webnovel

0267 ความจริงของเผ่ามาร

ตอนที่ 267 ความจริงของเผ่ามาร

เมื่อกล่าวถึงขั้นนี้ กู่ฉิงซานก็ปิดปากลง

คำพูดเหล่านี้ของเขามันไม่แตกต่างจากการอธิบายแบบขอไปทีเลย มันคล้ายดั่งการยุยงให้เหล่าผู้ฝึกยุทธในโลกของเขาหาเหตุผลมาทำร้ายผู้อื่นเสียด้วยซ้ำ

แต่เขารู้ว่าบางอย่างก็มิอาจเอ่ยอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้ เพราะมันจะนำไปสู่คำถามที่ไม่รู้จบ

แถมร่างใหญ่ที่อยู่มายาวนานกว่าหนึ่งแสนปีก็ยังเอ่ยกล่าวคำเตือนนี้แก่เขา หากคิดจะเปิดเผยความลับที่ว่านี้ออกไป

โลกหนึ่ง บรรจบเข้ากับอีกโลกหนึ่ง แล้วสิ่งมีชีวิตในโลกจะสามารถแข็งแกร่งขึ้นได้

โลกนั้นเปรียบดั่งเมืองหลวงที่แข็งแกร่งของสิ่งมีชีวิต

และโลกทั้งใบก็เปรียบดั่งรากฐานอารยธรรมที่จะต้องต่อสู้ปกป้องเพื่อเอาชีวิตรอด

เผ่ามารที่แสนจะน่าหวาดหวั่นคอยเฝ้ามองหาจุดอ่อนระหว่างโลกต่อโลก หมายมั่นต้องการจะทำลายสิ่งมีชีวิตทั้งหมดทั้งมวล

ในท้ายที่สุดอารยธรรมทุกแห่งก็ต้องการที่จะแข็งแกร่งขึ้น เพื่อต่อสู้กับความตายและการทำลายล้างที่กำลังคืบคลานเข้ามา

ดังนั้นเมื่อทั้งสองโลกได้มาบรรจบกัน ในท้ายที่สุดหนึ่งในนั้นก็จะถูกอีกหนึ่งกลืนกิน ผสานหลอมรวมเข้าด้วยกันเป็นหนึ่งเดียว

นี่แหละคือความเป็นจริงอันโหดร้ายล่ะ

กู่ฉิงซานสามารถตระหนักถึงปัญหานี้ได้อย่างชัดเจน

รูปแบบความสัมพันธ์ของอารยธรรมเช่นนี้ ส่วนใหญ่แล้วล้วนก่อกำเนิดมาจากความตื่นตระหนก ตกใจ เสียขวัญ หวาดกลัว เกี่ยวกับวันสิ้นโลกที่กำลังจะมาถึงแทบทั้งสิ้น

แต่ละอารยธรรมจึงต้องผลักดันตนให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น เพื่อหลีกเลี่ยงการทำลายล้างที่อาจก่อให้เกิดวันสิ้นโลกโดยเร็วที่สุด

ถ้าแบบนั้นล่ะก็

วายร้ายตัวหลักอย่างเผ่ามารที่บีบบังคับให้อารยธรรมทั้งหมดจำต้องเสาะแสวงหาความอยู่รอดอย่างหมดหนทาง แท้จริงแล้วคือสิ่งใดกันแน่?

เผ่ามารที่ทรงพลังและมีความสามารถอันแสนจะน่าทึ่ง ทว่าการกระทำทุกอย่างของมันกลับดูไร้เหตุผล มิอาจสามารถนำเอาจิตวิทยาใดๆ มาคาดเดาอธิบายถึงความคิดและการกระทำของพวกมันได้เลย

คุณจะไม่สามารถเข้าใจถึงความคิดของพวกมันได้เลย

ในช่วงเวลานี้ของประวัติศาสตร์ สิ่งที่น่ากลัวอย่างแท้จริงมันยังไม่ปรากฏตัวขึ้น

แต่...

พวกมันมาจากที่ไหน?

แล้วใครเป็นคนสร้างพวกมันขึ้นมากันแน่?

พวกมันเป็นมารจริงๆ ใช่หรือไม่?

หลังจากเก็บเกี่ยวประสบการณ์มาทั้งสองช่วงชีวิต นี่นับว่าเป็นครั้งแรกเลยที่กู่ฉิงซานเริ่มขบคิดเกี่ยวกับปัญหาดังกล่าว

เขาตกอยู่ในความสับสน

อย่างไรก็ตาม ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าความลับนี้ลึกล้ำพอๆ กับก้นเหวลึกในมหาสมุทร มันอดไม่ได้ที่จะส่งผลให้ผู้คนสั่นระรัวด้วยความหวาดกลัว เนื่องเพราะไม่อาจค้นหาความจริงได้

มองไปยังเหล่าสหายรุ่นใหญ่ในโลกแห่งผู้ฝึกยุทธอีกครั้ง เขาก็พบว่าอีกฝ่ายยังจมอยู่ในห้วงความคิด มิได้สติกลับคืน

หนิงเยว่ฉานถอนหายใจ เอ่ยปากกล่าวขึ้นมาเป็นคนแรก “เนื่องจากนี่เป็นการต่อสู้ที่มิอาจหลีกเลี่ยงได้ เช่นนั้นพวกเราก็มาช่วยกันตรวจสอบสิ่งของของพวกเขาอีกครั้งกันเถอะ เผื่อว่าจะได้พบเจอกับเบาะแสเพิ่มเติมอีกสักเล็กน้อย”

‘ย่อมเป็นเช่นนั้น!’ ผู้คนในฉากนี้ก็คิดเห็นเช่นเดียวกัน นั่นเพราะพวกเขาล้วนแล้วแต่เป็นผู้ฝึกยุทธรุ่นใหญ่ในขั้นก่อกำเนิดไม่ก็ก้าวสู่เทพ ดังนั้นทั้งหมดย่อมที่จะต้องครอบครองประสบการณ์และองค์ความรอบรู้อันกว้างขวาง หากระดมสมองกัน อาจจะพบเจอเบาะแสอะไรบางอย่างเพิ่มเติมอีกก็เป็นได้

ผู้ฝึกยุทธทั้งหมดทำการรวบรวมสิ่งของกระจายตัวไปทุกพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็นวางอาวุธ เม็ดยา ยันต์ ฯลฯ ลงมาวางเรียงรายกันบนพื้น

ไม่นานนัก ทุกคนก็ค้นพบว่า หมวกไม้ไผ่ที่ถูกสวมใส่โดยกลุ่มผู้ฝึกยุทธแปลกหน้า มีคุณสมบัติในการระงับกลิ่นอายทั้งหมดออกไป

ผู้ฝึกยุทธรุ่นใหญ่ที่เป็นนักปรับแต่งกล่าวออกมาว่า “การที่สวมใส่อุปกรณ์เช่นนี้กันทุกคน นั่นพอที่จะระบุได้ว่า พวกเขาต้องอาศัยอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ต้องระมัดระวังอยู่ตลอดเวลา”

กู่ฉิงซานหยิบดาบยาวของชายแปลกหน้าที่ต่อสู้กับเขาขึ้นมา และทำการตรวจสอบมันอย่างรอบคอบ

เห็นแค่เพียงว่าตัวดาบมันยังคงดูใหม่มาก ราวกับว่าเพิ่งหยิบออกมาจากเตาหลอมเมื่อไม่นานมานี้เอง

เกรงว่าผู้ฝึกดาบคนนี้คงจะได้รับมันมาก่อนที่จะเริ่มออกเดินทาง

บนหน้าต่างระบบเทพสงคราม หัวข้อ ‘วิชายุทธเทพสงคราม’ พลันกะพริบไหวทันที

“ค้นพบดาบ”

“ดาบของสาวกที่แท้จริงประจำนิกายกวงหยาง จะเริ่มทำการแสดงรายการสกิลที่ค้นพบ ดังต่อไปนี้”

“เจ็ดเทคนิคดาบขั้นพื้นฐานแห่งนิกายกวงหยางแสดงผล...จางหงอี้”

“เทคนิคลับแห่งดาบ กระแสธารอันยิ่งใหญ่แสดงผล...จางหงอี้”

“เนื่องจากเทคนิคดาบที่สองมาจากต่างโลกที่ไม่รู้จัก และผู้เล่นไม่เคยได้สัมผัสกับมันมาก่อน ดังนั้นการเรียนรู้เทคนิคดาบนี้จึงจำต้องจ่ายพลังวิญญาณเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า”

“เรียนรู้เจ็ดเทคนิคดาบขั้นพื้นฐานแห่งนิกายกวงหยาง มีค่าใช้จ่ายสิบเจ็ดแต้มพลังวิญญาณ”

“เรียนรู้เทคนิคลับแห่งดาบ กระแสธารอันยิ่งใหญ่ มีค่าใช้จ่ายพลังวิญญาณหนึ่งร้อยเก้าสิบแต้ม”

ทันใดนั้น จู่ๆ ดวงตาของกู่ฉิงซานก็สว่างวาบขึ้นมาทันที

นี่คือเทคนิคลับแห่งดาบที่อีกฝ่ายใช้ออกในช่วงก่อนหน้านี้ และพลังอำนาจของมันนับว่าไม่เลวเลยทีเดียว

หากมิใช่เพราะเขาได้เรียนรู้กลืนกินหวนกลับมาก่อนแล้วใช้งานมันออกไปล่ะก็ การที่จะโค่นล้มอีกฝ่ายได้คงจะต้องใช้ความพยายามเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก

ส่วนการจ่ายออกด้วยแต้มพลังวิญญาณจำนวนมากกว่าปกติ สำหรับเขาในเวลานี้ ไม่นับว่าเป็นปัญหาใดๆ

เขาเอ่ยปากในทันที “ฉันเลือกเรียนรู้ เทคนิคลับแห่งดาบ กระแสธารอันยิ่งใหญ่”

“จ่ายหนึ่งร้อยเก้าสิบแต้มพลังวิญญาณ ผู้เล่นทำการเรียนรู้ เทคนิคลับแห่งดาบ กระแสธารอันยิ่งใหญ่ เรียบร้อยแล้ว”

ทันใดนั้นบรรทัดตัวอักษรเส้นใหม่ก็ปรากฏขึ้นมา

“คุณได้ทำการเรียนรู้เทคนิคดาบจากโลกอื่น”

“ขอแสดงความยินดีด้วย แม้ความแข็งแกร่งส่วนตนของคุณแทบจะไม่เป็นไปตามเงื่อนไข ทว่าตอนนี้คุณสามารถเริ่มดำเนินภารกิจที่สามของพลังศักดิ์สิทธิ์ได้แล้ว”

กู่ฉิงซานกวาดสายตาอ่านข้อความ จู่ๆ ในหัวใจของเขาก็ระเบิดฟุ้งไปด้วยความปีติยินดี

ในที่สุด...ในที่สุดฉันก็จะสามารถทำภารกิจพลังศักดิ์สิทธิ์ต่อได้เสียที!

หากบรรลุได้ทั้งเจ็ดภารกิจ เขาก็จะสามารถสกัดพลังศักดิ์สิทธิ์ของทั้งสองขอบเขตได้!

กู่ฉิงซานหันไปมองรอบๆ

และพบว่าเหล่าผู้ฝึกยุทธกำลังตรวจสอบสินสงครามที่ริบมาอย่างจริงจังและเป็นระเบียบ

สถานการณ์ในปัจจุบันยังคงไม่เหมาะสมนัก หากเขาคิดจะแยกตัวออกจากทีม หรือจากไปโดยพลการ

กู่ฉิงซานระงับความตื่นเต้นในหัวใจของเขาเอาไว้ก่อน แล้วเข้าร่วมการตรวจสอบอารยธรรมของผู้ฝึกยุทธจากต่างโลกอีกครั้ง

มองไปยังผู้ฝึกยุทธแต่ละคน พวกเขาล้วนสวมใส่จี้หยก

และจี้หยกที่สวมใส่จะแตกต่างกันออกไปในแต่ละคน แตกต่างกระทั่งสีสันที่ขณะนี้กำลังเปล่งแสงออกมาเล็กน้อย

ทุกคนวินิจฉัยว่ามันน่าจะเป็นไอเท็มมนตราประเภทมิติ ที่มีคุณสมบัติคล้ายคลึงกับถุงสัมภาระเป็นแน่

หนึ่งในผู้ฝึกยุทธที่เชี่ยวชาญในด้านการสร้างถุงมิติทดลองที่จะเปิดมัน แต่ก็ทำได้เพียงส่ายหัว

แต่ในจิตใจของเขาก็ยังคงไม่ยอมแพ้ และเริ่มทำการหยิบจี้หยกอีกอันขึ้นมาตรวจสอบอีกครั้ง

หลังจากนั้นไม่นาน ผู้ฝึกยุทธคนที่ว่าก็ยอมแพ้ในที่สุด

เขาเอ่ยปากอธิบายไปยังทุกคนว่า “จี้หยกนี้ไม่ว่าจะเป็นวิธีการก่อรูปหรือปรับแต่ง ล้วนเป็นไปด้วยความประณีตและเลิศเลอ วิธีการปลดผนึกจี้หยกนั้นถูกตั้งกฎเอาไว้ว่าให้เปิดเฉพาะผู้เป็นเจ้าของเท่านั้น และหลังจากที่เจ้าของตาย ก็จะไม่มีใครสามารถเปิดมันได้อีก”

เมื่อทุกคนได้ยิน ทั้งหมดต่างก็พากันส่ายศีรษะและถอนหายใจออกมา

ในเวลานี้ ผู้ฝึกยุทธเริ่มหันไปตรวจสอบเกราะและเสื้อผ้าของคนจากโลกอื่นบ้างแล้ว พวกเขาเริ่มปลดมันและวางลงข้างๆ

คราวนี้ผู้ฝึกยุทธที่มีความเชี่ยวชาญในด้านหลอมกลั่นอาวุธก้าวออกมาเบื้องหน้า จ้องมองดูเกราะและอาวุธของอีกฝ่ายทีละชิ้น ทีละชิ้น ในที่สุดก็เอ่ยปากกล่าวว่า “อาวุธมีความคมค่อนข้างสูง ส่วนเกราะและเสื้อผ้าก็มีความทนทานเป็นอย่างมาก แม้อุปกรณ์ของพวกเขาจะด้อยกว่าในโลกเทวะ ทว่าย่อมดีกว่าของพวกเราอย่างแน่นอน”

งานฝีมือหลอมกลั่นของโลกเทวะนั้นยอดเยี่ยม ทุกคนได้เห็นมันมาแล้วเมื่อครู่ที่เข้าไปในบาตรพระ ดังนั้นในมุมมองนี้ เหล่าผู้ฝึกยุทธต่างก็ยอมรับกันเป็นอย่างดี

ต่อมา ผู้ฝึกยุทธที่เชี่ยวชาญด้านการปรุงยา ก้าวออกมาเบื้องหน้าและหยิบเม็ดยารักษาที่วางอยู่ขึ้นมา เขาประเดิมด้วยการดมกลิ่น จากนั้นก็หักลงครึ่งหนึ่ง แล้วโยนเข้าใส่ปาก เคี้ยวหงับๆ

เขาหลับตาลง ขณะเดียวกันก็เอ่ยปากกล่าว “ระดับการปรุงยาสูงกว่าของพวกเรามาก ประสิทธิภาพของเม็ดยาตัวนี้มีสรรพคุณยิ่งกว่ายาระดับสูงของพวกเราเสียอีก”

“กระทั่งยันต์ก็ยังมีอำนาจยิ่งกว่าของพวกเรา” ชายอีกคนหนึ่งหยิบฉวยยันต์ขึ้นมาสองสามแผ่น ปากเอ่ยกล่าว

ในเวลานี้ ทุกคนต่างก็พากันหันไปมองกู่ฉิงซานอย่างเป็นเอกฉันท์

เดชะบุญ…เดชะบุญจริงๆ

ต้องขอบคุณกู่ฉิงซานที่เขาฉวยโอกาสแรกเปิดฉากโจมตี ฆ่าสังหารอีกฝ่ายไปก่อนล่วงหน้าได้หลายคน

มิฉะนั้น หากทั้งสองฝ่ายตกอยู่ในสถานการณ์ต่อสู้ยืดเยื้อ มันคงยากที่จะบอกว่าพวกเขาจะได้รับชนะหรือพ่ายแพ้

“แล้วค่ายกลเล่า? ค่ายกลของพวกเราหากเปรียบเทียบกับพวกเขา ของใครอ่อนแอกว่ากัน?” กู่ฉิงซานกล่าวขึ้นอย่างกะทันหัน

ในศึกระยะประชิด อาวุธ เม็ดยา ยันต์ นับว่าเป็นตัวช่วยสนับสนุนผู้ฝึกยุทธได้อย่างใหญ่หลวง

อย่างไรก็ตาม ในศึกระยะไกล ค่ายกลคือปัจจัยที่สำคัญที่สุด

พอได้ยิน ใครบางคนก็เอ่ยรายงานออกมา “คือว่า...พวกเราเพิ่งค้นพบว่าปรมาจารย์ค่ายกลหยุนเสียชีวิตลงแล้วน่ะขอรับ…”

“เสียชีวิต?”

“นั่นคือซากร่างของเขา”

ใครบางคนชี้ไปยังโครงกระดูกที่ตกอยู่ในมุมหนึ่ง

“พิกลนัก เมื่อครู่ข้าจดจำได้อย่างแม่นยำว่ามิได้พบเห็นฝ่ายเราพลาดท่า แล้วเขาจะตกตายได้อย่างไรกัน?” เหลิงเทียนสิงกล่าว

แต่แล้วจู่ๆ ก็บังเกิดภาพฉากหนึ่งผุดออกมาจากตัวบาตร และลอยนิ่งอยู่กลางอากาศ

นั่นคือภาพฉากที่เกิดขึ้นกับปรมาจารย์ค่ายกลหยุน

เมื่อเหล่าผู้ฝึกยุทธได้เห็นก็นิ่งอึ้ง เบนสายตาไปยังบาตรโดยที่มิกล้าเอ่ยอะไรออกมาแม้เพียงครึ่งคำ

แม้กระทั่งผู้ฝึกยุทธในขอบเขตก้าวสู่เทพก็ยังสามารถจัดการสังหารได้ตามใจต้องการ พลังอำนาจของสมบัติเบื้องหน้าพวกเขานี้ มิใช่สิ่งที่ตนเองจะสามารถล่วงเกินได้เลย

นับประสาอะไรกับสมบัติที่มีจิตวิญญาณ

สมบัติอันแสนจะน่าหวาดหวั่นเช่นนี้ แถมยังครอบครองภูมิปัญญาทางจิต ผู้ฝึกยุทธทุกคนล้วนนิ่งค้างไปสักพักหนึ่ง มิกล้าขยับเคลื่อนไหว ผ่านไปนานจึงค่อยเรียกสติกลับคืนมา

เพราะสิ่งที่ต้องทำในตอนนี้คือรีบตัดสินความแข็งแกร่งของผู้ฝึกยุทธที่มาจากต่างโลก

โดยเฉพาะอย่างความรอบรู้ในด้านค่ายกลของพวกเขา

หนิงเยว่ฉานเอ่ยถาม “นายพลกงซุนยังคงหมดสติ เช่นนั้นในตอนนี้ มีผู้ฝึกยุทธคนใดบ้างที่พอจะมีความสามารถในด้านค่ายกล?”

เหล่าผู้ฝึกยุทธต่างพากันปิดปากเงียบ

เกี่ยวกับเรื่องค่ายกล มันยากเกินไป มิใช่สิ่งที่คนทั่วไปจะสามารถจัดการได้

“เช่นนั้นในเรื่องค่ายกล ไว้พวกเรากลับไปค่อยมาหารือด้วยกันอีกครั้ง” หนิงเยว่ฉานกล่าวอย่างหมดหนทาง

“อันที่จริงแล้วมันไม่จำเป็นหรอก” กู่ฉิงซานกล่าวพลางหยิบดิสก์ค่ายกลขนาดเล็กขึ้นมา และหันไปทางวิหารพุทธะที่บัดนี้ว่างเปล่า

“ลองมองถึงผลลัพธ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นนี้สิ”

เขาหยิบศิลาวิญญาณออกมาหลายก้อนแล้วยัดเข้าไปในดิสก์ค่ายกล หลังจากนั้นก็ทำการกระตุ้นพลังวิญญาณลงไป

บนดิสก์ค่ายกล ปรากฏร่างเงาทั้งสี่ผุดขึ้นมาทันที มังกรฟ้า พยัคฆ์ขาว วิหคเพลิง และเต่าดำ

กู่ฉิงซานทดลองแตะเลือกร่างของวิหคเพลิง

วินาทีนั้นพลันปรากฏเปลวเพลิงคำรนที่รุนแรงออกมาจากดิสก์ค่ายกล เปลี่ยนทั่วทั้งวิหารเบื้องหน้าให้กลายเป็นทะเลเพลิงในพริบตา

กู่ฉิงซานเร่งถอนพลังวิญญาณออกมาทันที

แล้วเปลวเพลิงที่ลุกไหม้ก็เหือดหายลงในฉับพลัน

คราวนี้กู่ฉิงซานแตะเลือกเต่าดำ

เห็นแค่เพียงชั้นอากาศเย็นเยียบแพร่กระจายออกมาจากดิสก์ค่ายกล น้ำแข็งค้างแกะกุมไปทั่วบริเวณอย่างรวดเร็ว อุณหภูมิในพื้นที่เริ่มลดต่ำลง หนาวเย็นมากขึ้นเรื่อยๆ

กู่ฉิงซานถอนพลังวิญญาณกลับคืน

แล้วน้ำแข็งค้างก็หยุดการแพร่กระจาย

กู่ฉิงซานถอนหายใจออกมา “ด้วยดิสก์ค่ายกลเล็กๆ นี่ แต่กลับสามารถปลดปล่อยพลังอำนาจอันทรงพลังเช่นนี้ออกมาได้ แถมยังบรรจุไว้ถึงสี่รูปแบบอีก เกรงว่าเพียงเท่านี้ก็น่าจะพอบ่งบอกได้แล้วว่า เทคนิคในด้านค่ายกลของพวกเขา เหนือล้ำยิ่งกว่าพวกเราไปแล้วอย่างสมบูรณ์”

ทุกคนมองไปยังฉากตรงหน้า และไม่มีใครกล้าเอ่ยคำใด

อารมณ์ความรู้สึกตื่นตระหนกค่อยๆ แพร่กระจายเข้าไปในหัวใจของทุกคน

.....................................................