webnovel

จอมทัพตื๊อรัก(2 เล่มจบ)

“ข้าจะขอยกเลิกการเป็นคู่หมายของท่าน ท่านว่าดีหรือไม่” ถ้อยคำที่เปล่งออกมาจากริมฝีปากอวบอิ่มทำให้แม่ทัพหนุ่มชะงัก รอยยิ้มหายไปทันที ใบหน้าหล่อเหลาเครียดขึงและเย็นชาขึ้นจนดูน่ากลัว ดวงตาคมทรงเสน่ห์จ้องมองใบหน้าจิ้มลิ้มเขม็งและดุดันยิ่ง น้ำเสียงหนักแน่นและสีหน้าจริงจังจากเจ้าของใบหน้าจิ้มลิ้มอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน อีกทั้งแววตารักใคร่เทิดทูนที่มีให้ บัดนี้กลับไม่มีให้เห็นแม้สักเสี้ยว ส่วนสิ่งที่สัมผัสได้จากดวงตากลมโตกลับมีเพียงความมุ่งมั่น เด็ดเดี่ยว และว่างเปล่าไร้ระลอกคลื่นแห่งเสน่หา เห็นแล้วชวนให้หงุดหงิดอารมณ์เสียยิ่งนัก ‘มารดาเจ้าเถิด!’ แม่ทัพหนุ่มสบถในใจ แรงโทสะทำให้เขาเผลอปล่อยจิตสังหารออกมา ทำเอาหญิงสาวรู้สึกหนาวเยือกไปถึงกระดูก ความกล้าที่พกมาเต็มเปี่ยมลดฮวบจนแทบไม่เหลือ

SARABIYA_1501 · Fantasy
Not enough ratings
107 Chs

ตอนที่ 11 ค้างคืนในป่าอาถรรพ์

'มาได้ไงเนี่ย' ชิงหลินตะลึงมองบุรุษรูปงาม รู้สึกตัวอีกทีเขาก็มายืนอยู่ตรงหน้านางเสียแล้ว

"เจ้า...เป็นเช่นไรบ้าง" เสียงทุ้มห้าวเจือความห่วงใยเข้มข้นถามขึ้น ทำเอาร่างเล็กเผยอปาก กะพริบตาปริบๆ มองใบหน้าที่เต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อ ผมที่มักรวบเก็บเรียบร้อยยามนี้หลุดลุ่ย หายใจหอบถี่ อาภรณ์สีน้ำเงินเข้มชุ่มไปด้วยเหงื่อผสมกลิ่นกายของบุรุษ ทำให้ร่างเล็กใจเต้นแรง นัยน์ตาพร่าไปชั่วขณะ

"เจ้า...เป็นอย่างไร" มู่หลิ่งเหวินค้อมศีรษะได้รูปลงเสมอใบหน้าคู่หมาย จนดวงตาคมทรงเสน่ห์ประสานกับตากลมโตที่ล้อมรอบด้วยแพขนตาหนางอนงามราวกับพระจันทร์เสี้ยว และเพราะความใกล้ชิดที่เกินงามของเขา ทำเอาร่างเล็กตกใจจนถอยหลังไปหลายก้าวโดยไม่รู้ตัว

"...เจ้า!" มู่หลิ่งเหวินขบกรามแน่น ทั้งเสียใจและเสียหน้าไปพร้อมกันเมื่อคู่หมายตัวดีถอยหลังหนี ทำอย่างกับตนเป็นปีศาจร้ายที่น่ารังเกียจ

"เอ่อ...ท่านมาได้อย่างไร" เมื่อเห็นเขาตีหน้ายักษ์ใส่ นางจึงรีบเปลี่ยนประเด็นทันที

มู่หลิ่งเหวินไม่ตอบคำถามของนาง แต่แค่นเสียงฮึในลำคอ สะบัดชายเสื้อพร้อมกับหันไปทางอื่น สองแขนยกขึ้นกอดอกด้วยความขุ่นเคือง

ชิงหลินเลยเลือกที่จะเงียบตาม ใช้สายตาสำรวจด้านหลังของเขา 'อืม...หุ่นดีจริงๆ ไหล่กว้างผึ่งผาย หลังตรง เอวสอบ น่าจะสูงสักร้อยเก้าสิบได้'

"เจ้า...แอบมองข้าอยู่?" มู่หลิ่งเหวินรู้ว่าถูกจ้องอยู่ จึงแกล้งหมุนกลับมาอย่างรวดเร็วจนนางหลบไม่ทัน ดวงตาคมทรงเสน่ห์หรี่ลงเล็กน้อยอย่างขบขัน

"ขะ...ข้าเปล่า" นางรีบปฏิเสธแบบไม่เต็มเสียงนัก ใบหน้าจิ้มลิ้มแดงก่ำและงอง้ำ ในที่สุดสะบัดหน้าหนีไปทางอื่น เพื่อปกปิดความน่าอายของตนที่เผลอจ้องใบหน้าหล่อเหลานั้น

"จริงหรือ" มู่หลิ่งเหวินอมยิ้ม ทอดสายตาคมทรงเสน่ห์มองใบหน้าด้านข้างของนาง ที่บัดนี้แดงก่ำราวกับผลอิงเถาด้วยสายตาอ่อนโยน จนหลงลืมจุดประสงค์ของการเข้ามายังป่าอาถรรพ์แห่งนี้ไปชั่วขณะ

คราวนี้นับเป็นครั้งแรกที่ได้พบนาง นับแต่แยกจากนางที่งานชมบุปผาในจวนเสนาบดีหานครั้งนั้น ทำให้แม่ทัพหนุ่มตระหนักถึงการมีตัวตนของนางขึ้นมาหรืออาจจะก่อนหน้านั้น ช่างน่าขันนัก ถ้าผู้ใดล่วงรู้คงถูกหัวเราะเยาะเป็นแน่ มีหรือลักลอบเข้าไปเรือนผู้อื่นในยามวิกาลเพียงเพื่อแอบดูคู่หมายของตน ทำตัวราวกับโจรเด็ดบุปผา บังคับจุมพิตโดยที่นางไม่ยินยอมพร้อมใจ แอบหนีงานหลายครั้งเพียงแค่อยากเห็นหน้า เห็นนางพูดคุยกับบุรุษอื่นก็พาลหงุดหงิดไม่ชอบใจ เหล่านี้ใช่รักหรือไม่ เขาเองก็ไม่แน่ใจ แต่สิ่งหนึ่งที่มั่นใจคือเขาจะไม่ยอมเสียนางให้บุรุษอื่นเด็ดขาด

"จะ...จริงสิเจ้าคะ" ชิงหลินตอบโดยไม่มองหน้าเขา ทำให้มู่หลิ่งเหวินอดใจที่จะเย้านางอีกไม่ได้

"เจ้า..กำลังพูดกับข้าอยู่หรือ"

ชิงหลินหันขวับมาหาเขา ใบหน้าจิ้มลิ้มตอนนี้ทั้งแดงก่ำด้วยความอาย และขุ่นเคืองที่โดนแหย่ไม่เลิก "ในป่านี้ก็มีแค่ท่านกับข้า ถ้าไม่พูดกับท่าน แล้วจะให้ข้าพูดกับใครเล่าเจ้าคะ!"

"อ้อ! เช่นนั้นเองหรือ ข้าหลงนึกว่าเจ้ากำลังพูดคุยกับต้นไม้ใบหญ้าอยู่เสียอีก หึๆ"

"ท่าน!...ท่านนี่มัน...ฮึ่ย! นี่แน่ะ!" นางเงื้อมือน้อยๆ ทุบไปที่ต้นแขนเขาแรงๆ อย่างอดใจไม่ไหว

"อึก!..." เสียงร้องอึกของเขาทำให้ร่างเล็กงุนงงก่อนจะตกใจ เมื่อเห็นเขายกมือขึ้นกุมบริเวณที่นางทุบ

"ท่านบาดเจ็บหรือ"

มู่หลิ่งเหวินมองคู่หมายที่ลืมตัวถลาเข้ามายืนใกล้ๆ จนได้กลิ่นหอมอ่อนๆ ที่ตนชื่นชอบและปรารถนาอยากครอบครองแต่เพียงผู้เดียว "แผลเล็กน้อย ไม่ใช่เรื่องใหญ่"

"ข้าขอดูแผลหน่อยเจ้าค่ะ ปล่อยทิ้งไว้จะพานอักเสบเอาได้" นางกล่าวพร้อมกับเงยหน้าขึ้นสบตากับดวงตาคมทรงเสน่ห์ที่ก้มมองอยู่ก่อนแล้วก็อดใจเต้นไม่ได้ ต้องรีบหลบมองหน้าอกเขาแทน

มู่หลิ่งเหวินไม่ได้กล่าวอันใด ทำเพียงนั่งลงก่อนจะพิงต้นไม้ใหญ่ ก่อนจะคลายผ้าคาดเอวออกให้หลวม แล้วจึงค่อยๆ ดึงรั้งอาภรณ์ทุกอย่างออกอย่างเชื่องช้า ช้าเสียจนอีกฝ่ายหงุดหงิดทนไม่ไหวต้องเข้ามาช่วยเขาถอดชุด

เพียงไม่นานร่างเปลือยท่อนบนของบุรุษที่งดงามเหนือคำบรรยายก็ปรากฏแก่สายตาของชิงหลิน เรือนร่างที่สมบูรณ์แบบช่างน่าหลงใหลยิ่งจนนางไม่อาจละสายตาไปได้โดยง่าย แม้จะเคยผ่านตามาบ้างในยุคที่จากมา แต่ก็ไม่เคยเห็นใครหุ่นดีอย่างนี้มาก่อน ดูสิ หนึ่ง...สอง...สาม...สี่...ห้า...หก...หกลูก ชิงหลินลอบกลืนน้ำลาย อยากจะยื่นมือออกไปสัมผัสแต่ก็ต้องหักห้ามใจ กลัวจะโดนกล่าวหาว่าเป็นพวกโรคจิต

"เจ้าจะช่วยดูแผลให้ข้า? หรือจะจ้องหน้าอกข้ากันแน่" มู่หลิ่งเหวินเย้าแหย่นางด้วยสีหน้าเรียบเฉยออกจะติดเย็นชาเล็กน้อย ทั้งที่รู้สึกคันยิบๆ และแฝงด้วยความพอใจอยู่สองส่วน ที่เห็นนางตะลึงมองแผ่นอกของตนอย่างโง่งม

"ขะ...ข้าเปล่าจ้องสักหน่อย" หญิงสาวรีบปฏิเสธแล้วเบือนหน้าไปทางอื่น

"อ้อ เป็นข้าเองที่เข้าใจผิด? หึๆ"

ถ้อยคำนั้นทำเอาความอดทนของนางขาดผึง มือน้อยกระหน่ำตีไปที่หน้าอกเขาหลายทีด้วยความโมโหแกมหมั่นไส้ และเพื่อจะกลบเกลื่อนความจริง แต่มีหรือที่แม่ทัพหนุ่มจะยอมถูกกระทำฝ่ายเดียว

"วะ...ว้าย ท่านจะทำอะไร" ชิงหลินตกใจจนอุทานออกมาเสียงดัง เมื่อจู่ๆ ร่างก็ลอยหวือไปนั่งอยู่บนตักของเขาอย่างไม่ทันตั้งตัว

มู่หลิ่งเหวินยกมุมปากยิ้ม มองใบหน้าตื่นตระหนกและแดงเรื่อที่ห่างเพียงหนึ่งฝ่ามือด้วยสายตาอ่อนโยน เมื่อได้สูดดมกลิ่นหอมละมุนจากกายสาว ก็ยิ่งช่วยให้ร่างกายที่เครียดเกร็งผ่อนคลายลงราวกับได้ดื่มโอสถชั้นดี จนเผลอกระชับอ้อมแขนแน่นขึ้นเพื่อสูดดมความหอมละมุนละไมให้ถนัดถนี่

"อ๊ะ..." ร้องออกมาได้คำเดียว เอวเล็กก็ถูกดึงเข้าไปหาจนจมูกและริมฝีปากอวบอิ่มสัมผัสกับร่างท่อนบนที่เปลือยอย่างจัง และวินาทีถัดมาก็ถูกเขาผลักออกทั้งที่นางยังนั่งอยู่บนตักของเขา

"จะนั่งอีกนานหรือไม่" เสียงทุ้มเอ่ยถาม

"เอ๊ะ?" 'เขาเป็นคนเริ่ม ทำไมพูดยังกับว่าเราเป็นฝ่ายไปยั่วเขา อยากจะบ้าตาย'

ชิงหลินรีบลุกออกมาและสวนกลับทันควัน "คะ...ใครอยากนั่งตักท่านกัน"

"อ้อ น่าเสียดาย" มู่หลิ่งเหวินยกยิ้มเล็กน้อย สายตาจับจ้องใบหน้าจิ้มลิ้มทุกการเคลื่อนไหว "เอาละๆ ข้าไม่แกล้งเจ้าแล้ว มาดูแผลให้ข้าเถิด ถ้าข้าป่วยขึ้นมา เจ้าต้องรับผิดชอบเข้าใจหรือไม่" เขายังพูดไม่ทันจบ นางก็รีบเข้ามาดูแผลให้เขาทันที เห็นนางกระตือรือร้นมากเพียงนั้น หัวใจพยัคฆ์หนุ่มก็พลันเจ็บปวดจนต้องกุมไว้

'เจ้าเกลียดชังข้ามากถึงเพียงนี้เชียวหรือ' แม่ทัพหนุ่มถามนางในใจ

"บาดแผลนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร" นางเอ่ยถามเมื่อทุกอย่างเสร็จสิ้นอย่างไม่ใส่ใจนัก

"ปะทะกับโจรระหว่างเดินทางกลับมาเมืองหลวง" แม่ทัพหนุ่มจำต้องปดนาง เพราะไม่อยากถูกนางหัวเราะเยาะ

ความจริงนั้นหรือ เมื่อภารกิจตามหาตัวองค์รัชทายาทเสร็จสิ้นลง แม่ทัพหนุ่มก็เดินทางมาที่คฤหาสน์สกุลชิง และเป็นเวลาเดียวกับที่หน่วยคุ้มกันเข้ามาแจ้งข่าวว่า ขบวนรถม้าของนางถูกปล้นระหว่างทาง และนางหายตัวไปในป่าอาถรรพ์ ทำให้แม่ทัพหนุ่มร้อนใจยิ่งนัก ผลุนผลันจะออกมาตามหานาง แต่ถูกจางมู่หลงห้ามไว้ จนเกิดการต่อสู้กันขึ้น แม่ทัพหนุ่มได้รับบาดเจ็บที่ต้นแขนขวา ส่วนจางมู่หลงกลับสลบเหมือดไม่ได้สติ

เมื่อชิงหยวนเห็นความตั้งใจจริงของแม่ทัพหนุ่ม จึงได้มอบยา อาหาร และน้ำดื่มให้นำติดตัวมาด้วย เพราะเดาว่า ถ้าได้พบนาง นางต้องหิวเป็นแน่ ส่วนชิงหยวนนั้นจะรีบตามมาให้เร็วที่สุด

ครืน...ครืน...ครืน...

เสียงฟ้าร้องดึงสติของมู่หลิ่งเหวินให้กลับมา แม่ทัพหนุ่มลุกขึ้นยืนเต็มความสูง สำรวจรอบๆ บริเวณอย่างระมัดระวัง

"หาที่หลบฝนก่อนเถิด" เขากล่าวขึ้นและนางก็เห็นดีด้วย เพราะคิดว่าถ้าออกจากป่าตอนนี้อาจต้องเจอฝนซึ่งจะทำให้หลงทางได้ง่าย

"ข้าคิดว่าใกล้ๆ นี้น่าจะมีถ้ำเจ้าค่ะ" หญิงสาวเอ่ยขึ้นคล้ายเดาสุ่ม ทั้งที่ได้ยินเสียงกระซิบอนุญาตจากเจ้าเสือยักษ์ว่าให้ใช้ถ้ำได้

"ไปเถิด" มู่หลิ่งเหวินมิได้ซักถามอันใด มือหนึ่งจูงเจ้าไป๋เสวี่ย อีกมือก็เกาะกุมมือนางไว้แน่นไม่ยอมปล่อย แม้นางจะพยายามขัดขืนตลอดก็ตาม

ขณะเดียวกัน ด้านนอกชายป่าอาถรรพ์ราวครึ่งชั่วยาม ภายหลังมู่หลิ่งเหวินเข้าไปในป่าอาถรรพ์แล้ว เฟิ่งอิงก็ยืนกระวนกระวาย ดวงตาเรียวดุจับจ้องผืนป่าเบื้องหน้าสลับกับเส้นทางฝั่งเมืองหลวงคล้ายรอบางสิ่งบางอย่าง เพียงครึ่งเค่อก็ปรากฏกลุ่มคนควบม้ามาด้วยความเร็วมุ่งหน้ามาทางนี้ ก่อนจะหยุดลงเบื้องหน้าของเฟิ่งอิง

"นายท่าน จะเข้าไปเลยหรือไม่ขอรับ" เฟิ่งอิงรีบเข้ามาถามชิงหยวน

ชิงหยวนกระโดดลงจากหลังม้า ตามมาด้วยหน่วยคุ้มกันมากกว่าร้อยคน ซึ่งบ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่านางมีความสำคัญต่อสกุลชิงมากเพียงใด

"เจ้าใจเย็นก่อน และไม่ต้องกล่าวโทษตัวเองไป" ชิงหยวนกล่าวเตือนสติผู้คุ้มกันคนสนิท แม้ตนจะเป็นห่วงบุตรสาวเพียงใด แต่ความหุนหันพลันแล่นก็ไม่ได้ช่วยให้การตามหาตัวบุตรสาวเร็วขึ้น รังแต่จะทำให้ล่าช้าเสียมากกว่า

"ขอรับ" เฟิ่งอิงตอบรับเสียงเบาหวิว ใบหน้าคมเข้มยังคงเรียบเฉยและเย็นชาเช่นเดิม แต่ในดวงตาสีน้ำหมึกกลับมีระลอกคลื่นความห่วงใยชัดเจน จนชิงหยวนอดเป็นห่วงเสียไม่ได้

'ขออย่าให้เป็นอย่างที่ข้าคิดเลยเฟิ่งอิง'

"นายท่าน ดูท่าจะแย่แล้วขอรับ" หน่วยคุ้มกันคนหนึ่งรีบเข้ามารายงาน

"มีอันใดหรือ" ชิงหยวนเอ่ยถาม

"เมฆตั้งเค้า ดูท่าฝนคงตกเร็วๆ นี้แน่ขอรับ"

ราวครึ่งเค่อ ทั้งสองก็พบถ้ำ มู่หลิ่งเหวินถึงกับหรี่ตามองนางคล้ายสงสัยระคนทึ่ง ที่ดูเหมือนนางจะเดาสุ่มได้แม่นยำอย่างกับตาเห็น และที่ตามหลังทั้งสองมาติดๆ คือฝนที่กระหน่ำลงมาอย่างหนัก

แม่ทัพหนุ่มเดินนำหน้าและจับมือคู่หมายไว้เช่นเดิม ดวงตาคมทรงเสน่ห์กวาดมองไปรอบๆ อย่างระแวดระวัง มือที่ถือคบเพลิงเป็นทั้งแสงนำทางและอาวุธ ครั้นสำรวจเสร็จสิ้นจึงตระหนักได้ว่า ถ้ำนี้ออกจะพิเศษผิดจากที่ตนเคยพบเห็นมา ถ้ำส่วนใหญ่ควรมีถ้ำเล็กถ้ำน้อยอยู่ภายใน แต่ถ้ำนี้กลับคล้ายกระโจมขนาดยักษ์เสียมากกว่า ซ้ำยังไร้กลิ่นอันไม่พึงปรารถนา ช่างเป็นถ้ำที่แปลกนัก...

โครก...คราก...

"เสียงอันใดหรือ" มู่หลิ่งเหวินตีหน้าขรึมถาม หันไปรอบๆ คล้ายมองหาที่มาของเสียง ก่อนจะหันมาจ้องนางนิ่ง ดวงตาคมทรงเสน่ห์ทอประกายขบขัน เมื่อเห็นใบหน้าจิ้มลิ้มแดงระเรื่อ

ฝ่ายชิงหลินรู้สึกอับอายจนพูดไม่ออก ได้แต่เบือนหน้าไปทางอื่น "เอ๊ะ! หมั่นโถว เนื้อแห้ง ท่านนำติดตัวมาด้วยหรือเจ้าคะ" นางเอ่ยถามเมื่อเขาหยิบยื่นอาหารมาให้

"ต้องขอบคุณบิดาเจ้า ที่มองได้ทะลุปรุโปร่งว่าเจ้าต้องหิวเป็นแน่"

"แล้วเหตุใด...ท่านพ่อจึงไม่มาพร้อมท่านล่ะเจ้าคะ" ชิงหลินเอ่ยถามก่อนจะลงมือกินหมั่นโถวไส้หมูลูกใหญ่อย่างเอร็ดอร่อย ส่วนเนื้อแห้งนางไม่กล้ากินเพราะไม่รู้ว่าเป็นเนื้ออะไร

"ข้าล่วงหน้ามาก่อน ส่วนบิดาเจ้าและคนอื่นๆ จะรีบตามมาภายหลัง" แม่ทัพหนุ่มส่งกระบอกน้ำดื่มให้นาง นางค้อมศีรษะขอบคุณแล้วเอ่ยถาม "แล้วจะเข้ามาได้หรือเจ้าคะ ฝนตกหนักขนาดนี้"

"เราคงต้องพักค้างแรมที่นี่ รอจนฟ้าสว่างค่อยออกเดินทาง" แม่ทัพหนุ่มตอบ

"เจ้าค่ะ" เมื่อไม่มีทางเลือก ดื้อแพ่งไปก็ไม่มีประโยชน์ อีกอย่าง ไม่รู้ทำไมนางถึงเชื่อใจเขา แม้เขาจะไว้ใจไม่ค่อยได้ก็เถอะ

"พักผ่อนเถิด ข้าจะอยู่เฝ้ายามเอง" เขาหันมากล่าวกับคู่หมาย ก่อนจะหันกลับมาโยนกิ่งไม้สุมไฟเพื่อไล่ความหนาว แม้จะเป็นฤดูใบไม้ผลิที่สภาพอากาศโดยทั่วไปเย็นสบาย แต่ถ้านอนไม่ห่มผ้าก็อาจทำให้ป่วยไข้ได้เช่นกัน

"ขอบคุณสำหรับเสื้อคลุมเจ้าค่ะ" หญิงสาวเอ่ยขอบคุณเขาเบาๆ ที่อุตส่าห์เสียสละเสื้อคลุมมาปูแทนเสื่อให้นอน เมื่อล้มตัวลงนอน นางก็อดที่จะชำเลืองมองเขาไม่ได้ ครั้นเห็นเขามองมาก็รีบตะแคงไปอีกด้านหนึ่งทันที จึงไม่ได้เห็นสีหน้ากับแววตารักใคร่ของเขาที่ทอดมองมาด้วยความอ่อนโยน

ล่วงเข้ายามจื่อ

"พ่อ...พ่อจ๋า อย่าไป...อย่าไป..." เสียงละเมอของร่างเล็กปลุกให้แม่ทัพหนุ่มที่นั่งหลับพิงก้อนหินใหญ่ข้างกองไฟตื่นขึ้น กองไฟที่ยังลุกโชนส่องสว่างให้เห็นร่างเล็กส่ายศีรษะไปมา สองมือเรียวไขว่คว้าอากาศ

ด้วยความสงสัยระคนเป็นห่วง มู่หลิ่งเหวินจึงลุกขึ้นมาย่อตัวลงนั่งข้างๆ ร่างเล็ก ยื่นมือไปคว้ามือเล็กนุ่มนิ่มที่ปัดป่ายอยู่กลางอากาศมากุมไว้ ก่อนจะตบหลังมือเพื่อปลอบโยน

เมื่อเห็นว่านางสงบลงแล้วจึงคิดจะชักมือกลับ แต่กลับถูกมือเล็กนุ่มนิ่มยึดจับเอาไว้แน่น ทั้งยังส่งเสียงงึมงำเบาๆ แม่ทัพหนุ่มถอนหายใจยาวก่อนจะตัดสินใจล้มตัวลงนอนข้างๆ นาง ยกศีรษะนางให้หนุนแขนแข็งแรงของตน

"อืม..." ร่างเล็กพลิกตัวเข้าหาเขาทันทีทั้งที่ยังหลับสนิท วาดแขนโอบกอดเขาที่คิดว่าเป็นหมอนข้าง พยายามดึงหมอนข้างเข้าหาตัวยังไม่พอ ยังเอาใบหน้าถูแผ่นอกของเขาไปมา โดยไม่ได้รับรู้เลยว่าสิ่งที่ทำไปทั้งหมดสร้างความปั่นป่วนให้เขารู้สึกร้อนรุ่มจนไม่อาจข่มใจให้หลับลงได้

จวบจนรุ่งสาง

"อืม...อุ่นจัง" ร่างเล็กพึมพำเบาๆ ด้วยสีหน้าเปี่ยมสุขทั้งที่ยังหลับตา

"เจ้า...ชอบกอดข้าขนาดนี้เชียวหรือ" เสียงทุ้มต่ำปลุกให้ร่างเล็กตื่นจากฝันหวาน

"เอ๊ะ ทำไม? ท่านมานอนตรงนี้" ชิงหลินผุดลุกขึ้นนั่งอย่างงุนงง ตามด้วยแม่ทัพหนุ่มที่เลิกคิ้วมองด้วยสีหน้าเรียบเฉยไร้อารมณ์

"ท่านแม่ทัพ!" หญิงสาวเรียกเขาเสียงดังเมื่อเห็นเขาไม่ตอบ ซ้ำยังทำไม่รู้ไม่ชี้

"พี่เหวิน ถ้าเจ้ายังขืนเรียกข้าเช่นนั้นอีกทีละก็..." แม่ทัพหนุ่มพูดพลางยื่นหน้าเข้ามาใกล้นาง สบตาก่อนจะหลุบมองริมฝีปากอวบอิ่มที่รู้ดีว่าหวานเพียงใดอย่างหลงใหล

"กะ...ก็ได้ พี่เหวิน พอใจหรือยังเจ้าคะ"

มู่หลิ่งเหวินผละออกห่างอย่างพอใจ ก่อนจะลุกขึ้นเต็มความสูงบิดตัวไปมาคลายความปวดเมื่อยจากการเป็นหมอนข้างให้นางนอนกอดทั้งคืน

เมื่อจัดการล้างหน้าล้างตาและกินอาหารที่ยังเหลืออยู่อีกเล็กน้อยจนเสร็จ จึงพากันออกจากถ้ำ สภาพป่าอาถรรพ์หลังพายุฝนทำให้รู้สึกสดชื่นยิ่ง แต่แสงสว่างจากสุริยายังคงถูกบดบังด้วยต้นไม้ใหญ่ ไม่ต่างจากยามโพล้เพล้

ชิงหลินจำต้องนั่งม้าตัวเดียวกับเขา เพราะเขาฝากเจ้าทาเสว่ไว้กับหน่วยคุ้มกันที่เฝ้าอยู่แนวชายป่าอาถรรพ์ นางขอนั่งซ้อนหลัง แต่เขาไม่ยินยอม อ้างเหตุผลว่ากลัวนางตกบ้าง เผื่อมีอันตรายจากด้านหลังบ้าง จนนางรำคาญ ต้องจำใจนั่งข้างหน้า เหมือนถูกเขาโอบกอดกลายๆ ไม่พอ ยังเอาหน้ามาคลอเคลียข้างหูจนนางจั๊กจี้ขนลุกไปทั้งตัว

"คุณหนู! คุณหนู! ท่านแม่ทัพ! อยู่แถวนี้หรือไม่ขอรับ ถ้าอยู่ได้โปรดขานรับด้วย" เมื่อออกเดินทางได้ราวหนึ่งเค่อ ทั้งสองก็ได้ยินเสียงตะโกนร้องเรียกแว่วมาแต่ไกล

วูบ...ฟึ่บ!

มู่หลิ่งเหวินกระชับดาบที่เอวทันทีเมื่อรู้สึกได้ถึงอันตราย ผู้ใดกันที่สามารถกดดันได้ถึงเพียงนี้ เขารั้งบังเหียนม้าให้หยุดเดิน ดวงตาคมทรงเสน่ห์เพ่งมองบริเวณที่รู้สึกได้ถึงอันตรายอย่างไม่เกรงกลัว แต่พอบุรุษผู้นั้นปรากฏตัว...

"เฟิ่งอิง!" ร่างเล็กที่นั่งบนหลังม้าร้องเรียกอย่างดีใจพร้อมกับส่งยิ้มหวานให้ และทำท่าจะลงจากหลังม้า ทว่ากลับถูกแม่ทัพหนุ่มโอบเอวไว้

"เอ๊ะ พี่เหวิน ท่านจับข้าไว้ทำไมกัน ปล่อยข้านะเจ้าคะ" นางพยายามง้างมือเหล็กของเขาออกอย่างเอาเป็นเอาตาย

"ฮึ่ม" แม่ทัพหนุ่มฉุนเฉียวยิ่งนัก นางเป็นคู่หมายของเขา เหตุใดจึงส่งยิ้มหวานให้บุรุษอื่นเช่นนี้

"เอ่อ...คุณหนู ท่านปลอดภัย ข้าก็พอใจแล้ว นายท่านกำลังรอท่านอยู่ รีบไปเถอะขอรับ" เฟิ่งอิงรายงานจบ ก็มีชายฉกรรจ์มากมายหลายสิบชีวิตปรากฏตัวขึ้น

"หลินเอ๋อร์..." เสียงคุ้นหูเรียกร่างเล็กที่ก้มหน้าง้างมือชะงัก ก่อนจะยิ้มกว้างด้วยความดีใจอีกครั้ง

"ท่านพ่อ!"

คราวนี้เขายอมปล่อยนางแต่โดยดี ชิงหลินพยายามจะปีนลงจากหลังม้า แต่เขากลับส่งสายตาห้ามไว้ จึงยอมให้เขาอุ้มนางลงจากหลังเจ้าไป๋เสวี่ยอย่างไม่ค่อยเต็มใจเท่าไร

"โอ ดี ดียิ่งนักที่เจ้าปลอดภัย รีบออกไปจากที่นี่กันเถิด เรื่องอื่นค่อยว่ากัน" ชิงหยวนลูบศีรษะบุตรีสองสามครั้ง เฟิ่งอิงจึงออกคำสั่งให้ถอนกำลัง

ชิงหยวนเดินเคียงคู่มากับมู่หลิ่งเหวิน ตามมาด้วยเฟิ่งอิงที่อาสาจูงเจ้าไป๋เสวี่ยให้คุณหนูที่นั่งอยู่บนหลังมัน ปิดท้ายด้วยหน่วยคุ้มกันที่คอยระวังหลังหลายสิบคน ราวสองเค่อทุกชีวิตก็ออกจากป่าอาถรรพ์ได้อย่างปลอดภัย ท่ามกลางความโล่งใจของทุกคน ซ้ำยังสยบคำสาปลงได้อย่างราบคาบ

เรือนพสุธา คอกสัตว์สกุลชิง

"ขอบใจหลานชายที่ช่วยดูแลหลินเอ๋อร์" ชิงหยวนเอ่ยขึ้นหลังมื้ออาหารกลางวันผ่านไป คล้ายว่าเขามิได้ใส่ใจในการออกตามหาบุตรี เหตุเป็นเพราะฝนเจ้ากรรมที่เทกระหน่ำลงมาราวกับพายุ ทำให้ต้องยกเลิกและกลับมาตั้งหลักที่เรือนพสุธ าซึ่งอยู่ห่างจากป่าอาถรรพ์ราวยี่สิบลี้เท่านั้น ฟ้ายังไม่ทันสางก็รีบเร่งออกเดินทางทันที แต่นั่นก็ยังช้ากว่าเฟิ่งอิงที่ล่วงหน้าไปก่อน

"เป็นสิ่งที่ข้าควรทำอยู่แล้วขอรับ" มู่หลิ่งเหวินวางถ้วยชาลง ตอบกลับด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

"นั่นสินะ เห็นหลินเอ๋อร์บอกว่าหลานชายรู้เรื่องนั้นแล้ว?"

มือที่ถือถ้วยชาชะงัก หลายปีมานี้เป็นนางเองมิใช่หรือที่พยายามยื้อไว้ไม่ยอมยกเลิกการเป็นคู่หมาย ทั้งที่เขาก็พยายามทุกวิถีทางหวังให้นางเปลี่ยนใจ แล้วเหตุใดพอเขารับรู้ถึงการมีตัวตนของนาง สนใจนางขึ้นมา นางกลับเอ่ยปากขอยกเลิกการเป็นคู่หมายนี้เสีย แล้วเขาควรทำเช่นไรดีเล่า จะยอมปล่อยนางไปหรือ ไม่มีวัน!

"ลุงรู้ดี ที่ผ่านมาหลานชายต้องลำบากเพราะนางมามาก ไม่เคยถือสาหาความนาง เรื่องนี้ลุงเองยังระลึกอยู่เสมอในความใจกว้างของหลานชาย" ชิงหยวนเห็นแม่ทัพหนุ่มนั่งนิ่ง คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันเล็กน้อย ก็รู้ได้ในทันทีว่าทุกอย่างเริ่มเปลี่ยนไปแล้ว เขาจึงกล่าวอย่างช้าๆ คล้ายคนที่กำลังจะยกภูเขาออกจากอก

"เมื่อนางกล่าวขอยกเลิกเอง ตอนแรกลุงกับป้าทั้งตกใจและแปลกใจ ไม่อยากเชื่อว่านางจะตัดใจจากหลานชายได้ แต่สุดท้ายก็เห็นดีด้วย คนเราควรมีความรักให้แก่กัน ชีวิตคู่จึงจะสมบูรณ์และมีความสุข...อยู่กันยืดยาว หลานชายเห็นด้วยหรือไม่" ชิงหยวนแกล้งถามแม่ทัพหนุ่มที่หน้าดำคล้ำลงทุกที แม้จะรู้สึกสงสารอยู่บ้าง แต่ในใจลึกๆ ก็อดที่จะสะใจไม่ได้เมื่อตระหนักถึงสีหน้าเจ็บปวดและน้ำตาของบุตรี ที่ต้องเสียใจเพราะการกระทำของอีกฝ่ายมานานหลายปี

"และที่สำคัญ เมื่อตบแต่งกันไป ต่อให้มีตำแหน่งเป็นถึงฮูหยินใหญ่ หากไม่เป็นที่โปรดปรานของสามี...จะมีค่าอันใด ต้องอยู่อย่างอดสูทุกข์ตรมจนตายเช่นนั้นหรือ หากต้องเป็นเช่นนั้น สู้ตัดไฟเสียแต่ต้นลมน่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุดสำหรับสองฝ่าย หลานชายลองกลับไปคิดดู ลุงเชื่อมั่นและพร้อมที่จะสนับสนุนการตัดสินใจของเจ้า" ชิงหยวนลุกขึ้นตบบ่าแม่ทัพหนุ่มเบาๆ ก่อนจะขอตัว ปล่อยให้แม่ทัพหนุ่มได้คิดทบทวนความรู้สึกของตน

เมื่อชิงหลินมาถึง เสี่ยวเอินและบ่าวในเรือน รวมถึงคนงานในคอกสัตว์ ต่างก็มายืนรอรับท่านพ่อและนางอย่างพร้อมเพรียง สีหน้าทุกคนดูปลาบปลื้มยินดี บางคนถอนหายใจอย่างโล่งอกที่นางปลอดภัย จากนั้นเสี่ยวเอินก็พานางไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าและพักผ่อนเล็กน้อย แล้วจึงไปกินอาหารกลางวันร่วมกับท่านพ่อและคู่หมาย

ที่คอกเจ้าไป๋เสวี่ย

"นี่เจ้ามนุษย์...เหตุใดจึงทำหน้าน่าเกลียดเช่นนั้นเล่า" ม้าหนุ่มเอ่ยถามไปพลางเคี้ยวหญ้าไปพลาง

"เฮ้อ ข้ากำลังสงสัยอยู่น่ะสิ"

"สงสัยอันใดหรือ" มันถามต่อ

"ก็เรื่องที่ข้าเกือบตายมาสองครั้งสองครานี่ไงเล่า" ใช่ นางอยากรู้ พยายามนึกก็นึกไม่ออกว่ามูลเหตุจูงใจในการลอบสังหารนางคืออะไร แม้ครั้งแรกจะติดใจสงสัยหานหนิงอัน แล้วครั้งล่าสุดนี่เล่า เฮ้อ ยิ่งคิดก็ยิ่งกลุ้ม

"คุณหนู...ท่านมาทำอันใดที่นี่"

"โอ๊ะ! เฟิ่งอิง มาเงียบๆ ข้าตกใจหมดเลย" ชิงหลินต่อว่าเขา

"ขออภัยขอรับคุณหนู" เขาค้อมศีรษะให้นาง

"ไม่เป็นไร จริงสิ ได้ยินว่าท่านบาดเจ็บ เป็นเช่นไรบ้าง" หญิงสาวเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง เพราะที่เขาบาดเจ็บส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะปกป้องนาง

"ขอบคุณคุณหนู ข้าไม่เป็นไรขอรับ" เฟิ่งอิงตอบเสียงแผ่วเบา ดวงตาคมเรียวดุเหลือบมองนางแวบหนึ่งก่อนจะหลุบลงมองพื้น

ทันใดนั้นเอง!

"วะ...ว้าย" ความซุ่มซ่ามของนางนำมาซึ่งบาดแผลทุกครั้ง ทว่าครั้งนี้กลับมีพระเอกขี่ม้าขาวเข้ามาช่วย

ใช่...ต้องเป็นเฟิ่งอิงอยู่แล้วเพราะเขาอยู่ใกล้ที่สุด

"คุณหนู..." เฟิ่งอิงคว้าร่างเล็กบอบบางที่สะดุดบางสิ่งจนเซถลาหน้าเกือบคะมำไว้ได้อย่างรวดเร็วด้วยแขนแข็งแรงเพียงข้างเดียว ร่างเล็กๆ ของนางก็โผเข้าสู่อ้อมอกกำยำอย่างง่ายดาย

"นั่นเจ้าทำอันใด?!"

เอ๊ะๆๆๆ เกิดอะไรขึ้นกันน้า รอติดตามตอนต่อไปจ้า^_^

SARABIYA_1501creators' thoughts