ตอนที่ 470 ความจริง (3)
สองหญิงสาวได้จากไป
หลงเหลือเพียงฉานนู่ที่ยืนอยู่เคียงข้างกายกู่ฉิงซาน
จิ้งจอกขาวเบนสายตามองมายังฉานนู่
กู่ฉิงซานอธิบาย “นางคือดาบของข้า”
จิ้งจอกขาวพยักหน้า แสดงท่าทีว่าเข้าใจ
“ข้าได้ตัดสินใจเลือกแล้วนะ” กู่ฉิงซานเอ่ยต่อ
“ใช่ และขอบอกว่านี่เป็นการตัดสินใจที่ชาญฉลาดทีเดียว”
จิ้งจอกขาวกล่าวต่ออย่างช้าๆ ว่า “ในช่วงอายุขัยของทุกสรรพชีวิต มีโอกาสน้อยนิดยิ่งนักที่ พวกเขาจะสามารถเปลี่ยนแปลงโชคชะตาของตนเองได้ บางคนจำต้องทุ่มพยายามอย่างหนักเพื่อไขว่คว้าโอกาสนั้น ขณะที่บางชีวิตก็ถูกพรากโอกาสที่ว่านั่นไป หรือไม่ก็ไม่เคยได้รับโอกาสนั้นเลย”
“แต่ข้าคิดว่าในโลกลำดับสูงเช่นเดียวกันกับที่ท่านจากมา มันคงจะไม่มีเรื่องอะไรแบบนี้หรอก” กู่ฉิงซานกล่าว
“ถึงแม้ว่าลำดับชั้นโลกจะแตกต่างกัน แต่อุปนิสัยโดยธรรมชาติของสิ่งมีชีวิตน่ะยังคงเหมือนกันอยู่ดี ดังนั้นข้าจึงเกลียดเหล่าทุกผู้ที่ทำตัวดั่งขยะ และยกย่องสิ่งมีชีวิตที่บากบั่น มุมานะดิ้นรน โดยไม่สนว่าสิ่งมีชีวิตนั้นๆ จะแข็งแกร่งรึอ่อนแอ ไม่ว่าเขาจะประสบความสำเร็จในการเปลี่ยนแปลงโชคชะตาของตนหรือไม่ก็ตามที ทว่าหากพยายาม ข้าก็ย่อมเต็มใจจะสรรเสริญ เหมือนดั่งเช่นเจ้า”
“ขอบคุณสำหรับคำชม”
“ไม่จำเป็นต้องขอบคุณข้า เพราะเดิมทีนั่นก็คือเหตุผลที่ข้าออกมาพบเจ้าในครั้งนี้”
จิ้งจอกขาวหัวเราะ และกล่าวต่อ “ในเมื่อเจ้าได้ตัดสินใจเลือกแล้ว เช่นนั้นข้าก็จะเข้าเรื่องทันทีเลยแล้วกัน”
สิ้นเสียง หางทั้งหมดที่อยู่เบื้องหลังจิ้งจอกขาวก็กางออก ก่อรูปม้วนกันเป็นวงกลมที่สาดแสงจรัส
ท่ามกลางวงกลมนี้ ประตูแสงบานหนึ่งได้ปรากฏขึ้น
ทันใดนั้นเอง เสียงเปี่ยมบารมีก็กังวานขึ้นมาตามมาจากเบื้องหลังประตูแสง
“มีเรื่องอะไรงั้นหรือ?”
“ข้าได้เฝ้าสังเกตมาสักพักแล้ว และต้องการที่จะเพิ่มผู้ที่มีคุณสมบัติจะเป็นผู้ทดสอบแห่งลั่วชา(รากษส)เพิ่มอีกสักคนหนึ่ง”
เสียงเปี่ยมบารมีพอได้ฟังว่ามิใช่เรื่องใหญ่โตอันใด น้ำเสียงของเขาก็ผ่อนคลายลง “ดูเหมือนว่าผู้มาใหม่ที่เจ้าพูดถึงก่อนหน้านี้ จะได้รับการยอมรับจากเจ้าแล้วสินะ”
“ใช่ อันที่จริงแล้วเขาแสดงได้ดีเกินกว่าที่คาดการณ์ไว้เยอะเลยเชียวล่ะ”
“มีผู้มาใหม่อย่างงั้นหรือ? แต่เท่าที่ข้าเห็น ตำแหน่งแห่งลั่วชา (รากษส) ดูเหมือนจะว่างแค่ตำแหน่งเดียวเท่านั้นนี่นา”
แล้วทั้งสองก็จมลงสู่ความเงียบไปพร้อมๆกัน
“ถ้าอย่างงั้น พวกเราก็จะเลือกหนึ่งในสองก็แล้วกัน” เสียงเปี่ยมบารมีกล่าว
“ข้าไม่ขัดข้อง”
“เช่นนั้นก็มาเริ่มการพิจารณา ตัดตัวเลือกจากหนึ่งในสองกันเถิด”
“เข้าใจแล้ว ว่าแต่การเลือกลั่วชา(รากษส)ในครั้งนี้มีเงื่อนไขอันใดบ้าง?” จิ้งจอกขาวเอ่ยถาม
“โลกทางฝั่งเจ้า มันกำลังจะถูกทำลายลงในไม่ช้าใช่หรือไม่?”
“ใช่ ศพของเทพบรรพกาลได้ถูกขโมยไปโดยเผ่ามาร มันกลืนกินดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และผืนดินจนเกือบจะหมดสิ้นแล้วโดยสมบูรณ์”
“สถานการณ์นี้ นับว่าเพียงพอแล้ว … เช่นนั้นก็ให้ผู้ทดสอบแห่งลั่วชา (รากษส) ทั้งสองพยายามเอาชีวิตรอดต่อไปในโลกที่กำลังจะถูกทำลายลงก็แล้วกัน และคนสุดท้ายที่ยังเหลือรอด ก็จะถูกเลื่อนตำแหน่งให้ขึ้นเป็นลั่วชา (รากษส) อย่างเป็นทางการ”
“เอาแบบนี้มันจะดีจริงๆ หรือ?” จิ้งจอกขาวเอ่ยถาม
เสียงเปี่ยมบารมีกล่าว “แบบนี้แหละดีแล้ว เพราะอย่างไรก็ตาม เมื่อเขาได้ขึ้นเป็นลั่วชา(รากษส) ก็จักต้องได้เผชิญกับสถานการณ์ที่คล้ายคลึงกันนี้อยู่ดี”
“หากเจ้าพิจารณาดีแล้ว … งั้นก็ได้”
จิ้งจอกขาวตอบรับ แต่ก็ยังอดไม่ได้ที่จะถามออกมา “ว่าแต่สถานการณ์สู้รบตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง?”
เสียงเปี่ยมบารมีกล่าว “ทางฝั่งเราค่อนข้างจะเสียเปรียบ”
“ต้องการให้ข้ากลับไปหรือไม่?” จิ้งจอกขาวถามต่อ
“ยังไม่ใช่ตอนนี้ พวกเรายังพอจะรับมือกับมันได้ เจ้าเองก็รีบเลือกคนที่ใช่โดยเร็วที่สุดแล้วให้เขามาเข้าร่วมกับเราเถอะ” เสียงเปี่ยมบารมีกล่าว
“เข้าใจแล้ว ดูแลตัวเองด้วย”
“เจ้าก็เช่นกัน”
ว่าจบเสียงก็เงียบลง
พร้อมกับประตูแสงที่สลายไป
“เจ้าได้ยินทั้งหมดแล้วใช่หรือไม่?” จิ้งจอกขาวหันมาถาม
“ได้ยินทั้งหมดแล้ว ข้าจะต้องรอดชีวิตอยู่ต่อไปในโลกที่กำลังล่มสลายลงใบนี้ให้นานยิ่งกว่าอีกคนหนึ่ง” กู่ฉิงซานกล่าว
“นี่คือข้อกำหนดขั้นพื้นฐานที่สุด สำหรับการที่จะได้ขึ้นเป็นลั่วชา(รากษส) ข้าหวังว่าเจ้าจะเข้าใจ”
จิ้งจอกขาวเอ่ยเสริม “รากษสจะสามารถล่วงรู้ถึงความลับของโลกชั้นภายนอกได้ในระดับหนึ่ง และได้รับตัวตันอันมีพลังพิเศษมาไว้ในครอบครอง”
กู่ฉิงซานรับฟังอย่างตั้งใจ เขามิได้เอ่ยตอบสิ่งใดเพียงแค่พยักหน้า
จิ้งจอกขาวลังเล ก่อนจะกล่าวว่า “ประเดี๋ยวก่อน ในแง่ของทั้งความแข็งแกร่ง , อิทธิพล , ความรู้ และทักษะ ผู้ทดสอบแข่งลั่วชา (รากษส) อีกคนได้เปรียบเจ้าอยู่หลายขุม ขณะที่เจ้าไม่มีสิ่งใดเลย ดังนั้นข้าจะขออธิบายสถานการณ์ส่วนหนึ่งให้เจ้าฟัง”
“เชิญชี้แนะ ข้าจะขอรับฟังอย่างตั้งใจ” กู่ฉิงซานกล่าว
จิ้งจอกขาวกระแอมในลำคอ เพื่อที่จะได้อธิบายให้มันชัดเจน “ข้าจะต้องอธิบายถึงแนวคิดขององค์กรเราที่อยู่ใน ‘ชั้นกลาง’ ของโลกนับล้านๆ ให้เจ้าฟังเสียก่อน”
“ชั้นกลางอย่างนั้นหรือ?”
“โลกขององค์กรแห่งข้าน่ะ เป็นโลกที่อยู่ในตำแหน่งระหว่างส่วนนอกของชั้นกลาง เมื่อเทียบเปรียบกับโลกใบนี้และโลกที่เจ้าเคยสัมผัสมาแล้วนั้น ไม่ว่าจะเป็นในด้านความแข็งแกร่งหรือพลัง มันก็ล้วนสูงล้ำเกินกว่าที่เจ้าจะจินตนาการได้”
“ ‘โลกของท่านอยู่ตำแหน่งส่วนนอกของชั้นกลาง’ เช่นนั้นก็หมายความว่าโลกของข้า มันเป็นโลกชั้นในใช่หรือไม่?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม
“ไม่ ไม่ ไม่ ไม่ มันไม่ใช่แบบนั้น เจ้าเข้าใจผิดแล้ว”
จิ้งจอกขาวตอบปัด
กู่ฉิงซานงง
จิ้งจอกขาวขบคิดว่าสมควรจะอธิบายออกไปอย่างไรดี ก่อนจะเริ่มเอ่ยปากอีกครั้งว่า
“ในปัจจุบันนี้ ชั้นโลกที่พวกเราได้ทำการสำรวจมาแล้ว พบว่ามันถูกแบ่งออกเป็นสามชั้น นั่นคือโลกชั้นนอก , โลกชั้นกลาง และโลกชั้นใน”
“โลกชั้นนอกน่ะอ่อนแอที่สุด และมักจะถูกทำลายลงด้วยเงื้อมมือของเผ่ามารอยู่บ่อยๆ”
“ขณะที่โลกชั้นกลางจะแข็งแกร่งขึ้นมาอีกหน่อย ดังเช่นโลกของข้าก็อยู่ในชั้นนี้ พวกเราจึงมีความสามารถพอที่จะต่อกรกับเผ่ามารได้ในระดับหนึ่ง”
“กล่าวได้ว่าโลกของพวกเราน่ะไม่หวาดเกรงเผ่ามารหรืออสูรกายสามัญอีกต่อไป”
“สำหรับโลกชั้นใน อสูรกายที่อ่อนแอจะมิกล้าเข้าไปก่อกวน มีเพียงเฉพาะอสูรกายที่แข็งกร้าวเท่านั้นจึงจะกล้าย่างกรายเข้าไปทำสงครามในระดับชั้นนั้นได้”
“เช่นเดียวกันกับความแข็งแกร่งของข้าที่เจ้าและสิ่งมีชีวิตในโลกใบนี้ไม่อาจจินตนาการได้ ขณะเดียวกัน ตัวข้าเองก็ไม่อาจจินตนาการถึงความแข็งแกร่งของเหล่าตัวตนในโลกชั้นในได้เช่นกัน”
“ทั้งสามชั้นนี้ โดยทั่วๆ ไปแล้วจะถูกเรียกกันว่า โลกแห่งลำดับชั้น”
กู่ฉิงซานพอได้ฟัง เขาก็เริ่มคิดไปถึงเรื่องพิกัดของโลกเทวะ ก่อนจะค่อยๆ ปะติดปะต่อมันเข้าหากัน
หากพิจารณาโดยการเปรียบเทียบทิศทางตำแหน่งของมิติ โลกเทวะและโลกล่องเวหานั้นไม่สมควรที่จะอยู่ในชั้นเดียวกัน
กู่ฉิงซานเอ่ยถาม “เช่นนั้นแล้ว หมายความว่าโลกที่ข้าได้เคยท่องไป มันอยู่ในชั้นนอกที่อ่อนแอที่สุดใช่หรือไม่?”
“ไม่ใช่”
จิ้งจอกขาวมองเขาอย่างมีความหมายและกล่าวว่า “พวกเขาไม่ได้อยู่ในชั้นใดๆของทั้งสามชั้นเลยด้วยซ้ำ”
กู่ฉิงซานบังเกิดข้อสงสัย “เช่นนั้นแล้ว พวกเขาไปอยู่ในชั้นใดกัน?”
“พวกเขาเป็นเพียงโลกอันเคว้งคว้าง เปราะบางอ่อนแออย่างถึงที่สุด และอยู่ห่างไกลออกไป จากลำดับชั้นภายนอกไปอีก”
“เป็นโลกที่กล่าวได้ว่า หากเผ่ามารเต็มใจที่จะทุ่มลงมือจริงๆ โลกเหล่านั้นก็จะเปรียบดั่งประกายไฟน้อยๆ ที่จะถูกมอดดับลงเวลาใดก็ได้”
“ดังนั้น โลกที่เจ้าได้เคยสัมผัสมา มันจึงถูกเรียกว่าโลกกระจัดกระจาย พวกเขาอาจจะดับสูญช่วงใด ก็ได้ตลอดเวลา”
กู่ฉิงซานตะลึงงัน
เขาไม่เคยคาดคิดเลยว่า ความจริงแล้วมันจะเป็นเช่นนี้
“แต่ตามที่ท่านบอกมา โลกแห่งลำดับชั้นมันจะถูกแบ่งออกเป็นสามชั้นมิใช่หรือ?” เขาเอ่ยถาม
“ไม่ใช่แบบนั้น” จิ้งจอกขาวถอนหายใจ “โลกทั้งหมดทั้งมวลน่ะกว้างใหญ่มาก ไอ้สามลำดับชั้นที่ว่านั้นคือ การกล่าวแบบองค์รวม หากจะให้กล่าวแบบเจาะจงแล้วล่ะก็ แม้กระทั่งบรรดาราชันย์แห่งโลกชั้นนอก หรือว่าชั้นใน ก็มิอาจที่จะกล้ายืนยันออกมาว่ามันมีจำนวนมากมายเพียงใด”
สีหน้าของจิ้งจอกขาวเริ่มมีเลือดฝาด “ตามตำนานกล่าวเอาไว้ว่า มีผู้นำของโลกใบหนึ่ง ได้ทำการอัญเชิญตัวตนทรงอำนาจเข้ามาไถ่ถาม ด้วยการจ่ายออกไปถึงสามสิบหกโลก!”
“ทว่าตัวตนทรงอำนาจที่จำเป็นต้องจ่ายออกถึงสามสิบหกโลกในการอัญเชิญ … ก็ยังมิอาจตอบถึงคำถามในข้อนี้ได้”
“คำถามอันใด?”
“ก็คำถามที่ที่ว่าต้นกำเนิดของโลกลำดับชั้นแท้จริงแล้วมันกำเนิดขึ้นมาได้อย่างไรน่ะสิ”
“ตัวตนทรงอำนาจที่จำต้องจ่ายออกไปอย่างมหาศาล แต่ก็ไม่สามารถได้รับคำตอบได้ เจ้าตัวจึงรู้สึกอับอายยิ่ง เลยกล่าวว่าจะบอกความลับอีกอย่างหนึ่งออกมาทดแทน”
“ความลับอะไร?”
“ความลับที่ว่ามีโลกลำดับชั้นทั้งหมดน่ะมีจำนวนเท่าใดน่ะสิ”
จิ้งจอกขาวกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เจ้าลองเดาดูสิ ว่าโลกลำดับชั้นแท้จริงแล้วมีทั้งหมดกี่ชั้นกันแน่?”
กู่ฉิงซานตอบอย่างไม่มั่นใจ “ซัก … สิบชั้น?”
“ผิดแล้ว”
จิ้งจอกขาวกลั้วคอและเริ่มอธิบายอย่างช้าๆ
“โลกลำดับชั้นทั้งหมดน่ะ ถูกแบ่งออกเป็นทั้งสิ้นเก้าร้อยล้านชั้น”
“โลกชั้นนอก ชั้นกลาง และโลกชั้นใน เป็นเพียงสามชั้นนอกสุดของโลก”
“ ขณะที่ในแต่ละโลกลำดับชั้น ทั้งเก้าร้อยล้านนั้น ก็ล้วนประกอบไปด้วยโลกภายในของมันอีกนับหลายพันชั้น บ้างก็เป็นหมื่น บ้างเป็นล้านเลยก็มี”
“ตัวตนทรงอำนาจกล่าวว่า นี่คือความรู้ที่พบได้ทั่วไปในโลกลำดับชั้นนอก และเขาก็รู้แค่นั้น”
“สำหรับคำถามที่ว่าต้นกำเนิดของโลกลำดับชั้นแท้จริงแล้วมันกำเนิดขึ้นมาได้อย่างไร ตัวตนทรงอำนาจก็ไม่กระจ่างเช่นกัน”
“เข้าใจแล้วใช่หรือไม่? ว่าในเวลานี้ ที่พวกเราจงใจเลือกโลกที่กำลังจะถูกทำลายลงท่ามกลางโลกกระจัดกระจาย ก็เพื่อที่จะเฟ้นหาพวกหน้าใหม่”
“และนั่นคือเหตุผลที่เจ้ามีโอกาสได้พบกับข้า”
“ลองคิดดูสิ หากเจ้าพลาดโอกาสนี้ไป เจ้าจะต้องข้ามผ่านโลกลำดับชั้นนอกนับล้านล้านใบ และตรงเข้ามาในชั้นกลาง เพื่อที่จะได้มาพบเจอกับข้า – และนั่นย่อมไม่มีทางเป็นไปได้อย่างแน่นอน”
“เจ้าได้คว้าโอกาสเดียวในชีวิตเอาไว้ได้แล้ว”
…………………………………..........