webnovel

0268 เสื้อคลุมสีขาวและม่วง

ตอนที่ 268 เสื้อคลุมสีขาวและม่วง

ผู้ฝึกยุทธคนหนึ่งในทีมเอ่ยปากพลางทอดถอนหายใจ “ตัวข้าเป็นถึงผู้ฝึกยุทธขอบเขตก้าวสู่เทพที่แสนยิ่งใหญ่ และข้าขอยอมตายตรงนี้เลยเสียดีกว่า แทนที่จะต้องบุกไปขุดหลุมฝังตัวเองอย่างการบุกรุกไปสู้ตายที่โลกอื่น”

เหล่าผู้ฝึกยุทธตกลงสู่ห้วงอารมณ์หม่นทะมึน ทั้งหมดเผยท่าทีให้เห็นถึงความหดหู่

ใบหยกที่กองรวมเรียงรายอยู่กับอุปกรณ์ต่างๆ ของผู้คนจากต่างโลกถูกหยิบขึ้นมาโดยเหลิงเทียนสิง

ก่อนการต่อสู้จะเริ่มขึ้น ใบหยกชิ้นนี้ถูกกำอยู่ในมือของผู้ฝึกยุทธต่างโลกคนหนึ่ง

แต่เพราะกู่ฉิงซานระเบิดการโจมตี พุ่งเข้าไปฆ่าสังหารอย่างกะทันหัน ส่งผลให้ผู้ฝึกยุทธที่ถือมัน ไม่มีเวลามากพอที่จะเปิดใช้งานใบหยก และตกตายลงไปเสียก่อน

เหลิงเทียนสิงกวาดจิตสัมผัสเทวะลงไป ทว่าเขากลับมิได้เอ่ยคำใด แต่เลือกที่จะยื่นมันให้แก่กู่ฉิงซานแทน

กู่ฉิงซานรับมาแล้วกวาดจิตสัมผัสลงไป และเห็นว่าภายใน แท้จริงแล้วบรรจุไว้ซึ่งวิชาลับที่ใช้สำหรับฝึกยุทธนั่นเอง

วิชาลับนี้เริ่มต้นจากในระดับปราณปรับแต่ง เล่าบรรยายอธิบายไปถึงแก่นทองคำ แต่ละขอบเขต แต่ละขั้น ว่าสิ่งที่ควรจะต้องทำและเตรียมพร้อมคืออะไร ลากยาวรวมไปถึงผลกระทบต่อร่างกายที่เปลี่ยนแปลงไปในยามบรรลุขอบเขตใหม่ และคำบรรยายอธิบายทุกๆ อย่างที่เกี่ยวข้องอย่างละเอียด

แถมคำอธิบายในตอนท้ายของใบหยก ยังระบุด้วยว่าวิชาลับ นี้เป็นสิ่งที่มีไว้สำหรับเหล่าผู้ฝึกยุทธสามัญทุกๆ คนที่เป็นเพียงสาวกธรรมดา

กระบวนการนี้ใช้สำหรับให้ผู้ฝึกยุทธสามารถทะลวงผ่านขอบเขต ‘ระดับต่ำ’ อย่างก่อตั้งไปยังแก่นทองคำอย่างรวดเร็ว

พอสำรวจมันเสร็จ กู่ฉิงซานก็ยื่นใบหยกส่งต่อไปให้หนิงเยว่ฉาน

แล้วใบหยกก็ถูกส่งวนให้ทุกคนได้สำรวจดู

ผ่านไปนาน ใครบางคนจึงเอ่ยขึ้น “ขอบเขตแก่นทองคำที่เปรียบดั่งเป็นกระดูกสันหลังในโลกของพวกเรา ทว่าในโลกของพวกเขา มันกลับเป็นเพียงแค่ขอบเขตระดับต่ำ?”

เหล่าผู้ฝึกยุทธหันมามองหน้ากันและกันด้วยความรู้สึกเหลือเชื่อ

หากเทียบเปรียบกันระหว่างทั้งสองโลก ไม่ว่าจะเป็นในด้านการปรับแต่ง หลอมกลั่น เม็ดยา ยันต์ หรือกระทั่งค่ายกล ทางฝั่งโลกแห่งผู้ฝึกยุทธล้วนด้อยกว่าแทบทั้งสิ้น

ขณะนี้ภายในจิตใจของทุกผู้คนเต็มไปด้วยความหวาดกลัวและสิ้นหวัง

อย่างไรก็ตาม ช่วงเวลานั้นเอง ทั้งหมดกลับได้ยินเสียงพึมพำของใครคนหนึ่งดังขึ้นมา “ไม่ นี่มันไม่ถูกต้อง”

“เกิดอะไรขึ้น? เจ้าพบเจอสิ่งใดอย่างนั้นหรือ?” หนิงเยว่ฉานเอ่ยถาม

กู่ฉิงซานกล่าวตอบ “ใช่แล้วล่ะ แต่ก่อนอื่น เจ้าช่วยส่งใบหยกนั่นมาให้ข้าอีกครั้งจะได้ไหม เมื่อครู่ข้ามิทันได้ใส่ใจถึงรายละเอียดของมัน เลยต้องการที่จะยืนยันอีกครา”

ใบหยกถูกส่งลอยมาตกลงบนมือของเขา

กู่ฉิงซานกวาดจิตสัมผัสเทวะลงไป เริ่มไล่กวาดสายตาอ่านทุกประโยค ไม่ยอมปล่อยให้เล็ดลอดไปกระทั่งตัวอักษรเดียว

เหล่าผู้ฝึกยุทธต่างพากันหุบปากเงียบ พวกเขาจ้องมองไปยังกู่ฉิงซานตาไม่กะพริบ ราวกับกำลังเฝ้าจับตาดูความหวังใหม่

ในที่สุดกู่ฉิงซานก็ไล่อ่านข้อความในใบหยกจนหมด และเอ่ยปากเฉลยในสิ่งที่เขาเพิ่งพบเจอว่า “ในแต่ละครั้งที่พวกเขาทำการทะลวงฝ่าขอบเขตใหญ่ พวกเขากลับไม่เคยพบเจอกับภัยคุกคามใดๆ จากความว่างเปล่าเลย”

“แล้วสิ่งนี้มันหมายความว่ากระไร?” เหล่าผู้ฝึกยุทธบางคนที่ยังมิทันได้ตระหนักถึงนัยสำคัญที่ว่าได้เอ่ยปากถามขึ้น

“มันหมายความว่า พวกเขาไม่เคยพบเจอกับมารสวรรค์เลยอย่างไรล่ะ!” กู่ฉิงซานกล่าว

“แต่ข้าก็มิเคยเห็นมารสวรรค์เช่นกัน เกรงว่าบางทีโลกของพวกเขาอาจจะมีพลังอำนาจวิเศษที่สามารถใช้ป้องกัน มิให้มารสวรรค์กล้ารุกรานเข้าไปก็เป็นได้นะ”

และเป็นอีกครั้งที่เหล่าผู้ฝึกยุทธรู้สึกว่าฝ่ายตนเองด้อยกว่าอีกครา ทั้งหมดตกลงสู่ห้วงอารมณ์หดหู่

กู่ฉิงซานตริตรองในห้วงสมาธิ

ในโลกแห่งผู้ฝึกยุทธ แม้ว่าในระดับขอบเขต พลังของเหล่าผู้ฝึกยุทธจะเหนือล้ำยิ่งกว่าเผ่ามารอยู่หนึ่งขั้นก็ตามที แต่พวกมารสวรรค์ก็มิเคยหยุดคิดที่จะยั่วยุพวกเขาในยามที่กระทำการทะลวงด่านใหญ่เลย พวกมันยังคงทำหน้าที่ของตนอย่างขะมักขเม้น

เช่นนั้นเพราะเหตุใดกัน มารสวรรค์จึงไม่เข้าสู่โลกอีกใบของเหล่าชายแปลกหน้าหมวกไม้ไผ่…ใช่เป็นเพราะหวาดกลัวในอำนาจวิเศษจริงๆ หรือ?

ในตอนนั้นเอง ตัวบาตรก็เริ่มลอยขึ้น และเคลื่อนกายมาบินเวียนวนรอบตัวกู่ฉิงซาน

กู่ฉิงซานได้สติกลับคืน เขามองไปที่บาตร ก่อนจะเลื่อนสายตาไปทางหนิงเยว่ฉานแล้วกล่าวว่า “เกรงว่าข้าคงจำต้องเข้าไปภายในอีกครั้ง”

หนิงเยว่ฉานกัดฟันกล่าว “ทุกคนประจำตำแหน่งในรูปแบบตั้งรับเอาไว้ให้ดี จงเฝ้ารักษาการณ์อยู่ภายนอก ตัวข้า กู่ฉิงซาน และเหลิงเทียนสิงจะกลับเข้าไปสำรวจภายในอีกครั้ง”

“รับทราบ!” เหล่าผู้ฝึกยุทธขานรับ

กู่ฉิงซานโค้งคารวะให้แก่บาตรอย่างนอบน้อม ปากเอ่ยกล่าว “ขอท่านโปรดส่งพวกเราทั้งสามกลับไปด้วย”

ตัวบาตรลอยมาวนรอบตัวพวกเขา จากนั้นก็ดูดทั้งสามหายวับไปจากตำแหน่งที่ยืนอยู่ทั้งๆ อย่างนั้น

ภายในบาตร ภาพฉายต่อจากคราก่อนปรากฏขึ้นอีกครั้ง

ผู้ทรงเกียรติทั้งสี่แห่งโลกเทวะใช้ออกด้วยเทคนิคมนตราอันแข็งแกร่งด้วยแรงใจทั้งหมดที่มี จนในที่สุดก็สามารถเปิดช่องมิติจากอากาศที่ว่างเปล่าได้

เบื้องบนท้องฟ้า ปรากฏให้เห็นซึ่งร่างสามร่าง

สองในสามเป็นหญิงในชุดขาว งดงามโดดเด่นเหนือคณนายิ่งกว่าบุปผางามใดๆ ที่เคยพบเจอ

ทั้งสองยืนอยู่กลางอากาศ ด้วยรูปลักษณ์ที่สง่างามและน่าประทับใจ แม้ท่วงท่าของพวกนางจะดูไร้เดียงสา ทว่ากลับให้ความรู้สึกถึงพลังอำนาจที่มิอาจขัดขืนได้

แต่สิ่งที่น่าแปลกก็คือ ทั้งมือและเท้าของหญิงงามทั้งสอง กลับถูกผูกมัดไว้ด้วยโซ่ตรวนโดยสมบูรณ์ ส่งผลให้พลังวิญญาณอันยิ่งใหญ่ภายในร่างของพวกเธอถูกกักขังเอาไว้ ไม่สามารถแพร่กระจายพวกมันออกมาได้เพียงน้อย

บนโซ่ตรวน บ่อยครั้งที่มันมักจะเปล่งแสงกะพริบไหวออกมาอย่างพร่ามัว สาดเข้าปกคลุมทั้งคนทั้งร่างของทั้งสอง

ในมือของหญิงงามแต่ละคน ถือสิ่งของที่แตกต่างกันออกไป คนหนึ่งขวดน้ำเต้าสีแดง ขณะที่อีกคนหนึ่งถือขวดแก้วสีสดใส

ทั้งสองนางยืนประกบซ้ายขวาด้วยความนอบน้อม

ประกบชายคนที่สามในชุดคลุมสีม่วงที่ยืนอยู่ตรงกึ่งกลาง

เมื่อชายคนนี้ปรากฏตัวขึ้น หนิงเยว่ฉานกับเหลิงเทียนสิงก็อดไม่ได้ที่จะเบนสายตาไปมองกู่ฉิงซาน

“มองมาทำไมกัน?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

“ทำไมน่ะหรือ...ก็ไม่ว่าจะเป็นลักษณะท่าที หรือห้วงอารมณ์ที่เขาแสดงออกมา มันก็ช่างดูคล้ายคลึงกับเจ้ายิ่งนัก” เหลิงเทียนสิงกล่าว

“ทว่าก็ยังมีข้อแตกต่างอยู่ หากเป็นผู้ที่ใกล้ชิดสนิทสนมกับเจ้าแล้วล่ะก็ ไม่ว่าใครก็จะสามารถแยกแยะถึงความแตกต่างที่ว่านั่นได้อย่างรวดเร็ว” หนิงเยว่ฉานยังคงมองมาที่กู่ฉิงซาน ปากเอ่ยยืนยัน

ใบหน้าของชายคนนั้นซูบผอม ดวงตาเย็นชา ทั้งคนทั้งร่างสามารถมองเห็นเนื้อหนังได้เพียงไม่กี่ส่วนเท่านั้น ส่งผลให้การปรากฏตัวของเขาถูกหญิงงามทั้งสองแย่งความสนใจไปจนเกือบหมดสิ้น

อย่างไรก็ตาม แม้ตัวเขาจะทำแค่เพียงยืนอยู่เฉยๆ ที่นั่น แต่ทว่ากลับบังเกิดริ้วเปลวเพลิงอันน่าสยดสยองลุกโชนออกมาจากร่างกาย แผดเผาอากาศที่ว่างเปล่าโดยรอบจนบังเกิดเป็นรอยร้าวสีดำแตกแขนงกระจายออกไปทั่วบริเวณ

หนึ่งในสองหญิงงามหันไปมองรอบๆ ด้วยความประหลาดใจ ก่อนจะเบนสายตาลงไปมองกลุ่มคนเบื้องล่าง

กู่ฉิงซานสังเกตเห็นว่าการแสดงออกบนใบหน้าของพวกเธอแลดูแปลกไปเล็กน้อย

ต่อมา เขาก็ยินเสียงอันไพเราะของหนึ่งในสองหญิงงามดังขึ้นอย่างแผ่วเบา “พี่สาว ท่านลองมองดูซี โลกใบนี้ยังไม่ถูกเงื้อมมือของผู้ใดแตะต้องมาก่อนเลย!”

“ข้าก็สังเกตเห็นแล้วเช่นกัน นี่พอจะบ่งบอกได้ว่าสถานที่แห่งนี้แท้จริงแล้วเป็นโลกใบใหม่ แต่น่าเสียดายที่ผู้คนในโลกอ่อนแอมากเกินไป และดูเหมือนว่าจะกำลังตกอยู่ในสถานการณ์ร้ายแรงที่อันตรายถึงชีวิตอีกด้วย” อีกหนึ่งหญิงงามเอ่ยปากตอบพลางถอนหายใจ

“ฮึ! แต่ดูเหมือนว่านายน้อยของพวกเราจะกำลังยิ้มเพราะได้พบเจอของเล่นชิ้นใหม่อยู่นะในตอนนี้” หญิงงามอีกคนมองไปยังท่าทีที่ของนายน้อยในชุดคลุมสีม่วงแล้วกล่าวออกมา

ทว่าชายหนุ่มที่ถูกเรียกว่านายน้อยกลับมิได้เอ่ยตอบสิ่งใดกลับไป ที่เขาทำก็แค่เพียงกวาดจิตสัมผัสเทวะออกไปสำรวจอาณาเขตโดยรอบ

สี่ตัวตนผู้ทรงเกียรติที่ถูกอัญเชิญมาโดยสิบสองประทับเทพ ยามเมื่อสัมผัสถึงกลิ่นอายของสองหญิงงาม พวกเขาก็บังเกิดความลังเลเล็กน้อย ลังเลว่าวิชาลับ ‘อัญเชิญ’ ที่เพิ่งใช้ออกจะบังเกิดความผิดพลาดขึ้นหรือไม่

นั่นเพราะแม้หญิงงามทั้งสองคนนี้ดูเหมือนว่าจะแข็งแกร่งมาก แต่พวกเธอกลับถูกกักพลังเอาไว้ จึงทำให้ไม่อาจตัดสินถึงความแข็งแกร่งของพวกเธอได้

จนกระทั่งพวกเขาตระหนักถึงความผันผวนทางพลังวิญญาณของนายน้อยในชุดคลุมม่วง สีหน้าของทั้งสี่ก็เผยให้เห็นถึงความปีติ คนแล้วคนเล่าเริ่มโค้งคารวะขึ้นไปยังเบื้องบน

ผู้ฝึกยุทธคนหนึ่งเริ่มเอ่ยปาก “ข้าใคร่ขอเรียนถามใต้เท้าผู้ทรงเกียรติหน่อยจะได้หรือไม่ ท่านใช่สหายของ ‘เซียนอมตะลู่’ ถูกต้องหรือเปล่า?”

พอได้ฟัง มุมปากของนายน้อยในชุดคลุมม่วงก็ยกสูงขึ้น แสดงออกถึงความเย้ยหยัน

เขาหันไปกล่าวกับหญิงงามทั้งสองว่า “บิดาข้าเคยสังหารคนหนึ่งมาก่อน และได้รับของบางสิ่งบางอย่างจากชายคนนั้น ส่งต่อมาให้ข้าใช้ หากแต่ข้ามิคาดคิดเลย ว่าสิ่งของเล็กจ้อยนั่น จะแหวกกำแพงอุปสรรคที่ขวางกั้น ช่วยให้ข้าพบกับดินแดนใหม่แห่งนี้”

“เช่นนั้นสิ่งที่นายน้อยตั้งใจจะทำคือสิ่งใด?”

“ใช้งานน้ำเต้า”

สีหน้าการแสดงออกของหญิงงามทั้งสองดูจะตกใจเล็กน้อย

หนึ่งในนั้นส่งสายตาอ่อนโยน เอ่ยเสียงที่ฟังคล้ายท่วงทำนองอันไพเราะ กล่าวแนะนำออกไปว่า “นายน้อย เหตุใดท่านถึงไม่เลือกที่จะช่วงชิง ‘แหล่งกำเนิดของธาตุทั้งห้า’ เล่า?”

นายน้อยชุดคลุมม่วงแสยะปากและเอ่ยว่า “หากทำเช่นนั้น ทุกคนที่อยู่ฝั่งเราก็จะสัมผัสถึงมันได้ และผลประโยชน์ที่จะได้จากโลกใบนี้ก็จะถูกตัดแบ่งลงให้ได้รับอย่างเท่าเทียมโดยพวกเขา”

“มันจะไม่ดีกว่าหรือ หากให้ข้าเป็นคนเดียวที่ทำการ ‘หลอมกลั่น’ โลกใบนี้ เพราะนั่นหมายถึงผลประโยชน์ส่วนใหญ่จะตกอยู่ในเงื้อมมือนิกายของข้าแต่เพียงผู้เดียว”

“เสียเวลามามากพอแล้ว จงนำขวดน้ำเต้ามาให้ข้าซะที!”

เขาหันไปมองหญิงงามด้วยประกายเย็นชาที่กะพริบผ่านในแววตา

สองหญิงงามรีบตอบรับในทันที “เจ้าค่ะ!”

หนึ่งในสองดึงโซ่ตรวนออกจากแขนของเธอ และยื่นขวดน้ำเต้าออกไปเบื้องหน้าขนานกับอก และคว่ำปากขวดชี้ลงเบื้องล่าง

แววตาของเธอเผยถึงร่องรอยของความหวาดกลัวเล็กน้อย ทว่าร่องรอยที่ว่าก็จางหายไปอย่างรวดเร็ว

นายน้อยในชุดคลุมม่วง จีบมือออกด้วยวิชาลับ ปากเอ่ยตะโกน “จงตื่นขึ้น!”

ทันใดนั้นขวดน้ำเต้าก็เปล่งประกายหลากสีสัน

นายน้อยชุดคลุมม่วงสลับสับเปลี่ยนรูปแบบสัญลักษณ์ในมือ และกระตุ้นพลังวิญญาณลงไป

ด้วยวิชาลับที่ถูกเปิดใช้งานโดยเขา ปากขวดน้ำเต้าก็พลันปลดปล่อยควันสีดำออกมา

นายน้อยชุดคลุมม่วงเหลือบสายตาลงมองเบื้องล่างอย่างเย็นชาและกล่าวกับคนทั้งสี่ว่า “โลกใบนี้นับว่าไม่เลวเลย ทว่ามันกลับมีมนุษย์อยู่มากเกินไป”

เสียงนี้ยังมิทันได้ตกลง ฝนเพลิงก็เริ่มโปรยปรายลงจากชั้นเมฆบนท้องฟ้า

และนั่นก็เป็นภาพสุดท้ายที่ถูกฉายออกมา พร้อมด้วยเสียงกรีดร้องระงมนับไม่ถ้วนที่ดังขึ้นในช่วงเวลาเดียวกัน

และภาพฉายก็หายวับไป

ตามด้วยเสียงกังวานที่ดังขึ้นอีกครั้ง

“เรื่องราวหลังจากนี้ก็คือเหล่าผู้ฝึกยุทธได้ถูกสังหารลงโดยสมบูรณ์ และโลกทั้งใบจึงมีเพียงแค่พวกเราเหล่าจิตอาร์ติแฟคเท่านั้นที่ยังหลงเหลืออยู่”

“พวกเราไม่สามารถวิวัฒน์ด้วยตนเองเพียงลำพังได้ หากไม่มีเผ่ามนุษย์ผู้ฝึกยุทธคอยอยู่เคียงข้าง”

“ปราศจากซึ่งผู้ฝึกยุทธเผ่ามนุษย์ พวกเราก็มิอาจกระทำสิ่งใดได้ นอกจากเพียงจมอยู่กับความเงียบเหงาชั่วนิรันดร์ เป็นเช่นนี้ตลอดไปจนกว่าโลกใบนี้จะถูกทำลาย”

“ดังนั้น พวกเราถึงต้องการแก้แค้นให้กับเจ้านายของพวกเรา! และที่สำคัญคือแก้แค้นให้กับตนเอง!”

“หากเจ้ายินดีจะช่วยพวกเรา เช่นนั้นก็จงโปรดรับเอาบาตรนี้ไป!”

“ตัวบาตรมีพลังอำนาจที่สามารถสังหารเผ่ามารในโลกได้นับพันหมื่นตนในคราเดียว ทว่าน่าเสียดายที่ผู้สืบทอดของนิกายพุทธะได้เสื่อมสูญไปแล้ว ดังนั้นมันจึงไม่สามารถปลดปล่อยพลังงานที่แท้จริงทั้งหมดออกมาได้”

แล้วเสียงก็หายไป

ทั้งสามอดไม่ได้ที่จะหันหน้ามามองกันและกันด้วยความตกตะลึง ในสมองบัดนี้กลับกลายเป็นว่างเปล่า

ในตอนนั้นเอง บังเกิดประกายแสงสีขาวกะพริบไหว และร่างของพวกเขาก็ถูกส่งกลับมาปรากฏในวิหารอีกครั้ง

บาตรพระลอยตัวขึ้น และร่อนมาตกลงในมือของกู่ฉิงซานด้วยตัวมันเอง

กู่ฉิงซานถือบาตรพระเอาไว้ ในจิตใจของเขาคิดตริตรองอยู่เป็นเวลานาน

หนิงเยว่ฉานเผยสีหน้าซับซ้อนออกมา ปากเอ่ยกล่าว “เจ้าต้องการที่จะช่วยเหลือพวกเขาอย่างนั้นหรือ? ช่วยเหลือเหล่าจิตอาร์ติแฟคเหล่านี้?”

“ในเมื่อได้ล่วงรู้แล้วว่าสถานการณ์เป็นเช่นนี้ ดังนั้นสิ่งที่เราสมควรจะทำก็คือการช่วยเหลือพวกเขา” กู่ฉิงซานกล่าว

กล่าวจบ เขาก็เก็บบาตรพระลงด้วยท่าทีจริงจัง

และมันก็มิได้ต่อต้านเขาเลย มันยินยอมให้กู่ฉิงซานยัดตนเองลงในถุงสัมภาระอย่างว่าง่าย

แล้วจู่ๆ เหลิงเทียนสิงก็กล่าวออกมา “ยังไงก็เถอะ ข้าก็ยังมือเรื่องที่ติดค้างสงสัยอยู่ในจิตใจอยู่ดี ว่าพวกเขาเข้ามายังโลกใบนี้ได้อย่างไรกัน?”

“‘พวกเขา’ ที่เจ้าว่านั่นน่ะมันหมายถึงใครกันล่ะ?”

“ก็คนที่สี่ผู้ฝึกยุทธแห่งโลกเทวะใช้ออกด้วยวิชาลับทำการกระตุ้นสมบัติมนตรา ฉีกมิติอันโกลาหลในอากาศที่ว่างเปล่า แล้วชักนำนายน้อยชุดคลุมม่วงออกมาอย่างไรเล่า”

“นั่นสินะ เรื่องนี้มันน่าเก็บไปคิดจริงๆ”

“แต่ที่น่าคิดยิ่งกว่าก็คือ เหล่าผู้ฝึกยุทธแปลกหน้าที่พวกเราเพิ่งพบเจอเมื่อครู่ต่างหาก กระทั่งพวกเขาก็ยังสามารถเข้ามาในโลกใบนี้…แล้วพวกเขาเข้ามาด้วยวิธีใดกัน?”

เหลิงเทียนสิงเอ่ยต่อ “หากพวกเขาสามารถก้าวข้ามมายังต่างโลกได้โดยสะดวก เช่นนั้น โลกใบนี้ก็สมควรที่จะถูกยึดครองโดยพวกเขาตั้งนานนมแล้ว”

.....................................................