ตลาด ในถนนใจกลางเมืองหลวง
ฟ่งหลันหลั่นอาศัยช่วงที่หลงอี้หลิงเดินทางเข้าวัง เพื่อรายงานราชกิจต่อองค์ฮ่องเต้ แอบหนีออกมาเที่ยวเล่นนอกจวนแม่ทัพอีกเช่นเคย โดยที่ไม่มีใครจับได้ยกเว้นเจ้าของเรือน
สตรีน้อยได้เดินเที่ยวชมตลาดของเมืองหลวงอย่างสนุกเพลิดเพลิน บรรยากาศรอบตัวนั้นดูแปลกใหม่ไม่คุ้นตา ซึ่งแตกต่างจากเมืองที่นางเคยอยู่มาก ที่นี่พลุกพล่านหนาแน่นไปด้วยผู้คนหลากหลายที่มา
อีกทั้งเต็มไปด้วยแผงหาบเร่และร้านค้ามากมายเปิดขายของและแข็งกันเรียกลูกค้า จนเสียงดังเซ็งแซ่ไปทั่วท้องถนน
ขณะที่นางกำลังยืนชื่นชมความงามของสินค้าบนแผงขายเครื่องประดับของสตรีอยู่ โสตประสาทหูก็ได้ยินเสียงทะเลาะวิวาทของคนกลุ่มหนึ่งดังลั่นขึ้นมาตรงกลางถนน
"นายท่านได้โปรดเห็นใจคืนถุงเงินนั้นให้ข้าด้วยเถิด หากท่านเอามันไปหมด แล้วข้าน้อยจะเอาอะไรเลี้ยงชีพตัวเองกับครอบครัวกันเล่า"
น้ำเสียงบางอันแหบแห้งฟังดูไร้เรี่ยวแรงของชายชราผู้หนึ่งกล่าววิงวอนร้องขอความเห็นใจใครบางคนอยู่
ฟ่งหลันหลั่นจึงได้วางเครื่องประดับเงินลงบนแผงสินค้านั้นและหันไปมองตามเสียงนั้นอย่างสนใจ ซึ่งเห็นชราผู้หนึ่งกำลังยืนพนมมือกล่าวอ้อนวอนร้องขอความเมตตาและความเห็นใจอย่างน่าเวทนาต่อหน้ากลุ่มชายฉกรรจ์ชายหลายสิบคน
ชายฉกรรจ์คนที่ดูตัวใหญ่สุด ใบหน้าเขาดูเหี้ยมเกรียมและมีดาบหนาเล่มใหญ่เหน็บไว้ตรงสะเอวด้านข้าง ได้เปล่งเสียงแข็งกร้าวดังลั่นสวนขึ้นอย่างดุดัน
"ถอยไป! เกะกะลูกตาชะมัด เป็นหนี้ก็ต้องจ่ายสิโว้ย!"
เขาตะคอกเสียงดังตอกกลับใส่หน้า พร้อมกับผลักหน้าอกของชายชราให้พ้นทางเดินของตน ทำให้อีกฝ่ายเซถลาไปล้มทับลงบนแผงขายผักด้านข้าง จนข้าวของพังเสียหายหล่นตกลงพื้นระเนระนาด
โครม!
"ว้าย! แผงผักของข้าพังเสียหายหมด แล้ววันนี้ข้าจะเอาอะไรขายล่ะคราวนี้"
เสียงของหญิงวัยกลางคนเจ้าของแผงผักร้องโอดครวญกับกิจการที่ถูกลูกหลงจนพังเสียหาย
โอ๊ย!
เสียงร้องเจ็บปวดครวญครางของชายชราดังขึ้นอย่างเจ็บปวด
ฟ่งหลันหลั่นยังคงยืนมองอยู่ตรงแผงขายเครื่องประทับ นางพยายามข่มใจตัวเองไม่ให้สนใจและหันกลับมาก้มหน้ามองสิ่งของสวยงามตรงเบื้องหน้า ทำเหมือนข้างหลังไม่มีอะไรเกิดขึ้น
พลั่ก!
ตึง!
โครม!
คราวนี้เป็นเสียงทำลายข้าวของเครื่องใช้ให้แตกพังเสียหาย
สตรีน้อยอดกลั้นข่มใจไว้ไม่ไหว ก็ต้องพ่ายแพ้ให้กับนิสัยรักความยุติธรรมของตัวเองจนได้ นางจึงจำต้องตัดใจวางปิ่นหยกขาวในมือลงบนแผงดังเดิม จากนั้นก็เอี้ยวตัวหันขวับ พุ่งความสนใจไปยังกลุ่มคนที่กำลังทะเลาะวิวาทกันทันที
ตอนนี้ชายชราผู้นั้นหน้าฟุบลงไปนอนจมอยู่กับพื้น ด้วยสภาพร่างกายสะบักสะบอม อยู่ตรงหน้าร้านขายเครื่องปั้นดินเผา
ช่างน่าเวทนาและอนาถใจนัก บนถนนเส้นนี้พลุกพล่านหนาแน่นไปด้วยผู้คน แต่กลับไม่มีใครยื่นมือเข้าช่วยเหลือเขาเลยสักคน
เลือดในกายของฟ่งหลันหลั่นสูบฉีดพุ่งปี๊ดจนดวงหน้าแดงฝาดขึ้นมาอย่างฉับพลัน นางเดินจ้ำอ้าวตรงไปยังหน้าร้านขายเครื่องปั้นดินเผาทันที
สิ่งแรกที่สตรีน้อยทำ คือเดินเข้าไปพยุงชายชราผู้นั้นลุกขึ้นจากพื้น
"ท่านผู้เฒ่าท่านบาดเจ็บตรงไหนหรือไม่" นางถามเขาขึ้นอย่างห่วงใย แม้จะไม่รู้จักกันมาก่อน
ชายชราผู้นั้นส่ายหน้าแทนคำตอบ แต่ดวงตาสีน้ำตาลขุ่นกลับเผยแววตาเศร้าและเจ็บปวดเสียใจอย่างชัดเจน
สตรีน้อยจึงคิดเอาเองว่าชายชราผู้นี้คงกลัวว่าพวกชายฉกรรจ์ทางด้านหลังจะทำร้ายตัวเขาเองอีก จึงได้ฝืนใจโกหกออกมาเช่นนั้น จึงพาเขาเดินไปนั่งพักอยู่ตรงม้านั่งไม้ซึ่งวางอยู่ตรงข้าง ๆ ร้าน โดยไม่สนใจกลุ่มชายฉกรรจ์ด้านหลัง ที่กำลังจับจ้องมองนางด้วยสีหน้าและสายตาเช่นไร
"ท่านผู้เฒ่าโปรดนั่งรอตรงนี้ก่อน ส่วนเรื่องอื่นปล่อยให้เป็นหน้าที่ของข้าจัดการแทนท่านเอง" นางบอกชายชราด้วยถ้อยคำหนักแน่น สีหน้าและแววตาจริงจังสุด ๆ
ชายชราเผยสีหน้างงและสงสัยผ่านดวงตาสีน้ำตาลขุ่นมัว เพราะเขาไม่รู้จักและไม่เคยพบสตรีผู้นี้มาก่อน แต่เจ้าตัวกลับแสดงเจตจำนงชัดเจนว่าจะช่วยเหลือตน
ชายฉกรรจ์คนที่ดูตัวใหญ่สุดในกลุ่มชี้ปลายดาบเล่มใหญ่มาทางด้านหลังและจ่อเข้าที่คอของฟ่งหลันหลั่น เพื่อหวังจะข่มขู่ให้เกิดความกลัว
"นี่แม่นางน้อย! เรื่องนี้มันไม่เกี่ยวกับเจ้า ดังนั้นอย่าเอาตัวเข้ามายุ่งจะดีกว่านะ" น้ำเสียงเหี้ยมเกรียมกล่าวขึ้นอย่างดุดัน ในถ้อยคำแฝงไว้ด้วยคำข่มขู่
แทนที่ฟ่งหลันหลั่นได้ฟังแล้วจะเกิดความกลัว และยอมทำตามถอยร่นไปโดยดี แต่นางกลับหันขวับไปทางด้านหลัง
สตรีน้อยเผยรอยยิ้มอ่อนเจ้าเล่ห์ปานจิ้งจอกน้อยบนใบหน้างาม และวางปลายนิ้วแตะไปที่ตัวดาบ พร้อมกับมองหน้าเขาด้วยสายตาท้าทาย ไร้ความรู้สึกตื่นกลัวแต่อย่างใด
"เอาไงดีล่ะ! พอเห็นชายชราผู้นี้ทำให้ข้าอดคิดถึงตาเฒ่าที่บ้านไม่ได้ แถมข้าเองก็ไม่ชอบเห็นใครถูกรังแกเสียด้วยสิ"
คำตอบนั้นผนวกกับอากัปกิริยาที่สตรีน้อยสื่อสารออกมา มันแสดงชัดเจนว่า นางกำลังยั่วโทสะต่อพวกกลุ่มชายฉกรรจ์อย่างชัดเจน
ฮ่าฮ่าฮ่า ชายคนที่กำลังถือดาบจ่อคอสตรีน้อยอยู่ ถึงกับหัวเราะเสียงดังขึ้นอย่างขบขัน
"แม่นาง! เจ้าช่างพูดจาสามหาวอวดดีไม่ดูตัวเองเสียจริงนะ เป็นสตรีก็ควรอยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือน มิใช่เที่ยวมาต่อปากต่อคำกับบุรุษและแส่หาเรื่องใส่ตัวเช่นนี้"
ชายฉกรรจ์กล่าวถ้อยคำดูถูกดูแคลนเย้ยหยันที่นางเป็นสตรียังไม่พอ เขายังใช้มองอย่างหยาบคาย สายตาช่างแทะโลม และลวนลามนางตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า
แต่ก็ไม่ได้ทำให้สตรีน้อยหวาดเกรงได้ พลางส่ายหัวให้เขาอย่างเอือมระอา
"ท่านต่างหากล่ะ ที่เกิดมาเป็นบุรุษอกหนาสามศอก คงถือดีว่าตัวเองมีกำลังเยอะ จึงเที่ยวมารังแกผู้ที่อ่อนแอกว่า แม้สตรีหรือคนชราก็มิเว้น ช่างเกิดมาเสียชาติเกิดจริง ๆ"
คำกล่าวนี้ของฟ่งหลันหลั่น ทำให้เจ้าของคมดาบเล่มใหญ่โกรธขึ้งขึ้นในบัดดล เขาเงื้อมือขึ้นและตั้งท่าจะตวัดปลายดาบ เพื่อหวังฟาดฟันห้ำหั่นสตรีถือดีตรงหน้า
จังหวะนั้นเอง รถม้าขนาดกลางคันหนึ่งก็ได้วิ่งผ่านมาพอดี และหยุดเคลื่อนตัว ณ จุดที่มีคนกำลังทะเลาะวิวาทกันทันที
สตรีงดงามผู้หนึ่งได้เดินลงมาจากรถม้าขนาดกลางที่จอดอยู่ตรงนั้นด้วยท่าทีอ่อนช้อย
"ช้าก่อน!"
น้ำเสียงไพเราะนุ่มนวล ได้หยุดการเคลื่อนไหวของชายผู้ถือดาบไว้ได้อย่างไม่น่าเชื่อ เขาชะงักมือและหันกลับไปมองทางด้านหลัง
ฟ่งหลันหลั่นจำสตรีผู้นั้นได้ในทันที นางส่งยิ้มแป้นและทักทายด้วยน้ำเสียงสดใสให้กับผู้ที่พึ่งปรากฏตัว "แม่นางมู่! ท่านมาอยู่ที่นี่ได้ยังไงกัน"
"สตรีอีกแล้วงั้นรึ! วันนี้มันวันอะไรกัน ถึงได้มีสตรีสองคน สอดมือเข้ามายุ่งเรื่องของข้า เห็นทีเมืองหลวงแห่งนี้คงจะเกิดเรื่องวุ่นวายขึ้นเสียแล้วกระมัง" ชายคนถือดาบใหญ่ยังมิแคล้วพูดจาดูถูกดูแคลนในสตรีไม่เลิก
แต่มู่เซียวหลานนั้นไม่ได้มีนิสัยเหมือนกับฟ่งหลันหลั่น นางมิอยากเสียเวลาต่อปากต่อคำกับอันธพาลเหล่านี้ให้มากความ สิ่งเดียวที่จะหยุดการกระทำอันไร้ซึ่งความเห็นใจของคนพาลพวกนี้ได้มีเพียงสิ่งเดียว
มู่เซียวหลาน หันไปมองทางสาวใช้และส่งสัญญาณบางอย่างให้
สาวใช้พยักหน้ารับอย่างรู้ความ จากนั้นก็ล้วงเข้าไปในห่อผ้าและหยิบถุงเงินออกมา และยื่นให้กับชายคนที่ถือดาบ
ถูกต้องแล้ว มู่เซียวหลานเลือกใช้อำนาจของเงินในการแก้ปัญหา ถึงแม้ฟ่งหลันหลั่นจะรู้สึกไม่ชอบใจนัก แต่นางก็จำเป็นต้องปล่อยเลยตามนั้น
"แค่นั้นคงจะพอจ่ายค่าเสียเวลาของพวกเจ้าได้นะ ถือซะว่าเป็นคำขอโทษจากข้าแทนแม่นางคนนี้"
มู่เซียวหลานเผยยิ้มหวานและกล่าวอย่างฉะฉานชัดถ้อยชัดคำ แม้ว่าชายใดและกำลังโกรธเกรี้ยวแค่ไหน ก็เป็นต้องอ่อนยวบและยอมศิโรราบให้นางโดยไม่รู้ตัว
ชายคนที่ถือดาบรับถุงเงินไปถือไว้ในมือ จากนั้นมันโยนขึ้นสองสามทีเหมือนกำลังกะน้ำหนักของจำนวนเงินที่ใส่ไว้ในข้างในนั้น ครู่ต่อมาเขาก็ยิ้มร่าขึ้นมาบนใบหน้าเหี้ยมเกรียม ผิวหน้าหยาบของเขา และนั่นคงเป็นคำตอบได้ดีว่าสิ่งที่มู่เซียวหลานคิดไว้นั้นเป็นเรื่องจริง
ชายผู้นี้เกิดความสนอกสนใจในตัวมู่เซียวหลาน ไม่เพียงแค่รูปร่างหน้าตา แม้แต่การแต่งตัว ขนาดของรถม้า แถมยังมีสาวใช้ข้างกายเดินทางติดตามมาด้วยเยี่ยงนี้ แสดงว่านางก็มิใช่คนธรรมดาทั่วไป
"ได้! ข้าจะยอมยกโทษให้แม่นางน้อยผู้นี้สักครั้ง ว่าแต่ท่านเป็นผู้ใดกัน ข้าอาศัยอยู่ที่เมืองหลวงนี้มานานยังไม่เคยพบเจอสตรีที่มีรูปโฉมงดงามเช่นท่านมาก่อนเลย"
มีหรือที่มู่เซียวหลาน นายหญิงแห่งหอมู่ต๋า หอคณิกาชื่อดังแห่งเมืองจิ้ง ที่ทำการค้าเกี่ยวกับการให้บริการและพบปะผู้คนมากหน้าหลายตาไม่ซ้ำหน้าในแต่ละวัน จะอ่านความคิดของเขาไม่ออก และไม่มีทางที่จะเผยจุดอ่อนให้บุรุษผู้หยาบคายคนนี้ให้เห็นได้ง่าย ๆ ทว่านางก็ไม่ลืมสัญชาตญาณของการค้าขายเช่นกัน
"ข้าแซ่มู่ หากท่านอยากพบข้า ก็เชิญไปเยือนที่หอมูต๋า แห่งเมืองจิ้งได้ทุกเมื่อ"
พูดจบมู่เซียวหลานก็ไม่อยากเสียเวลาตรงนั้นนาน นางหันไปสบตากับฟ่งหลันหลั่นตัวต้นเหตุทันที "หมดธุระตรงนี้แล้ว พวกเราเองก็ไปกันเถอะ"
ทว่าฟ่งหลันหลั่น ยังรู้สึกเป็นห่วงเรื่องความปลอดภัยของชายชราคนข้างหลัง จึงมองมู่เซียวหลานด้วยสายตาเว้าวอน
เป็นสหายที่คบหากันมานาน นายหญิงแห่งมู่ต๋าย่อมรู้ใจและอ่านความหมายของสายตาคู่นี้และเข้าใจเป็นอย่างดีว่าเจ้าตัวกำลังต้องการสื่อ สิ่งใด
มู่เซียวหลานเอียงหน้าหันข้างเล็กน้อยไปทางฝั่งที่สาวใช้ของตัวเองยืนอยู่ และกล่าวขึ้นอย่างราบเรียบ
"เสี่ยวชิง ฝากเจ้าช่วยจัดการที่เหลือตรงนี้ต่อให้พวกเราด้วย เสร็จแล้วเจ้าก็ค่อยไปเจอกันยังจุดนัดพบ ข้าจะล่วงหน้าไปรอเจ้าที่นั่นก่อน" สตรีผู้มีน้ำเสียงไพเราะและดวงหน้างดงาม
"เจ้าค่ะนายหญิง" สาวใช้รับคำอย่างมั่นเหมาะ และรู้ว่าควรทำเช่นไรต่อ
เมื่อนายหญิงแห่งหอมู่ต๋าสั่งความสาวใช้เสร็จเรียบร้อย นางก็หันขวับ เดินกลับขึ้นไปนั่งบนรถม้าดังเดิม
ส่วนฟ่งหลันหลั่นเดินย้อนกลับไปหาชายชราคนที่ได้รับบาดเจ็บ นางนั่งลงข้างเขาและวางสิ่งของบางอย่างบนมือของเขา พร้อมกับกล่าวเบา ๆ
"ท่านตา หากว่าคนพวกนั้นวกกลับมาหาเรื่องหรือมาก่อกวนท่านอีก ท่านไปหาข้าได้ที่จวนของแม่ทัพหลิง และยื่นสิ่งนี้ให้กับทหารตรงหน้าประตู ต่อจากนั้นพวกเขาจะช่วยท่านเอง"
ชายชราผู้นั้นได้ยินคำว่าจวนแม่ทัพหลิง เขาถึงกับกลั้นน้ำตาไม่อยู่ มันหลั่งออกมาจนเต็มเบ้าตาทั้งสองข้างพลางหยดแหมะลงบนมืออันแห้งเหี่ยวคู่นั้นของเขา พร้อมกับมองสตรีน้อยตรงหน้าด้วยสายตาซาบซึ้งใจ
"ที่แท้ท่านก็เป็นคนของท่านแม่ทัพหลิงนี่เอง เป็นวาสนาของข้าแท้ ๆ และขอบคุณในน้ำใจของแม่นางที่ช่วยเหลือยิ่งนัก"
ชายชรากุมของที่นางมอบให้เอาไว้แน่น และรีบคุกเข่าหมอบลงบนพื้นเพื่อคารวะฟ่งหลันหลั่นแทนคำขอบคุณ แต่สตรีน้อยดึงรั้งตัวเขา ห้ามเขาเอาไว้เสียก่อน
"ท่านตา โปรดอย่าได้ทำเยี่ยงนี้ เดี๋ยวข้าอายุสั้นพอดี ยังไงก็ห้ามลืมที่ข้าบอกไว้นะ ถ้าคนพวกนั้นมาหาเรื่องอีกก็จงไปหาข้าที่จวนแม่ทัพได้ทุกเมื่อ"
เมื่อฟ่งหลันหลั่นกล่าวร่ำลากับชายชราแปลกหน้าเสร็จ สตรีน้อยก็ลุกขึ้นและเดินไปทางรถม้าที่กำลังจอดรออยู่
"แม่นางเสี่ยวชิง ข้ารบกวนท่านด้วย" ฟ่งหลันหลั่นพูดฝากฝังเรื่องของชายชราผู้นั้นไว้กับสาวใช้ของมู่เซียวหลานอีกครั้งอย่างกังวล
เมื่อนางผู้นั้นพยักหน้าตอบรับเป็นมั่นเหมาะ สตรีน้อยจึงเดินตรงไปขึ้นรถม้าอย่างไว้วางใจ
ไม่นานรถม้าของมู่เซียวหลานก็เคลื่อนตัวออกไปจากจุดนั้น
ส่วนพวกชายฉกรรจ์ที่ก่อเรื่องก่อนหน้านี้ เมื่อได้ในสิ่งที่ต้องการแล้ว นั่นก็คือ เงิน พวกเขาจึงได้ยอมปล่อยชราไป ตามคำพูดที่ได้ตกลงกับสตรีเจ้าของเงินถุงใหญ่นี้
สถานการณ์ตรงถนนใจกลางตลาดนั้นก็เริ่มกลับมาเป็นปกติเช่นเดิม
ด้านฟ่งหลันหลั่น ได้ติดตามมู่เซียวหลานไปยังโรงเตี๊ยมใหญ่แห่งหนึ่งของเมืองหลวง นางดีใจมากที่ได้เจอสหายเก่าอีกครั้งจึงเอาแต่พูดจ้อไม่หยุดปากตลอดเส้นทาง
สตรีทั้งสองนางนี้ มีความสนิทสนมคุ้นเคยและรักใครกันดั่งพี่น้อง พวกนางจึงได้พูดคุยถามไถ่สารทุกข์สุขกันอย่างเพลิดเพลิน
ทำเยี่ยงไรดี ฟ่งหลันหลั่นดันเผลอลืมเรื่องสำคัญว่าตนจะต้องกลับไปยังจวนแม่ทัพก่อนที่หลงอี้หลิงจะกลับจากวังหลวงเสียแล้วสิ
.....
เซียงไค 盛開