webnovel

0442 โอกาสสุดท้ายที่จะมีชีวิตรอดอยู่ต่อไปได้

ตอนที่ 442 โอกาสสุดท้ายที่จะมีชีวิตรอดอยู่ต่อไปได้

โลกใบใหม่

ฉีหยานได้ค้นพบถึงโลกใบใหม่แล้ว?

เซ่าหวูชุ่ยผุดลุกขึ้นทันใด ปากเอ่ยตะโกนลั่น “นี่มันเป็นไปไม่ได้! ในช่วงหลายปีนับไม่ถ้วนที่ผ่านพ้นมา โลกทั้งหมดที่สามารถค้นหาได้ถูกค้นพบไปจนหมดสิ้นแล้ว”

“แล้วถ้าหากมันเป็นเรื่องจริงเล่า?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

เย่หยิงเหมยเอ่ยเสียงทะมึน “ทางลั่วชาเฟิงได้ส่งสามผู้ฝึกยุทธขอบเขตลมปราณจิตเข้าไปในกระแสมิติอันเชี่ยวกราดยาวนานกว่าหนึ่งร้อยปี แต่ก็หาได้ค้นพบโลกใบใหม่ไม่”

“แล้วหากสิ่งที่ข้ากล่าวเป็นเรื่องจริงเล่า?” กู่ฉิงซานยังคงย้ำคำเดิมอย่างหนักแน่น

สองปรมาจารย์ตำหนักจ้องค้างมาที่เขา

กู่ฉิงซานมองไปทางเย่หยิงเหมย สลับกับไปมองเซ่าหวูชุ่ย ด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า

สองปรมาจารย์ตำหนักกำลังสับสนอย่างเห็นได้ชัด

ท่าทีการแสดงออกของฉีหยานช่างดูสงบและผ่อนคลายไม่เหมือนกับคนที่กำลังโกหกอยู่เลย นี่หรือว่าเขาจะได้ค้นพบโลกใบใหม่แล้วจริงๆ ?

หากเป็นเรื่องจริง ทุกสิ่งอย่างในตอนนี้มันก็จะแตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิง

เซ่าหวูชุ่ยอดไม่ได้ที่จะหันไปเอ่ยถามเย่หยิงเหมย “เจ้าคิดว่าอย่างไร?”

เย่หยิงเหมยส่ายหัวของเธอและกล่าวอย่างช้าๆ “ปรมาจารย์ตำหนักฉี แม้ว่าจะมีโลกใบใหม่อยู่จริงๆ แล้วเหตุใดเจ้าจะต้องเปิดเผยมันแก่เราด้วย?”

เธอเอ่ยต่อ “เนิ่นนานมาแล้ว ความสัมพันธ์ระหว่างเจ้ากับข้ามันก็ไม่ได้ดีเด่นสักเท่าไหร่ ยังห่างไกลเกินกว่าจะเรียกว่าสนิทสนม ข้าทำใจเชื่อไม่ได้จริงๆ ว่าเจ้าจะเต็มใจเปิดเผยเรื่องอันสำคัญยิ่งนี้แก่พวกเรา”

“ใช่! นั่นแหละคือสิ่งที่สมควรจะเป็น!” เสียงของเซ่าหวูชุ่ยดังแทรกขึ้นมา

กู่ฉิงซานกล่าวอธิบายอย่างเฉยเมย “หากเจ้าคิดแบบนั้น ในความเป็นจริงแล้วมันก็ไม่ผิดซะทีเดียว”

“‘ไม่ผิด’ อย่างนั้นหรือ?” เซ่าหวูชุ่ยอดไม่ได้ที่จะย้อนถาม

“ในยามที่ข้าได้ค้นพบโลกใบใหม่เป็นครั้งแรก ข้าก็ไม่ต้องการที่จะบอกพวกเจ้าจริงๆ ”

แม้ทั้งสองคนเป็นถึงผู้ฝึกยุทธขีดสุดความว่างเปล่าที่มีชีวิตอยู่มาเป็นพันๆ ปี , มีพื้นฐานวรยุทธที่เหนือกว่าตน นอกจากนี้ยังเป็นผู้รับหน้าที่บริหารจัดการกิจกรรมทั้งภายในและภายนอกนิกายตลอดมานับพันปี แต่อย่างไรเสีย...พวกเขาก็ยังเป็นมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง

ฉะนั้นแล้ว ถ้าหากคุณต้องการที่จะให้ทั้งสองคนเชื่อใจ คุณจะต้องทุ่มออกด้วยความพยายามทั้งหมดที่มี

กู่ฉิงซานเมื่อคิดมาถึงจุดนี้ เขาก็ได้ยกมือขึ้น

เขาคว้าจับขอบหมวกไม้ไผ่ที่บดบังใบหน้า และค่อยๆ เสยมันขึ้นช้าๆ

แล้วใบหน้าของเขาก็ได้รับการเปิดเผยสู่สายตาของทั้งสองปรมาจารย์ตำหนักโดยสมบูรณ์

เห็นแค่เพียงรอยบาดลึกของคมดาบมากมายวิ่งผ่านไปตามแก้มของเขา และลากยาวลงมาจนถึงคาง

และเมื่อถึงตำแหน่งนี้ แผลคมดาบก็ได้ถูกเบี่ยงเป็นเส้นโค้งออกไปเล็กน้อย

ร่องรอยบาดแผลจากดาบ วิ่งไปรวมกันตรงช่วงคอของเขา แล้วจึงเริ่มเบี่ยงทิศทางออกไป

ดูเหมือนว่า ในช่วงเวลาหัวเลี้ยวหัวต่อ ฉีหยานจะสามารถหลบเลี่ยงคมดาบนี้ได้อย่างทันท่วงที

มิฉะนั้นแล้ว หากอ้างอิงจากรอยคมดาบนี้ มันคงจะสะบั้นตัดศีรษะเขาจนแยกจากลำตัวไปแล้วโดยตรง

หรืออีกความหมายนึงก็คือ ฉีหยานเกือบจะโดนสังหารนั่นเอง

สองปรมาจารย์ตำหนักพอได้เห็นก็ตกใจ

หมวกไม้ไผ่ยังมิได้ถูกถอดออกโดยสมบูรณ์ มันจึงกดกลิ่นอายของฉีหยานเอาไว้ต่ำมากๆ ดังนั้นสองปรมาจารย์ตำหนักจึงสามารถมองเห็นรอยแผลเป็นบนใบหน้าของเขาได้ ทว่ากลับไม่สามารถตรวจสอบพื้นฐานวรยุทธของเขาได้อย่างชัดเจน

ดูจากลักษณะนี้ แท้จริงแล้วบอกได้เลยว่าฉีหยานน่ะเกือบถูกฆ่าตาย

แม้จะรอดชีวิตมาได้ แต่ฉีหยานก็ถูกทำลายใบหน้าจนเสียโฉม

ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเพราะเหตุใดเขาจึงเลือกที่จะสวมใส่หมวกไม้ไผ่และปฏิเสธที่จะแสดงใบหน้าที่แท้จริงของตนเองออกมา!

เย่หยิงเหมยพยักหน้าแสดงท่าทีว่าตนนั้นเข้าใจ

เซ่าหวูชุ่ยเอ่ยอย่างงงงวย “...เจ้าเป็นถึงขีดสุดความว่างเปล่าเชียวนะ ต่อให้จะเป็นเพียงขั้นแรกก็ตามทีเถอะ แต่มันก็ยังแข็งแกร่งมากอยู่ดี แล้วอะไรกันที่จะสามารถ...”

เย่หยิงเหมยอดไม่ได้ที่จะเอ่ยแทรกขึ้นมา “ผู้ใดกันที่กล้ากระทำกับเจ้าเช่นนี้? ในช่วงเวลาที่แม้กระทั่งลั่วชาเฟิงก็ยังมีสัมพันธ์อันดีกับเจ้า”

ตรงข้ามกับพวกเขา เห็นแค่เพียงการแสดงออกของฉีหยานที่เผยถึงความชิงชังและกระหายเลือดออกมา

ฉีหยานลดหมวกไม้ไผ่มาปิดลงอีกครา เพื่อปิดบังแผลลึกอันน่าตกใจบนใบหน้าอีกครั้ง

“เห็นถึงเพียงนี้แล้ว พวกเจ้าก็ยังไม่กระจ่างใจอีกหรือ?” เขาเอ่ยถาม

สองปรมาจารย์ตำหนักพยักหน้าพร้อมกัน

“เมื่อครู่ การกระทำของข้าก็ได้ตอบคำถามนั้นของพวกเจ้าไปแล้วอย่างไรเล่า” กู่ฉิงซานเอ่ยปากกล่าว

เขายืนนิ่งงันอยู่ที่นั่น มิคิดเอ่ยอธิบายสิ่งใดอีกต่อไป

สองปรมาจารย์ตำหนักอดไม่ได้ที่จะเริ่มคิดตริตรอง

ปรากฏตัวแต่ละครา ฉีหยานมันจะลงมือหนักข้อเสมอ

อย่างในตอนนี้ที่เขากำลังตามตื๊อสตรีแห่งรากษส

แต่กลับมีคนมาทำให้ใบหน้าของเขาเสียโฉม

ซึ่งดูก็รู้ว่าฉีหยานมิได้ต้องการให้มันเกิดขึ้น

เพียงเท่านี้ก็ได้พิสูจน์ให้เห็นถึงปัญหาแล้ว

“ฉะนั้น ดูเหมือนว่านี่จะเป็นหนามแหลมจากโลกใหม่ที่ทิ่มแทงเข้าหาเจ้าใช่

หรือไม่?” เซ่าหวูชุ่ยเอ่ยถามอย่างไม่แน่ใจ

แม้ปากจะไม่เอ่ยตอบ แต่กลับเห็นแค่เพียงเจตนาฆ่าบนร่างกายของฉีหยานที่ทะยานสูงขึ้นทันใด

เขาอดไม่ได้ที่ที่จะจิกนิ้วทั้งห้าลงบนฝ่ามือ เกร็งมันแน่นจนเป็นกำปั้น

เย่หยิงเมยเฝ้ามองในทุกๆ อากัปกิริยาและการเคลื่อนไหวของเขาที่แสดงออกมาแม้เพียงเล็กน้อย ปากเอ่ยพึมพำ “ไม่น่าแปลกใจเลย...ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมข้าถึงไม่เห็นผู้ใต้บังคับบัญชาของเจ้า หากอิงตามบาดแผลบนตัวเจ้า ก็พอจะบอกได้แล้วว่าคนของตำหนักซานเหว่ย คงไม่สามารถกลับมายังโลกใบนี้ได้อีกต่อไปแล้ว”

เซ่าหวูชุ่ยกล่าวออกมา “ไม่เพียงลงมือกระทำการอย่างผลีผลาม แต่ยังพาสาวกไปเป็นศพในโลกใหม่เช่นนี้ ฉีหยานเอ๋ย เจ้านี่มันช่างเลินเล่อเสียจริง”

ถึงแม้ว่าคำกล่าวที่เปล่งออกมาจะฟังดูผ่อนคลาย ทว่าในดวงตาของพวกเขากลับสาดประกายสดใส อย่างมิอาจปกปิดได้

คิ้วที่ยับย่นของพวกเขาค่อยๆ คลายลง วิสัยทัศน์แลดูอบอุ่นขึ้นเล็กน้อย

โลกใบใหม่

นี่มันเปรียบเสมือนดั่งความมั่งคั่ง และทรัพยากรอันอุดมสมบูรณ์

ด้วยคำนี้ ทำให้พวกเขาได้นึกถึงวันคืนเก่าๆ ที่ผ่านพ้นมา

แม้ว่ายังมิอาจล้วงลึกได้ถึงขั้นสุดท้ายของความจริง ทว่าเมื่อต้องตกอยู่ท่ามกลางโลกอันสิ้นหวังนี้ พวกเขาก็ยังยินดีที่จะแช่ตัวเองให้ดื่มด่ำไปกับอดีตที่ผ่านพ้นมา

“อีกฝ่ายมีความแข็งแกร่งเท่าใดกัน?” เซ่าหวูซุ่ยเอ่ยสอบสวน

“มีอยู่คนหนึ่งที่ข้ามิอาจรับมือได้ มันคือผู้ฝึกดาบขีดสุดความว่างเปล่าขั้นกลาง”

สองปรมาจารย์ตำหนักพอได้ฟัง ก็รู้สึกโล่งใจขึ้นทันที

ถึงแม้ว่าอีกฝ่ายจะเป็นผู้ฝึกดาบที่กล่าวได้ว่าไร้คู่ต่อกรในด้านการสังหาร แต่ด้วยขอบเขตของอีกฝ่ายต่ำกว่าพวกตนเล็กน้อย แถมยังมีตัวคนเดียวด้วยแล้ว...ต่อให้ฉีหยานมิอาจเอาชนะเพียงลำพังได้ ทว่าหากทั้งสามร่วมมือกัน ตีวงปิดล้อมแล้วล่ะก็ ย่อมที่จะสามารถกำจัดผู้ฝึกดาบคนนี้ได้อย่างแน่นอน

“หากมันเป็นเรื่องจริง ข้าก็ไม่มีปัญหาใดๆ และยินดีที่จะติดตามไปกับเจ้า” เซ่าหวูชุ่ยกล่าวทันที

“ข้าก็เช่นกัน” เย่หยิงเหมยกล่าว

กู่ฉิงซานยื่นนิ้วชี้ของเขาออกไปแล้วส่ายมันไปมา ด้านหน้าทั้งสอง

“ทว่ายังมีเรื่องสำคัญที่จักต้องจัดการก่อนเป็นอันดับแรก” เขากล่าว

“เรื่องอันใด?”

“พวกเจ้าจะต้องร่วมมือกับข้าก่อน ในการลงมือสังหารหวังหงษ์เต๋า”

กู่ฉิงซานไม่รีรอให้ทั้งสองตอบสนองกลับมา เขาเร่งกล่าวต่อว่า “อีกไม่นานบิดาข้าคงจะล้มเหลวในการข้ามผ่านโทษทัณฑ์ และคนแรกที่หวังหงษ์เต๋าจะสังหารคงมิแคล้วต้องเป็นข้า ดังนั้น เขาจึงจำเป็นที่จะต้องตายเสียก่อน”

สีหน้าของเซ่าหวูชุ่ยเปรเปลี่ยนกลับกลาย เขาอดไม่ได้ที่จะกล่าวว่า “อ้ายสารเลว! นี่เจ้าต้องการจะให้ข้าทรยศต่อท่านอาจารย์อย่างนั้นเหรอ!”

“สหายเซ่า เจ้าหุบปากซะ!” กู่ฉิงซานตะโกนด้วยความโกรธ

“สิ่งที่หวังหงษ์เต๋ามอบให้แด่เจ้ามันมีอะไรบ้างในช่วงหลายปีมานี้? เจ้าได้อำนาจแท้จริงมาในมือหรือไม่

เขาได้ให้อะไรดีๆ แก่เจ้าบ้าง? กล่าวได้ว่าแม้ตัวเจ้าจะเป็นถึงปรมาจารย์ของตำหนักเจียงซี

แต่แท้จริงแล้วการจะเบิกใช้ทรัพยากรใดๆ ของตำหนักเจียงซี ทั้งหมดจำต้องได้รับความเห็นชอบจากเขาเสียก่อน ไม่ว่าจะเป็นกรณีใดๆ ก็ตาม ”

เซ่าหวูชุ่ยพอได้ฟังกล้ามเนื้อบนใบหน้าของเขาก็ชักกระตุกไม่หยุดราวกับว่ามันกำลังจะปริแตกออกภายในวินาทีถัดไป

กู่ฉิงซานเดินเข้ามา และวางสองมือลงบนไหล่ของอีกฝ่าย ปากเอ่ยกล่าวด้วยความจริงใจ

“สหายเซ่าโลกกำลังจะมาถึงจุดจบแต่พวกเราจะต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป! เจ้าไม่

สามารถใส่ใจกับคนอื่นๆ ได้อีกต่อไปแล้วเจ้าสมควรที่จะพิจารณาถึงชีวิตและความตายของตัวเองก่อนเป็นอันดับแรก!”

สองหูของเซ่าหวูชุ่ยยังคงรับฟัง ทั้งคนทั้งร่างนิ่งงันไปทั้งๆ อย่างนั้น

“อย่าพลิกลิ้นให้มากความดีกว่าฉีหยาน รู้หรือไม่ว่าในความเป็นจริงแล้ว เราสามารถใช้กำลังบีบบังคับเจ้า ให้ยอมคายพิกัดของโลกแห่งนั้นออกมาเลยก็ได้ มิรู้หรือ?” เย่หยิงเหมยกล่าวขึ้นทันใด

เธอผุดลุกขึ้น พร้อมด้วยแรงกดดันที่มองไม่เห็นปะทุออกมา

เซ่าหวูชุ่ยได้สติกลับคืน

“ศิษย์น้องหยิงเหมย เจ้าไม่คิดเลยหรือว่าตัวข้าเองก็ได้พิจารณาเกี่ยวกับเรื่องนี้เอาไว้แล้วเหมือนกัน?” กู่ฉิงซานเอ่ยอย่างนุ่มนวล

เขายกสองมือขึ้น ปากเอ่ยคำมั่นสาบานออกมาว่า “แท้จริงแล้วตัวข้าเองก็ไม่ทราบถึงพิกัดของโลกใหม่เช่นกัน และหากมีอะไรผิดพลั้งหรือมดเท็จไปจากคำกล่าวนี้ ขอให้ข้าถูกสังหารลงโดยทัณฑ์สายฟ้า จิตวิญญาณหลีกลี้ ดวงวิญญาณสลายหายไป”

บังเกิดลมที่มองไม่เห็นหมุนรอบตัวเขาอย่างอ้อยอิ่งเป็นเวลานาน

แล้วสักพักก็ตามมาด้วยเสียงฟ้าร้องดังกึกก้อง

สวรรค์และโลกเป็นพยานและรับรู้ถึงคำมั่นสาบานแล้ว

“เจ้าเองก็ไม่ทราบถึงพิกัดของมันจริงๆ หรือนี่?” เซ่าหวูชุ่ยเอ่ยถามอย่างไม่รู้ว่าสมควรจะตอบสนองเช่นไรดี

ขณะที่เย่หยิงเหมยหย่อนตัวลงบนเก้าอี้ และลดศีรษะลงด้วยความเศร้าหมอง

“มันมีโลกใบใหม่อยู่จริงๆ เพียงแต่ข้าไม่อาจทราบถึงตำแหน่งที่ตั้งของมันด้วยตนเองก็เท่านั้น”

กู่ฉิงซานกล่าวอย่างช้าๆ

“อย่างไรก็ตาม ตราบใดที่มีอุบัติเหตุใดๆ เกิดขึ้นกับข้า พิกัดของโลกใหม่ก็จะถูกทำลายลงทันที”

“เมื่อถึงเวลานั้น ทุกคนก็จะต้องตายด้วยกันทั้งหมด ขณะที่หวังหงษ์เต๋าก็เอาแต่พึ่งพาทรัพยากรของนิกายเพื่อยืดชีวิตตัวเองออกไปอีกไม่กี่วัน”

“หากพวกเจ้าต้องการผลลัพธ์เช่นนี้ ก็ลงมือกับข้าได้เลย”

เจตนาฆ่าของเย่หยิงเหมยถูกเก็บกลับคืน มันสลายไปไม่หลงเหลือ

เธอเงยหน้าขึ้นและจับจ้องมายังกู่ฉิงซาน

“ฉีหยาน เจ้ามันเขี้ยวลากดิน เล่ห์เหลี่ยมช่างแพรวพราวเกินไปเสียจริง” เธอถอนหายใจออกมา

ขณะที่กู่ฉิงซานได้เผยถึงโฉมหน้าที่ดูจริงใจออกมาอีกครั้ง

“ศิษย์น้องหยิงเหมย ข้าจะขอกล่าวอย่างเปิดอกคุยกัน หวังว่าศิษย์น้องจะไม่ตำหนิข้านะ”

“เชิญชี้แนะ”

“ข้าจดจำได้ว่าในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เจ้ากำลังจะได้แต่งงานกับสาวกที่แท้จริงจากนิกายใหญ่คนหนึ่ง ทว่าในนาทีสุดท้าย หวังหงษ์เต๋ากลับกระโจนออกมา และตัดสินใจที่จะหยุดการแต่งงานของเจ้า”

“ซึ่งข้ามิได้รู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ ทว่ากลับรู้ถึงเรื่องที่ว่า ภายหลังจากนั้น สาวกที่แท้จริงคนที่ว่ากลับหายตัวไปอย่างไร้เหตุผล”

กู่ฉิงซานเอ่ยปากกล่าว ขณะเดียวกันก็จ้องมองท่าทีการแสดงออกของเย่หยิงเหมย

เห็นแค่เพียงวิสัยทัศน์ของเย่หยิงเหมยที่เบนออกอากาศที่ว่างเปล่าตรงจุดไหนสักแห่ง ทั้งคนทั้งร่างนิ่งงันไม่ไหวติง

เธอจิกริมฝีปากแน่น ราวกับว่ากำลังลิ้มรสถึงความขมขื่นบางอย่าง

กู่ฉิงซานกระซิบอย่างแผ่วเบา “ด้วยวันเวลาที่ล่วงเลยผ่านมา อย่าบอกนะว่าเจ้ามิได้เกลียดเขา?”

เย่หยิงเหมยหันหน้าหนีไปอีกฝั่งทันที

เธอยกมือขึ้นมาแตะตรงหน้าอกเบาๆ ขณะที่สังเกตได้อย่างชัดเจนว่ามันกระเพื่อมแรงยิ่งขึ้น แต่ก็มิได้เอ่ยคำใดตอบกลับมา

เซ่าหวูชุ่ยเอ่ยเสียงทะมึน “ฉีหยาน เจ้านี่มันช่างเป็นมนุษย์จอมเจ้าเล่ห์! แต่ละวาจาที่พ่นออกมาดั่งพิษร้าย! ข้าจะไม่เชื่อคำเจ้าแล้ว ข้าไม่เชื่อว่ามันจะมีโลกใหม่อยู่จริงๆ !”

“สหายเซ่า เจ้าไม่ต้องมาทดสอบข้าเกี่ยวกับเรื่องนี้ เพราะมันเป็นสิ่งสำคัญมากที่เกี่ยวข้องกับชีวิต และความตายของพวกเราโดยตรง”

“ดังนั้น เพื่อแสดงความจริงใจของข้า ข้าก็จะขอพิสูจน์มันให้พวกเจ้ากระจ่างใจในตอนนี้เลยทันที” กู่ฉิงซานกล่าว

สองปรมาจารย์ตำหนักต่างหันมามองเขาเป็นสายตาเดียวโดยมิได้นัดหมาย

ในแววตาของพวกเขาเผยให้เห็นถึงความหวัง ที่ราวกับคนใกล้จะจมน้ำตาย ไม่ว่าจะพบสิ่งใดก็ขอคว้าจับเอาไว้ ก่อนอย่างเต็มกำลัง

กู่ฉิงซานที่เห็นถึงสีหน้าการแสดงออกของอีกฝ่ายก็นิ่งค้างไปครู่หนึ่ง สักพักก็เกิดความคิดบางอย่างขึ้นมาในจิตใจ

“รอประเดี๋ยว”

กู่ฉิงซานกล่าว และเดินออกไปจากแท่นเวทีนอกพิสัยค่ายกล หันไปกล่าวกับฉินรั่ว “จงไปตามหวูซานมา”

“เจ้าค่ะ” ฉินรั่วขานรับคำหนึ่งและถอยจากไป

หลังจากนั้นไม่นาน หวูซานก็มาปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าสามปรมาจารย์ตำหนัก

เขาคุกเข่าลงก่อนเลยเป็นอันดับแรก และโขกศีรษะขึ้นลงไปทางกู่ฉิงซาน

“นายน้อย ท่านเรียกหาข้า มีอะไรให้รับใช้หรือ?”

บนใบหน้าของหวูซานเต็มไปด้วยรอยยิ้มแย้มประจบประแจงทว่าขณะเดียวกันมันก็แสดงให้เห็นถึงความสงสัย อย่างมิอาจระงับได้

เพราะทั้งสามปรมาจารย์ตำหนักต่างพากันจ้องมองเขาอยู่เฉยๆ มิได้ขยับกายใดๆ เลย

และหวูซานเองก็ไม่เคยเจอสถานการณ์แบบนี้มาก่อน

กู่ฉิงซานส่งสัญญาณไปทางสองผู้ฝึกยุทธขีดสุดความว่างเปล่า

“เจ้าอาจจะไม่เชื่อคำข้าแต่เจ้าสมควรจะรู้ว่าจิตเทวะของมนุษย์จะไม่สามารถบิดเบือนได้ มิฉะนั้นแล้ว ห้วงสติอารมณ์ และสภาวะจิตใจของคนผู้นั้นก็จะเกิดปัญหาขึ้นอย่างแน่นอน”

สองปรมาจารย์ตำหนักพยักหน้าพร้อมกัน

หากจิตเทวะของมนุษย์มีปัญหา มันจักต้องไม่สามารถปิดซ่อนความจริงที่ว่านั่นจากสายตาของพวกเขาได้

ดวงตาของหวูซานยังคงกระจ่างชัด บ่งบอกว่าจิตเทวะของเขายังมั่นคง เห็นได้ชัดว่าเป็นผู้ฝึกยุทธ ที่ไม่มีอาการผิดปกติใด ๆ

กู่ฉิงซานเอ่ยปากกล่าว “นี่คือผู้ใต้บังคับบัญชาคนสนิทของข้า มันได้ติดตามรับใช้ข้ามานาน และข้าก็ได้บอกความลับหลายสิ่งแก่มันตั้งมากมาย ดังนั้นพวกเจ้าสามารถตรวจสอบจากเขาได้ เกี่ยวกับความทรงจำของโลกใหม่ที่ข้าว่า”

“จงตรวจค้นความทรงจำจากจิตเทวะของเขาซะ เพราะมันเป็นสิ่งที่ไม่สามารถบิดเบือนได้ แล้วพวกเจ้าก็จะได้รู้เสียที ว่าเรื่องที่ข้ากล่าวมันเป็นเพียงเรื่องโป้ปดหรือไม่”

“โปรดดูมันด้วยตาของตัวเอง”

เย่หยิงเหมยกับเซ่าหวูชุ่ยหันมาสบตากันและกัน และทั้งสองก็เริ่มสั่นไหวเล็กน้อย

“ขอให้ข้าได้ตรวจสอบก่อนก็แล้วกัน”

เซ่าหวูชุ่ยมิอาจควบคุมตนเองได้อีกต่อไป เขาชิงกล่าวก่อนเป็นคนแรก

“แน่นอน ตามที่เจ้าต้องการ” เย่หยิงเหมยไม่ปฏิเสธ

ร่างของเซ่าหวูชุ่ยวูบไหว หายไปจากตำแหน่งเดิม

ยังไม่ทันจะได้เห็นถึงการเคลื่อนไหวใดๆ ร่างของหวูซานก็นิ่งค้างไปทั้งๆ อย่างนั้นแล้ว

เพราะเซ่าหวูชุ่ยได้กางนิ้วทั้งห้าออก และกดมันลงเหนือหัวของหวูซานเป็นที่เรียบร้อย

วิธีที่ง่ายและดีที่สุดในการค้นความทรงจำของบุคคลก็คือการใช้วิชาค้นวิญญาณ

เซ่าหวูชุ่ยหลับตาลง ทั้งคนทั้งร่างดูเหมือนจะหายลึกเข้าไปในห้วงความคิด

ช่วงเวลาหนึ่ง ตลอดทั้งแท่นเวทีก็เงียบสงบลง

เย่หยิงเหมยที่มักจะใจเย็นเสมอมา ขณะนี้กลับอดรนทนไม่ไหว

เธอเอ่ยถาม “สหายเซ่า สรุปว่ารู้หรือยังว่ามันเป็นเรื่องจริงหรือเท็จ?”

เธอมองไปที่เซ่าหวูชุ่ย สลับกับมองกู่ฉิงซาน

เซ่าหวูชุ่ยมิเอ่ยคำใด แต่ยังคงค้นความทรงจำของหวูซานต่อไป

ขณะที่กู่ฉิงซานที่ยืนอยู่ข้างๆ สีหน้าสงบนิ่งไม่เปลี่ยนแปลง

เขาสงบก็เพราะสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น นั่นแหละคือสิ่งที่ตนคาดหวัง!

ก่อนหน้านี้ในโลกเทวะ ครั้งหนึ่งเขาเคยได้ทำการค้นวิญญาณจากจิตวิญญาณของผู้ฝึกยุทธนิกายกวงหยาง จนได้ตระหนักถึงการดำรงอยู่ของหวูซาน

และตั้งแต่นั้นมา ระบบก็ได้ปล่อยภารกิจพิเศษ ‘หวูซานจะต้องตาย’ ออกมา

หวูซานเป็นพยานเพียงคนเดียว ที่รู้ถึงการดำรงอยู่ของโลกเทวะและโลกแห่งผู้ฝึกยุทธ

อย่างไรก็ตาม ที่หวูซานรู้นอกเหนือจากนั้นมีเพียงแค่ว่าฉีหยานนำกำลังคนบุกไปยังโลกเทวะเป็นจำนวนเท่าใดก็แค่นั้น

หวูซานมิได้ไปยังโลกเทวะดังนั้นเขาจึงไม่รู้ว่า เหล่าผู้ใต้บังคับบัญชาและแม้กระทั่งตัวฉีหยานเองได้พบเจอกับสิ่งใด

เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าในโลกเทวะน่ะหลงเหลือเพียงจิตอาร์ติแฟคเท่านั้น ไม่รู้ด้วยซ้ำว่า ขอบเขตสูงสุดของโลกแห่งผู้ฝึกยุทธน่ะอยู่เพียงแค่ประทับเทพ

แม้กระทั่งเรื่องราวที่พึ่งเกิดขึ้น ยามเมื่อฉีหยานได้เข้าไปสู่ในโลกเทวะครั้งล่าสุด หรือการที่นางเซียนไป่ฮั่วสามารถทะลวงขึ้นสู่ขอบเขตร่างเทวะได้นั้นก็ไม่ล่วงรู้

กู่ฉิงซานได้บอกสองปรมาจารย์ตำหนักว่าตัวเองเพียงคนเดียวมิอาจต่อการกับโลกใหม่ได้ และจำต้องการความช่วยเหลือจากพวกเขา

ขณะที่ในความทรงจำของหวูซาน มันก็รับรู้เพียงแค่เรื่องราวที่เหมาะเจาะกับคำโกหกนี้พอดิบพอดี!

และนั่นแหละคือจุดที่ยอดเยี่ยมที่สุดล่ะ!

หวูซานผู้นี้สามารถใช้เป็นตัวพิสูจน์ถึงการดำรงอยู่ของโลกใหม่ได้ แต่แท้จริงแล้วเขากลับไม่รู้เลยว่าคนในโลกใหม่นั้นแข็งแกร่งหรือว่าอ่อนแอ

เวลาผ่านไปอย่างเงียบๆ

ในช่วงเวลาหนึ่ง จู่ๆ สีหน้าของเซ่าหวูชุ่ยก็ผ่อนคลายลงทันใด

พร้อมทั้งปรากฏรอยยิ้มที่มิอาจควบคุมได้ค่อยๆ แพร่กระจายไปทั่วใบหน้าของเขา

เซ่าหวูชุ่ยลืมตาขึ้น ตลอดทั้งใบหน้าฟุ้งไปด้วยความบ้าคลั่ง “เป็นเรื่องจริง! เขามิได้โกหก! และยิ่งไม่กว่านั้น”

เขายังไม่ทันได้เอ่ยจบ ก็เห็นแค่เพียงมือของเย่หยิงเหมยที่ฉกออกไป ปัดมือของเขาออก และใช้มือตนเองวางลงเหนือหัวของหวูซาน

เป็นเวลานาน ก่อนที่จะได้ยินเสียงอันนุ่มนวลของเธอพึมพำออกมา “สองโลก...โลกใหม่ที่มิใช่เพียงหนึ่ง แต่มีถึงสอง...”

ทั้งคนทั้งร่างของเธอราวกับได้รับชีวิตใหม่

กู่ฉิงซานที่กำลังเฝ้ามองอยู่ได้เอ่ยออกมาทันใด “ศิษย์น้องหยิงเหมย , สหายเซ่า ตอนนี้พวกเจ้าคิดเห็นว่าอย่างไร?”

เย่หยิงเหมยกับเซ่าหวูชุ่ยพยักหน้าพร้อมกัน

การดำรงอยู่ของโลกใบใหม่นี้ ชัดเจนแล้วว่ามีอยู่จริง

พอทั้งสองได้พิสูจน์จนเสร็จสิ้นลงแล้ว กู่ฉิงซานก็เดินเข้ามา และวูบ! จ้วงมือเข้าตะครุบหวูซาน

“คนของข้าได้ทำหน้าที่เสร็จสิ้นโดยสมบูรณ์แล้ว ทีนี้ก็ปล่อยให้เขาได้พักผ่อนเสียที”

ว่าจบ เขาก็ค่อยๆ บิดมือตนเองอย่างอ่อนโยน

กร๊อบ!

ลำคอของหวูซานโค้งงอจนผิดรูป

และกู่ฉิงซานก็ชักมือออกพลางสะบัดออกไป

ร่างของหวูซานถูกโยนลงจากแท่นเวทีสูง กลิ้งไถลลงไปบนพื้น ไร้ซึ่งการดำรงอยู่แห่งชีวิตอีกต่อไป

สองปรมาจารย์ตำหนักชะงักงันในเวลาเดียวกัน

แต่ไม่ช้า พวกเขาก็ได้สติกลับคืนมา และเริ่มตอบสนองอย่างรวดเร็ว

“ยังมีผู้อื่นภายในนิกายที่รู้เรื่องนี้อีกหรือไม่?” เซ่าหวูชุ่ยเอ่ยถาม

“ไม่มีอีกแล้ว คนอื่นๆ ของข้ายังอยู่ที่โลกใหม่ และมีเพียงเขาเท่านั้นที่รู้ถึงสถานการณ์” กู่ฉิงซานกล่าว

เย่หยิงเหมยเอ่ยต่อว่า “การกระทำเช่นนี้นับว่าถูกต้องแล้ว เรื่องของโลกใหม่เป็นอะไรที่สำคัญยิ่ง พวกเราจักต้องไม่ให้คนอื่นๆ ล่วงรู้”

“แน่นอน”

กู่ฉิงซานแสดงท่าทีไม่แยแส ปากเปล่งวาจายืนยันออกมา “หวังหงษ์เต๋าคือจิ้งจอกเฒ่า เจ้าเล่ห์ในขอบเขตลมปราณจิต เมื่อเขากลับมาเขาจะต้องใช้วิธีการบางอย่างที่เราไม่รู้อย่างแน่นอน บางที เขาอาจจะบังคับให้พาตัวหวูซานมาหาตนเองก็ได้”

“หวังหงษ์เต๋าเป็นคนที่มีนิสัยขี้ระแวงโดยธรรมชาติ เป็นไปได้สูงว่าเขาจะเค้นความลับจากหวูซาน ซึ่งเป็นเพียงคนเดียวที่ถูกพวกเราเรียกตัวเข้ามาพบ”

“และถ้าหากเขาลงมือกับหวูซาน เรื่องของโลกใหม่ก็คงจะไม่สามารถปิดบังได้อีกต่อไป”

สองปรมาจารย์ตำหนักรับฟัง ขณะเดียวกันก็พยักหน้าเห็นด้วยโดยไม่รู้ตัว

“นั่นสินะ เราจะต้องไม่ปล่อยให้หวังหงษ์เต๋าล่วงรู้ถึงเรื่องนี้” เซ่าหวูชุ่ยเอ่ยเห็นด้วย

หากเป็นเรื่องเกี่ยวกับแผนการแล้วล่ะก็ ฉีหยานมักจะระมัดระวังเสมอ

แต่สิ่งที่เช่าหวูชุ่ยไม่ทราบก็คือ ประโยคที่เขาเพิ่งกล่าวไปนี้ ได้ทำให้ในหัวใจของกู่ฉิงซานเกิดการคาดเดา ถึงบางอย่างขึ้นเล็กน้อย

“สิ่งเดียวที่น่าเสียดายก็คือ เหตุการณ์นี้ทำให้เจ้าต้องสูญเสียผู้ใต้บังคับบัญชาที่เชื่อถือได้ไป” เย่หยิงเหมยมองกู่ฉิงซาน และเอ่ยด้วยน้ำเสียงสำนึกผิดเล็กน้อย

ทว่ากลับเห็นแค่เพียงสีหน้าของฉีหยาน ที่แสดงออกมาประมาณว่า ‘ถูกต้องแล้ว ยามนี้เจ้าติดหนี้ข้าเรียบร้อย’

“ศิษย์น้องหยิงเหมย มันไม่เป็นอะไรหรอก หวูซานมีบทบาทเพียงเล็กๆ น้อยๆ ในชีวิตข้าเท่านั้น”

“เขาสมควรตายโดยปราศจากซึ่งความเสียใจ”

กู่ฉิงซานกล่าวออกมาอย่างไม่แยแส

น้ำเสียงของเขาฟังดูเหมือนว่านี่เป็นเรื่องปกติ ที่พบเจอได้บ่อยครั้ง

เซ่าหวูชุ่ยกับเย่หยิงเหมยตกอยู่ในความเงียบ

ฉีหยานเป็นคนที่โหดเหี้ยม ไร้ความปราณี และมักจะกระทำการที่คิดว่ามันเป็นหนทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับตนเสมอ

แม้เรื่องนี้จักต้องเก็บเป็นความลับ แต่ฉีหยานก็ยังลงมือกับคนสนิทของตนอย่างไม่ลังเล

หากฉีหยานสามารถครอบครองโลกทั้งสองใบได้โดยไม่ต้องการความช่วยเหลือแล้วล่ะก็ พวกเขาในฐานะ ปรมาจารย์ตำหนักทั้งสองก็คงจะไม่มีทางล่วงรู้ถึงเรื่องนี้ได้เป็นแน่

ทันทีที่คิดถึงจุดนี้ สองปรมาจารย์ตำหนักก็รู้สึกโชคดีเล็กน้อย

แต่กลับได้ยินเพียงเสียงของฉีหยานที่ดังขึ้นอีกครั้ง

“ศิษย์น้องหยิงเหมย สหายเซ่า ตอนนี้พวกเจ้าก็ได้เห็นถึงความจริงใจของข้าแล้ว”

สองปรมาจารย์ตำหนักพยักหน้า

โลกใหม่มีอยู่อย่างแน่นอนและแท้จริง

แถมฉีหยานยังถึงขั้นสังหารผู้ใต้บังคับบัญชาคนสนิทของตน เพียงเพื่อรักษาความลับของโลกใหม่เอาไว้อีกด้วย

ความจริงใจที่เขาแสดงออกมานี้...นับว่าเพียงพอแล้ว

“เวลานี้ พวกเจ้าก็โปรดจงให้ความร่วมมือกับข้าในการสังหารหวังหงษ์เต๋า เพื่อรับประกันให้ข้าได้มีชีวิตอยู่ต่อไปด้วย”

“นี่คือโอกาสสุดท้ายที่พวกเจ้าจะมีชีวิตรอดอยู่ต่อไปได้”

…………………………………..........