ตอนที่ 546 อย่างกับคนละคน...
ณ ‘เรือสมุทรธงดำ’
มันคือชื่อเรียกของบ่อนกาสิโนที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลกมิติอนันต์
และบรรดาผู้ร่วมหุ้นกาสิโนแห่งนี้ คือเก้าสิบเก้าตัวตนทรงอำนาจ ระดับจ้าววงการ
ตัวตนทรงอำนาจที่ถูกเรียกว่าจ้าววงการนั้น หมายถึงคนที่เพียงใช้ความแข็งแกร่งที่ตนมี ก็สามารถมีโลกมิติอนันต์เป็นของตนเองได้
อย่าลืมนะว่าโลกมิติอนันต์น่ะมีเอกลักษณ์ ไม่เหมือนกับโลกใดๆ มันสามารถอยู่เหนือมิติและเวลา เชื่อมโยงเข้าหากันได้โดยตรง
ขณะเดียวกัน ในแง่ของความรู้สึก โลกมิติอนันต์คือเซฟเฮ้าส์ที่ปลอดภัย
เพราะตราบใดที่ปิดช่องสัญญาณมิติ ไม่ว่าใครก็จะไม่สามารถเข้าสู่โลกมิติอนันต์นั้นๆ ได้
แถมมันยังมีพลังพิเศษที่สามารถใช้ขับไล่ใครก็ได้ออกจากโลกมิติอนันต์อีก ซึ่งนี่ไม่แตกต่างไปจากพลังของเสี่ยวเหมียวเลย
ส่งผลให้โลกมิติอนันต์ มีชื่อเสียงโดดเด่นเป็นที่สุดในด้านของความปลอดภัย
เพราะหากไม่เป็นเช่นนั้น แบรี่ที่บาดเจ็บมานานกว่าหนึ่งพันปี คงไม่สามารถมีชีวิตอยู่มาได้ถึงตอนนี้
ท่ามกลางวันสิ้นโลกของอาณาจักรทั้งมวล โลกแล้วโลกเล่าต่างทยอยกันถูกทำลายลง ชีวิตและความตายของผู้คนไม่แน่ไม่นอน ทว่าโลกมิติอนันต์กลับเป็นสถานที่เพียงแห่งเดียว ที่สามารถรับประกันชีวิตของผู้คนได้
อาจกล่าวได้ว่าในแต่ละโลกมิติอนันต์ มูลค่าของพวกมันได้อยู่เหนือยิ่งกว่าความมั่งคั่งทั้งปวง และเป็นขุมทรัพย์ที่เหล่าตัวตนทรงอำนาจระดับสูงต่างก็เฝ้าใฝ่ฝัน
ทว่าเรือสมุทรธงดำ กลับเป็นโลกมิติอนันต์ที่พิเศษยิ่งกว่าแตกต่างออกไป
ทุกคนที่เข้าสู่โลกมิติอนันต์ใบนี้ จะต้องปฏิบัติตามกฎของกาสิโน
ไม่มีใครสามารถโกงที่นี่ได้ ไม่มีใครสามารถจ่ายหนี้เป็นบิลค้างไว้ได้ และไม่มีใครสามารถต่อต้านกฎที่นี่โดยคิดใช้กำลังเด็ดขาด
เพราะกาสิโนแห่งนี้มีเก้าสิบเก้าตัวตนทรงอำนาจระดับจ้าววงการครอบครองอยู่ และพวกเขาสามารถเดินทางจากโลกของตนเองมายังโลกแห่งนี้ได้ตลอดเวลา!
แบรี่ที่กำลังถือขวดเบียร์แช่เย็น ยกมันขึ้นซดอีกครั้ง
“เปิดไพ่”
เขาเหวี่ยงชิปตัวสุดท้ายในมือออกไป
“คุณแพ้แล้ว” คนฝั่งตรงข้ามพลิกไพ่และกล่าว
แบรี่ปาไพ่ทิ้งด้วยความฉุนเฉียว แต่ทันใดนั้นเอง
คนที่อยู่ด้านหลังก็ตบลงบนไหล่เขา
“มากันครบแล้วนะ” เสี่ยวเหมียวกล่าว
“ทุกคนเลยใช่ไหม?”
“ใช่”
แบรี่ลุก และกระแทกขวดลงบนโต๊ะอย่างแรง
เสียงของขวดเบียร์ที่แตกจนป่นปี้ สะท้อนไปไกลในกาสิโน
ตลอดทั้งกาสิโนเงียบงันลงในทันใด
ผู้คนมองมาที่เขา
แบรี่ส่งสัญญาณมือ และเดินออกไปยังประตูของกาสิโน
ขณะที่จู่ๆ นักพนันหลายคนลุกจากที่นั่ง และเดินตามเขาออกจากกาสิโนไป
ผู้คนที่เฝ้ามองฉากนี้ด้วยความสับสน เริ่มตระหนักได้ถึงเงื่อนงำบางอย่างอย่างรวดเร็ว
“เฮ้ยดูนั่นสิ นั่นมันซางรั่วหลง มังกรซ่อนนภา นี่!” ผู้สังเกตการณ์คนหนึ่งตะโกนออกมา
“โอ้สวรรค์เถอะ! นายเห็นผู้หญิงสวยๆ คนนั้นไหม? นั่นเหยาซินเหมิง จอมพิฆาตดวงดาว!”
“ทำไมจู่ๆ ถึงมีตัวตนทรงอำนาจมากมายปรากฏตัวขึ้นกัน?”
“วันนี้…มันเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้นกันแน่เนี่ย?”
ตัวตนทรงอำนาจ เหล่าตัวตนทรงอำนาจเต็มไปหมดเลย!
นักพนันต่างจ้องมองเหล่าบุคคลในตำนานที่กำลังทยอยกันเดินออกจากกาสิโนด้วยความสงสัย
พวกเขาตระหนักได้ในทันทีว่ามันจะต้องมีเรื่องที่สั่นสะเทือนสวรรค์กำลังจะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน
“รู้สถานที่รึเปล่า?”
บางคนเอ่ยถามเสียงกระซิบ
“รู้สิ เสี่ยวเหมียวบอกว่าพบรอยแยกมิติซ่อนอยู่ในตำแหน่งทางด้านซ้ายของอัลเบอัสไปสองชั้นโลก” แบรี่กล่าว
อีกคนหนึ่งอุทานขึ้น “นี่มันก็นานแล้วนา ที่ฉันไม่ได้ขยับแข้งขยับขา ในสงครามคราวนี้ล่ะ ฉันจะฆ่าพวกเผ่ามารให้เหี้ยนจนอิ่มไปเลย”
“อย่าลืมแบ่งกันบ้างล่ะ ฮ่าๆ”
เสียงของเหล่าตัวตนทรงอำนาจสะท้อนไปมา
เสี่ยวเหมียวกับแบรี่สบตากันวูบหนึ่ง และพยักหน้าให้อีกฝ่าย
แล้วเสี่ยวเหมียวก็เริ่มเปิดช่องว่างมิติเคลื่อนย้ายระยะใกล้ทันที
แม้ว่าการเคลื่อนย้ายของเธอจะไม่อาจกำหนดอย่างแม่นยำได้ แต่มันก็คงห่างจากอัลเบอัสไปเพียงแค่ราวๆ ไม่เกินห้าชั้นโลกเท่านั้น อย่างไรก็ยังใกล้เคียงกับรอยแยกมิติที่ว่า และโอกาสที่จะเบี่ยงเบนออกไปก็มีไม่มากนัก
ม่านแสงพลันกะพริบไหว และทุกคนก็หายวับไป
พวกเขาปรากฏตัวขึ้นในกระแสมิติอันเชี่ยวกราก
ไม่ใกล้ไม่ไกลเบื้องหน้า คือรอยแยกมิติที่เชื่อมต่อกับดินแดนที่ถูกยึดครองโดยศัตรู
บรรดาตัวตนสุดแกร่งคนแล้วคนเล่า บ้างยกอาวุธขึ้นมา บ้างสวมใส่เกราะรบ และบินตรงไปยังรอยแยกดังกล่าว
ที่ซึ่งมีเผ่ามารซุ่มซ่อนอยู่ที่นั่น
พวกเขาหมายจะเปิดศึกโจมตี ชิงตัดหน้ากำจัดเผ่ามารที่กำลังเตรียมการบุกซะก่อน
นับจากนี้ไปสงครามขั้นแตกหักก็จักปะทุขึ้น!
ตัวตนทรงอำนาจบางคนอดไม่ได้ที่จะเริ่มตึงเครียด
เพียงสิบลมหายใจ พวกเขาก็ได้มาถึงรอยแยกมิติ
ทว่ามันกลับแตกต่างไปจากสิ่งที่พวกตนคิด เพราะภายในมันไม่มีเผ่ามารอยู่เลย
เห็นแค่เพียงใครคนหนึ่งยืนอยู่ภายในรอยแยกมิติ พร้อมกับถือแก้วไวน์ในมือวนมันเบาๆ แสดงท่าทีคล้ายกำลังเฝ้ารอพวกเขาอยู่อย่างเงียบๆ
“บัดซบ! นั่นมันทะเลเลือด ไอ้ทะเลเลือดอีกแล้ว!”
บางคนร้องตะโกนออกมา
ทันใดนั้นจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ก็ฝูงชนก็กระเจิงออกทันที
แบรี่พอได้ยินชื่อนี้ก็เริ่มรู้สึกโกรธแค้น
เขาแทรกตัวออกมาจากฝูงชน และตรงไปหาจอมมารทะเลเลือด
“นี่แกลงมือตัดหน้าก่อนคนอื่นๆ อีกแล้วเหรอ?” เขาเอ่ยถาม
จอมมารทะเลเลือดยกไวน์ขึ้นจิบและกล่าว “เปล่าซะหน่อย”
อ่าว ไม่ใช่หรอกหรือ?
แบรี่นิ่งงันไป
เกือบร้อยตัวตนทรงอำนาจก็แข็งค้างไปเช่นกัน
ทะเลเลือดกลั้วลำคอและกล่าว “นานมาแล้ว ในครั้งที่พวกเรายังเป็นเพื่อนกัน เป็นเพราะข้ามักจะบุกตะลุยไปเบื้องหน้า และจัดการเรื่องราวให้มันจบลงก่อนเสมอๆ ทุกคนเลยค่อยๆ ละเลยข้า”
“หลังจากวันเดือนปีที่ผ่านพ้น ข้าก็ได้ลองขบคิดดู และพบว่าตนได้ทำผิดพลาดไป”
“ตอนนี้ข้าเลยกลับใจ เปลี่ยนตนเป็นคนใหม่แล้ว”
แบรี่หันกลับมามองฝูงชน
ฝูงชนทุกคนต่างพากันส่ายหัว
“พวกเราไม่เชื่อแกหรอก!” แบรี่พูดพลางยกสองแขนขึ้นกอดอก
“สาบานต่อสรวงสวรรค์ว่าข้าตระหนักแล้วจริงๆ” จอมมารทะเลเลือดกล่าวอย่างจริงใจ “ข้าจะไม่เห็นแก่ตัวอีกต่อไป จะไม่ละทิ้งทุกคน จะใส่ใจถึงความรู้สึกของทุกคน ร่วมต่อสู้ไปด้วยกัน และนั่นจะทำให้พวกเราดูแลซึ่งกันและกันได้ ข้าเข้าใจว่าหลายคนเป็นห่วงข้า เกรงว่าหากข้าไปพานพบกับศัตรูเพียงลำพังมันจะอันตราย”
แบรี่จ้องมองจอมมารทะเลเลือด
“นี่แกคิดได้อย่างนั้นจริงๆ น่ะเหรอ?” เขาอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม
“ใช่ ด้วยความสัตย์จริง ข้าควรจะพิจารณาเกี่ยวกับเจ้าให้มากกว่านี้” จอมมารทะเลเลือดกล่าว
ความโกรธของแบรี่จึงลดต่ำลง
เขาพยักหน้าอย่างเงียบๆ และหันไปตะโกนถามคนข้างหลัง “แล้วพวกนายคิดว่าไง?”
ฝูงชนจับกลุ่มคุยกันสักพักหนึ่ง
ในที่สุดก็มีคนตะโกนว่า “ทะเลเลือด ในเมื่อนายไม่อาละวาดอีกต่อไป พวกเราก็ยินดียอมรับในตัวนายอีกครั้ง”
ตัวตนทรงอำนาจคนแล้วคนเล่าพยักหน้า
ความจริงแล้วทะเลเลือดก็เป็นคนที่ดีคนหนึ่ง เพียงแต่เขามักจะหยิ่งทะนงเกินไปเล็กๆ น้อยๆ ก็เท่านั้นเอง
เขาจะกลายเป็นสหายที่ดี หากเขาเปลี่ยนความคิดตัวเอง และใส่ใจคนอื่นๆ ให้มากขึ้น
ในที่สุด จอมมารทะเลเลือดก็เดินเข้าไปในฝูงชน และจับมือกับอีกหลายๆ คน
มีแม้กระทั่งบางคนที่ตบลงบนไหล่เขาอย่างสนิทสนม
เขาได้รับการยอมรับจากตัวตนสุดแกร่งระดับหัวแถวอีกครั้ง
โอเค จบเรื่องมิตรภาพละ
งั้นก็เรื่องต่อไป...
“ทะเลเลือด ในเมื่อนายมาเร็วที่สุด ถ้าอย่างงั้นนายเห็นพวกมารบ้างไหม?” แบรี่เอ่ยถาม
“ข้าเห็น และจับมันได้ตัวหนึ่ง”
“…นี่นายไม่ได้ฆ่ามันทันทีเลยงั้นเหรอ?” แบรี่อุทานออกมาอย่างไม่คาดคิด
คงจะเป็นเรื่องจริงแล้ว ที่ว่าจอมมารทะเลเลือดแตกต่างไปจากเมื่อก่อน
“ใช่ ลองดูนี่สิ”
จอมมารทะเลเลือดดีดนิ้ว
และไพ่ใบหนึ่งก็ปรากฏต่อหน้าทุกคน
ทันใดนั้นมารสุนัขเพลิงที่สูงขนาดครึ่งตัวคนก็ปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าตัวตนทรงอำนาจทั้งหมด
มารสุนัขเพลิง มีความสามารถในการสัมผัสถึงการดำรงอยู่ของทุกสิ่งมีชีวิตหลากหลายรูปแบบโดยกำเนิด และยังสามารถค้นหาเทคนิคมนตราที่คอยปกคลุมมิติซ่อนเร้นได้อีกด้วย
ดังนั้นท่ามกลางบรรดาเผ่ามารประเภทสอดแนมทั้งหมดทั้งมวล มันจึงถูกนับว่าเป็นการดำรงอยู่ที่ยอดเยี่ยมที่สุด
เมื่อใดก็ตามที่มันปรากฏตัวขึ้น ไม่ใกล้ไม่ไกลมันย่อมต้องมีกองทัพเผ่ามารอยู่อย่างแน่นอน
กำลังรบของมารสุนัขเพลิงมิได้แข็งแกร่งเท่าใด มันโดดเด่นในด้านการตรวจสอบสถานการณ์รบซะมากกว่า
ภายใต้สายตาของเหล่าผู้ไร้เทียมทานในแต่ละชั้นโลกที่จ้องมองมา สุนัขเพลิงพลันสะอื้นไห้ คุกเข่าลงด้วยความหวาดกลัวทันที
“ดีล่ะ ในเมื่อทะเลเลือดจับพลสอดแนมของเผ่ามารได้ ดูเหมือนว่าพวกเรากำลังจะได้ขยับแข้งขยับขากันแล้ว” แบรี่กำหมัดแน่น
“เพื่อโลกเก้าร้อยล้านชั้น พวกเราจะทุ่มสุดกำลัง ต่อสู้โดยไม่คิดคำนึงถึงชีวิตและความตาย!” บางคนร้องตะโกนออกมา
และฝูงชนต่างก็เฮลั่น กระตือรือร้น พร้อมที่จะต่อสู้
กลิ่นอายสังหารฟุ้งไปทั่วบริเวณ
บรรยากาศแห่งการต่อสู้พุ่งสูงขึ้นอย่างกะทันหัน
“นี่ ใจเย็นๆ กันก่อนสิ” จอมมารทะเลเลือดขัดขึ้น
“ทำไม?” แบรี่ถาม
“ขาเจ้าหายดีแล้วหรือ?”
“มันไม่เป็นไรแล้ว ไม่ต้องเป็นห่วง” แบรี่ตอบกลับไปอย่างคาดไม่ถึง
หืม…นี่เจ้าทะเลเลือดหันมาใส่ใจกับคนอื่นบ้างแล้วงั้นเหรอ?
ฝูงชนต่างก็พากันประหลาดใจ
ทว่ากลับได้ยินเพียงเสียงของจอมมารทะเลเลือดหันไปกล่าวกับผู้คนว่า “เพื่อความยุติธรรม ข้าคิดว่าทุกคนสมควรจะต่อสู้กันเองซะก่อน เหมือนกับการยืดเส้นยืดสายที่มักจะทำกันในสมาคมกำปั้นเหล็ก”
“แล้วทำไมต้องทำแบบนั้นด้วย? สงครามกำลังจะเริ่มขึ้นแล้วนะ” บางคนถามอย่างงงๆ
“เพราะพวกเจ้าจะต้องต่อสู้เพื่อชิงตำแหน่งผู้ชนะเลิศคนสุดท้าย และคนคนนั้นก็จะคุณสมบัติ ได้รับสิทธิ์ที่จะสังหารสุนัขเพลิงตนนี้อย่างไรเล่า” จอมมารทะเลเลือดกล่าว
เอ๋? ก็แล้วนั่นมันหมายความว่าอย่างไรกัน?
ไอ้ทะเลเลือดนี่ ใช่ว่าสมองพิการไปแล้วหรือไม่?
เวลานี้ สงครามกำลังจะปะทุขึ้นอยู่แล้ว และมันไม่ใช่การต่อสู้ธรรมดาๆ ด้วย ใครมันจะมีเวลาว่างไปแย่งกันฆ่าสุนัขเพลิงกัน?
ฝูงชนตกอยู่ในความสับสน
เสี่ยวเหมียวตอบสนองอย่างรวดเร็ว เธอคิดและเอ่ยถาม “ความหมายของคุณก็คือ พวกเราไม่จำเป็นต้องจัดการกับเผ่ามารตนอื่นๆ แล้วใช่ไหม?”
“ใช่แล้วล่ะ”
“อ่าว งั้นแกก็ชิงฆ่ามารทั้งหมดด้วยตัวเองอีกแล้วน่ะสิ” บางคนแทรกขึ้นด้วยความตกใจ
ความโกรธในหัวใจของทุกผู้คนเริ่มจะสูบฉีดขึ้น
“ชิงฆ่าพวกมารทั้งหมดงั้นหรือ? ไม่ๆๆ ข้าไม่ได้ทำอะไรแบบนั้น ข้าก็แค่”
“แค่อะไร?”
“แค่พวกเผ่ามารมันยังไม่ได้ส่งตัวตนที่ดุร้ายออกมา ระหว่างนั้นข้าที่กำลังเฝ้ารอทุกคนด้วยความเบื่อหน่าย จึงพยายามคิดหาวิธีคลายเครียดขึ้น”
จอมมารทะเลเลือดชี้ไปยังสุนัขที่กำลังสะอื้นไห้อยู่บนพื้น
“หลังจากที่ล้างบางกองทัพลูกกระจ๊อกนับล้านที่ซุ่มซ่อนตัวอยู่ที่นี่ ข้าก็ได้ทำการเฟ้นเลือกอย่างพิถีพิถัน เก็บชีวิตของเจ้าสุนัขตนนี้เอาไว้”
ด้วยคำกล่าวของเขา สุนัขที่หมอบครวญอยู่บนพื้นก็เริ่มสั่นสะท้าน
และทันใดนั้นมันก็พลิกตัว นอนแผ่พุงให้เกาๆ เบื้องหน้าฝูงชน
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับตัวตนทรงอำนาจอย่างหาที่ใดเปรียบนับไม่ถ้วน ในที่สุดมันก็ยอมจำนนโดยตรง
จอมมารทะเลเลือดยกแก้วไวน์ขึ้น และจิบมันอย่างสบายอารมณ์ “นับจากนี้ ข้าจะคำนึงถึงความกระหายในการต่อสู้ของทุกๆ คน ฉะนั้นในครั้งต่อๆ ไป ข้าจะเหลือเผ่ามารเก็บไว้หนึ่งตนให้พวกเจ้าฆ่าเล่น”
“เอ้า มัวรออะไรกันอยู่ รีบจัดประลองต่อสู้ แล้วเฟ้นหาผู้ชนะที่แข็งแกร่งที่สุดซะสิ จะได้ฆ่าไอ้หมาบ้านี่ให้จบๆ กันไปสักที”
“ถึงแม้ว่าพวกเจ้าจะไม่ได้ต่อสู้กับกองทัพมารนับล้าน แต่ด้วยวิธีนี้ พวกเจ้าก็จะสามารถต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับข้าได้ โดยการฆ่าหมาถึงหนึ่งตัวเชียวนา”
“นี่ไง ด้วยวิธีการนี้ของข้า พวกเจ้าทุกคนก็จะไม่ต้องรู้สึกหงุดหงิด และเสียดายที่ไม่ได้ต่อสู้กับเผ่ามารอีกต่อไปแล้วไง”
สีหน้าของทะเลเลือดกรุ้มกริ่ม รอยยิ้มยกสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว และกล่าวต่อ
“แม้ว่าความแข็งแกร่งของทุกคนจะค่อนข้างอ่อนแอจนเชื่องช้า จึงไม่สามารถมาทันการต่อสู้ได้ แต่ข้าก็ใส่ใจถึงสิ่งนั้น และพิจารณาอย่างเต็มที่ เลยเตรียมการนี้เอาไว้ให้แก่ทุกๆ คน”
“เป็นอย่างไร? ข้าเปลี่ยนไป แตกต่างเป็นคนละคนจากเมื่อครั้งอดีตแล้วใช่ไหม?”
“…” แบรี่
“…” เสี่ยวเหมียว
“…” เหล่าตัวตนทรงอำนาจ
…………………………………..........