว่ซิน เบื้องหลังม่านกั้นห้องลายดอกไม้แกะสลัก เยว่ซินกำลังนอนหลับสนิท โดยที่ด้านล่างเตียงมีสุนัขขนฟูสีขาวตัวหนึ่งนอนเฝ้านางอยู่ไม่ห่าง
ซวิ่นเฟิงเดินเข้ามาใกล้เยว่ซินที่กำลังนอนหลับสนิทจนเกือบจะชิดถ้าหากไม่มีเสี่ยวเข่ออ้ายนอนขวางไว้สักหนึ่งก้าว ซวิ่นเฟิงยื่นมือชี้นิ้วไปยังเหนือเขนยของเยว่ซินแล้วร่ายคาถาเพียงชั่ววินาที เหนือเขนยของเยว่ซินได้ปรากฏปานตราประทับเทพลายกลีบดอกท้อป่าขึ้นมาเป็นแสงเปล่งประกาย ที่แท้แม่นางเยว่ซินก็เป็นเทพธิดาน้อยที่เทียนจวินกำลังตามหาอยู่จริงๆ
แสงแดดอ่อนๆ ยามเช้า เยว่ซินพาเสี่ยวเข่ออ้ายออกมาเดินเล่นที่สนามหญ้า ระหว่างนั้นเสี่ยวเข่ออ้ายเห็นชายร่างสูง ใบหน้าไม่คุ้นตา กลิ่นไม่คุ้นเคย เขากำลังเดินตรงมาหาเยว่ซินที่ยืนชมดอกไม้อยู่เพลินๆ เสี่ยวเข่ออ้ายเกรงว่าคนผู้นั้นจะทำอันตรายกับเจ้านายของมัน จึงเห่าร้องเสียงดังอย่างก้าวร้าวจนเยว่ซินตกอกตกใจ เพราะไม่เคยเห็นเสี่ยวเข่ออ้ายเห่าผู้ใดดุดันเช่นนี้มาก่อนเลย
"ซวิ่นเฟิง! ท่านมาที่นี่ได้อย่างไร" เยว่ซินหันไปมองตามเสียงเห่าของเสี่ยวเข่ออ้าย ที่แท้เป็นซวิ่นเฟิงนี่เองเสี่ยวเข่ออ้ายจึงไม่คุ้นกับเขานัก
"อรุณสวัสดิ์แม่นางน้อย ข้ามองมาแต่ไกลคิดว่าต้องใช่แม่นางน้อยแน่ ก็เลยจะเดินมาทักทาย" ซวิ่นเฟิงยิ้มหวานให้ แต่เขายังคงยืนระยะห่างจากเยว่ซินอยู่สักหน่อย เพราะเจ้าสี่ขายังคงยืนแยกเขี้ยวส่งเสียงขู่ในลำคอขวางหน้าเยว่ซินเอาไว้
"เสี่ยวเข่ออ้าย ซวิ่นเฟิงเป็นสหายของข้า เจ้าวางใจเถอะ แต่ปกติเจ้าไม่ก้าวร้าวเช่นนี้ เหตุใดกับซวิ่นเฟิงเจ้าถึงได้ดุนักล่ะ" ไม่ทันจะได้ตอบรับซวิ่นเฟิง เยว่ซินก็นั่งยองๆ ลูบหัวเสี่ยวเข่ออ้ายเบาๆ หวังให้มันหยุดเห่าเสียก่อน ซวิ่นเฟิงเห็นเช่นนั้นจึงนั่งยองๆ ลงบ้าง แล้วแบมือทั้งสองข้างของเขายื่นมาตรงหน้าเสี่ยวเข่ออ้าย เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจว่าเขาไม่ได้มาทำอันตรายเจ้านายของมัน
น่าเสียดายที่เสี่ยวเข่ออ้ายเป็นเพียงสุนัข แม้อยากจะบอกเยว่ซินว่ามันรู้สิ่งใด ก็ไม่อาจพูดให้เยว่ซินเข้าใจได้ แม้มันจะเป็นเพียงแค่สุนัข แต่ก็เป็นสุนัขที่เกิดมาจากคาถาของไท่เซียนอี้ตี้จวิน มันเกิดมาเพื่อเป็นผู้ปกป้องอันตรายทุกประการให้เยว่ซินอย่างสุดชีวิตมาตั้งแต่แรก สิ่งหนึ่งที่สุนัขทำได้ดีที่สุดคือการดมกลิ่นใช่หรือไม่ ครั้งนี้มันกำลังได้กลิ่นไอมารของซวิ่นเฟิงแล้ว เสี่ยวเข่ออ้ายจ้องตาซวิ่นเฟิงนิ่ง ท่าทางยืนจังก้าและเสียงขู่ในลำคอนั้น หากซวิ่นเฟิงเข้าใกล้เยว่ซินอีกนิด มันคงต้องกระโจนกัดเขาเป็นแน่
ซวิ่นเฟิงเองแม้จะอยู่ในร่างมนุษย์เช่นเดียวกับไท่เซียนอี้ตี้จวิน แต่ก็ไม่เหมือนกันเสียทีเดียว เขาเป็นมนุษย์แค่กายภายนอกเท่านั้น แต่พลังมารและจิตวิญญาณภายในกายของเขายังคงเป็นจอมมารซวิ่นเฟิงอยู่ดี ตรงกันข้ามกับไท่เซียนอี้ตี้จวิน แม้จะมีจิตเทพมาจุติ แต่มนุษย์ที่ชื่อเฉิงอี้นั้นก็ไร้ซึ่งพลังใดๆ โดยสมบูรณ์ ซวิ่นเฟิงจ้องตาของเสี่ยวเข่ออ้ายนิ่ง ทั้งสองมองตากันในจังหวะเวลาเพียงพริบตาเดียว เยว่ซินที่กำลังปลอบใจเสี่ยวเข่ออ้ายอยู่นั้นจึงไม่ทันสังเกตเห็นแววตาประกายสีฟ้าครามวูบหนึ่งของซวิ่นเฟิง เขาร่ายคาถาสะกดใจใส่เสี่ยวเข่ออ้ายเรียบร้อยแล้ว เสี่ยวเข่ออ้ายเปลี่ยนท่าทีเป็นสงบลง เยว่ซินคลี่ยิ้มกว้างเมื่อเห็นเช่นนั้น นางคิดว่าเป็นเพราะเจ้าหมาแสนรักเชื่อฟังนางแล้ว
เมื่อเสี่ยวเข่ออ้ายนอนหมอบลง ซวิ่นเฟิงการละครก็ดำเนินต่ออย่างเนียนๆ เขาค่อยๆ เขยิบเข้ามาใกล้เสี่ยวเข่ออ้ายและเยว่ซิน พลางลูบหัวมันเล่นอย่างเป็นมิตร เขาเป็นถึงจอมมารผู้มีอิทธิฤทธิ์ จะให้มากลัวเพียงแค่สุนัขหนึ่งตัวได้เยี่ยงไร
"ซวิ่นเฟิง ตกลงท่านมาทำอะไรที่นี่"
"ท่านแม่ทัพเฉิงอี้อนุญาตให้ข้ามาเล่านิทานในงานเลี้ยงต้อนรับไท่จื่อน่ะสิ แล้วก็ยังให้ข้าพักที่จวนไปจนกว่างานเลี้ยงจะเสร็จสิ้น"
"เช่นเดียวกับข้าเลย ท่านแม่ทัพเฉิงให้ข้ามาทำซาลาเปาและอาหารอื่นๆ สองสามอย่าง ตอนแรกข้าก็ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องให้ข้าย้ายมาอยู่ที่นี่ตั้งหนึ่งเดือน แต่เมื่อข้ามาถึง แม่ครัวกับสาวรับใช้ที่นี่ก็สอนงานข้าหลายอย่าง ข้าถึงได้รู้ว่าที่แท้แล้วฝีมือทำอาหารแบบชาวบ้านของข้าไม่คู่ควรจะถวายไท่จื่อเลยสักนิด ข้าจึงไม่แปลกใจแล้วว่าทำไมท่านแม่ทัพเฉิงถึงได้ให้ข้าฝึกงาน"
"เช่นนั้น ข้าควรฝึกเล่านิทานให้คล่องๆ อีกสักหน่อยแล้ว"
"ข้าเคยฟังท่านเล่านิทานแล้ว ท่านเล่าสนุกมาก ข้าว่าไท่จื่อจะต้องประทับใจเรื่องเล่าของท่านแน่"
"ขอบใจเจ้ามากแม่นางน้อย" ซวิ่นเฟิงส่งยิ้มอย่างเอ็นดู พลันนึกถึงเรื่องที่นางถูกผนึกจิตเทพเอาไว้ นางเป็นถึงเทพธิดาแห่งสวรรค์เก้าชั้นฟ้าแท้ๆ เมื่อเห็นนางเป็นมนุษย์ตัวเล็กๆ เช่นนี้ แค่อักษรยังอ่านออกได้ไม่กี่คำ แววตาใสซื่อไร้เหลี่ยมใดๆ แม้เขาจะเป็นจอมมาร ก็ยังนึกเห็นใจเยว่ซินอยู่ไม่น้อย
"จริงสิ เช้านี้ท่านกินข้าวเช้าหรือยัง ข้ากำลังพาเสี่ยวเข่ออ้ายไปที่ห้องครัว ท่านไปกับข้าดีหรือไม่ แม่ครัวน่าจะทำข้าวเช้าไว้ให้ทุกคนแล้ว"
"ตกลง ข้าจะไปกับเจ้า"
เยว่ซินเดินนำซวิ่นเฟิงไปที่ห้องครัว เสี่ยวเข่ออ้ายเดินประกบไปข้างๆ เยว่ซินอย่างใกล้ชิด
ณ ตำหนักใหญ่ใจกลางพระราชวังหลวง ภายในโถงตำหนักอันโอ่อ่าตกแต่งหรูหราสวยงาม ควันกำยานดอกหอมหมื่นลี้ส่งกรุ่นกลิ่นหอมฟุ้งไปทั่วตำหนัก ฮ่องเต้ประทับอยู่บนพระที่นั่ง โดยมีฮองเฮาเสิ่นอันนั่งอยู่เคียงข้าง ทั้งสองได้นั่งคุยกันมาพักใหญ่ จึงตัดสินใจให้ราชเลขาไปตามไท่จื่อมาเข้าเฝ้า
ไม่นานนักชายหนุ่มรูปโฉมงดงามสวมอาภรณ์สีน้ำเงินเข้มทอลวดลายมังกรด้วยดิ้นด้ายสีทอง เดินเข้ามาในตำหนักด้วยท่วงท่าสง่างาม ด้านหลังมีราชเลขาและองครักษ์เดินตามมาอีกสองคน เพียงแต่องครักษ์ทั้งสองหยุดเฝ้าที่หน้าประตูตำหนักเท่านั้น
"ถวายบังคมเสด็จพ่อ ถวายบังคมเสด็จแม่" ไท่จื่อคำนับฮ่องเต้และฮองเฮาตามลำดับ
"เจ้าใกล้จะออกเดินทางไปเมืองเฉียวเซียนแล้วใช่หรือไม่"
"อีกสองสัปดาห์ลูกจะออกเดินทางแล้วท่านพ่อ"
"แม่ของเจ้ามีเรื่องหนึ่งอยากจะคุยกับเจ้าก่อน" ฮ่องเต้ปรายตามองฮองเฮา ฮองเฮาเสิ่นอันพยักหน้ารับ ก่อนจะหันไปยิ้มแล้วเอ่ยกับไท่จื่อ
"ปีนี้เจ้าอายุเท่าไหร่แล้ว"
"ปีนี้ลูกจะอายุครบยี่สิบห้าปีแล้วท่านแม่"
"แม่ก็จำได้เช่นนั้น แม่คิดว่าไท่จื่อควรจะแต่งงานได้แล้วกระมัง" ฮองเฮาเอ่ยยิ้มๆ
"ท่านแม่" ไท่จื่อนิ่วหน้าเล็กน้อย ในที่สุดวันนี้ก็มาถึง ตลอดระยะเวลาสองสามปีที่ผ่านมา ฮองเฮามักจะเกริ่นเรื่องการแต่งการกับเขา แต่ไม่เคยมีครั้งไหนที่จะเอ่ยออกมาตรงๆ เช่นนี้
"แม่ของเจ้าเป็นห่วง อายุก็ไม่ใช่น้อยๆ แล้ว บัดนี้เห็นว่าเจ้าควรจะรีบแต่งงานได้แล้วกระมัง" ฮ่องเต้ช่วยพูดอีกแรง
"ท่านพ่อ ท่านแม่ ลูกยังไม่พบหญิงใดที่ถูกใจเลย"
"เรื่องนั้นแม่รู้ แม่จึงได้ปรึกษากับพ่อของเจ้าแล้ว แม่คิดว่าเราจะจัดงานดูตัวให้เจ้า เพื่อเชิญหญิงสาวสกุลผู้ดีมาให้เจ้าเลือกในงาน เจ้าคิดเห็นว่าอย่างไร"
"งานนี้จะจัดเมื่อไหร่ท่านแม่"
"แม่คิดว่ากว่าเจ้าจะเดินทางไปเมืองเฉียวเซียน มีเวลาตั้งสองสัปดาห์ใช่หรือไม่ เช่นนั้นเราเลือกวันสะดวกสักหนึ่งวัน เจ้าคิดเห็นอย่างไร"
"ลูกคิดว่า..." ไท่จื่อนิ่งคิดไปอึดใจหนึ่ง ก่อนจะกล่าวต่อว่า "ท่านแม่รอให้ลูกกลับมาจากเมืองเฉียวเซียนก่อนได้หรือไม่ สองสัปดาห์นี้ลูกต้องจัดการงานอีกมากทีเดียว เรื่องคู่ครองเป็นเรื่องใหญ่นัก ลูกไม่อยากเร่งรีบในเวลาสั้นๆ"
ฮองเฮาหันไปสบตากับฮ่องเต้ ฮ่องเต้พยักหน้าเบาๆ เขาเข้าใจไท่จื่อแล้ว และเห็นว่าเรื่องคู่ครองนั้นสำคัญมากตามที่ไท่จื่อเอ่ยมาไม่ผิด
"เช่นนั้น แม่จะรอเจ้ากลับมา เมื่อนั้นเราค่อยมาหารือกันอีกครั้ง ขอเพียงเจ้าไม่หาเหตุอันใดมาแสร้งยื้อเวลาอีกแล้วนะ" ฮองเฮากล่าวอย่างรู้ทัน
"ตกลงท่านแม่"
"ดี เช่นนั้นระหว่างที่รอเจ้ากลับมาจากเมืองเฉียวเซียน ข้าจะให้ท่านราชเลขาเตรียมรายชื่อหญิงสาวแต่ละสกุล ให้ฮองเฮาคัดเลือกไว้ก่อนดีหรือไม่" ฮ่องเต้ถามฮองเฮาในประโยคท้าย
"ดีเพคะ ฝ่าบาท" ฮองเฮาตอบรับด้วยรอยยิ้มอ่อนหวาน
"เช่นนั้นลูกทูลลา"
ไท่จื่อเดินออกมาจากตำหนักฮ่องเต้อย่างมีกังวล ครั้งนี้เขาจะเดินทางไปเมืองเฉียวเซียนเพื่อตรวจตราดูแลบ้านเมืองตามหน้าที่ อีกทั้งเมืองเฉียวเซียนก็ไม่ได้ไกลจากเมืองหลวงเท่าใดนัก การจะยื้อเวลาเพื่อจัดงานดูตัวหญิงงาม เกรงว่าเขาคงจะหมดหนทางหลีกเลี่ยงรับสั่งของฮองเฮาจริงๆ เสียแล้ว
ณ ตำหนักซือมิ่งแดนสวรรค์เก้าชั้นฟ้า ซือมิ่งทำหน้าที่ตรวจดาราจักรลิขิตชะตาเหมือนเช่นปกติ สรรพชีวิตในโลกนี้ล้วนแล้วมีการเกิด แก่ เจ็บ และดับสิ้นไปทุกวินาที หน้าที่ผู้ควบคุมดวงชะตาของซือมิ่ง เทพลิขิตชะตาช่างเป็นงานที่หนักหนาเหลือเกินแล้ว
"ซือมิ่ง" หวังจิ้นมาพบซือมิ่งหลังจากที่เขาได้ไปหาเซียนอี้มาที่โลกมนุษย์
"หวังจิ้น เจ้ามาได้อย่างไร" ซือมิ่งกำมือเพียงพริบตา ภาพดาราจักรลิขิตชะตาก็หายวับไปกลางอากาศทันที
"ข้าไปหาเซียนอี้ที่โลกมนุษย์มา จึงมีเรื่องอยากจะปรึกษาเจ้านิดหน่อย"
"เจ้าพูดเถอะ" ซือมิ่งรินน้ำชาดอกมะลิสองจอก ส่งให้หวังจิ้นได้จิบก่อนหนึ่งคำ
"เซียนอี้บอกข้าว่า อีกเดือนครึ่งจะถึงวันเกิดของเทพธิดาน้อย ปีนี้นางจะมีอายุครบยี่สิบปี หากถึงวันนั้นยังปลดผนึกจิตเทพของนางไม่สำเร็จ นางจะกลายเป็นมนุษย์ตลอดไป" ซือมิ่งได้ยินเช่นนั้นก็ขมวดคิ้วแน่น เขาไม่คาดคิดว่าเทพบรรพกาลจะเร่งรัดให้ไท่เซียนอี้ตี้จวินเผชิญด่านเคราะห์รักรวดเร็วเช่นนี้
นึกย้อนไปเมื่อก่อนหน้านี้ หลังจากที่เซียนอี้กระโดดลงสระสลายวิญญาณไปจุติยังโลกมนุษย์แล้ว ซือมิ่งได้ทำการตรวจบันทึกชะตาของเซียนอี้และแม่นางลี่จิ่นอีกครั้ง เมื่อเขาได้ตรวจบันทึกชะตาทั้งสองอย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้วนั้น จึงได้เข้าใจประสงค์ของเทพบรรพกาลอย่างแน่นอนแล้วเรื่องหนึ่ง
ในการที่เทพธิดาน้อยถูกกำหนดให้จุติเป็นมนุษย์นั้นเป็นผลจากการกระทำของลี่จิ่นผู้เป็นมารดา เมื่อสรรพชีวิตใดได้ถือกำเนิดมาแล้วนั้นย่อมมีหนทางของชีวิตตนเองเป็นแน่ และในการที่เทพธิดาน้อยในร่างมนุษย์นั้นถูกผนึกจิตเทพเอาไว้ เหตุผลข้อหนึ่งคือ เป็นประสงค์ของเทพบรรพกาลโดยแท้ เมื่อเทพธิดาน้อยได้จุติมาในร่างของมนุษย์ธรรมดา ความเป็นมนุษย์นั้นสามารถมีกิเลสทั้งแปดได้อย่างสมบูรณ์ เทพธิดาน้อยเยว่ซินจึงถูกกำหนดให้เป็นด่านเคราะห์รักของไท่เซียนอี้ตี้จวิน ก็ถือว่าเหมาะสมที่สุดแล้วใช่หรือไม่
ข้อที่สอง การใช้คาถาผนึกเทพนั้นเป็นคาถาต้องห้ามผิดกฏแดนสวรรค์อย่างร้ายแรง แม้ว่าจะรู้แน่ชัดแล้วว่าผู้ใดกระทำผิด แต่เมื่อมีอีกหนึ่งชีวิตเป็นตัวประกัน เทียนจวินจึงไม่สามารถลงโทษหนักสถานใดแก่นางได้ เพราะมีเพียงนางเท่านั้นเองที่จะสามารถปลดผนึกจิตเทพเพื่อปล่อยเทพธิดาน้อยให้เป็นอิสระได้เท่านั้น ถึงกระนั้นแม้เทียนจวินจะรอคอยได้ แต่เทพบรรพกาลหาได้ใจดีต่อผู้ทำผิดกฎสวรรค์ไม่ การที่กำหนดให้ไท่เซียนอี้ตี้จวินต้องเผชิญด่านเคราะห์รักกับเทพธิดาน้อยเยว่ซิน ที่แท้แล้วก็เพื่อลงโทษแม่นางลี่จิ่นผู้กระทำผิดกฏสวรรค์อย่างรวบรัดหมดจดในคราวเดียวเช่นกัน
"ข้าเข้าใจแล้วหวังจิ้น แต่เจ้าก็รู้หน้าที่ของข้าดีใช่หรือไม่ ข้ามิอาจบอกชะตาแก่เจ้าชะตาได้"
"ข้าเข้าใจ"
"แต่เจ้าวางใจเถอะ สหายของเราเป็นถึงมหาเทพตี้จวินแห่งแดนสวรรค์เก้าชั้นฟ้า ถึงอย่างไรเซียนอี้จะต้องกลับมาอย่างปลอดภัยแน่" ซือมิ่ง ผู้ที่กุมความลับของดาราจักรลิขิตชะตาแห่งเทพบรรพกาล ทำได้เพียงแค่บอกให้หวังจิ้นวางใจไปเท่านั้น
"เช่นนั้นวันนี้ข้าอยู่ดื่มน้ำชาเป็นเพื่อนเจ้าดีหรือไม่ เราไม่ได้เดินหมากกระดานด้วยกันมาพักใหญ่แล้ว" หวังจิ้นปรับท่านั่งให้สบายขึ้นอีกสักหน่อย ก่อนจะผายมือผ่านอากาศแผ่วเบาเหนือโต๊ะน้ำชา เพียงเท่านั้นกระดานหมากล้อมก็ปรากฏขึ้นทันใด
"ปกติข้าเห็นเจ้าเล่นหมากกระดานกับหลี่จวินอยู่เป็นนิจ ไหนเลยวันนี้คู่ซ้อมมือของเจ้ากลับมาเป็นข้าได้เล่า"
"เจ้าไม่รู้อะไร สหายน้องเล็กของเจ้าพอมีสตรีในดวงใจ ก็ทิ้งข้าให้เหงาเคว้งคว้างเสียแล้ว" หวังจิ้นพูดติดตลก ซือมิ่งถึงกับหลุดขำกับท่าทางแกล้งงอนของหวังจิ้นการละคร
"อะไรกัน นี่ข้าพลาดข่าวใหญ่เสียแล้วใช่หรือไม่ จู่ๆ ทำไมหลี่จวินถึงได้ยอมใจอ่อนต่อเทพธิดาฟางเหนียงได้เล่า"
"ข้าว่าแล้วเชียวเจ้าต้องรู้ ว่าสตรีที่ข้าพูดหมายถึงใคร เจ้ารู้หรือไม่ว่าหลี่จวินตกใจแค่ไหนตอนที่ข้าเอ่ยชื่อเทพธิดาฟางเหนียงออกมา มิหนำซ้ำข้ายังบอกด้วยว่า ซือมิ่งกับเซียนอี้ก็ดูออกเหมือนกัน" จบประโยคคราวนี้ทั้งหวังจิ้นและซือมิ่งก็หัวเราะขำขันออกมาด้วยกันทั้งคู่ โดยเฉพาะหวังจิ้นดูจะหัวเราะอย่างชอบอกชอบใจมากกว่า เพราะมีเพียงแค่หวังจิ้นที่ได้เห็นใบหน้าตกใจของหลี่จวินในวันนั้น ช่างน่าขำดีจริงๆ