ตอนที่ 245 ก้าวผ่านทัณฑ์สวรรค์
เทคนิคฝึกยุทธขอบเขตปราณปรับแต่งที่มีมากกว่าสองพันประเภท นี่มันเรียกได้ว่าโคตรจะครอบคลุมสำหรับผู้ฝึกยุทธตามแต่ละรูปแบบ เป็นสิ่งที่กู่ฉิงซานต้องการอย่างแท้จริง
เขาเก็บอิฐหยกลงในถุงสัมภาระอย่างระมัดระวัง ในกรณีที่ได้กลับไปยังโลกจริงเมื่อไหร่ มันก็พร้อมที่จะถูกใช้งานทันที
ถัดไปที่ต้องทำ ก็คืออาบน้ำโดยการแช่ในตัวยา ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ยาวิญญาณของวัดหลิงเย่ สรรพคุณของมันช่างดีสมคำร่ำลือจริงๆ
ยามเที่ยงในวันถัดมา กู่ฉิงซานสามารถสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าตัวเองดีขึ้นมากแล้ว
หลังจากที่พอมีเรี่ยวแรง ตนก็ฉุกคิดขึ้นได้ว่า ตัวเองเอาแต่อยู่ในเต็นท์ทหารมานานเกินไปแล้ว จึงเลือกที่จะออกไปเดินสูดอากาศภายนอก
ในพื้นที่เปิดโล่ง เบื้องหน้าของเต็นท์ทหาร กู่ฉิงซานได้พบกับอุปกรณ์ปรับแต่งตั้งวางเรียงรายอยู่บนพื้น
ฉินเซี่ยวโหลวกำลังทุ่มสมาธิใจจดใจจ่ออยู่กับการสร้างเรือเหาะ
เมื่อกู่ฉิงซานเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังทุ่มสมาธิไปกับอุปกรณ์ปรับแต่ง เขาจึงเลือกที่จะไม่ขัดจังหวะ และออกไปเดินเล่นรอบค่ายทหารเพียงลำพัง
ภายในค่ายทหารคึกคักจอแจไปด้วยผู้คน
ผู้คนที่เห็นเขาต่างก็เข้ามากล่าวทักทายด้วยความอบอุ่น
หลังจากที่ทุกคนรับรู้ว่าเขาเป็นคนเพียงคนเดียวที่คิดอุบายเปิดเผยการลอบจู่โจมของอสูรวิญญาณ และช่วยให้มนุษยชาติได้รับชัยชนะขั้นเด็ดขาดอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์ได้
ชัยชนะที่มิมีผู้ฝึกยุทธคนใดเสียชีวิตในสนามรบเลยแม้แต่คนเดียว
ตอนนี้ทุกคนจึงหันมาใส่ใจ ให้ความสำคัญกับกู่ฉิงซาน
กู่ฉิงซานยิ้มไปตลอดทาง รับคำอวยพรทักทายจากเหล่าคนของนิกายต่างๆ และเดินสำรวจไปรอบๆ ค่าย
มองไปยังกลุ่มผู้ฝึกยุทธจำนวนมากตามรายทาง ที่ส่วนใหญ่ล้วนแล้วแต่กำลังวุ่นอยู่กับการปรับแต่งเพื่อสร้างเรือเหาะ
เพียงแค่เห็นภาพเหล่านี้ กู่ฉิงซานก็ไม่จำเป็นที่จะต้องเสียเวลาคิด เขาก็ได้คำตอบขึ้นมาในจิตใจทันที
แม้จะมีการทำพันธสัญญาขั้นเด็ดขาดกับอสูรวิญญาณไปแล้ว แต่มนุษย์ก็ยังมิกล้าที่จะไว้วางใจพวกมันอยู่ดี
สำหรับการเหินอากาศด้วยตนเอง มันก็เป็นการกินพลังวิญญาณมากเกินไปสำหรับผู้ฝึกยุทธ
หากเป็นเฉพาะในช่วงการต่อสู้ก็นับว่าไม่เป็นไร แต่ต้องจำไว้นะว่ายิ่งมีพลังวิญญาณสะสมน้อยเท่าไหร่ โอกาสชนะก็ยิ่งน้อยลงตามไปด้วยมากเท่านั้น
แถมถ้าเป็นในช่วงเวลาเร่งรีบ การเหินอากาศด้วยตัวเองเป็นเวลานานๆ มันก็จะทำให้ยิ่งเหนื่อยล้าเข้าไปอีก
ในกรณีที่เกิดการต่อสู้ขึ้น แล้วพลังวิญญาณที่สมควรจะมีดันไม่เพียงพอ ผลพวงที่ตามมาอายหมายถึงความตาย
แถมสงครามครั้งใหม่ก็กำลังจะมาถึงในไม่ช้า
จึงเป็นธรรมดาที่ทุกคนจะเร่งสร้างเรือเหาะเอาไว้ใช้งาน เพื่อมิให้เกิดสถานการณ์ดั่งที่เพิ่งกล่าวมาเมื่อครู่นี้
ตัวเรือเหาะนับว่าเป็นสิ่งที่ดี แม้ว่าการขับเคลื่อนมันจะต้องใช้ศิลาวิญญาณก็ตามที แต่มันก็ยังดีกว่าการเหินอากาศด้วยตนเองอยู่ดี
ยิ่งไปกว่านั้น ตัวเรือเหาะยังสามารถจัดวาง ‘ค่ายกลรวมวิญญาณ’ ติดตั้งเอาไว้ได้อีกด้วย ทำให้ในการเดินทางระยะยาว มันจะช่วยผู้ฝึกยุทธให้สามารถฟื้นฟูพลังได้อย่างต่อเนื่อง
รอบทิศทาง สายตาของกู่ฉิงซานก็พลันเบนไปตกลงบนเรือเหาะที่งดงามลำหนึ่ง
บนชั้นนอกของเรือเหาะ ถูกสลักด้วยตัวอักษรที่แลคล้ายกับหงส์ร่อนมังกรบิน มันเขียนว่า ‘ฉาน’ และตรงมุมก็ถูกวาดไว้ด้วยภาพกล้วยไม้ที่ดูสะดุดตามาก
กู่ฉิงซานเดินขึ้นไป เอ่ยถามเหล่าผู้ฝึกยุทธบางคนที่กำลังปรับแต่ง และแน่นอนว่าคำตอบที่ได้รับก็คือ นี่เป็นเรือเหาะของหนิงเยว่ฉาน
เธอเพิงได้รับการเลื่อนขั้นขึ้นเป็นนายพลชั้นติงหยวน งานเธอจึงยิ่งมากขึ้นเป็นธรรมดา จนต้องฝากฝังคนอื่นให้มาปรับแต่งเรือเหาะให้ตัวเอง
กู่ฉิงซานหันไปมองรอบๆ อีกครั้ง และพบว่าเรือเหาะจำนวนมากนั้นมีสัญลักษณ์และชื่อที่โดดเด่นเป็นของตัวเอง
บางตัวอักษรและสัญลักษณ์ มักจะเป็นการแสดงถึงเอกลักษณ์และตัวตนของพวกเขาเสมอ
ด้วยวิธีการเช่นนี้ มันจะช่วยทำให้สะดวกต่อการระบุตัวตนของกันและกันในระหว่างเดินทาง
คนคุ้นเคยต่างก็เลือกที่จะมาทักทายเขา ส่วนบางนิกายที่ไม่กินเส้นกับกู่ฉิงซานตั้งแต่แรก ก็เลือกที่จะเฝ้ามองจากระยะไกล และหลีกเลี่ยงที่จะพบหน้ากัน
หลังจากสำรวจจนพอใจ กู่ฉิงซานก็กลับไปยังเต็นท์ทหารของตนเอง
ในเวลานั้น เขาก็ได้พบกับฉินเซี่ยวโหลวที่กำลังนั่งปรับแต่งเรือเหาะอยู่ด้วยสีหน้าบูดบึ้ง
“มีอะไรผิดปกติกระนั้นหรือ?” กู่ฉิงซานเอ่ยถามด้วยความห่วงใย
“อนิจจา! อนิจจา! ” ฉินเซี่ยวโหลวถอนหายใจและชี้ไปยังเรือเหาะ “เจ้ารู้จักสำนักดาบสีซานหรือไม่?”
“รู้จักสิ”
“สำนักดาบสีซานน่ะ มีผู้ฝึกดาบรุ่นเยาว์อยู่สี่คน อันได้แก่ หม่ารู่เฟิง จางเซียวหยู หลิวเล่ย และสุดท้ายหวู่ซูเดี๋ยน”
“อา .. แล้วเมื่อครู่ข้าก็ได้ยินใครบางคนพูดถึงพวกเขา”
“อย่างนั้นเจ้าคงจะรู้เรื่องนี้ด้วยใช่ไหม ว่าพวกเขาทั้งหมดต่างก็ได้รับการเรียกขานด้วยฉายาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว”
“โอ้? แล้วพวกเขาไปทำอะไร ถึงได้ถูกกล่าวขวัญด้วยฉายากันล่ะ?” กู่ฉิงซานเอ่ยถามด้วยความสนใจ
“ยังไม่ได้ทำสิ่งใดหรอก เพียงแต่บนเรือเหาะของพวกเขา แกะสลักด้วยตัวอักษรที่เป็นคำท้ายของชื่อ เฟิง(ลม) หยู(ฝน) สายฟ้า(เล่ย) และไฟฟ้า(เดี๋ยน) ควบคู่ไปกับความแข็งแกร่งเฉพาะตนที่มิได้อ่อนแอเลย ตอนนี้พวกเขาจึงถูกเรียกขานจากทุกผู้คนว่าเป็นสี่ดาบแห่งสีซาน”
“สี่ดาบแห่งสีซาน?” กู่ฉิงซานเอ่ยทวนด้วยความสนใจ
“ใช่ เฟิงหยูเล่ยเดี๋ยน สี่ดาบแห่งสีซาน”
ฉินเซี่ยวโหลว เผยร่องรอยถึงความริษยาเล็กน้อยบนใบหน้า ปากเอ่ยต่อ “นี่มันนับว่าเป็นชื่อที่เท่ห์ไม่เบา ง่ายต่อการจดจำ และมันจะต้องเป็นที่รู้จักกันในวงกว้างในภายหลังเป็นแน่
“โอ้นั่นสินะ หนิงเยว่ฉาน ก็สลักคำสุดท้ายของชื่อ ‘ฉาน’ เอาไว้เหมือนกัน” กู่ฉิงซานเอ่ยคำหนึ่ง
“มิผิด เวลานี้ดูเหมือนว่าการกระทำดังกล่าวจะกลายเป็นกระแสนิยมไปแล้ว”
“ … ข้าว่านี่มันก็แค่เรื่องเล็กน้อย หาได้สำคัญไม่” กู่ฉิงซานกล่าว
“อา! ศิษย์น้อง! มันจะเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยได้อย่างไร? ฉายาน่ะมันเป็นสิ่งสำคัญ ยามออกไปภายนอกผู้คนก็จะเรียกขานเจ้าด้วยชื่อที่ว่า และที่สำคัญมันจะติดตัวไม่เปลี่ยนแปลงไปตลอดชีวิต” ฉินเซี่ยวโหลวกล่าว
“ในส่วนของเรื่องนี้ข้าเห็นด้วยเช่นกัน” กู่ฉิงซานกล่าว และเริ่มขบคิดเกี่ยวกับมัน ตอนนี้เขาเริ่มบังเกิดความสนใจขึ้นมาเล็กน้อยแล้ว
“ศิษย์น้อง พวกเราต้องคิดฉายาดีๆ เอาไว้ด้วยนะ”ฉินเซี่ยวโหล่วตบลงบนไหล่เขา
“แต่พวกเรามีแค่สองคน แล้วจะตั้งฉายาที่ฟังดูทรงพลังอย่าง เฟิงหยูเล่ยเดี๋ยน(ห่าพิรุณคะนอง) ที่มีถึงสี่ได้อย่างไร” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม
“สองคนแล้วมันยังไง เฉินหยานกับหลี่เสี่ยวหยูแห่งนิกายลั่วเซี่ย หนึ่งหยานอยู่ในขอบเขตก่อกำเนิด อีกหนึ่งคือหยูอยู่ในขอบเขตแก่นทองคำขั้นสุดท้าย เรือบินของพวกนาง หนึ่งถูกแต่งแต้มด้วยภาพของห่านป่า(หยาน)และอีกหนึ่งคือปลาเล็ก(หยู) ทว่าเมื่อคำของทั้งสองลำถูกนำมารวมกัน จะกลายเป็นฉายาอันน่าจดจำ หยานหยู(งดงาม) ได้”
ขณะที่ทั้งสองกำลังสนทนากันนั้นเอง
ท้องฟ้าก็พลันมืดสลัวลงอย่างกะทันหัน
เมฆทึบปกคลุมไปทั่วฟ้า ส่งเสียงคำรามดังกึกก้อง
กระแสแสงสายฟ้า ฟาดผ่าลงมาจากเบื้องบน ไปตกลงบริเวณหนึ่งภายนอกค่าย
“มีใครบางคนกำลังจะก้าวข้ามผ่านทัณฑ์สวรรค์อย่างนั้นหรือ? เจ้าจงรีบขึ้นมาบนเรือเหาะโดยไว พวกเราจะไปดูหน้าคนนั้นกันว่าจะเป็นใคร” ฉินเซี่ยวโหลวกล่าวด้วยความตื่นเต้น
กู่ฉิงซานกระโจนขึ้นไปบนเรือเหาะ ส่วนฉินเซี่ยวโหลวก็หยิบศิลาวิญญาณไม่กี่ก้อนออกมา แล้วใส่มันเข้าไปในกลไกของเรือเหาะ
ภายใต้การควบคุมของเขา เรือเหาะค่อยๆ ลอยสูงขึ้นไปบนท้องฟ้าอย่างช้าๆ
ทั้งสองมองออกไปภายนอกค่ายทหาร และเห็นว่าแผ่นฟ้าส่วนหนึ่งขณะนี้ถูกปกคลุมไปด้วยสายฟ้า
ท่ามกลางสายฟ้าหลากชนิดที่ฟาดผ่าลงมา ปรากฏซึ่งร่างของคนหนึ่งยืนอยู่ท่ามกลางพวกมัน
ทั้งสองจ้องมองไปอย่างมุ่งมั่น และเห็นว่าเจ้าของทัณฑ์สวรรค์ในครั้งนี้เป็นหญิงงามคนหนึ่ง
ผู้ฝึกยุทธหญิงคนนั้นกำลังขับเคลื่อนสมบัติมนตรา เพื่อต้านทานแรงปะทะของสายฟ้าสวรรค์
ทุกคนเลือกที่จะถอยฉากออกมาอยู่ในจุดที่ห่างไกล มิกล้าเอ่ยแม้เพียงครึ่งคำ เพราะเกรงว่ามันอาจจะส่งผลกระทบต่อการก้าวผ่านทัณฑ์สวรรค์ของเธอได้
“ที่แท้ก็เป็นหลี่เสี่ยวหยูแห่งนิกายลั่วเซี่ย” ฉินเซี่ยวโหลวกล่าวด้วยความตื่นเต้น “มิคิดเลยว่าเพียงแค่พวกเราเพิ่งจะเอ่ยถึง นางก็เตรียมการเริ่มต้นทะลวงเข้าสู่ขอบเขตก่อกำเนิดแล้ว”
สำหรับขอบเขตก่อตั้งนั้นจะมีอยู่สี่ขั้นใหญ่ๆ ส่วนแก่นทองคำจะมีเพียงสามขั้นเท่านั้น ยามเมื่อผู้ฝึกยุทธคนใดได้มาถึงแก่นทองคำขั้นปลาย พวกเขาก็สามารถเตรียมพร้อมทะลวงเข้าสู่ขอบเขตก่อกำเนิดได้เลย
“หากนางทำการทะลวงสำเร็จ” ฉายาหยานหยู (งดงาม) แห่งขอบเขตก่อกำเนิดก็จะยิ่งดังกระฉ่อน และมีชื่อเสียงอย่างแท้จริง
ฉินเซี่ยวโหลวถอนหายใจ ปากกล่าวสรรเสริญ
กู่ฉิงซานเฝ้ามองโดยรอบ และพบว่าผู้ฝึกยุทธของนิกายลั่วเซี่ยแม้จะถอยฉากออกมาอยู่ห่างๆ แต่ขณะเดียวกันก็เฝ้ารักษาการประจำจุดต่างๆ เช่นกัน
แม้กระทั่งผู้นำของนิกายลั่วเซี่ยก็ยังมาคุ้มภัยให้นาง บ่อยครั้งที่สายตาของเขาจะกวาดออกไปรอบๆ เพราะเกรงว่าจะมีใครเข้ามาสร้างปัญหาและรบกวนกระบวนการดังกล่าว
ยามเมื่อผู้ฝึกยุทธกำลังก้าวผ่านทัณฑ์สวรรค์ สมาธิของคนผู้นั้นจะมุ่งมั่นจดจ่ออยู่กับทัณฑ์สายฟ้าที่ฟาดผ่า นั่นหมายความว่าพวกเขาจะถูกลอบโจมตีได้โดยง่าย และบางทีอาจถึงขั้นเสียชีวิต
ทว่าหากมีมิตรคอยช่วยเหลือ คนผู้นั้นก็จะสามารถวางใจ และขยายพลังของทัณฑ์สวรรค์ได้อย่างรวดเร็ว เป็นทวีคูณ
ดังนั้นในกรณีนี้ หากมีผู้ใดคิดจะสังหาร มันก็จะเป็นการยากยิ่ง
ทั้งสองเฝ้าดูอยู่สักพัก จู่ๆ ก็เห็นว่าสายฟ้าได้แตกกระจายออกไปทั่วท้องนภา พร้อมกับหลี่เสี่ยวหยูที่หลับตาลง
พลังอำนาจอันยิ่งใหญ่ปะทุออกมาจากร่างกายเธอ
“นางทำได้สำเร็จแล้ว” ฉินเซี่ยวโหลวกล่าวด้วยความอิจฉา
ผู้ฝึกยุทธแก่นทองคำนับว่าเป็นกระดูกสันหลังและมีจำนวนมากที่สุดในโลกแห่งผู้ฝึกยุทธ ทว่าผู้ฝึกยุทธระดับก่อกำเนิด จะเป็นการดำรงอยู่ของตัวตนที่มีชื่อเสียงและเหนือยิ่งกว่าผู้ฝึกยุทธส่วนใหญ่ทั้งมวล
นี่คือเส้นแบ่งอย่างมีนัยสำคัญ
พลังวิญญาณของก่อกำเนิด ก้าวสู่เทพ และประทับเทพ สามขอบเขตเหล่านี้ มิอาจนำขอบเขตก่อตั้งหรือแก่นทองคำมาเทียบเปรียบกันได้เลยอย่างสมบูรณ์
เรือเหาะค่อยๆ ร่อนลง
ฉินเซี่ยวโหลวจมลงสู่ห้วงความคิด
“ทางฝั่งนั้นใช้หนึ่งในอักษรชื่อของตนเองมาใช้เรียกเป็นฉายา…” เขาเอ่ยพึมพำกับตัวเอง “เช่นนั้นพวกเราสองศิษย์พี่น้องแห่งนิกายร้อยบุปผาควรจะใช้ตัวอักษรใดของชื่อมาตั้งเป็นฉายาดี?”
“ท่านค่อยๆ คิดเกี่ยวกับมันอย่างช้าๆ เถอะ ข้าขอตัวไปอาบน้ำยาก่อน” กู่ฉิงซานกล่าวและจากไปทันที
ตกช่วงบ่าย กู่ฉิงซานก็ออกมาจากเต็นท์ทหารอีกครั้ง เพียงแค่ม่านประตูถูกแหวกออกเขาก็พบกับเรือเหาะสองลำวางอยู่
กู่ฉิงซานมองไปที่เรือเหาะ ทั้งคนทั้งร่างก็พลันชะงักงัน
เรือเหาะทั้งสอง ต่างถูกสลักไว้ด้วยตัวอักษรสีเขียวเข้มที่แลคล้ายกับหงส์ร่อนมังกรรำ
หนึ่งสลักไว้ว่า ‘ฉิง’ (เขียว)
อีกหนึ่งสลักไว้ว่า ‘โหลว’ (ตึก)
ฉิงจากกู่ฉิงซาน ส่วนโหลวก็จากฉินเซี่ยโหลว ทว่าหากสองคำนี้ถูกเรียกขานด้วยกันมันจะแปลออกมาเป็นความหมายว่า หอนางโลม (ฉิงโหลว)!?
ฉินเซี่ยวโหลวกำลังยืนอยู่ด้านหนึ่ง คอยเฝ้ามองผลงานชิ้นเอกของตนเองด้วยความตื่นเต้น
กู่ฉิงซานถอนหายใจ แล้วเดินเข้าไปอย่างเงียบๆ ปากเอ่ยกล่าวอย่างจริงจัง “ศิษย์พี่ หากท่านตั้งฉายาเรียกขานเช่นนี้ หากท่านอาจารย์มาเห็น เกรงว่าเราสองจะถูกตำหนิเอาได้นะ…”
....................................................