webnovel

จอมทัพตื๊อรัก(2 เล่มจบ)

“ข้าจะขอยกเลิกการเป็นคู่หมายของท่าน ท่านว่าดีหรือไม่” ถ้อยคำที่เปล่งออกมาจากริมฝีปากอวบอิ่มทำให้แม่ทัพหนุ่มชะงัก รอยยิ้มหายไปทันที ใบหน้าหล่อเหลาเครียดขึงและเย็นชาขึ้นจนดูน่ากลัว ดวงตาคมทรงเสน่ห์จ้องมองใบหน้าจิ้มลิ้มเขม็งและดุดันยิ่ง น้ำเสียงหนักแน่นและสีหน้าจริงจังจากเจ้าของใบหน้าจิ้มลิ้มอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน อีกทั้งแววตารักใคร่เทิดทูนที่มีให้ บัดนี้กลับไม่มีให้เห็นแม้สักเสี้ยว ส่วนสิ่งที่สัมผัสได้จากดวงตากลมโตกลับมีเพียงความมุ่งมั่น เด็ดเดี่ยว และว่างเปล่าไร้ระลอกคลื่นแห่งเสน่หา เห็นแล้วชวนให้หงุดหงิดอารมณ์เสียยิ่งนัก ‘มารดาเจ้าเถิด!’ แม่ทัพหนุ่มสบถในใจ แรงโทสะทำให้เขาเผลอปล่อยจิตสังหารออกมา ทำเอาหญิงสาวรู้สึกหนาวเยือกไปถึงกระดูก ความกล้าที่พกมาเต็มเปี่ยมลดฮวบจนแทบไม่เหลือ

SARABIYA_1501 · 奇幻言情
分數不夠
107 Chs

ตอนที่ 10 บางอย่างที่ซ่อนอยู่ในป่าอาถรรพ์

เช้าวันถัดมาหลังอาหารมื้อเช้า

ชิงหลินรีบกลับเรือนหยกฟ้าเพื่อไปเยี่ยมเสี่ยวอี้ ความจริงก่อนมื้อเช้านางก็แวะไปดูสาวใช้มาแล้ว เมื่อเห็นว่ายังหลับอยู่นางจึงไม่อยากกวน

"คุณหนู นายท่านเชิญไปพบที่ห้องรับแขกเจ้าค่ะ"

ชิงหลินหันไปมองแม่นมฝู คิ้วเรียวเลิกขึ้นข้างหนึ่ง 'มีอะไรกัน เพิ่งจะแยกกันเมื่อกี้เอง'

"เข้าใจแล้ว เสี่ยวอี้ พักผ่อนเยอะๆ นะ จะได้หายเร็วๆ แล้วข้าจะมาเยี่ยมใหม่"

สองพี่น้องส่งยิ้มพลางมองตามหลังจนคุณหนูหายไปจากสายตา 'คุณหนูช่างดีเหลือเกิน' นี่คือสิ่งที่อยู่ในใจของสองพี่น้อง

เมื่อใกล้ถึงห้องรับแขก เสียงสนทนาอย่างสนุกสนานก็เริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ มุมปากพลันยกขึ้นยิ้มเมื่อเดาได้ว่าเสียงใสคุ้นหูนี้เป็นของผู้ใด

"พี่หลินเอ๋อร์ ท่านมาแล้ว"

ชิงหลินส่งยิ้มอ่อนโยนให้เจ้าของเสียง

จากนั้นก็หันไปยอบกายทักทายมู่หลิ่งฟู่กับมู่ฮูหยิน "หลินเอ๋อร์คารวะท่านลุงมู่ ท่านป้ามู่เจ้าค่ะ" ก่อนจะหันมาส่งยิ้มให้เด็กน้อยมู่หลิ่งเฟิงอีกครั้ง

"ตามสบายเถิด คนกันเองทั้งนั้น ว่าแต่เจ้าเป็นเช่นไรบ้าง คงตกใจมากใช่หรือไม่" มู่ฮูหยินเดินเข้ามาประคองเด็กสาวให้นั่งลงข้างๆ ตน

"ขอบคุณท่านลุงท่านป้าที่ห่วงใย ข้าไม่เป็นไรแล้วเจ้าค่ะ" ชิงหลินตอบเสียงหวานก่อนจะส่งยิ้มให้

"แล้วข้าเล่าขอรับ ข้าก็เป็นห่วงท่านเช่นกัน" เด็กชายทำแก้มป่องใส่หญิงสาว เรียกเสียงหัวเราะและรอยยิ้มจากทุกคน

"อ้อ! พี่เหวินของเจ้าก็ทราบเรื่องแล้วเช่นกัน เหตุเพราะติดภารกิจจึงมาเยี่ยมเจ้าไม่ได้ เจ้าก็อย่าได้น้อยใจไปเลยนะ" มู่หลิ่งฟู่ออกตัวแทนบุตรชายคนโต

"หลินเอ๋อร์เข้าใจเจ้าค่ะ"

เมื่อได้ฟังคำตอบเรียบเรื่อยไร้อาการน้อยใจและผิดหวังของเด็กสาว มู่หลิ่งฟู่ก็ได้แต่นึกเห็นใจบุตรชายที่ความรักครั้งนี้ดูจะไม่ง่ายเสียแล้ว

เจ็ดวันต่อมากลางยามเฉิน

ชิงหลินในชุดบุรุษสีดำ ผมยาวรวบขึ้นสูงเป็นหางม้า มัดด้วยผ้าผูกผมสีขาว ดูทะมัดทะแมง กำลังเอ่ยลาบิดากับมารดาอยู่ ส่วนเฟิ่งอิงกำลังตรวจดูความเรียบร้อย เสี่ยวสุ่ยที่ตามออกมาส่งคุณหนูแทนเสี่ยวอี้ยืนมองขบวนผู้ติดตามอย่างตื่นเต้นระคนเสียดาย ที่ไม่ได้ตามไปปรนนิบัติดูแลคุณหนูของตน

ขบวนครานี้นำโดยเฟิ่งอิงและมีผู้ติดตามราวยี่สิบคน ซึ่งอาจจะมากสักหน่อยในความคิดของเสี่ยวสุ่ย แต่นางถ้าได้รู้ที่มาที่ไปอาจจะต้องเปลี่ยนใจ และคิดว่าน่าจะเพิ่มผู้คุ้มกันอีกหลายๆ คนเป็นแน่

ในขบวนมีรถม้าสามคัน คันแรกเป็นรถม้าของคุณหนู ส่วนสองคันหลังใส่ข้าวของสัมภาระและเสบียงอาหารบางอย่าง

"เจ้าจะขี่ม้าไปจริงหรือหลินเอ๋อร์" ชิงฮูหยินเอ่ยถามด้วยความห่วงใย

"เจ้าค่ะ ลูกสู้อุตส่าห์หัดขี่เจ้าไป๋เสวี่ยมาตั้งหลายวัน แต่กลับไม่ค่อยได้ใช้งานมันเลย จนลูกเกือบลืมวิธีขี่แล้วเจ้าค่ะ ฮิๆ"

ชิงฮูหยินฟาดเผียะไปที่แขนของบุตรีเบาๆ ส่ายหน้าอย่างระอาพลางคิดในใจ 'เฮ้อ! นางเป็นบุตรีข้าจริงหรือ เหตุใดข้าถึงคิดว่านางเป็นบุตรชายไปได้เล่า'

"เฟิ่งอิง ทุกอย่างพร้อมแล้วหรือ" ชิงหยวนถามคนสนิทที่บัดนี้จะไม่อยู่ข้างกายตนเพื่อคอยคุ้มกันอีกต่อไป

"ขอรับนายท่าน"

ชิงหยวนพยักหน้าแล้วหันมากล่าวกับบุตรีที่กุมมือฮูหยินของตนอย่างอาลัย "ออกเดินทางเถิดหลินเอ๋อร์ ก่อนที่แดดจะแรงเกินไป"

"ลูกไปก่อนนะเจ้าคะ ท่านแม่ท่านพ่อ" ชิงหลินบอกลาแล้วก้าวไปยืนข้างเจ้าไป๋เสวี่ย มุมปากอิ่มกระตุกเมื่อได้ยินเจ้าม้าหนุ่มตัวสีขาวร้องขึ้น

"เฮ้อ! มนุษย์นี่ลีลาท่ามากกันจริง ช่างน่าเบื่อ"

เล่นเอานางเกือบหลุดหัวเราะกับคำบ่นของมัน

"ออกเดินทางได้!" เฟิ่งอิงใช้พลังปราณในการออกคำสั่ง แล้วขบวนก็ค่อยๆ เคลื่อนห่างออกไปเรื่อยๆ ผ่านประตูเมืองเป็นด่านแรก เมื่อพ้นประตูเมืองการเดินทางด้วยรถม้าก็ลำบากขึ้น เพราะเส้นทางขรุขระเต็มไปด้วยหลุมบ่อ นั่นเป็นเหตุผลหนึ่งที่ชิงหลินไม่ชอบการนั่งรถม้าไปยังคอกสัตว์ และการขี่ม้าก็ดีกว่าเป็นไหนๆ อากาศดีแบบนี้มัวแต่นั่งอุดอู้อยู่ในรถม้าก็น่าเสียดายแย่ ปล่อยให้เสี่ยวเอินกับแม่นั่งไปน่ะดีแล้ว

ผ่านมาได้ครึ่งทาง ทุกอย่างราบรื่นไร้ปัญหา เฟิ่งอิงขี่ม้าตีคู่หญิงสาว และอดชำเลืองมองอยู่บ่อยครั้งไม่ได้ แม้ชิงหลินจะรู้แต่ก็ทำเป็นเฉยเสีย

การเดินทางไปเรือนพสุธาต้องผ่านป่ารกทึบ ซึ่งมีเสียงเล่าลือว่ามีสัตว์ร้ายแฝงตัวอยู่ในป่าแห่งนี้ มีผู้คนมากมายหลงเข้าไปแล้วมิได้กลับออกมาอีกเลย บางครั้งก็ได้ยินเสียงร้องโหยหวนดังออกมาเป็นระยะๆ จนชาวบ้านขนานนามป่าแห่งนี้ว่า 'ป่าอาถรรพ์'

เฟิ่งอิงยกมือขึ้นเป็นสัญญาณให้หยุด เมื่อสังเกตเห็นความเคลื่อนไหวจากแนวชายป่าอาถรรพ์ หน่วยพยัคฆ์ดำราวยื่สิบคนกระตุกม้าเบาๆ กระจายตัวรอบรถม้า มีห้าคนรวมเฟิ่งอิงล้อมรอบตัวหญิงสาวเอาไว้ ทุกอย่างช่างพร้อมเพรียงโดยมิต้องเอ่ยคำ การกระทำของพวกเขาทำเอาชิงหลินนึกกลัวขึ้นมาจับใจ

"ราวหกสิบคนขอรับหัวหน้า" หนึ่งในหน่วยคุ้มกันซึ่งสายตาดีกว่าคนอื่นกระซิบบอก

เฟิ่งอิงพยักหน้าก่อนจะเหลือบมองคุณหนูคราหนึ่ง การต่อสู้ครั้งนี้ท่าจะตึงมือเสียแล้ว

การต่อสู้หนึ่งต่อสามเป็นเรื่องง่ายสำหรับหน่วยพยัคฆ์ดำ เพียงแต่ครั้งนี้พวกเขามีสิ่งสำคัญที่ต้องปกป้องด้วยชีวิตอยู่ในมือ

ชิงหลินพยายามเก็บสีหน้าหวาดกลัวไว้ไม่ให้พวกเขาเห็นอย่างสุดกำลัง เพราะเกรงว่าจะทำให้พวกเขาเป็นห่วงยิ่งขึ้น

"ปกป้องคุณหนูด้วยชีวิต!" เฟิ่งอิงออกคำสั่งทันทีเมื่อศัตรูเริ่มโจมตีด้วยธนู

ลูกธนูหลายสิบดอกพุ่งเข้ามาอย่างแม่นยำ ส่วนใหญ่ถูกปัดป้องไว้ได้ด้วยดาบ ชิงหลินนิ่งอึ้งทำอะไรไม่ถูก ได้แต่ตะลึงมองเหตุการณ์ตรงหน้า ลูกธนูที่ปล่อยออกมาจากชายป่า บางส่วนพุ่งโดนรถม้าบ้าง ตกพื้นบ้าง แต่น่าแปลกที่คนและขบวนของนางกลับไม่โดนลูกธนูเลย

"จับเป็นผู้หญิงคนนั้น ส่วนที่เหลือฆ่าให้หมด!" เสียงของชายชุดดำร่างใหญ่หนาที่ปิดบังใบหน้าตะโกนสั่งลูกน้องเสียงดัง ก่อนจะควบม้าพุ่งเข้าหากลุ่มของชิงหลิน โดยมีร่างชายฉกรรจ์ชุดดำวิ่งเฮตามหลังมาติดๆ ในมือพรั่งพร้อมด้วยดาบยาว ดวงตาของพวกมันเต็มไปด้วยความกระหายอยากจะฆ่า

หญิงสาวถูกล้อมรอบด้วยหน่วยคุ้มกันฝีมือดี แต่ก็อดหวั่นใจไม่ได้ เมื่อเห็นกำลังพลที่มากกว่าของอีกฝ่าย ต่างฝ่ายผลัดกันรุกผลัดกันรับ ราวกับนางอยู่กลางสนามรบ เริ่มมีคนบาดเจ็บล้มตายเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เลือดสาดกระจายเต็มพื้นจนนางทนดูไม่ไหวต้องหลับตาปี๋ ถึงอย่างนั้นก็ยังได้ยินเสียงดาบกระทบกันสลับกับเสียงร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวด

'ไม่ไหวแล้ว...ใครก็ได้ช่วยด้วย!' นางตะโกนร้องในใจ มือที่จับสายบังเหียนม้าเริ่มสั่นขึ้นเรื่อยๆ จนเจ้าไป๋เสวี่ยรับรู้ถึงความกลัวของสตรีที่นั่งอยู่บนหลังมันได้

ฮี้ๆๆ

มันร้องออกมาพร้อมกับยกขาหน้าตะกุยอากาศ ก่อนจะพุ่งออกไปราวพายุ มุ่งเข้าป่าอาถรรพ์อย่างรวดเร็วโดยมิมีผู้ใดได้ทัดทาน

เฟิ่งอิงตกใจกระทุ้งสีข้างม้าจะตามไป แต่ถูกเจ้าพวกชุดดำขวางไว้ เขากัดฟันกรอดด้วยความเดือดดาล ฟาดฟันดาบใส่พวกมันไม่ยั้ง จนพวกมันถอยร่นไม่เป็นท่า ด้วยนึกหวาดกลัวสายตาของชายคนนี้ จนไม่กล้าเข้ามาต่อกร ขณะที่กำลังจดๆ จ้องๆ กันอยู่ จึงเป็นโอกาสให้เจ้าตัวหัวหน้าที่รออยู่ก่อนแล้วควบม้าเข้ามา พร้อมกับพุ่งหอกเหล็กในมือเข้าใส่หมายจะสังหารเฟิ่งอิง

"หัวหน้าระวัง!"

เสียงร้องเตือนทำให้เฟิ่งอิงเงยหน้าขึ้น ก่อนจะเห็นบางสิ่งแหวกอากาศพุ่งตรงมาที่ตน ด้วยสัญชาตญาณเฟิ่งอิงเอนหลังแนบไปกับหลังม้าอย่างรวดเร็ว ทำให้หอกพุ่งผ่านไปอย่างหวุดหวิด ทว่าทันใดนั้นเอง...

ฉัวะ!

"หัวหน้า!" หนึ่งในหน่วยพยัคฆ์ดำที่เพิ่งบั่นคอเจ้าโจรชุดดำรายหนึ่งจนหัวขาดกระเด็นในดาบเดียว รีบควบม้าเข้ามาช่วยหัวหน้าที่พลาดท่าหลงกลความเจ้าเล่ห์ของเจ้าหัวหน้าโจรชั่ว

"ระยำ! อึกๆ" มันสบถได้เพียงคำเดียวก็กระอักเลือดคำโตออกมา เมื่อถูกดาบคมกริบแทงตัดขั้วหัวใจจนดาบทะลุหลัง มันตกจากหลังม้าร่วงสู่พื้นทันทีที่เฟิ่งอิงชักดาบออก พวกลิ่วล้อพอเห็นว่าหัวหน้าของตนถูกสังหารต่างก็พากันวิ่งหนีเอาตัวรอด มิได้ใสใจร่างไร้วิญญาณของพวกพ้องเลย

"หัวหน้า ท่านเป็นอย่างไรบ้าง" หนึ่งในหน่วยพยัคฆ์ดำผู้เป็นเจ้าของเสียงที่ร้องเตือนเอ่ยถาม

"แค่ถากๆ เท่านั้น" เฟิ่งอิงตอบอย่างไม่ใส่ใจ พลางปลดผ้าคาดเอวมาพันแผลที่ต้นแขนไว้ ก่อนจะสำรวจคนที่เหลือ

"ตายสาม บาดเจ็บแปด ส่วนสาวใช้ทั้งสองปลอดภัยดี เพียงแต่ยังตื่นตระหนกอยู่ขอรับ" เสียงหนึ่งในหน่วยพยัคฆ์ดำรายงาน

"นำศพพี่น้องทุกคน ผู้ที่บาดเจ็บ และคนอื่นไปยังเรือนพสุธา ปาเฉิน จงรีบไปแจ้งนายท่านโดยด่วน ปาฉี เจ้าไปแจ้งคนของเราที่เรือนพสุธาให้นำกำลังเสริมมาช่วย ที่เหลือให้คอยเฝ้าระวังจนกว่าคนของเราจะตามมาสมทบ ข้าจะเข้าป่าอาถรรพ์ไปตามหาคุณหนู!" เฟิ่งอิงประกาศกร้าว

"หัวหน้า ท่านบาดเจ็บอยู่ กลับเรือนพสุธารักษาบาดแผลเถอะ รอกำลังเสริมมาถึงแล้วค่อยออกตามหาคุณหนูมิดีกว่าหรือขอรับ" ปาเฉียน รองหัวหน้าหน่วยพยัคฆ์ดำคัดค้าน

"หลบไปปาเฉียน อย่าให้ข้าต้องใช้กำลังกับเจ้า!" เฟิ่งอิงกดเสียงต่ำ ดวงตาเรียวดุวาวโรจน์จ้องจนปาเฉียนสะดุ้งวาบ

"หากท่านต้องการจะไปให้ได้จริงๆ เช่นนั้นจงลงมือเถิด ข้ายินดีตายด้วยน้ำมือท่าน" แม้จะกลัวแต่ปาเฉียนก็ยังเลือกที่จะเสี่ยง

"หัวหน้า / หัวหน้า / หัวหน้า"

เสียงร้องเรียกของพี่น้องคนอื่นในหน่วยทำให้เฟิ่งอิงที่กำลังร้อนรุ่มใจเย็นลงหลายส่วน ชายหนุ่มสูดลมหายใจเข้าแรงๆ เพื่อระงับโทสะ

"เจ้าสองคนคอยเฝ้าทางที่คุณหนูเข้าไปเอาไว้ เผื่อคุณหนูกลับออกมา ที่เหลือเคลื่อนขบวนเดินทางต่อได้" สั่งการเสร็จสรรพเฟิ่งอิงก็มองไปทางป่าอาถรรพ์แวบหนึ่ง ก่อนจะหันกลับมากระทุ้งสีข้างม้าให้เดินทางต่อไป

ผ่านไปราวสองเค่อนับตั้งแต่ขบวนของเฟิ่งอิงและขบวนรถม้าที่ไร้ซึ่งคุณหนูจากไป บุรุษรูปงามในชุดอาภรณ์สีน้ำเงินเข้มควบม้าเหงื่อโลหิตสีน้ำหมึกมาด้วยความเร็ว ก่อนจะกระตุกรั้งบังเหียนให้มันหยุดตรงบริเวณที่เกิดการต่อสู้ ดวงตาคมทรงเสน่ห์มองศพที่กระจัดกระจายหลายสิบศพด้วยสายตาว่างเปล่า

หนึ่งในสองคนที่หลบอยู่บนต้นไม้กระโดดลงมาเมื่อเห็นว่าผู้มาเยือนเป็นใคร

"แม่ทัพมู่!"

ลึกเข้ามาในป่าอาถรรพ์

เจ้าไป๋เสวี่ยเปลี่ยนจากวิ่งควบเต็มฝีเท้าก็เป็นวิ่งเหยาะๆ ทว่าพอลึกเข้ามาก็เปลี่ยนเป็นเดินเยื้องย่างอย่างระมัดระวัง หญิงสาวที่นั่งอยู่บนหลังมันมองไปรอบๆ ตัว สภาพของป่าอาถรรพ์ไม่ต่างจากยุคที่นางจากมานัก เพียงแต่ต้นไม้ในป่าแห่งนี้มีขนาดใหญ่โตมหึมาห้าคนโอบขึ้นไป ลำต้นสูงเสียดฟ้า แผ่กิ่งก้านสาขาปกคลุมพื้นดิน แสงสว่างส่องลงมาได้เพียงน้อยนิด จนหลงคิดว่าเป็นเวลากลางคืน ทั้งที่ความจริงยังเป็นช่วงกลางวัน

หญิงสาวปีนลงจากหลังเจ้าไป๋เสวี่ย พยายามเงี่ยหูฟังเมื่อรู้สึกถึงความผิดปกติที่ควรมีเวลาเดินป่า นางเคยเดินป่าหลายครั้งในยุคที่จากมา ล่าสุดก็ไปเดินป่าเพื่อส่องสัตว์ที่มากินโป่งเพิ่มธาตุอาหารที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง จังหวัดอุทัยธานี สิ่งที่ต้องมีในป่านอกจากต้นไม้ใบหญ้าและแหล่งน้ำแล้ว สิ่งที่ขาดไม่ได้คือต้องมีสัตว์ป่า แต่ที่นี่เงียบเชียบราวกับป่าช้า แม้แต่เสียงนกร้องก็ยังไม่มี

ไม่ทันขาดคำ หนึ่งคนหนึ่งม้าก็พลันชะงักเมื่อได้ยินเสียงร้องของสัตว์ชนิดหนึ่งดังอยู่ไม่ไกลจากจุดที่ทั้งคู่อยู่เท่าไรนัก

"เฮ้! เจ้ามนุษย์ เจ้าจะไปที่ใดกัน"

ชิงหลินปรายตามอง ไม่ค่อยชอบใจกับคำพูดของเจ้าม้าตัวนี้ 'เออ! เป็นมนุษย์แล้วจะทำไมล่ะ'

"ข้าจะไปดูว่าเป็นเสียงอะไร" เท้าสะเอวตอบมันเป็นภาษาม้า

พอมันรู้ว่านางพูดภาษาม้าได้ มันก็จ้อไม่หยุด แต่พอเข้ามาในป่าอาถรรพ์ จู่ๆ มันก็เงียบไปเสียเฉยๆ ทำให้นางแปลกใจไม่น้อย

"เชิญเจ้าไปคนเดียวเถิด ข้าจะรออยู่ตรงนี้" มันร้องบอกหลังจากที่เงียบไปพักใหญ่

"ทำไม? เอ๋? หรือว่าเจ้ากลัว" หญิงสาวยิ้มเยาะ ตากลมโตมองมันอย่างเย้ยหยัน

"ม้าศึกเช่นข้าไม่เคยกลัวสิ่งใด" มันยื่นหน้าเข้ามาใกล้พร้อมกับพ่นน้ำลายใส่หน้าผู้ที่สบประมาทมัน

"แหวะ! เจ้าม้าบ้า ทำอะไรของเจ้าเนี่ย! เหม็น..."

เจ้าไป๋เสวี่ยร้องฮี้ๆ อย่างชอบใจ ผงกหัวขึ้นลงอย่างน่าหมั่นไส้

"ตกลงจะไปหรือไม่ไป...เลือกมา" ชิงหลินถามด้วยน้ำเสียงสะบัดห้วนเพราะความไม่พอใจ

"แน่นอนว่าข้าไป"

คำตอบของมันทำเอานางลอบยิ้มอย่างพอใจที่หลอกล่อเจ้าม้าปากดีได้

หลังจากตกลงกันได้แล้ว ร่างเล็กก็ค่อยๆ ก้าวไปข้างหน้าอย่างแผ่วเบา โดยมีเจ้าม้าสีขาวปลอดเดินตามหลังมาอย่างมิค่อยเต็มใจนัก มันรู้ด้วยสัญชาตญาณว่ามีสิ่งอันตรายอยู่ในป่าแห่งนี้ ที่มันและสัตว์อื่นๆ ต่างหวาดกลัว ทั้งยังไม่กล้าต่อกรด้วย

"โฮกกกก" เสียงร้องชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ เมื่อแหวกกิ่งไม้หนาที่ขวางทางออกไป ชิงหลินถึงกับชะงัก ตาโตเป็นไข่ห่าน ปากอ้าค้างเมื่อได้เห็นสิ่งมีชีวิตตรงหน้า...เสือโคร่งขาวขนาดเท่าช้างโตเต็มวัยสองตัว ตัวหนึ่งนอนราบกับพื้นส่งเสียงคำรามเป็นระยะๆ อีกตัวยืนคลอเคลียคำรามเสียงต่ำอยู่ข้างๆ

"จะ...เจ้าม้า...หนีกันเถอะ" พอได้สติชิงหลินก็กระซิบบอกเจ้าม้าเป็นภาษาม้า แต่พอหันกลับมาก็พบแต่ความว่างเปล่า

"เจ้ามนุษย์...ข้าอยู่นี่" เสียงร้องตอบเบาๆ ทำเอาร่างเล็กชะงัก

นางคิดถึงสำนวนหนึ่งขึ้นมาได้ 'อย่าไว้ใจทาง อย่าวางใจม้า!' ก็เพราะเจ้าม้าที่อวดตัวว่าเป็นม้าศึกกลับทิ้งนางไปหลบอยู่หลังต้นไม้โน่น!

มัวแต่หันไปขบเขี้ยวเคี้ยวฟันกับเจ้าม้าขี้ขลาดจนขาดความระมัดระวัง ไม่รับรู้เลยว่าเหนือขึ้นไปมีเงาใหญ่มหึมากำลังจ้องอยู่ พร้อมกับน้ำเหนียวๆ ที่หยดลงมาถูกไหล่ น้ำที่ทั้งเหนียวและเหม็นเรียกความสนใจให้นางต้องเงยหน้าขึ้นมอง สิ่งที่เห็นทำเอานางตัวแข็งทื่อประหนึ่งถูกแช่แข็ง ลมหายใจสะดุด ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง จ้องตาสีเทาของมันด้วยความตื่นตระหนก น้ำลายของเจ้าเสือยักษ์ยังคงหยดลงมาไม่หยุด มีบ้างที่หยดลงบนหน้านางพอดีโดยที่นางไม่อาจหลบเลี่ยงได้ ชั่วพริบตาที่คิดว่าต้องตายแน่แล้ว นางจึงหลับตาลงอย่างยอมรับชะตากรรม ทว่า...

แผล็บๆๆ

"เอ๋าๆๆ"

เสียงครางทำเอาเจ้าไป๋เสวี่ยต้องชะโงกหัวขาวๆ ออกมาดู เมื่อเห็นภาพตรงหน้ามันถึงกับเอียงคอมองด้วยความสงสัย ภาพที่ปรากฏในดวงตาสีดำเล็กๆ ของมันคือ เจ้าเสือโคร่งขาวตัวใหญ่ยักษ์ที่มีกลิ่นอายแปลกๆ ตัวหนึ่งกำลังเลียเจ้ามนุษย์ไม่หยุด ทั้งยังส่งเสียงครางเอ๋าๆ คล้ายเวลาที่มันต้องการเอาใจมนุษย์ที่มันชื่นชอบ มันก็จะทำเยี่ยงเจ้าเสือขาวเช่นกัน

ชิงหลินมัวแต่ตื่นตะลึง จึงโดนมันเลียเสียจนเนื้อตัวเปียกชุ่มไปด้วยน้ำลาย เมื่อเห็นว่ามันดูเชื่องดีจึงลองยื่นมือไปจะสัมผัสมัน แล้วก็ต้องหดมือกลับเมื่อมันจ้องมา นางตั้งสติแล้วลองยื่นมือที่สั่นนิดๆ ออกไปอีกครั้ง ก่อนจะวางแหมะลงตรงขาใหญ่ขนาดเท่าตัวนางที่ปกคลุมด้วยขนสีขาวคาดดำแล้วลูบอย่างแผ่วเบา เจ้าเสือยักษ์คล้ายจะพอใจ มันล้มตัวลงนอนครางเบาๆ ยกขาหน้าที่มีอุ้งเท้าขนาดมหึมารวบร่างเล็กเข้ามาใกล้ๆ บริเวณลำคอของมันคล้ายจะกอด ทำเอานางยิ้มออก ความกลัวคลายลงไปหลายส่วน

แต่แล้วก็มีเสียงร้องครางดังขึ้นจากทิศทางที่เจ้าเสือยักษ์จากมา เสียงร้องนั้นทำเอาร่างใหญ่ยักษ์ชะงักแล้วเดินไปยังทิศทางนั้นทันที ทิ้งร่างเล็กให้ยืนมองด้วยความสงสัยก่อนจะตัดสินใจเดินตามไป โดยมีเจ้าไป๋เสวี่ยตามมาห่างๆ

"ท่านกล้าทิ้งข้าที่กำลังจะคลอดได้อย่างไร"

"โธ่ๆๆ ไม่ใช่เช่นที่เจ้าคิดนะ ข้าเห็นผู้บุกรุกต่างหากเล่า"

"อ้อ! นั่นคงเป็นผู้บุกรุกสินะ หนึ่งมนุษย์กับหนึ่งม้า"

"ใช่แล้วที่รัก"

สิ่งที่เห็นทำเอาร่างเล็กโดนแช่แข็งอีกครั้ง นางมองเสือยักษ์สองตัวโต้ตอบกันไปมา ตอนแรกเพราะความกลัวจึงไม่ทันได้สังเกตว่า เสือยักษ์อีกตัวเป็นเพศเมียท้องแก่ใกล้คลอด แต่พอรู้สึกตัวจึงส่งเสียงออกไป

"ถ้าเจ้าอยากให้ข้าช่วย ก็บอกได้เลยนะ"

เสียงของนางทำเจ้าเสือยักษ์ทั้งสองชะงัก เอียงหัวอันใหญ่โตมามอง

"ก็คิดอยู่ว่าเจ้าไม่ธรรมดา แต่ไม่คิดว่าจะเจ้าเข้าใจภาษาของเรา" เสือยักษ์เพศผู้ร้องขึ้น

"คลอดกลางป่าแบบนี้ ข้าว่าไม่ค่อยเหมาะเท่าไหร่ แถวนี้มีถ้ำไหม" นางยิ้มแล้วร้องถามเมื่อได้ยินเสียงครืนๆ คล้ายฝนจะตก

"มี อยู่ใกล้ๆ นี่แหละ ความจริงตั้งใจจะไปที่นั่นอยู่แล้ว เพียงแต่ที่รักของข้าเกิดเจ็บท้องกะทันหันเลยหยุดพักอยู่ตรงนี้ แล้วก็ได้พบเจ้านี่แหละ" เสือยักษ์เพศผู้ว่า

"งั้นก็รีบไปกันเถอะ"

มันเดินเคียงคู่กับที่รักของมัน โดยมีมนุษย์น้อยขี่เจ้าม้าสีขาวปลอดตามไปติดๆ

ราวห้านาทีหนึ่งคนกับสัตว์สามตัวก็เข้ามาอยู่ในถ้ำเรียบร้อย ชิงหลินอยากเข้าไปช่วยทำคลอดแต่ถูกห้ามไว้ จึงได้แต่ชะเง้อคอมองเข้าไปในถ้ำด้วยความตื่นเต้นระคนเป็นห่วง ยามที่ได้ยินเสียงมันร้องอย่างเจ็บปวด นานทีเดียวกว่าเสียงร้องนั้นจะหยุดลง เล่นเอาหนึ่งคนกับสัตว์อีกสองตัวถอนหายใจแรงด้วยความโล่งใจ

"ขอต้อนรับสู่โลกใบนี้ เจ้าตัวเล็กทั้งสาม" หญิงสาวยิ้มอย่างอ่อนโยน ลูกเสือพิมพ์เดียวกับพ่อแม่ของมันกำลังดิ้นไปมาอย่างนึกเอ็นดู มีตัวหนึ่งร้องแง้วๆ คล้ายแมว แม้ขนาดตัวจะใหญ่เกินหน้าเกินตาลูกเสือทั่วไปถึงสิบเท่าก็ตาม

"จริงสิ ข้ามีเรื่องสงสัย เหตุใดเจ้าจึงไม่ทำอันตรายข้า"

นางสงสัยจริงๆ ว่ากันตามหลักแล้วมนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่สัตว์ทั้งหลายต่างหวั่นเกรงและเกลียดยิ่งนัก

"เพราะเจ้ามีสัญลักษณ์ซึ่งเป็นตัวแทนของเจ้าแห่งสัตว์อยู่อย่างไรเล่า" เจ้าเสือยักษ์ที่นั่งอยู่ข้างที่รักของมันเฉลย

"สัญลักษณ์? สัญลักษณ์อะไร"

"เจ้ามังกรคือราชาของพวกเรา และเจ้าก็มีมัน"

"มังกร? เจ้าหมายถึงรอยสักมังกรบินสีฟ้าที่หลังของข้าน่ะหรือ" มันผงกหัวลงครั้งหนึ่ง

"ถ้าเจ้าอยากกระจ่างในเรื่องนี้ ไปถามคนผู้นั้นดูสิ...คนที่มอบมันให้แก่เจ้า" มันรีบตัดบทเมื่อเห็นนางตั้งท่าจะถามต่อ

"เจ้ารีบออกไปเถิด มีบุรุษผู้หนึ่งกำลังตามหาเจ้า เรื่องราวที่เกิดขึ้นในป่านี้อย่าได้แพร่งพรายแก่ผู้ใดเด็ดขาด ไม่เช่นนั้นเจ้าจะไม่ได้พบพวกข้าอีก"

หลังสิ้นเสียงนั้นชิงหลินไม่รู้ตัวเลยว่าออกมาจากถ้ำตอนไหน พอหันกลับไปดู ถ้ำนั้นก็หายไปแล้ว ขณะที่นางกำลังงงก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้น

"หลินเอ๋อร์!"

"ท่าน...แม่ทัพ?"

วันนี้อัพเท่านี้ก่อน พรุ่งนี้เจอกันจ้า^_^

SARABIYA_1501creators' thoughts