webnovel

จอมทัพตื๊อรัก(2 เล่มจบ)

“ข้าจะขอยกเลิกการเป็นคู่หมายของท่าน ท่านว่าดีหรือไม่” ถ้อยคำที่เปล่งออกมาจากริมฝีปากอวบอิ่มทำให้แม่ทัพหนุ่มชะงัก รอยยิ้มหายไปทันที ใบหน้าหล่อเหลาเครียดขึงและเย็นชาขึ้นจนดูน่ากลัว ดวงตาคมทรงเสน่ห์จ้องมองใบหน้าจิ้มลิ้มเขม็งและดุดันยิ่ง น้ำเสียงหนักแน่นและสีหน้าจริงจังจากเจ้าของใบหน้าจิ้มลิ้มอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน อีกทั้งแววตารักใคร่เทิดทูนที่มีให้ บัดนี้กลับไม่มีให้เห็นแม้สักเสี้ยว ส่วนสิ่งที่สัมผัสได้จากดวงตากลมโตกลับมีเพียงความมุ่งมั่น เด็ดเดี่ยว และว่างเปล่าไร้ระลอกคลื่นแห่งเสน่หา เห็นแล้วชวนให้หงุดหงิดอารมณ์เสียยิ่งนัก ‘มารดาเจ้าเถิด!’ แม่ทัพหนุ่มสบถในใจ แรงโทสะทำให้เขาเผลอปล่อยจิตสังหารออกมา ทำเอาหญิงสาวรู้สึกหนาวเยือกไปถึงกระดูก ความกล้าที่พกมาเต็มเปี่ยมลดฮวบจนแทบไม่เหลือ

SARABIYA_1501 · 奇幻言情
分數不夠
107 Chs

ตอนที่ 13 อาชาสวรรค์1/2

"หือ? เจ้าลำบากใจหรือ" ฉีเฟยหลงหรี่ดวงตาคมดุจเหยี่ยวมองหญิงสาวอย่างสนใจ รูปโฉมจัดว่างดงาม แต่ถ้าเทียบกับสนมนางในในวังก็ถือว่ายังด้อยอยู่เล็กน้อย เพียงแต่ดวงตากลมโตของนางช่างกระจ่างใสดั่งดวงดาราที่ส่องสว่างยามราตรี วาจากล้าหาญไม่หวั่นเกรงสิ่งใดดุจชายชาตินักรบนั่นช่างถูกใจนัก

เดิมทีฉีเฟยหลงมีกำหนดการเดินทางมาเยือนสกุลชิงในอีกสามวันด้วยเรื่องสี่สัตว์ในตำนาน เพื่อถวายแด่ฉีเฉินหลงฮ่องเต้ในวันคล้ายวันพระราชสมภพนับจากนี้อีกสี่สิบห้าวันตามคำทำนายของโหราจารย์ ซึ่งเสนาบดีหานหนิงเฉิงเป็นผู้กราบทูลเสนอให้สกุลชิงรับงานนี้

คราแรกที่ได้รับพระบัญชา ฉีเฟยหลงรู้สึกหนักใจและเห็นใจสกุลชิงยิ่งนัก หากภารกิจครั้งนี้ล้มเหลว ความน่าเชื่อถือของตนอาจลดลงสักส่วน แต่เมื่อเทียบกับชีวิตของคนสกุลชิงแล้ว เรื่องนี้นับเป็นอันใดได้ มิน่า อาเหวินถึงได้ร้อนรนนัก สู้อุตส่าห์รับปากว่าจะช่วยทูลขออภัยโทษให้ก็ยังไม่คลายใจ ถึงขนาดกับขอตามมาช่วยนางอีกแรง

แต่ทุกอย่างกลับพลิกผัน เช้าวันต่อมาหลังจากส่งสารไปสกุลชิง เพียงชั่วข้ามคืน ฉีเฟยหลงกลับได้รับรายงานอันชวนให้ตื่นตะลึงว่า สกุลชิงได้เสือขาวมาอยู่ในมือเรียบร้อยแล้ว จึงรีบเดินทางมาเพื่อพิสูจน์ความจริง

"หม่อมฉันมิกล้า เพียงรู้สึกแปลกใจเพคะ" ชิงหลินเงยหน้ามองฉีเฟยหลงแวบหนึ่ง ก่อนจะรีบก้มหน้าลงต่ำ

"แปลกใจ? คิดว่าเราหยอกเจ้าเล่น"

"เอ่อ..." น้ำเสียงที่เข้มขึ้นทำเอาชิงหลินใจเสียจนไม่กล้าพูดว่าไม่อยากให้เขาไป เพราะถ้าองค์รัชทายาทมีอันตราย นางและครอบครัวคงโดนลงอาญาเป็นแน่

"ทูลองค์รัชทายาท นางเพียงเป็นห่วงความปลอดภัยของพระองค์เท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ" มู่หลิ่งเหวินช่วยตอบแทนคู่หมาย

"เอาเถิด เราแค่หยอกเล่น แล้วจะไปตามหาอาชาสวรรค์ทั้งสามตัวที่ใด คงไม่ใช่เผ่าซงหนู?" ฉีเฟยหลงคาดเดา เพราะเผ่าซงหนูอยู่แถบชายแดนซึ่งเป็นทุ่งราบกว้างใหญ่ ใช้ม้าเป็นพาหนะในการเดินทางและมีม้าพันธุ์ดีมากมายหลายสายพันธุ์ ซ้ำยังเคยนำอาชาสวรรค์มาเป็นเครื่องบรรณาการด้วย ที่สำคัญยังเป็นพันธมิตรที่ดีของแคว้นฉี

เพียงแต่ระยะทางและเวลานับเป็นอุปสรรคยิ่งใหญ่ในการทำภารกิจนี้ ด้วยระยะทางนับพันลี้ แม้จะควบม้าโดยไม่หยุดพัก ไปกลับคงใช้เวลาไม่ต่ำกว่าครึ่งเดือน ไหนจะต้องตามหาอาชาสวรรค์ซึ่งนับว่ามีความยากระดับสูงพอๆ กับงมเข็มในแม่น้ำเลยทีเดียว เช่นนี้ความหวังที่งานจะสำเร็จคงริบหรี่ ดั่งเทียนแห่งความหวังที่สว่างไสวค่อยๆ หรี่แสงลงไปเรื่อยๆ

มู่หลิ่งเหวินเหลือบมองซีกหน้าคู่หมายของตนด้วยความเป็นห่วง และวิตกกังวลเรื่องนี้มากพอควร ด้วยภารกิจครั้งนี้ยากในระดับที่ตนก็ยังไม่กล้ารับประกันว่าจะทำได้สำเร็จ

วันรุ่งขึ้นยามเฉิน

ช่างเป็นเช้าที่อากาศแจ่มใส ท้องฟ้าปลอดโปร่งไร้เมฆบดบัง เหมาะแก่การเดินทางยิ่งนัก การตามหาอาชาสวรรค์ครานี้มีผู้ร่วมทางทั้งสิ้นรวมยี่สิบคนจากสามกลุ่ม กลุ่มแรกคือกลุ่มขององค์รัชทายาทฉีเฟยหลงพร้อมองครักษ์แปดนาย กลุ่มที่สองคือกลุ่มของมู่หลิ่งเหวินพร้อมองครักษ์สี่นาย และกลุ่มของชิงหลินพร้อมผู้ติดตามชุดเดิมห้าคน

ชิงหลินค่อนข้างลำบากใจกับการเดินทางครั้งนี้ เพราะจากข้อสรุปแผนการเมื่อวานที่ให้แบ่งกำลังออกเป็นสองกลุ่ม องครักษ์ของมู่หลิ่งเหวินติดตามคุ้มกันองค์รัชทายาท ส่วนตัวมู่หลิ่งเหวินขอไปกับกลุ่มของนาง ซึ่งนางไม่อาจปฏิเสธได้เพราะอย่างไรเขาก็ยังเป็นคู่หมาย

ความลำบากใจต่อมาก็คือเจ้าฟานฟานตัวดี พอได้ยินว่านางจะไม่พามันไปด้วยก็อดน้ำอดอาหารประท้วง เกาะติดนางแจไม่ยอมห่าง ส่งสายตาออดอ้อนจนนางใจอ่อนต้องพามันไปด้วย ไม่อย่างนั้นกว่าจะกลับมา มีหวังมันอาจไปเที่ยวหาท่านยมแล้วก็เป็นได้

ร่างเล็กมองเจ้าฟานฟานที่ใช้เท้าหน้าเกาะขอบห่อผ้า โผล่หัวออกมาร้องแง้วๆ เอียงคอมองคล้ายกำลังออดอ้อนเอาใจที่ยอมพามันมาด้วย ดวงตาเล็กๆ สีเทาของมันมีภาพใบหน้าจิ้มลิ้มส่งยิ้มหวานสะท้อนอยู่ มันรับรู้ได้ทันทีว่านางให้อภัยแล้ว แม้จะยังพูดไม่ได้ แต่มันก็รับรู้ได้ด้วยสัญชาตญาณ

ภูเขาที่อยู่เบื้องหลังคอกสัตว์สกุลชิงคือจุดหมายของภารกิจครั้งนี้ ครั้งแรกที่ได้ยิน ทุกคนต่างพากันอึ้งระคนประหลาดใจ ฉีเฟยหลงถึงกับหัวเราะออกมาดังลั่น ชิงหยวนขมวดคิ้วรูปดาบพร้อมกับลูบเคราตัวเองช้าๆ มู่หลิ่งเหวินเพียงมองคู่หมายนิ่งไร้อารมณ์ใดๆ

ผ่านไปครู่ใหญ่ฉีเฟยหลงจึงหยุดหัวเราะแล้วกระแอมออกมา เมื่อสบกับดวงตากลมโตที่ดูจริงจัง จึงสั่งให้นางอธิบายต่อ

"หลับสบายดีหรือ"

ชิงหลินสะดุ้งก่อนจะเงยหน้ามองที่มาของเสียง ก็พบกับร่างสูงในชุดสีน้ำเงินเข้ม คาดเข็มขัดหนังสีดำ สวมรองเท้าหนังสีเดียวกัน เหน็บดาบยาวที่เอวดูทะมัดทะแมงและสง่าผ่าเผย ไล่ขึ้นมาคือใบหน้าหล่อเหลาชวนตะลึงยิ่งนัก คิ้วเข้มยาว ดวงตาคมทรงเสน่ห์น่าหลงใหล จมูกโด่งรับกับริมฝีปากแดงเรื่อ ช่างเป็นบุรุษที่หล่อเหลาเกินบรรยายจริงๆ

"หลงเสน่ห์ข้าแล้ว?" มู่หลิ่งเหวินหยอกเมื่อเห็นนางมองสำรวจเขาอยู่นาน

"ขะ...ข้าเปล่า ท่านอย่าหลงตัวเองไปหน่อยเลยเจ้าค่ะ" นางรีบปฏิเสธตะกุกตะกัก ใบหน้าจิ้มลิ้มแดงเรื่อเชิดขึ้นอย่างอวดดี ทั้งยังกลอกตาไปทางอื่นไม่กล้าสบตาเขาตรงๆ

"หึๆ แล้วเหตุใดไม่สบตาข้า หากเจ้าไม่ได้เป็นเช่นที่ข้ากล่าว" เขาแกล้งยื่นหน้าเข้ามาใกล้

"ฮึ! ข้าหรือจะ..." คำพูดถูกกลืนลงคอไปทันทีเมื่อได้สบกับดวงตาคมทรงเสน่ห์ที่จ้องมองมา มันช่างแพรวพราวและเต็มไปด้วยเสน่ห์จนนางไม่อาจละสายตาได้

ชิงหยวนหยุดมองภาพหนุ่มสาวหยอกล้อกันหน้าคอกเจ้าไป๋เสวี่ย ดวงตาคมหรี่ลงเล็กน้อย มุมปากยกขึ้นอย่างพึงใจ หวนนึกถึงเหตุการณ์ยามราตรีที่ผ่านมา เมื่อการปรึกษาหารือเสร็จสิ้นลงก็ล่วงเข้ายามไฮ่จึงได้แยกย้ายไปพักผ่อน

"ท่านลุง ข้า...อยากขอโอกาสจากท่าน" มู่หลิ่งเหวินคุกเข่าลงเบื้องหน้าชิงหยวน พลางกล่าวด้วยเสียงที่ดังพอสมควร

"ไฮ้! รีบลุกขึ้นเร็วเข้าหลานชาย หากใครมาเห็นเข้าลุงคงถูกโบยเป็นแน่" ชิงหยวนรีบเข้ามาประคองอีกฝ่ายให้ลุกขึ้น แต่แม่ทัพหนุ่มกลับขืนตัวนั่งคุกเข่านิ่งไม่ยอมขยับ เห็นดังนั้นชิงหยวนก็ได้แต่ถอนใจพลางกล่าว "เจ้าจะขอโอกาสจากลุง? เรื่องอันใดหรือ"

"เรื่องหลินเอ๋อร์ขอรับ" มู่หลิ่งเหวินพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่นมั่นคงและสายตามุ่งมั่นไร้ความลังเล

"หลินเอ๋อร์? ทำไมหรือ" ชิงหยวนจ้องเข้าไปในดวงตาชายหนุ่มคล้ายจะมองหาความจริงบางอย่าง

"คือว่า..."

"นายท่าน ทุกอย่างเตรียมพร้อมแล้วขอรับ" เสียงบ่าวชายคนหนึ่งดังขึ้นทำให้ผู้เป็นนายหลุดจากภวังค์ ก่อนจะเปล่งเสียงรับคำแล้วเดินเข้าไปหาหนุ่มสาวทั้งสอง

ชิงหยวนพร้อมด้วยชิงฮูหยินยืนมองส่งขบวนตามหาอาชาสวรรค์ที่ค่อยๆ เคลื่อนตัวออกไปอย่างช้าๆ ด้วยจุดหมายอยู่ใกล้เพียงคอกสัตว์กั้น แต่ด้วยพื้นที่ทางเข้าไปในภูเขามีหลายเส้นทาง ไม่อาจนำม้าเข้าไปได้ ต้องทิ้งม้าไว้ที่แนวเขตชายป่า โดยมีเวรยามคอยเฝ้าในจุดพักม้าทั้งสองจุดอย่างเข้มงวด

ชิงหลินสะพายเจ้าฟานฟานน้อย มองภูเขาสามลูกที่เป็นกำแพงธรรมชาติที่โอบล้อมคอกสัตว์ไว้ทั้งสามด้านด้วยสายตาเป็นกังวล

"กลัวหรือ" เห็นคู่หมายยืนนิ่ง มู่หลิ่งเหวินจึงเอ่ยถาม

"นิดหน่อยเจ้าค่ะ เพราะนี่เป็นครั้งแรก" หญิงสาวยอมรับออกมาตรงๆ

"เอ๊ะ มิใช่คุณหนูเคยเข้าไปสำรวจมาแล้วหรือขอรับ ถ้านี่เป็นหนแรก แล้วแผนที่แผ่นนี้..." หนึ่งในสี่ผู้ติดตามเอ่ยถามด้วยความสงสัย สีหน้าซีดลงเล็กน้อย

"คุณหนู ท่านกำลังล้อพวกเราเล่นใช่หรือไม่" ผู้ติดตามอีกคนถามซ้ำเพื่อความแน่ใจ

"..."

มู่หลิ่งเหวินกับเฟิ่งอิงขมวดคิ้วเล็กน้อย จ้องมองนางอย่างโง่งม แล้วที่นางอธิบายให้เห็นภาพชัดเจนเมื่อคืนวาน จะให้พวกเขาเข้าใจอย่างไร

เห็นท่าทางของพวกเขาแล้วจึงหันไปถามคู่หมายเพราะเป็นผู้มีอำนาจที่สุดในกลุ่มยามนี้ "พี่เหวิน ท่านเชื่อใจข้าหรือไม่"

"แน่นอน ออกเดินทางเถิด" มู่หลิ่งเหวินสบตาคู่หมายแล้วกุมมือเรียวนุ่มนิ่มเดินไปข้างหน้าอย่างแน่วแน่

เฟิ่งอิงมองภาพนั้นด้วยความปวดใจ ส่วนผู้ติดตามทั้งสี่เพียงมองหน้ากันแล้วทำไม่รู้ไม่ชี้

ป่าแห่งนี้มีสภาพเป็นป่าดิบเขา หรือเรียกอีกชื่อว่าป่าเมฆ ด้วยมีเมฆหมอกปกคลุมยอดเขาแทบทั้งปี ต้นไม้สูงเสียดฟ้าเบียดเสียดและลดหลั่นกันเป็นชั้นๆ ปกคลุมตามสันเขาและยอดเขา

ชิงหลินสังเกตว่าต้นไม้ที่นี่มีลำต้นเล็กกว่าต้นไม้ที่ป่าอาถรรพ์ แต่กลับสูงกว่ามาก

"เดินระวังด้วย" มู่หลิ่งเหวินเอ่ยเตือนเสียงเข้ม เมื่อเห็นนางมองไปทั่ว ขาดความระมัดระวัง ฝ่ามือหนากระชับมือเล็กนุ่มนิ่มให้แน่นขึ้น

"ข้ารู้แล้ว ปล่อยมือเถิด ท่านจับมือข้าไว้แบบนี้ข้าเดินไม่ถนัดเจ้าค่ะ" ชิงหลินกล่าวกับเขาเบาๆ ซึ่งอีกฝ่ายก็ยอมปล่อยแต่โดยดี

"แง้วๆ แง้วๆ" จู่ๆ เจ้าฟานฟานก็ร้องออกมา สองเท้าหน้าตะกุยห่อผ้า ดิ้นขลุกขลักๆ จนนางต้องก้มมองมันที่อยู่ในห่อผ้าอย่างสงสัย

ทันใดนั้นสิ่งมีชีวิตนับสิบก็พุ่งเข้ามาตรงจุดที่พวกนางยืนอยู่อย่างประสงค์ร้าย

"คุ้มกันท่านแม่ทัพและคุณหนู!"

สิ้นคำสั่งของเฟิ่งอิง หน่วยคุ้มกันร่างสูงใหญ่กำยำทั้งสี่คนก็เคลื่อนกายเข้ามายืนโอบล้อมทั้งสองไว้ทั้งสี่ทิศอย่างรวดเร็ว ดาบยาวในมือถูกชักออกมาจากฝักพร้อมรับมือ สายตาแน่แน่วมุ่งมั่นไม่หวาดกลัวสิ่งใด

ดวงตาคมเรียวดุของเฟิ่งอิงกวาดมองรอบๆ อย่างระแวดระวัง แสงสว่างถูกบดบังด้วยต้นไม้สูงจนเหมือนยามพลบค่ำ ทำให้ประสิทธิภาพในการมองเห็นลดลงทั้งที่เข้ามาได้เพียงหนึ่งชั่วยาม พื้นดินปกคลุมด้วยพืชต้นเล็กๆ คล้ายตะไคร่น้ำจึงค่อนข้างลื่น ต้องเพิ่มความระมัดระวังมากยิ่งขึ้น

"แง้วๆ แง้วๆ"

ชิงหลินมัวแต่สนใจพฤติกรรมแปลกๆ ของเจ้าพยัคฆ์น้อย จึงไม่รู้ว่าอันตรายกำลังคืบคลานเข้ามา นางยกตัวมันขึ้นมาในระดับสายตา พยายามสื่อสารกับมัน

เมื่อเห็นมันตะกุยเท้าไปมาจึงลดแขนที่อุ้มมันลง จนได้เห็นสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่สูงเทียมอก สัตว์กินเนื้อที่ชอบออกหาอาหารในยามกลางคืน ปีนป่ายต้นไม้ได้ ลำตัวยาวกว่าสองเมตร ขนสีเหลืองอมส้ม มีสีดำพาดผ่านตลอดทั้งตัว กำลังจ้องนางอยู่

หญิงสาวตัวแข็งทื่อในบัดดล ลอบกลืนน้ำลายลงคออย่างยากเย็น ความกลัวเริ่มก่อตัวขึ้นเรื่อยๆ ตัวสั่นอย่างไม่อาจควบคุมได้ ดวงตาสีเหลืองคล้ายมีมนตร์สะกดจนไม่อาจหลบสายตาจากมันได้ ความกลัวเกาะกินใจจนเผลอปล่อยเจ้าฟานฟานน้อยหล่นลงบนพื้น

"เราพลาดท่าหลงเข้ามาในถิ่นของพยัคฆ์เสียแล้ว" มู่หลิ่งเหวินกล่าวเสียงเคร่งเครียด พลางกำดาบยาวในมือมั่น แขนซ้ายวาดไปข้างหลังเพื่อคุ้มครองคู่หมายที่เหมือนจะขาดสติไปแล้ว พยัคฆ์ที่รักสันโดษ เหตุใดจึงมาอยู่รวมกันเป็นฝูงเช่นนี้ เป็นเรื่องที่ผิดธรรมชาติยิ่ง

"นะ...นี่มัน สวรรค์! มากมายเพียงนี้เชียวหรือ" หนึ่งในสี่หน่วยคุ้มกันอุทานออกมาเบาๆ ใบหน้าเข้มดุซีดเผือด เมื่อพยัคฆ์ตัวใหญ่หลายตัวค่อยๆ ปรากฏแก่สายตา พวกมันส่งเสียงคำรามข่มขวัญศัตรู ตั้งท่ารอคำสั่งโจมตีจากจ่าฝูงที่จับจ้องชิงหลินอยู่ ตัวเดียวก็นับว่าแย่แล้ว แต่นี่มากันเป็นฝูง งานนี้นับว่าหินทีเดียว

"สิบตัวพอดีขอรับท่านแม่ทัพ ดูเหมือนเจ้าตัวข้างหน้าจะเป็นจ่าฝูง" เฟิ่งอิงรายงานเสียงเบาหวิวจนคล้ายจะเป็นเสียงลม พลางเหลือบมองชิงหลินแวบหนึ่ง

มู่หลิ่งเหวินแผ่จิตสังหารเข้มข้นใส่พยัคฆ์จ่าฝูงจนมันชะงักไปชั่วครู่ จากนั้นก็คำรามเสียงดังลั่นจนเกิดเสียงสะท้อนไปทั่วป่าเพื่อตอบกลับแม่ทัพหนุ่มอย่างไม่เกรงกลัว

"แง้วๆ แง้วๆ ฮื่อออ" เจ้าฟานฟานน้อยเห็นท่าไม่ดี จึงพาร่างเล็กจ้อยสีขาวคาดดำของมันมายืนขวางชายหนุ่มกับพยัคฆ์ตัวใหญ่กว่ามันสิบเท่าอย่างกล้าหาญ เงยหัวเล็กๆ กลมๆ ของมันขึ้น จากนั้นก็ส่งเสียงร้องคล้ายขู่ไปยังพยัคฆ์ใหญ่หลายครั้ง

เจ้าพยัคฆ์จ่าฝูงเอียงหัวมองลูกพยัคฆ์ขาวแล้วคำรามขู่กลับไป แต่เจ้าลูกพยัคฆ์ขาวไม่ถอยหนี สี่ขายืนจังก้าแน่วแน่ ร้องแง้วๆ โต้กลับอย่างไม่เกรงกลัว ท่ามกลางสายตาตื่นตะลึงของทุกคน

ฝ่ายชิงหลินเมื่อได้สติ ก็ต้องตกใจที่ในอ้อมแขนปราศจากเจ้าฟานฟานน้อย ครั้นพอได้เห็นภาพเจ้าพยัคฆ์ใหญ่กำลังย่างสามขุมมาที่เจ้าฟานฟานน้อยของนาง อารามตกใจบวกกับความเป็นห่วงจนลืมความกลัวไปชั่วขณะ ร่างเล็กรีบพุ่งตัวไปหาฟานฟานแล้วอุ้มมันขึ้นมาแนบอกนุ่ม

"หลินเอ๋อร์ / คุณหนู" มู่หลิ่งเหวินกับเฟิ่งอิงร้องเรียกนางขึ้นมาพร้อมกัน

"ฟานฟาน ไม่เป็นไรแล้ว ไม่ต้องกลัวนะ" เสียงแรกของทั้งสองไม่เข้าหูนางเลยสักนิด นางเอาแต่ปลอบเจ้าพยัคฆ์น้อยที่อยู่ในอ้อมแขน ท่ามกลางใจที่เต้นระทึกของบุรุษทั้งหก

"แง้วๆ" เจ้าฟานฟานน้อยร้อง ยกเท้าหน้าทั้งสองตะกุยอากาศ ตากลมเล็กสีเทามองเจ้าพยัคฆ์ใหญ่

"อะไร ต้องการจะบอกอะไรข้าหรือ"

"ปะ...ปู้ด ดะ...ด้าย .ปู้ด...ด้าย" ด้วยความพยายามในที่สุดเจ้าลูกพยัคฆ์ขาวก็พูดคำแรกออกมาได้

"หือ? ปู้ดด้าย?...เจ้าหมายถึง...พูดได้?...จริงด้วย ข้าพูดกับสัตว์ได้นี่นา อา...ขอโทษนะฟานฟาน มัวแต่กลัวเลยลืมเสียสนิทเลย" นางเกาแก้มตัวเองพร้อมกับหัวเราะแห้งๆ

"หลินเอ๋อร์!" มู่หลิ่งเหวินขยับร่างสูงจะเข้ามาช่วย แต่ถูกเฟิ่งอิงคว้ามือไว้ก่อน แม่ทัพหนุ่มหันขวับไปมองเฟิ่งอิงอย่างเดือดดาล แต่กลับเห็นเฟิ่งอิงส่ายหน้า

"ท่านแม่ทัพโปรดรอสักครู่ หากคุณหนูเป็นอันตราย ข้ายินดีมอบศีรษะนี้ให้ท่าน" เฟิ่งอิงกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

มู่หลิ่งเหวินไม่ได้กล่าวตอบ พลางสะบัดข้อมือออกจากการเกาะกุม สีหน้าแสดงออกชัดเจนว่าไม่พอใจอย่างมาก ดูเหมือนบุรุษผู้นี้จะรู้เรื่องของนางมากกว่าจะเป็นเพียงผู้คุ้มกันธรรมดา ย่ามันเถิด!

"เอ่อ...สะ...สวัสดี ข้าชื่อชิงหลิน เจ้าชื่ออะไรหรือ" ชิงหลินส่งเสียงทักทายพยัคฆ์จ่าฝูงด้วยภาษาของมัน ที่บัดนี้สมาชิกในฝูงนำร่างอันใหญ่โตกลับมาอยู่ด้านหลังของจ่าฝูง เหลือเพียงสองตัวที่นอนราบกับพื้น สายตาจับจ้องพวกนางอยู่ด้านหลัง

"ไม่เกี่ยวกับเจ้า มนุษย์เช่นเจ้าเข้ามาทำอันใดที่นี่" พยัคฆ์จ่าฝูงเอ่ยถาม น้ำเสียงของมันบ่งชัดว่าไม่พอใจ

"พวกเรามาตามหาอาชาสวรรค์สีทอง"

"แล้วเหตุใดจึงไม่ใช้เส้นทางอื่น" มันสวนกลับทันที

"ก็เส้นทางนี้ใกล้ที่สุด"

"ใกล้ไกลนั่นเป็นเรื่องของเจ้า ข้าสนแค่พวกเจ้าบุกรุกเข้ามาในถิ่นของข้า แล้วจะให้ปล่อยไปง่ายๆ เช่นนั้นหรือ!"

"แล้ว..." ชิงหลินพูดยังไม่ทันขาดคำ ลูกธนูไม้หัวเหล็กแหลมลึกลับก็พุ่งตรงไปยังร่างของเสือตัวหนึ่งที่อยู่ด้านหลัง ลูกธนูทะลุเข้ากลางลำตัวอย่างแม่นยำ ทำให้มันร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด เกิดความโกลาหลขึ้นทันที พยัคฆ์จ่าฝูงคำรามลั่น ด้วยคิดว่ากลุ่มของชิงหลินโจมตีมัน พวกมันพุ่งเข้าใส่คนทั้งเจ็ดด้วยความโกรธแค้น จนกลุ่มของนางกระจัดกระจายกันไปคนละทิศละทาง

มู่หลิ่งเหวินรีบเข้ามารวบเอวของคู่หมายที่นำเจ้าฟานฟานน้อยใส่ห่อผ้ายังไม่ทันเรียบร้อยดีไว้ด้วยมือข้างเดียว ก่อนจะใช้วิชาตัวเบาท่าเท้าท่องเหยียบเมฆาทะยานออกจากดงศัตรูได้ทันท่วงที แล้วพุ่งขึ้นสู่เบื้องสูงจนโผล่พ้นออกมาจากแนวกำแพงธรรมชาติ

ท่ามกลางเมฆหมอกที่ปกคลุมเหนือภูเขา นางรู้สึกเย็นสบายจนลืมไปว่ากำลังอยู่ในอ้อมกอดของบุรุษรูปงามที่สุดในแคว้น

มู่หลิ่งเหวินกระชับเอวบางเข้ามาแนบชิดร่างแกร่งมากยิ่งขึ้น จนนางต้องใช้มือน้อยยันหน้าอกเขาไว้เพื่อให้มีช่องว่าง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นหวังต่อว่าเขา จึงได้สบเข้ากับดวงตาคมทรงเสน่ห์ที่มองนางอยู่ เล่นเอานางพูดอะไรไม่ออกไปชั่วขณะ

"เอ่อ...พี่เหวิน ขะ...ข้ากลัวความสูงเจ้าค่ะ" ชิงหลินตัดใจบอกเขาด้วยเสียงสั่นเครือ เมื่อเห็นว่ากำลังลอยอยู่กลางอากาศและพุ่งไปข้างหน้าอย่างไม่มีทีท่าว่าจะลงพื้นเสียที

มู่หลิ่งเหวินไม่ได้กล่าวตอบ คว้ามือเรียวขาวของคู่หมายให้โอบกอดตนไว้ พร้อมกระชับร่างของนางจนใบหน้าจิ้มลิ้มซบแนบกับอกแกร่งของตนมากกว่าเดิม

ผ่านไปราวหนึ่งเค่อ ร่างทั้งสองก็ลงสู่พื้นดินอย่างนุ่มนวล ชิงหลินรีบผละออกมาจากอกแกร่ง ทำทีเป็นมองสำรวจรอบๆ ตัว บริเวณที่นางยืนอยู่นี้เป็นทุ่งราบกว้างขนาดสองสามไร่ซึ่งอยู่ระหว่างภูเขาสองลูก

ครืน...ครืน...ซ่า...

จู่ๆ ฝนก็กระหน่ำลงมาอย่างแรง มู่หลิ่งเหวินคว้ามือเล็กวิ่งฝ่าสายฝนเข้าไปหลบใต้ต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ใกล้ๆ ทันที

"ใช้ผ้าเช็ดหน้านี่เถิด" มู่หลิ่งเหวินเอาผ้าเช็ดหน้าสีขาวที่อยู่ในเสื้อส่งให้นาง

"ขอบคุณเจ้าค่ะ ผ้าเช็ดหน้าผืนนี้? ของข้านี่เจ้าคะ!" นางพลิกผ้าเช็ดหน้าพร้อมส่งสายตาถาม

ร่างสูงชะงักอึ้งไปเล็กน้อยที่ถูกจับได้ ก่อนจะหันซ้ายหันขวา "ตรงนั้นมีถ้ำ ไปที่นั่นเถิด" ว่าแล้วก็เดินนำลิ่วๆ ทิ้งให้นางยืนอึ้งอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะรีบวิ่งตามไป

ภายในถ้ำเล็กๆ มู่หลิ่งเหวินก่อกองไฟขึ้นบรรเทาความหนาวเย็นและป้องกันสัตว์อันตราย พอเงยหน้าจากกองไฟก็สบเข้ากับตากลมโตที่จ้องมองตนอยู่ ก็ให้รู้สึกปั่นป่วนใจขึ้นมา ได้แต่หวังว่านางจะปล่อยผ่านเรื่องราวเล็กน้อยอย่างเรื่องที่มาของผ้าเช็ดหน้าผืนนั้น

"พี่เหวิน ผ้าเช็ดหน้าของข้าไปอยู่ที่ท่านได้อย่างไรเจ้าคะ" ไหนเลยที่นางจะยอมปล่อยผ่านไปง่ายๆ

"เป็นเจ้าที่มอบให้ข้า" ตอบด้วยน้ำเสียงมั่นคง

"เอ๋? ข้ามอบให้ท่าน? เมื่อใดกัน เหตุใดข้าจึงจำไม่ได้" หญิงสาวจ้องเขาเขม็ง หมั่นไส้กับท่าทีวางมาดขรึมทำไม่รู้ไม่ชี้

"เมื่อนานแล้ว" แม่ทัพหนุ่มตอบกลับนิ่งๆ แต่กลับหลบตากลมโตไปจ้องกองไฟแทน

"อย่างนั้นหรือ เหตุใดข้าจึงนึกไม่ออก เอ...แปลกจัง" คิ้วเรียวขมวดมุ่น นิ้วชี้ลูบริมฝีปากอวบอิ่ม หรี่ตามองเขาด้วยสายตาคาดคั้น

"เจ้ามอบของให้ข้าตั้งมากมาย จนเจ้าไม่ได้ใส่ใจจะจำกระมัง"

นางอึ้งไป ไม่คิดว่าเขาจะตอกกลับมาด้วยคำพูดคล้ายตัดพ้ออย่างนี้

"ท่านอย่ามากล่าวหาข้า ข้าจดจำของที่ข้ามอบให้ท่านได้ทุกชิ้นเจ้าค่ะ!" นางไม่ยอมแพ้

'หน็อย! ขโมยของข้าไปแท้ๆ'

"แน่ใจหรือ ของที่เจ้ามอบให้ข้าชิ้นแรกคือสิ่งใดกัน" ชายหนุ่มไล่ต้อนนาง คล้ายกำลังสอบสวนผู้กระทำผิด ดวงตาคมทรงเสน่ห์หรี่มองจริงจัง

"มันก็คือ..."

"หือ? เหตุใดจึงเงียบเสียเล่า" เขายื่นหน้าเข้ามาใกล้ สบตากลมโตวูบหนึ่ง ก่อนจะหลุบมองริมฝีปากอวบอิ่มที่เม้มเข้าหากันแน่นคล้ายเด็กที่โดนขัดใจ พลันมุมปากก็ยกขึ้นยิ้มอย่างผู้ชนะ

ชิงหลินผลักอกเขาออกแรงๆ ด้วยอารมณ์ขุ่นมัว ชายคนนี้ช่างร้ายกาจนัก สามารถพลิกลิ้นกลับดำให้เป็นขาว พลิกวิกฤติให้เป็นโอกาสได้ด้วยคำพูดไม่กี่คำ

"ท่านอย่ามาเปลี่ยนเรื่อง แม้ข้าจะมอบของฝากให้ท่านมากมาย แต่ข้าไม่เคยมอบผ้าเช็ดหน้าให้ท่านแน่นอน!" เห็นเขายังนิ่งจึงเอ่ยต่อ "หรือถ้าข้าคิดจะมอบให้ท่านจริง ชื่อบนผ้าเช็ดหน้าสมควรปักเป็นชื่อท่าน ไม่ใช่ชื่อของข้า" นางคลี่ผ้าเช็ดหน้าออก ชี้ให้เขาดูชื่อตรงมุมผ้าด้านหนึ่งซึ่งปักคำว่า 'หลิน' ไว้

มู่หลิ่งเหวินเพียงชำเลืองมองครู่หนึ่ง รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ผุดขึ้นบนใบหน้าหล่อเหลาที่งดงามราวเทพเซียน ยื่นหน้าเข้าไปใกล้คู่หมายอย่างจงใจ "แล้ว...ถ้าข้ายอมรับ...ว่าเป็นคนเอาไปเอง คราที่เจ้าไปเยือนจวนสกุลมู่ของข้า เจ้าจะว่าอย่างไร จะโกรธเกลียดข้าหรือ" ดวงตาคมทรงเสน่ห์ยามนี้แพรวพราวระยิบระยับเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ ชวนให้หลงใหลเคลิบเคลิ้มยิ่งนัก

"ข้าไม่ใช่คนใจแคบ ขนาดที่ยอมรับผิดแล้วไม่รู้จักให้อภัยนะเจ้าคะ" นางมองค้อนเขา

"เจ้า...ไม่โกรธ?"

ชิงหลินพยักหน้า

"ไม่เกลียดข้า?"

ชิงหลินพยักหน้าอีกครั้ง

"หมายรวมทุกเรื่องที่ผ่านมา?"

คราวนี้นางชะงัก ไม่ได้พยักหน้า ดวงตากลมโตหันมามองคนที่นั่งข้างๆ ด้วยสีหน้าประหลาดใจและยุ่งยากเด่นชัด ชัดเจนเสียจนผู้ถามเจ็บแปลบปลาบที่อกข้างซ้าย ต้องยกมือขึ้นกดเพื่อบรรเทาความเจ็บปวดนั้น

"หึๆ เป็นธรรมดาที่เจ้าจะโกรธเกลียดข้า เพราะข้าละเลยเจ้า ไม่ใส่ใจดูแลเจ้า เช่นคู่หมายที่ดีควรกระทำ แต่ว่า..." มู่หลิ่งเหวินจับบ่าเล็กให้หันมาเผชิญหน้ากันตรงๆ จ้องมองเข้าไปในดวงตากลมโตสีน้ำตาลเปลือกไม้ หวังให้นางรับรู้ถึงความรู้สึกของตนว่าเสียใจเพียงใดที่ปล่อยปละละเลยนางมานานหลายปี "เจ้าจะยกโทษให้ข้าได้หรือไม่ ข้าสัญญาว่าจะดูแลเจ้า ถนอมเจ้าให้ดีนับแต่นี้ไป"