ตอนที่ 469 ความจริง (2)
โลกชั้นภายนอก …
กู่ฉิงซานย้อนทวนคำๆ นี้จากคำกล่าวของอีกฝ่าย
เขาพยายามขบคิดไตร่ตรองเกี่ยวกับคำๆ นี้ และมิได้เอ่ยสิ่งใดออกไปอยู่ครู่หนึ่ง
แล้วก็ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน จู่ๆ กู่ฉิงซานก็ดันนึกไปถึงพิกัดของโลกเทวะเข้า
‘พิกัด’ ที่ซึ่งแตกต่างจากพิกัดของโลกอื่นๆ ที่อยู่ในบริเวณพื้นที่มิติโดยรอบของโลกล่องเวหา
ดังนั้นแล้ว ถ้าหากจะอธิบายคำว่า ‘ชั้นภายนอก’ ที่อีกฝ่ายเอ่ยออกมา มันอาจจะหมายถึง ‘ลำดับชั้น’ ที่แตกต่างกันก็ได้
จิ้งจอกขาวคร่ำครวญ “ข้าควรจะกล่าวยังไงดีนะ? ในความเป็นจริงแล้ว ต้นเหตุของทุกอย่างที่มันเกิดขึ้นก็เป็นเพราะเจ้าดันใช้กลยุทธ์อันชาญฉลาด ทำการสังหารผู้ทดสอบแห่งลั่วชานั่นแหละ”
“ดังนั้น นั่นคือเหตุผลที่ข้าต้องมารับหน้าที่คอยสังเกตการณ์เจ้า”
“อันที่จริง ตอนแรกข้าก็แค่คิดว่าเจ้าน่ะโชคดีที่สามารถจัดการกับหน้ากากได้ แต่การที่ผู้ทดสอบแห่งลั่วชากลับต้องมาตายลงไปด้วยนี่มัน … ช่างไม่ยุติธรรมจริงๆ”
“ยังไงก็ตาม หลังจากที่ได้มาสังเกตการณ์ ข้ากลับพบว่าในทุกๆ การตัดสินใจของเจ้า มันกลับไม่มีผิดพลั้งเลยแม้แต่ครั้งเดียว”
“ดังนั้นเจ้าจึงสมควรที่จะได้รับการปฏิบัติอย่างเป็นธรรม”
“ขอบคุณท่านมาก” กู่ฉิงซานกล่าว
แม้ปากจะว่าเช่นนั้น แต่มือของเขาก็ยังคงวางอยู่บนดิสก์ค่ายกล
มีเพียงวิธีเดียวเท่านั้นที่จะสามารถหลบหนีออกไปจากที่นี่ได้ นั่นก็คือการใช้ดิสก์ค่ายกลเคลื่อนย้ายมิติ!
ยังไงก็ตาม … จิ้งจอกขาวจะต้องรับรู้ถึงมันได้อย่างแน่นอน
ด้วยพลังอำนาจที่มันมี ย่อมสามารถที่จะหยุดยั้งการทำงานของดิสก์ค่ายกลได้อย่างแน่นอน
เช่นนั้นแล้ว ข้าสมควรจะทำอย่างไรดี?
ขณะกำลังขบคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ ในเวลาเดียวกันกู่ฉิงซานก็เอ่ยถามออกมา “ข้ารู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้พบกับใต้เท้า แต่ไม่ทราบว่าการที่ท่านคอยสังเกตข้า แท้จริงแล้วต้องการสิ่งใดกันแน่?”
ภายใต้เสียงที่ส่งผ่านจิตสัมผัสเทวะ สามหญิงสาวก็ค่อยๆเขยิบเข้ามาใกล้เขาทีละนิด จนอยู่ในระยะพิสัยของค่ายกล
ขั้นต่อไปตราบใดที่เขาทำการกระตุ้นดิสก์ค่ายกลขนาดเล็กที่ใช้รับส่งระหว่างสองโลกนี้ ก็มีแนวโน้มสูงทีเดียวที่จะสามารถหลบหนีไปจากโลกใบนี้ได้
อย่างไรก็ตาม เฉกเช่นเดียวกันกับฉีหยาน กระบวนการในการเปิดใช้งานดิสก์ค่ายกลนี้จะกินเวลาอยู่หลายลมหายใจ
“เจ้าลองมองดูดีๆ สิ เห็นไหมว่าข้าสุภาพเพียงใด” จู่ๆจิ้งจอกขาวก็เอ่ยออกมา
“ท่านต้องการจะสื่อถึงสิ่งใด ข้าไม่เข้าใจ”
จิ้งจอกขาว “ก็ข้าอดทนเฝ้ารอคอยจนกระทั่งเจ้าสร้างสิ่งรับส่งระหว่างสองโลกนั่นจนเสร็จสิ้น จึงปรากฏกายออกมาอย่างไรเล่า นี่เรียกว่าสุภาพหรือไม่?”
“แล้วอีกอย่าง ข้าก็ลองคิดๆดูแล้ว ว่านี่คงจะเป็นวิธีเดียวจริงๆ ที่จะทำให้เจ้ารู้สึกว่าข้ากำลังมอบ ‘ทางเลือก’ ให้แก่เจ้าโดยการไม่ได้บีบบังคับหรือกลั่นแกล้งแต่อย่างใด”
พอได้ฟัง สีหน้าของกู่ฉิงซานก็กลับกลายเป็นเคร่งขรึมยิ่งกว่าเดิม
อีกฝ่ายไม่เพียงทรงพลังอย่างแท้จริง
แต่เขายังล่วงรู้ถึงเรื่องราวทั้งหมด!
และยินยอมกระทั่งปล่อยให้กู่ฉิงซานใช้เวลาสร้างดิสก์ค่ายกลจนสมบูรณ์!
“ท่านผู้ทรงเกียรติ เช่นนั้นท่านมาหาข้าเพราะเหตุใด?”
น้ำเสียงของกู่ฉิงซานเปลี่ยนไป เขาเอ่ยถามอย่างจริงจัง
และแน่นอน ว่ามือของเขาก็ยังคงวางอยู่บนดิสก์ ไม่ยินยอมละจากมันไป
จิ้งจอกขาวกล่าว “สำหรับในเรื่องนั้น มันไม่ใช่ปัญหาของข้าหรอก แต่มันเป็นปัญหาของเจ้าที่จะต้องคำนึงให้ดีต่างหาก เพราะมันส่งผลถึงในอนาคตอย่างแน่นอน”
จิ้งจอกขาวยกหางขึ้น และโบกสะบัดเล็กน้อย
บังเกิดความผันผวนของเทคนิคเต๋ากระชากออกในพริบตา กวาดผ่านทั้งคนทั้งร่างของกู่ฉิงซานไป
“ไหนขอข้าดูหน่อยซิ … โอ้? … นี่เจ้าเคยไปมาแล้วถึงห้าโลกเลยอย่างงั้นหรือ?”
“ … ใช่ ”
กระทั่งเรื่องนี้ก็ยังสามารถตรวจสอบได้ เทคนิคมนตราของอีกฝ่ายมันเกินกว่าความรู้ความเข้าใจ ของกู่ฉิงซานไปแล้วอย่างสิ้นเชิง
จิ้งจอกขาวโบกสะบัดหางไปมาอยู่ชั่วเวลาหนึ่ง แต่มันก็มิได้เอ่ยสิ่งใด
ขณะที่กู่ฉิงซานเองก็เช่นกัน
ทั้งสองเอาแต่จ้องหน้ากันและกัน และยังคงนิ่งเงียบ ราวกับว่ากำลังพยายามค้นหาจุดอ่อนของอีกฝ่าย
แต่แล้วจู่ๆ จิ้งจอกขาวก็ยิ้มขึ้นมาทันใด
มันเป็นฝ่ายเริ่มเอ่ยปากว่า “ข้ารู้สึกได้ว่าการเลือกที่จะออกมาทดสอบเจ้าในครั้งนี้ มันนับว่าเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องแล้ว”
“ท่านกำลังจะบอกอะไร ข้าไม่เข้าใจถึงสิ่งที่ท่านพูด” กู่ฉิงซานกล่าว
จิ้งจอกขาวกล่าวด้วยการแสดงออกทางสีหน้าที่ดูสบายและไร้กังวล “ข้าสามารถรู้สึกได้ถึงความปรารถนาของเจ้า มันช่างแข็งกร้าวจนทำให้ข้าย้อนนึกไปถึงตนเองในห้วงอดีต”
“ความปรารถนาอย่างงั้นหรือ?” กู่ฉิงซานเอ่ยทวนซ้ำ
“ใช่ ความปรารถนาที่จะแข็งแกร่งยิ่งขึ้น ปรารถนาที่จะหยุดยั้งวันสิ้นโลก และปรารถนาที่จะได้รับรู้ถึงความจริงของทุกสิ่งอย่าง”
คราวนี้ กู่ฉิงซานมิได้เอ่ยตอบอะไรกลับไป
จิ้งจอกขาวกล่าว “เป็นเวลานานมากแล้ว ที่เจ้าต้องจมอยู่กับความทุกข์ทรมานท่ามกลางความปรารถนาของตนเอง และไม่มีอะไรเลยที่เจ้า – อ่า ข้าขอเดิมพันเลยว่าตัวเจ้าเองคงมิได้หลับอย่างสนิทใจมานานมากแล้วสินะ”
“เกรงว่าท่านคงเสียเดิมพันแล้วล่ะ เพราะข้าพึ่งจะได้นอนหลับสนิทมาเมื่อไม่นานมานี้เอง” กู่ฉิงซานกล่าว
“แต่เจ้าพึ่งได้หลับไปในหนึ่งส่วนแปดชั่วยามเองนะ” ว่านเอ๋อกล่าวแทรกผ่านจิตสำนึก
กู่ฉิงซานกับจิ้งจอกขาวหันหน้าไปมองเธอพร้อมกัน
ฉินรั่วจึงรีบยื่นมือออกไปหยิกเอวว่านเอ๋อทันที
ว่านเอ๋อแลบลิ้นออกมา ปากเอ่ยกล่าวอย่างละอาย “ขออภัย ถือว่าเมื่อครู่ข้าไม่ได้พูดก็แล้วกันนะ”
จิ้งจอกขาวหันมากล่าวกับกู่ฉิงซานอีกครั้ง “ไม่ว่าจะในโลกนี้ หรือโลกอื่นๆ เจ้าก็จักต้องข้ามผ่านการทดสอบอันทุกข์ทรมาน และจักต้องเผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้เพียงลำพัง”
“ความรู้สึกไม่สบายใจนี้ ครั้งหนึ่งก็เคยเกิดขึ้นกับข้าเช่นกัน ดังนั้น ข้าจึงกล้ากล่าวได้เต็มปากว่า เข้าใจความรู้สึกของเจ้า”
“ขอบคุณสำหรับความเข้าใจ แต่ข้าก็ยังไม่ทราบถึงเหตุผลที่ท่านปรากฏตัวออกมาอยู่ดี” กู่ฉิงซานกล่าว
“ข้าก็บอกแล้วไง ว่าข้ามาที่นี่เพื่อให้ ‘ทางเลือก’ แก่เจ้า”
“ทางเลือก?”
“ใช่ เจ้าที่กำลังมองหาความจริง ความจริงเกี่ยวกับภัยพิบัติของโลกทั้งหมด เพราะขอเพียงแค่รู้ความจริงในข้อนั้น เจ้าก็จะสามารถจัดการกับทุกสิ่งได้”
จิ้งจอกขาวถอนหายใจ และกล่าว “ในความเป็นจริง ท่ามกลางโลกนับล้าน แต่ละตัวตนที่ทรงแสนยานุภาพก็ล้วนแต่ต้องการที่จะค้นหาความจริงของวันสิ้นโลกกันทั้งนั้น”
“แม้แต่การดำรงอยู่ของตัวตนอันทรงประสิทธิภาพที่กระทั่งข้าเองก็มิอาจจินตนาการได้ ก็ยังต้องจนปัญญากับปัญหาในข้อนี้”
“การแสวงหาความจริง มันจะเป็นแรงดลใจให้แก่เจ้า แก่ข้า และแก่ทุกๆคน เข้าใจหรือไม่กู่ฉิงซาน”
พอกล่าวมาถึงจุดนี้ จิ้งจอกขาวก็เงียบไปชั่วคราว
มันมองไปทางกู่ฉิงซาน
กู่ฉิงซานเค้นสมองอยู่สักพัก ก่อนจะตัดสินใจเอ่ยว่า “ประโยคนี้ ช่างเป็นคำกล่าวที่สื่อได้ถึงเจตนาของท่านโดยแท้ ได้โปรดชี้แนะต่อด้วย”
จิ้งจอกขาว “เจ้าทราบหรือไม่ว่าโลกทั้งหมดโดยสิ้นเชิงแล้วมีอยู่กี่ใบ”
“ข้ามิอาจทราบได้”
“เผ่ามารก็คล้ายคลึงกันกับมอนสเตอร์ดั่งเช่นมารโลกา เจ้าเคยพบเห็นผู้ใดสามารถเอาชนะมันได้หรือไม่?”
“ไม่”
“ในโลกใบนี้ ผู้ฝึกยุทธที่แข็งแกร่งที่สุดจะอยู่ในขอบเขตลมปราณจิต แต่เจ้าคิดว่านี่คือจุดสิ้นสุด ของการฝึกยุทธหรือไม่?”
“ข้อนี้ข้าก็มิอาจทราบได้ แต่สมควรที่จะไม่” กู่ฉิงซานตอบคำอย่างไม่มั่นใจ
ขณะที่จิ้งจอกขาวยิ้ม มันหุบปากลง และไม่เอ่ยคำใดอยู่ครู่หนึ่ง
กู่ฉิงซานพอได้เห็นท่าทีของมัน ตนก็ตระหนักได้ทันที
“โปรดยกโทษให้ข้าสำหรับความโง่เขลาด้วย หากมีสิ่งใดที่ท่านต้องการให้ข้าเลือก ได้โปรดชี้แนะมันอย่างตรงไปตรงมาด้วย” เขากล่าว
“สิ่งต่อไปนี้ จะเกี่ยวข้องกับความลับอันแสนล้ำค่า ซึ่งบุคคลอื่นๆไม่สมควรที่จะได้ยิน” จิ้งจอกขาวกล่าว
กู่ฉิงซานพยักหน้า
เขาส่งดิสก์ค่ายกลให้กับฉินรั่ว
“พวกเจ้าสองคนไปก่อนเถอะ”
“อ้าวนายน้อย แล้วท่านเล่า?”
“ข้าต้องการที่จะได้รับฟังบางสิ่งบางอย่างอยู่”
“แต่ … ” ว่านเอ๋อเตรียมจะเอ่ยขัด
แต่ฉินรั่วก็คว้าตัวเธอไว้ และขยิบตาส่งสัญญาให้
“พวกเราไปกันเถอะ”
“อา”
ฉินรั่วถ่ายเทพลังวิญญาณและทำการกระตุ้นดิสก์ค่ายกล
ขณะที่แสงบางเบาจากดิสก์ค่ายกล ครอบคลุมลงบนกายของกู่ฉิงซาน
หลังจากนั้นไม่กี่ลมหายใจ ทั้งคนทั้งร่างของกู่ฉิงซานก็ถูกแสงที่ว่ากลบจนมิด มิอาจมองเห็นได้อีกต่อไป
นี่คือสิ่งที่กลุ่มของเขาได้ทำการตกลงกันในจิตสัมผัสเทวะ
กู่ฉิงซานมองไปไปยังจิ้งจอกขาว
เขากำลังเดิมพันอยู่
จิ้งจอกขาวมองมายังเขาอย่างช้าๆ ปากเอ่ยกล่าว “เจ้าสามารถตัดสินชะตากรรมของตนว่าจะอยู่ต่อ หรือจะจากไปก็ได้ แต่ข้าคงต้องขอบอกตรงๆ ว่า โอกาสที่เจ้าจะได้สนทนากับข้าเช่นนี้ ในยามที่เจ้าเลือกจะจากไปนั้น มันจะไม่มีอีกแล้วเป็นครั้งที่สอง”
รังสีบนดิสก์ค่ายกลปกคลุมทั้งกู่ฉิงซานและสามสาว
ดิสก์ค่ายกลขนาดเล็กเริ่มที่พยายามย้อนกลับเข้าไปในมิติที่ว่างเปล่า แลคล้ายกับว่า กำลังค้นหาพิกัดภายในกระแสมิติอยู่
ฉากนี้เป็นเหมือนกันกับในตอนที่ฉีหยานเริ่มใช้ดิสก์ค่ายกลทำการรับส่งระหว่างสองโลก
ยังคงมีเวลาอีกกว่าสิบลมหายใจ ค่ายกลจึงจะเริ่มทำงาน
วิสัยทัศน์ของทั้งสามหญิงสาว จ้องมองกู่ฉิงซานเป็นสายตาเดียว
ขณะที่จิ้งจอกขาวก็จ้องมองเขาเช่นกัน
ดูเหมือนว่ามันจะมิได้ตั้งใจที่จะหยุดยั้งเขาเลย
ในหัวใจของกู่ฉิงซานเริ่มวูบไหวเล็กน้อย
ตอนแรกเขาต้องการที่จะทดสอบความตั้งใจที่แท้จริงของอีกฝ่าย ขณะเดียวกันก็พยายามที่จะริเริ่มเค้นสมองของตนเอง นั่นก็เพราะว่า
เขายังมิได้ตัดสินใจว่าจะอยู่หรือจะไป
และผลการทดสอบก็ได้ออกมาแล้ว
นั่นคือกลับกลายเป็นว่า สำหรับจิ้งจอกขาวแล้ว ไม่ว่าเขาจะอยู่หรือไป มันก็หาได้ใส่ใจไม่
กู่ฉิงซานก้มหน้าลง บังเกิดความหนักอึ้งขึ้นในระหว่างลมหายใจ
หากเขาเลือกที่จะกลับไป …
ก็จะได้พบกับท่านอาจารย์ ฉินเซี่ยวโหลว ซิวซิว หนิงเยว่ฉาน แล้วก็เหลิงเทียนสิง
หลังจากที่ต่อสู้มาอย่างยาวนาน แล้วได้พบเจอคนรู้ใจ ย่อมเป็นธรรมดาที่เขาจะเป็นสุข
หลังจากกลับไป เขายังสามารถทำการผสานระหว่างสองโลก แล้วทำให้ผู้ฝึกยุทธแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้นอีกด้วย
อย่างไรก็ตาม แล้วหลังจากนั้นเล่า?
หากมอนสเตอร์ดั่งเช่นมารโลกาปรากฏตัวขึ้นในโลกแห่งผู้ฝึกยุทธ จะมีผู้ใดกันที่สามารถต่อกรกับมันได้?
กระทั่งขอบเขตลมปราณจิตก็ยังพ่ายแพ้
โลกจริงไม่ต้องพูดถึง พวกเขาอ่อนแอยิ่งกว่าโลกแห่งผู้ฝึกยุทธซะอีก
วิสัยทัศน์ของกู่ฉิงซานตกลงบนร่างของจิ้งจอกขาวอีกครั้ง
ความแข็งแกร่งของจิ้งจอกขาว… เหนือล้ำยิ่งกว่าขอบเขตลมปราณจิต
นั่นหมายถึงระดับวรยุทธที่สูงยิ่งกว่า
แล้วไหนจะยังมีผู้หญิงต่างโลกที่เดินทางเข้ามายังโลกล่องเวหาอย่างไม่ตั้งใจคนนั้นอีก
เธอทำลายโลกล่องเวหาได้ด้วยตัวคนเดียว ขณะที่ผู้ฝึกยุทธขอบเขตลมปราณจิตนับไม่ถ้วน ต่างก็พากันเค้นหาวิธีการต่างๆ นาๆ แต่ก็ไม่อาจต่อต้านการล้างแค้นของเธอได้เลย
แล้วตัวเขาเอง … ต้องการที่จะทิ้งโอกาสที่จะได้สำรวจถึงความจริงในข้อนี้ไปอย่างงั้นหรือ?
อ้างอิงจากในมุมมองคำกล่าวของจิ้งจอกขาว ตัวเขาจะยังมีโอกาสบังเอิญได้พบเจอกับตัวตนเช่นมันอีกหรือไม่?
เกรงว่าในอนาคต เขาอาจจะไม่มีคุณสมบัติดังกล่าวแล้วก็เป็นได้
กู่ฉิงซานลอบถอนหายใจอย่างลับๆ
จะกลับไปรวมตัวกับคนอื่นๆ ในโลกแห่งผู้ฝึกยุทธ หรือว่าเลือกจะย่ำไปข้างหน้าก้าวหนึ่ง ในเส้นทางที่ไม่รู้จักดี?
นี่คือหนทางที่เขาต้องเลือก
กู่ฉิงซานจมหายเข้าไปในห้วงความคิด
โดยไม่ทันได้รู้ตัว สายตาของเขาก็กวาดผ่านไปบนหน้าต่างระบบเทพสงคราม
เห็นแค่เพียงบนหน้าต่างเปล่าๆ ไม่มีสิ่งใด
แต่กู่ฉิงซานกลับตื่นตัวขึ้นมาทันที
จริงสิ
ตัวเขาเองยังไม่ได้รู้อะไรเกี่ยวกับหน้าต่างระบบเทพสงครามเลยนี่ว่ามันคือสิ่งใด
หากมิได้กลับมาจุติใหม่อีกครั้ง เขาก็คงจะเลือกต่อสู้จนตัวตาย จนกระทั่งถึงวินาทีสุดท้ายที่ทั้งโลก ถูกกลืนกินโดยเผ่ามารใช่หรือไม่?
ในชีวิตก่อนหน้านอกเหนือไปจากโลกแห่งผู้ฝึกยุทธและโลกมนุษย์แล้ว ตัวเขาก็ไม่เคยได้พบเห็นโลกอื่นอีกเลย
แต่ในครั้งที่สองนี้ เขากำลังได้รับคำเชิญจากการดำรงอยู่ที่ไม่รู้จัก ตนเองจะเลือกจากไปอย่างสงบ หรืออยู่ต่อด้วยความเสี่ยงอันสูงล้ำดี?
กู่ฉิงซานขบคิดอย่างเงียบๆ
ยังเหลือเวลาอีกห้าลมหายใจ
กู่ฉิงซานส่ายศีรษะเล็กน้อยโดยไม่รู้ตัว
ค่ายกลรับส่งระหว่างสองโลกกำลังสั่นสะท้านเป็นฟืนเป็นไฟ
มันได้เตรียมการเสร็จสิ้น และพร้อมที่จะเริ่มต้นกระบวนการเคลื่อนย้ายแล้ว
แต่ทันใดนั้นกู่ฉิงซานก็ก้าวเท้าออกมาด้านหน้าหนึ่งก้าว
เขาออกจากพิสัยของค่ายกลที่ปกคลุม
สองหญิงสาวจ้องมองเขา ตาไม่กะพริบ
กู่ฉิงซานหันกลับมา และมองไปยังสองหญิงสาวที่กำลังถูกปกคลุมไปด้วยรังสีแสงภายในค่ายกล
“ขอบเขตวรยุทธของพวกเจ้าสูงส่งยิ่งกว่าผู้คนในที่แห่งนั้น ดังนั้น ข้าไม่อนุญาตให้เจ้าทั้งสองกลั่นแกล้งพวกเขา ในยามที่พวกเจ้าได้ย้อนกลับไป” กู่ฉิงซานหัวเราะ
“นายน้อยโปรดวางใจ” สองหญิงสาวกล่าวเป็นเสียงเดียวกัน
ขณะที่รอบตาของว่านเอ๋อเริ่มเป็นสีแดงเรื่อ
ฉินรั่วกล่าวกระซิบ “พวกเราจะส่งต่อข้อมูลที่ได้ล่วงรู้มาถึงท่านอาจารย์ของเจ้า”
“ขอบคุณมาก” กู่ฉิงซานพยักหน้าให้เธอ
ฉินรั่วคือผู้ฝึกยุทธหญิงที่ฉลาดและมีเจตนาที่ดี
ทุกสิ่งอย่างที่ตัวเธอเองได้ประสบพบเจอในโลกในบี้ สำหรับโลกแห่งผู้ฝึกยุทธแล้ว มันนับว่าเป็นอะไร ที่ไม่เคยได้ยินได้เห็นมาก่อน
ตัวตนอย่างเช่นท่านอาจารย์ ขอเพียงได้ฟังข้อมูลพวกนี้ ก็จักสามารถนำมันไปวิเคราะห์ เป็นข้อมูลที่ล้ำค่าได้มากมาย
ในกรณีนี้ มันก็จะส่งผลให้ความรู้ความเข้าใจของโลกแห่งผู้ฝึกยุทธที่มีต่อต่างโลกเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่
โลกแห่งผู้ฝึกยุทธนั้นมั่งคั่งไปด้วยทรัพยากร การที่พวกเขามีสองโลกอยู่ในกำมือ และสภาพแวดล้อมที่ดี
ในการฝึกยุทธ อย่างน้อยพวกเขาก็จะยังคงปลอดภัยในระยะเวลาสั้นๆ
เพียงเท่านี้ โลกแห่งผู้ฝึกยุทธ ก็จะสามารถเตรียมพร้อมรับมือสำหรับเหตุการณ์ที่อาจจะมาถึงล่วงหน้าได้แล้ว
ฮู้มมมม!
รังสีแสงจากดิสก์ค่ายกลรับส่งระหว่างสองโลกไสวขึ้นทันใด
สีหน้าของฉินรั่วชัดเจนว่าต้องการจะบอกอะไรบางอย่าง ทว่าเธอกลับหายตัวไปจากเบื้องหน้า ของกู่ฉิงซานซะก่อน
ดิสก์ค่ายกลรับส่งระหว่างสองโลก ได้ส่งพวกเธอจากไปแล้ว
ส่งกลับไปยังโลกเทวะ
…………………………………..........