ตอนที่ 441 ปะทะ
หลังจากได้กล่าวออกไปในเชิงคำถามอยู่หลายครั้ง ในที่สุดเขาก็ได้รู้เสียทีว่าฉีหยานกำลังคิดอะไรอยู่!
ทันใดนั้นภายในจิตใจของกู่ฉิงซานก็บังเกิดภาพมากมายนับไม่ถ้วนไหลผ่านเข้ามา
เขาอดไม่ได้ที่จะย้อนนึกถึงเหตุการณ์บางอย่างที่เคยเกิดขึ้นก่อนหน้านี้
ในช่วงเวลาที่ตนกำลังเดินทางกลับมายังนิกาย ภาพเรือเหาะที่บรรทุกสินค้าอยู่เต็มลำก็ได้ปรากฏขึ้นในจิตใจของเขาอีกครั้ง
นั่นคือทรัพยากรของนิกายที่ใช้แลกเปลี่ยนกับเม็ดยารักษาของผู้อาวุโสสูงสุดแห่งวังหงส์เต๋า
แต่ทว่าเหตุใดถึงแลกเปลี่ยนไปมากมายขนาดนั้น ทั้งที่โลกใบนี้ไม่สามารถผลิต ทรัพยากรเพิ่มเติมได้อีกต่อไปแล้ว...
นอกจากนี้กำลังในการรบที่แข็งแกร่งที่สุดในนิกายกวงหยางก็ยังได้รับบาดเจ็บอยู่ จึงส่งผลให้ลั่วชาเฟิงดูแคลนนิกายกวงหยางอยู่ไม่น้อย
ทั้งในสถานการณ์เช่นนี้ ฉีหยานกลับต้องการที่จะฝึกยุทธเคียงคู่ร่วมกับผู้ที่มีชื่อเสียงอย่างสตรีแห่งรากษสอีก!
นี่มันไม่แตกต่างไปจากการเล่นกับไฟ
ถึงอย่างไรก็ตาม!
แม้ว่าฉีหยานจะเป็นคนโหดเหี้ยมและไร้ความปรานี แต่เขามิใช่คนโง่
ใช่แล้วล่ะ...ถึงแม้เขาจะมีตัณหาที่มากล้น แต่ทว่าจากข้อมูลในช่วงหลายปีที่กู่ฉิงซานได้รับมานั้นก็พบว่าตัวฉีหยานไม่เคยทำผิดพลาดสักครั้ง
แม้กระทั่งกับเด็กสาวผู้งดงามอย่างจื่อหลิว เขาก็ยังระแวงและเลือกที่จะป้องกันตนเองโดยส่งเธอที่เชี่ยวชาญในด้านค่ายกลไปอยู่ที่อื่น
ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่าเขามิใช่แค่เป็นคนฉลาดเท่านั้น แต่ยังเป็นคนที่ระมัดระวังตัวเป็นอย่างมากอีกด้วย
แล้วในสถานการณ์ที่มีความเสี่ยงอันใหญ่หลวงเยี่ยงนี้ ตัวตนอย่างฉีหยานจะเลือกเข้าไปเสี่ยง และยั่วยุอิทธิพลจากภายนอกโดยไร้ซึ่งเหตุผลได้อย่างไรกัน?
เว้นเสียแต่ว่าเขาจะตกอยู่ในสถานการณ์เลวร้ายและจำเป็นต้องทำเช่นนี้...
ในระหว่างที่กู่ฉิงซานกำลังขบคิด ช่วงเวลาก็ไหลผ่านเลยไปเรื่อยๆ
สองปรมาจารย์ตำหนักเฝ้าดูฉีหยานอย่างเงียบสงบพร้อมกับเข้าใจผิดว่าอีกฝ่ายคงกำลังดื้อดึงและพยายามรั้นที่จะปฏิเสธคำแนะนำ
ความโกรธในใจของพวกเขามิอาจระงับได้อีกต่อไป
เซ่าหวูชุ่ยทนไม่ไหวจึงกำปั้นอย่างแน่นจนเกร็ง
ขณะที่ท่าทีการแสดงออกของเย่หยิงเหมยค่อยๆ เย็นชาลง
แต่ในตอนนั้นเองกลับได้ยินเพียงเสียงถอนหายใจของฉีหยานที่ดังขึ้น
เขาผุดลุกจากที่นั่งแล้วเอาสองมือไขว้หลัง พร้อมกับเริ่มเดินไปตามขอบเวทีทีละก้าวอย่างช้าๆ
“ศิษย์น้องหยิงเหมย สหายเซ่า เจ้าคิดว่าข้าโง่หรือไม่?” เขาเอ่ยถาม
ผู้ฝึกสองยุทธขอบเขตเริ่มถึงขีดสุด จากนั้นความว่างเปล่าก็เริ่มชะงักงันไป
เห็นได้ชัดว่าพวกเขากำลังพูดถึงเรื่องของลั่วชาเฟิงอยู่แท้ๆ แล้วไฉนจู่ๆ จึงกระโดดข้ามมาเรื่องของเจ้ากัน?
แต่พอถามทั้งสองก็มีคำตอบในใจผุดขึ้นมา
ก็โง่น่ะสิ
อย่างไรก็ตาม พอได้ลองย้อนคิดดูอย่างถี่ถ้วน ทั้งสองก็ค่อยๆ กลืนคำนั้นลงไปอย่างช้าๆ
“นั่นก็จริง ถึงแม้ว่าเจ้าจะเลือดเย็น ดื้อรั้น และหยิ่งยโส แต่ทุกการกระทำของเจ้ามันใช่ว่าจะไม่มีเหตุผลซะทีเดียว...” เซ่าหวูชุ่ยเอ่ยพึมพำ
เย่หยิงเหมยก็อดไม่ได้ที่จะเผลอพยักหน้าตามออกมาโดยไม่รู้ตัว
นับตั้งแต่ในอดีตที่ผ่านมา แท้จริงแล้วมีอยู่นับครั้งได้จริงๆ ที่ฉีหยานทำเรื่องโง่เง่า
เขาเป็นคนฉลาดมาก มิฉะนั้นมีหรือที่เขาจะสามารถฝึกยุทธจนก้าวขึ้นมาถึงขีดสุดความว่างเปล่าได้
ก็แล้วถ้าอย่างนั้น แล้วเหตุใดเขาจึงต้องทำเช่นนี้ด้วยเล่า?
สองผู้ฝึกยุทธขีดสุดความว่างเปล่า จมลงสู่ห้วงความคิดโดยพร้อมอย่างมิได้นัดหมาย
ความโกรธค่อยๆ สลายไป ขณะเดียวกันก็เกิดคำถามใหม่ขึ้นมาในจิตใจของพวกเขา
“ฉีหยาน เจ้าช่วยเปิดอกบอกมาได้หรือไม่ ว่าเหตุใดจึงต้องไปตามตื๊อสตรีแห่งรากษส?” เย่หยิงเหมยเอ่ยถาม
กู่ฉิงซานเงียบไปครู่หนึ่ง ขณะที่ในสมองกำลังเร่งกรองข้อมูลทั้งหมดอย่างรวดเร็ว โดยเริ่มจาก
‘เจ้าสองปรมาจารย์นี่มอบของล้ำค่าให้เพื่อที่จะเอาใจ ‘กู่ฉิงซาน’ ซึ่งเป็นศิษย์ของตน’
และถึงแม้ว่าการลอบเอาใจในครั้งนี้จะซุกซ่อนมาในรูปแบบของการมอบของขวัญจากอาวุโส แต่มันก็ชัดเจนมากๆ จนกู่ฉิงซานอดไม่ได้ที่จะสงสัย
อย่างไรก็ตามต่อจากนั้นเซ่าหวูชุ่ยก็ได้ให้ริเริ่มให้คำอธิบายแก่ฉีหยานด้วยตนเอง
ตัวตนอย่างผู้ฝึกยุทธนักสู้หวูเต๋าในขอบเขตขีดสุดความว่างเปล่าเนี่ยนะ จะหันหน้ามาอธิบายให้ศัตรูของตัวเองฟัง? นั่นมันจะมิเป็นการถูกแว้งกัดหรอกหรือ
นี่แสดงให้เห็นถึงเบาะแสบางอย่าง
‘เซ่าหวูชุ่ยกับเย่หยิงเหมยมีความคิดบางอย่างกับ ‘กู่ฉิงซาน’ ’
ความคิดบางอย่าง...
ไม่ได้แฮะ ข้อมูลน้อยเกินกว่าที่จะสรุปออกมาเป็นรูปธรรมโดยรวมได้
อย่างนั้นมาเริ่มคิดกันใหม่ตั้งแต่ต้นเลยก็แล้วกัน
‘ทัศนคติของพวกเขาที่มีต่อ ‘กู่ฉิงซาน’ มันเปลี่ยนไปตั้งแต่ตอนไหนกันนะ?’
‘ใช่สิ มันคือในตอนที่ข้าบอกว่าพิธีเคารพอาจารย์ยังไม่เสร็จสมบูรณ์’
‘กู่ฉิงซาน’ เพิ่งถูกนำตัวมาวันแรก ดังนั้นเขาจึงยังไม่ได้ทำพิธีเคารพอาจารย์ กล่าวได้ว่ายังมิได้เป็นศิษย์กับอาจารย์กันอย่างเป็นทางการ
แต่ไม่ช้าก็เร็ว เดี๋ยวพิธีที่ว่านั่นก็คงจะเริ่มทำและเสร็จสมบูรณ์แล้วนี่นา
‘กู่ฉิงซาน’ ไม่นานเกินรอก็จะกลายเป็นศิษย์ฝึกหัดของฉีหยาน
‘แล้วคนอย่างฉีหยานก็ย่อมไม่ยินดีที่จะมอบศิษย์ฝึกหัดของตนที่นำพามาด้วยตัวเองให้แก่คนอื่นอย่างแน่นอน ตรรกกะนี้มันไม่สอดคล้องกันเลย’
ฉะนั้นแล้วสิ่งที่พอจะคิดได้ก็คือ
มีเพียงกรณีเดียวเท่านั้น ที่เซ่าหวูชุ่ยจะสามารถได้รับ ‘กู่ฉิงซาน’ มาเป็นศิษย์ได้ นั่นก็คือ...
‘ฉีหยานได้ตายลงไปแล้ว’
ใช่ ไม่น่าจะผิดพลาดแล้ว นี่สมควรที่จะเป็นคำตอบเดียว
หวังหงส์เต๋าก็ยังมิได้ปรากฏตัวขึ้น
นี่มันก็น่าจะชัดเจนแล้ว
ในหัวใจของกู่ฉิงซานเริ่มเย็นเยียบ
จากการคาดเดาตามชุดเรื่องราวทั้งหมด คุณจะสามารถเห็นถึงเบาะแสก่อนหน้านี้ และที่เพิ่งเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน ว่ามันสอดคล้องกัน
หนึ่งคือ สองปรมาจารย์ตำหนักหวาดกลัวสตรีแห่งรากษส
สอง พวกเขามิได้เอ่ยอะไรเกี่ยวกับการก้าวข้ามผ่านโทษทัณฑ์ของผู้นำฉีรั่วหยาเลย ไม่เปล่งอะไรออกมาแม้ครึ่งคำจริงๆ
ขณะเดียวกันผู้อาวุโสสูงสุดหวังหงส์เต๋าก็ได้หายตัวไป มิได้เข้าร่วมการพิจารณาคดีและการหารือกันอย่างเป็นทางการ
แถมยังไม่มีใครรู้ว่าหวังหงส์เต๋านั้นอยู่ที่ไหนอีก
นอกจากนี้ ข้อมูลที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือ ศิลาวิญญาณที่เหล่าสาวกในนิกายสมควรจะได้รับถูกยืดเวลาออกไป
นี่คือสาเหตุของเรื่องราวทั้งหมดใช่หรือไม่?
กู่ฉิงซานย้อนนึกไปถึงเรือบินที่เต็มไปด้วยสินค้าอีกครั้ง
แล้วความคิดหนึ่งก็ปรากฏขึ้นในจิตใจของกู่ฉิงซาน ทุกอย่างค่อยๆ เชื่อมต่อกันอย่างรวดเร็วจนกลายเป็นข้อสันนิษฐานหนึ่งขึ้นมา
เวลาค่อยๆ ไหลผ่านไปอีกครั้งและอีกครั้ง
เซ่าหวูชุ่ยเริ่มร้อนใจ เขาเอ่ยปากออกมาว่า “ฉีหยาน ปรมาจารย์ตำหนักเย่กำลังเอ่ยถามเจ้าอยู่นะ ไฉนจึงยังมิตอบเล่า?”
กู่ฉิงซานเอ่ยสวนทันควัน “นั่นเป็นเพราะข้ากำลังขบคิดว่าบางทีท่านพ่ออาจจะไม่สามารถข้ามผ่านทัณฑ์สวรรค์ในครั้งนี้ไปได้น่ะสิ”
พอได้ยินประโยคที่ราวกับอสนีบาตฟาดใส่นี้ ร่างของสองผู้ฝึกยุทธขีดสุดความว่างเปล่าก็สั่นสะท้าน และเกือบที่จะเริ่มลงมือทันที
แต่สุดท้ายเซ่าหวูชุ่ยก็เอ่ยถามออกมาเสียก่อน “เหตุใดเจ้าจึงคิดเช่นนั้น?”
แม้ปากจะเอ่ยถาม ทว่าสายตากลับหุบต่ำลงเพื่อพยายามที่จะปิดซ่อนเจตนาฆ่าของตนเอาไว้
“ก็เพราะในความเป็นจริงแล้ว เขากำลังได้รับบาดเจ็บอยู่น่ะสิ ซึ่งมันไม่ดีเลยที่จะต้องก้าวข้ามผ่านโทษทัณฑ์ในช่วงเวลานี้” กู่ฉิงซานกล่าว
เย่หยิงเมยกับเซ่าหวูชุ่ยเหลือบมองกันวูบหนึ่ง
ดูเหมือนว่าฉีหยานจะยังไม่รู้ถึงความจริงในเรื่องนี้
พอคิดได้เช่นนั้น สองปรมาจารย์ตำหนักก็ค่อยผ่อนคลายลงเล็กน้อย
“ฉีหยาน เรื่องที่เป็นความลับเช่นนี้ ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเจ้าจะนำมันมาเล่าให้ข้าฟัง” เซ่าหวูชุ่ยกล่าว
ขณะที่เย่หยิงเหมยส่ายศีรษะของเธอ
“แต่แท้จริงแล้วนั่นมันเป็นเพียงเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เพราะมันไม่สำคัญเท่าที่กับเรื่องที่พวกเราจะสามารถมีชีวิตรอดอยู่ได้หรอก” กู่ฉิงซานกล่าวประโยคที่แลดูสับสนออกมา
เย่หยิงเหมยกับเซ่าหวูชุ่ยพอได้ยิน ดวงตาของทั้งสองก็เบนเข้ามาสบกัน
“พวกเรา?”
เย่หยิงเหมยเอ่ยคำหนึ่ง
เซ่าหวูชุ่ยอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามออกมา “สิ่งที่เจ้าพูดหมายความว่ากระไร? ฉีหยาน สมองของเจ้าใช่พิการไปแล้วหรือไม่ ถึงได้เอ่ยวาจาที่ยากจะเข้าใจเช่นนี้”
จู่ๆ ความโกรธของกู่ฉิงซานก็พุ่งพรวดขึ้นมาอย่างฉับพลัน เขาก้าวฉับๆ ตรงไปยังเบื้องหน้าเซ่าหวูชุ่ย และใช้พัดของตนจี้เข้ากับหน้าอกของอีกฝ่าย
เขาคำรามลั่น “เซ่าหวูชุ่ย! พวกเรากำลังจะตายภายใต้เงื้อมมือของมารโลกาโดยไม่มีแม้กระทั่งโอกาสจะได้เกิดใหม่! แต่เจ้ากลับยังคงเสแสร้งยามที่อยู่ต่อหน้าข้า!”
ประโยคที่เปล่งออกมาเป็นฟืนเป็นไฟนี้ เสียดแทงลึกเข้าไปในจิตใจของเซ่าหวูชุ่ย
เขาอดไม่ได้ที่จะตะลึงงัน
“ข้าไม่เข้าใจถึงสิ่งที่เจ้ากำลังจะสื่อ” เขาบ่นพึมพำ
ก็เขายังไม่แน่ใจจริงๆ นี่นา ว่าสิ่งที่อีกฝ่ายพูดมันเกี่ยวกับเรื่องอะไร
อย่างไรก็ตาม ฉีหยานผู้นี้ จะไม่มีวันล้อเล่นเกี่ยวกับเรื่องของชีวิตและความตายเป็นแน่
เย่หยิงเหมยเอ่ยเสียงหม่น “ฉีหยาน เจ้ากำลังหมายความว่าอย่างไร ช่วยพูดให้มันชัดเจนด้วย”
กู่ฉิงซานแสยะยิ้มหยัน “เจ้าคิดว่าพวกเราจะสามารถมีชีวิตอยู่อีกต่อไปได้นานเพียงใดกัน?”
“เรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องตื่นตระหนกไป ชีวิตของพวกเรายังดีอยู่” เซ่าหวูชุ่ยกล่าว
ใช่แล้วล่ะ ของพวกเราน่ะยังดีอยู่ แต่เจ้ากำลังจะตายในไม่ช้า
เซ่าหวูชุ่ยเอ่ยประโยคหลังนี้ในจิตใจของเขา
อย่างไรก็ตาม ฉีหยานยังคงกล่าวต่อไปว่า “บิดาข้ากำลังจะตายลงในไม่ช้า ขณะที่นิกายกวงหยางหลงเหลือผู้ฝึกยุทธขอบเขตลมปราณจิตที่ได้รับบาดเจ็บอย่างรุนแรงเพียงหนึ่งเดียว ซึ่งนั่นก็คืออาจารย์เจ้า หวังหงส์เต๋า”
“แล้วหากเป็นเช่นนี้ นิกายกวงหยางจะสามารถต้านทานการโจมตีของลั่วชาเฟิงได้อย่างไร?”
สีหน้าของเซ่าหวูชุ่ยหม่อนทะมึนลง ปากเอ่ยกล่าว “ก็นั่นแหละคือเหตุผลที่เราหวังว่าเจ้าจะไม่ยั่วยุ-”
“ยั่วยุ? เจ้าบอกว่าข้ากำลังยั่วยุพวกเขาอย่างนั้นหรือ”
กู่ฉิงซานหัวเราะราวกับว่าเขาเพิ่งได้ยินสิ่งหนึ่งที่น่าสนใจยิ่ง
“นั่นเจ้าหัวเราะทำไม?” เซ่าหวูชุ่ยเอ่ยถาม
“สำหรับสามผู้ฝึยุทธลมปราณจิตแห่งลั่วชาเฟิง ตราบใดที่พวกเขาต้องการจะสังหารเราจริงๆ เจ้าคิดว่าต่อให้พวกเราไม่ยั่วยุแล้วจะสามารถหลบหนีจากเงื้อมมือพวกเขาได้กระนั้นรึ?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม
เซ่าหวูชุ่ยอ้าปาก แต่ก็มิอาจเถียงคำใดกลับไปได้
เย่หยิงเหมยจึงช่วยอธิบายแทนเขา “แต่อย่างน้อยพวกเราก็มีผู้อาวุโสหวังหงส์เต๋าอยู่ ไม่จำเป็นต้องเกรง … ”
แต่แล้วเย่หยิงเหมยก็มิอาจกล่าวคำต่อไปได้อีก
นั่นเพราะเธอสัมผัสได้ว่าคำกล่าวของตนเองช่างอ่อนแอ ไร้น้ำหนักเหลือเกิน
ผู้อาวุโสสูงสุดหวังหงส์เต๋า แม้กระทั่งตัวท่านเองก็ยังต้องแขวนชีวิตเอาไว้กับยารักษาจากลั่วชาเฟิงทุกๆ วันอยู่เลย
ทางลั่วชาเฟิงไม่ต้องทำสิ่งใดด้วยซ้ำ เพียงแค่หยุดการแลกเปลี่ยนเม็ดยารักษา และเฝ้ารออย่างเงียบๆ ให้ตัวตนที่แข็งแกร่งที่สุดในนิกายกวงหยางตายจากไปอย่างช้าๆ ก็เพียงพอแล้ว
ทั้งสองจมลงสู่ความเงียบ
ใช่ นั่นแหละคือสถานการณ์ที่แท้จริงล่ะ
นี่คือสถานการณ์ที่ทั้งสามปรมาจารย์ตำหนักจะต้องเผชิญ นอกเหนือไปจากการต่อสู้ภายในของนิกาย
กู่ฉิงซานจ้องมองไปยังทั้งสอง ในหัวใจได้ทำการพิจารณาแล้วอย่างลับๆ
หากตนสามารถปั่นหัวทั้งสองจนเรื่องราวมันมาถึงจุดนี้ได้แล้วล่ะก็ การสนทนานับจากนี้ไป สองปรมาจารย์ตำหนักจักต้องรับฟังเขาอย่างเป็นเรื่องเป็นราวอย่างแน่นอน
ผ่านไปเป็นเวลานาน เซ่าหวูชุ่ยก็กล่าวออกมาว่า “นี่คือเหตุผลที่เจ้ายั่วยุสตรีแห่งรากษสในรุ่นนี้อย่างนั้นหรือ?”
เขายังรั้นใช้คำว่า ‘ยั่วยุ’ ราวกับว่าสิ่งที่ฉีหยานทำทั้งหมดนี้ก็ยังไม่ใช่เพื่อนิกายอยู่ดี
สีหน้าของกู่ฉิงซานยังคงเงียบสงบ เขาเฝ้ามองเซ่าหวูชุ่ยอย่างใจเย็น
“หน้าข้ามีอะไรติดอยู่รึไง?” เซ่าหวูชุ่ยเอ่ยออกมาอย่างไม่สบายใจ
กู่ฉิงซานยิ้ม
“สหายเซ่า จงบอกความจริงแก่ข้ามาเถอะ ว่าทรัพยากรของนิกายที่ใช้แลกเปลี่ยนเม็ดยารักษากับลั่วชาเฟิงน่ะเหลืออยู่เท่าใด?”
“แน่นอน ว่ามันยังเหลืออยู่มากพ...” เซ่าหวูชุ่ยเปิดปากกล่าว
กู่ฉิงซานโบกมือขัดจังหวะเขา “หยุด! ยามนี้ไม่สมควรที่จะเปล่งวาจาหลอกลวงผู้อื่น นี่มันเกี่ยวข้องกับชีวิตและความตายของเจ้า ของข้า และข้าหวังว่าเจ้าจะกล่าวอย่างตรงไปตรงมาด้วย”
“หากเจ้ามีความซื่อสัตย์ ข้าก็จะบอกเจ้าเกี่ยวกับหนทางที่จะรอดชีวิตไปได้อย่างแท้จริง”
สองปรมาจารย์ตำหนักจ้องมองมาที่เขา
“หนทางรอดชีวิต?” เย่หยิงเหมยไตร่ตรอง “ฉีหยานนี่เจ้...”
กู่ฉิงซานโบกมือขัดเธอและกล่าว “ลั่วชาเฟิงมีตัวตนสุดแกร่งอย่างสามผู้ฝึกยุทธลมปราณจิตอยู่ เจ้าคิดว่าพวกเขาจะมาใส่ใจเกี่ยวกับชีวิตและความตายของเจ้าหรือข้าอย่างนั้นหรือ!?”
“ไม่ว่าจะเป็นการดำรงอยู่ของเจ้าหรือข้า มันก็ล้วนแล้วแต่เป็นภัยต่อพวกเขา เจ้าลองคิดย้อนกลับกันดูสิ ว่าหากเจ้าเป็นพวกเขา เจ้าจะปล่อยให้ตัวเองมีชีวิตอยู่ต่อไปโดยต้องสิ้นเปลืองทรัพยากรในการชุบเลี้ยงหรือไม่? หากเป็นเจ้า เจ้าจะทำเช่นไร?”
กู่ฉิงซานหันไปยิ้มให้เย่หยิงเหมยและกล่าวออกมา “ศิษย์น้องหยิงเหมย ข้าเกรงว่าบางทีเมื่อถึงเวลานั้น สามปรมาจารย์ค่ายกลในนิกายคงจะมีชีวิตที่ดีกว่าเจ้าและข้าเสียแล้ว”
เย่หยิงเหมยอ้าเผยอปาก แต่แล้วก็ต้องหุบมันลง เป็นเช่นนี้อยู่หลายครั้งโดยมิได้เอ่ยอันใดออกมา
ใช่แล้วล่ะ สิ่งที่ฉีหยานกล่าวมานั้นเป็นความจริง
จุดจบของนิกายอื่นๆ มากมายนับไม่ถ้วนก็เป็นเช่นนี้เหมือนกัน
กู่ฉิงซานโน้มตัวมาข้างหน้า ถลีงตาไปทางเซ่าหวูชุ่ยและกล่าว “สหายเซ่า ข้าจะให้โอกาสเจ้าอีกครั้ง บอกมา ว่าทรัพยากรในนิกายยังหลงเหลืออยู่มากเพียงใด”
เขาเอ่ยต่อ “จงบอกความจริงแก่ข้า! แล้วข้าจะบอกว่าหนทางเดียวที่เราจะรอดชีวิตต่อไปได้คืออะไร”
เซ่าหวู่ชุ่ยมองมายังกู่ฉิงซาน นิ่งงันไปครู่ก่อนจะตัดสินใจเอ่ยปากออกมา “ข้าจดจำได้ว่าในช่วงก่อนหน้านี้เจ้ามิได้อยู่ในนิกาย”
“ใช่” กู่ฉิงซานตอบรับ
“แถมยังนำผู้คนติดตามไปด้วยอีกเป็นจำนวนมาก ทว่าพวกเขาเหล่านั้นก็มิได้กลับมา” เย่หยิงเหมยเอ่ยเสริม
“เช่นนั้นแล้วตัวเจ้าเล่า ไปที่ใดมา?” เซ่าหวูชุ่ยเอ่ยถาม
“สหายเซ่า เจ้าต้องกล่าวเรื่องของตัวเองออกมาเสียก่อนนะ แล้วข้าจึงจะบอกมัน” กู่ฉิงซานกล่าว
“แล้วถ้าหากเจ้าโป้ปดข้าล่ะ?”
“ฝั่งเจ้ามีสอง แต่ข้ามีหนึ่ง นอกจากนี้แม้ขอบเขตวรยุทธจะเท่ากัน แต่ขั้นของข้าต่ำกว่า”
เซ่าหวูชุ่ยพอได้ฟังก็ก้มหน้าลง
บรรยากาศโดยรอบแข็งค้าง ราวกับห้วงเวลาหยุดลงชั่วขณะ
หลังจากนั้นไม่นานนัก
เซ่าหวูชุ่ยค่อยๆ เปิดปากออกมาอย่างยากลำบาก เปล่งกระแสเสียงออกมาเพียงไม่กี่คำ
“ทรัพยากรน่ะ…มันหลงเหลืออยู่เพียงสามารถแลกเปลี่ยนเม็ดยารักษาได้อีกแค่ครั้งสุดท้ายเท่านั้น”
สีหน้าของเย่หยิงเหมยแปรเปลี่ยนไปทันใด
เธอเอ่ยเสียงแหบแห้ง “สหายเซ่า! เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น! ข้าจดจำได้ว่าครั้งล่าสุดที่เราคุยกัน เจ้าบอกว่ามันมากพอที่จะทำให้พวกเราอยู่รอดไปได้อีกหลายปีนี่!”
เซ่าหวูชุ่ยเอาแต่ก้มหน้า มิเอ่ยสิ่งใด
กู่ฉิงซานผ่อนลมหายใจออกมา
ดูเหมือนว่าสถานการณ์ภายในนิกายกวงหยางจะไม่สู้ดียิ่งกว่าที่เขาจินตนาการไว้เสียอีก
อย่างไรก็ตาม ด้วยเงื่อนไขนี้ มันได้ส่งผลให้สถานการณ์ของเขาเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดีขึ้น
ตั้งแต่ที่เขาย่างกรายเข้ามาในโลกใบนี้ มีเพียงวินาทีนี้เท่านั้นที่กู่ฉิงซานรู้สึกได้ถึงความมั่นใจในตนเอง
ความมั่นใจที่จะสามารถเอาชีวิตรอดอยู่ต่อไป!
กู่ฉิงซานปากเอ่ยเสียงกระซิบ “สหายเซ่า คงมิแคล้วเป็นหวังหงส์เต๋าสินะที่บอกให้เจ้าพูดแบบนี้เพื่อให้จิตใจของทุกผู้คนยังคงวางใจน่ะ ถูกต้องไหม?”
เซ่าหวูชุ่ยยังคงมิกล่าวสิ่งใด แต่กลับผงกหัวเพียงเล็กน้อย เล็กน้อยจริงๆ จนเรียกได้ว่าหากไม่ตั้งใจมองก็จะไม่สังเกตเห็น
สีหน้าของเย่หยิงเหมยเริ่มซีดเผือด
เธอราวกับตระหนักได้ถึงบางสิ่งบางอย่าง จึงเปล่งเสียงเล็ดลอดออกมาจากฟันที่ขบแน่น “เขาหลอกลวงกระทั่งข้า...”
“หวังหงส์เต๋าได้แขวนชีวิตตนเองเอาไว้กับเม็ดยารักษา หากเขาต้องการที่จะใช้ชีวิตอยู่ต่อไป เขาจักต้องผลาญทรัพยากรของนิกายทั้งหมด จนกระทั่งไม่เหลือสิ่งใดเลย”
เขาถอนหายใจ “และในหัวใจเจ้า ย่อมตระหนักชัดดี ว่าไม่เต็มใจที่จะยอมรับมัน”
แล้วพวกเขาก็เงียบไป
นี่มันเป็นสัญชาตญาณทั่วไปของมนุษย์ ที่ในยามวิกฤตยังมาไม่ถึง พวกเขาก็มักจะจินตนาการไปเองว่าทุกสิ่งน่ะมันเป็นเพียงเรื่องโกหก
กู่ฉิงซานเฝ้ามองดูทั้งสอง ขณะที่ในสมองเริ่มเค้นความคิดอีกครั้ง
บางที...แค่บางทีนะ มันอาจจะไม่ใช่เพียงแค่จินตนาการก็ได้
บางทีหวังหงส์เต๋าคงจะใช้วิธีการบางอย่าง เพื่อทำให้พวกเขาหวาดกลัว และมิกล้าคิดจะต่อต้านเสียมากกว่า
หากเป็นในกรณีนั้น นับจากนี้ไปหากพวกเขายังคงมิคิดทำอะไรสักอย่าง ทุกอย่างคงมิแคล้วมาถึงจุดจบ
สถานการณ์ได้มาถึงจุดที่ต้องเห็นถึงความจริงแล้ว
ขณะที่กู่ฉิงซานมั่นใจแน่ๆ แล้ว ในตอนนั้นเอง เซ่าหวูชุ่ยก็เงยหน้าขึ้นอย่างแรง จ้องมองเขาและเอ่ยปากออกมา “ข้าได้กล่าวออกมาอย่างสัตย์ซื่อแล้ว”
“ข้ารู้” กู่ฉิงซานรับคำ
“ในความเป็นจริงแล้วตัวข้าเองก็ค่อนข้างจะสิ้นหวัง ดังนั้นข้าจึงยอมรับความเสี่ยงเพื่อแจ้งเรื่องนี้ให้เจ้าทราบ -หากท่านอาจารย์ได้ตระหนักว่าข้าเปิดเผยความลับนี้แล้วล่ะก็ เขาจะต้องไม่ปล่อยข้าเอาไว้อย่างแน่นอน” เซ่าหวูชุ่ยกล่าว
“มันสมควรเป็นเช่นนั้น” กู่ฉิงซานกล่าวเห็นด้วย
“ฉะนั้น ปรมาจารย์ตำหนักฉี ถึงคราเจ้าแล้วที่จะต้องแสดงความจริงใจต่อเรา” เซ่าหวูชุ่ยกล่าว
กู่ฉิงซานมองไปยังเซ่าหวูชุ่ย
ขณะเดียวกันเซ่าหวูชุ่ยก็มองมาที่เขาเช่นกัน
ในแววตาที่จ้องเขม็งของเซ่าหวูชุ่ยมันสาดประกายไปด้วยความหวัง ทั้งคนทั้งร่างเริ่มหนักอึ้งและตึงเครียด
ตนเองได้ปล่อยให้คนอย่างฉีหยานล่วงรู้ถึงเรื่องราวภายในของนิกาย ท่านอาจารย์ย่อมไม่มีทางที่จะไม่ปล่อยตนไปแน่
และหากในเวลานี้ฉีหยานยังคงคิดละเล่นปาหี่กับตนเองอีกเหมือนดั่งคราวก่อนๆ เซ่าหวูชุ่ยสาบานเลยว่าเขาจะทุ่มกำลังทั้งหมดที่มีสังหารฉีหยานลงตรงนี้ ณ จุดนี้เลยทันที
“จริงๆ แล้วข้ารู้หนทาง” กู่ฉิงซานกล่าว
ขณะที่คำพูดอยู่ในปาก สายตาของเขาก็เบนออกไปมองรอบๆ สถานที่
เซ่าหวูชุ่ยเห็นเช่นนั้นจึงฝืนยิ้มออกมาและกล่าวว่า “จงวางใจ เวลานี้ค่ายกลทั้งหมดกำลังเปิดอยู่”
ประโยคข้างบนนี้มีบ่งบอกถึงความนัยที่แฝงเอาไว้ ว่าบางครั้งค่ายกลในที่นี่ก็มิได้ถูกเปิดขึ้นทั้งหมดอย่างสมบูรณ์อย่างที่ทุกๆ คนเข้าใจกัน
ความขาดแคลนของนิกาย...เห็นได้ชัดว่าเป็นเรื่องร้ายแรงอย่างน่าตกตะลึง!
กู่ฉิงซานเดินมาหยุดอยู่เบื้องหน้าทั้งสอง ปากเอ่ยกล่าวเสียงกระซิบที่แสนจะแผ่วเบาราวกับยุงบินเพียงไม่กี่คำ
“อันที่จริง…ข้าได้ค้นพบโลกใบใหม่เป็นที่เรียบร้อยแล้ว”
…………………………………..........