webnovel

0244 กลับคืนสู่โลกแห่งผู้ฝึกยุทธอีกครั้ง

ตอนที่ 244 กลับคืนสู่โลกแห่งผู้ฝึกยุทธอีกครั้ง

ณ บริเวณชานเมืองในเขตเมืองหลวง

ภายในวิลล่าบนเขา

“ฉันมีเรื่องลังเลมาได้สักพักแล้วล่ะ ตอนนี้เลยอยากที่จะได้ยินความคิดเห็นของนาย”

“ใช่เรื่องอันตรายรึเปล่า?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

“ไม่รู้สิ แต่มันจะต้องเป็นการเดินทางที่ยาวนานมากแน่ๆ เลย” แอนนากล่าวตอบ

“ถ้าอย่างนั้นนี่ก็เป็นเรื่องง่ายมากที่จะจัดการ แม้กระทั่งเกมแห่งชีวิตนิรันดร์ก็ยังหายไปภายใต้น้ำมือเรา และในเมื่อเธอเป็นหนึ่งในทีมที่ทำให้ประสบความสำเร็จ ดังนั้นพวกเราทุกคนจะร่วมเดินทางไปกับเธอเอง” กู่ฉิงซานกล่าว

“ทุกคนสิน้า” เหลียวฮังพึมพำ

“ใช่แล้วล่ะ ก็พวกเราเป็นทีมเดียวกันนี่นา” เย่เฟย์หยูตบลงบนไหล่กู่ฉิงซาน

“ไม่ได้” แอนนาเหลือบมองไปยังทุกคนวูบหนึ่ง ก่อนจะกลับมาหยุดสายตาลงที่กู่ฉิงซานและกล่าวว่า “เส้นทางสายนี้ จำกัดไว้ให้เฉพาะคนของตระกูลเมดิซีเท่านั้นที่เข้าไปได้ ต่อให้พวกนายต้องการจะไปด้วยจริงๆ แต่สุดท้ายก็มีเพียงแค่ฉันคนเดียวที่สามารถเข้าไปได้อยู่ดี”

“ชงมาแบบนี้ แสดงว่ากำลังพูดถึงเรื่องมรดกสืบทอดของตระกูลอยู่ใช่ไหม? ว่าแต่เจ้ามรดกที่ว่านั่น มันคืออะไรกันแน่?” ซางอย่างฮ่าวเอ่ยถามด้วยความสนใจ

“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน” ใบหน้าของแอนนาเผยถึงความสับสน “แต่ตามที่พระบิดาได้กล่าวเอาไว้ว่า มีเพียงเฉพาะบรรพบุรุษรุ่นแรกเท่านั้นที่สามารถรับมรดกสืบทอดนี้ได้”

“พูดมาขนาดนี้ นี่มันอาจจะไม่ใช่เรื่องง่ายซะแล้วสิ” เย่เฟย์หยูกล่าว

“แต่ฉันว่าออกเดินทางช่วงนี้มันดูจะไม่ค่อยดีนักนะ ถึงแม้จะไม่มีเกมแห่งชีวิตนิรันดร์แล้วก็เถอะ แต่สถานการณ์ทั่วโลกโดยรวมก็ยังนับว่าโกลาหลอยู่ดี ทำไมเธอต้องไปในช่วงเวลาที่สุ่มเสี่ยงแบบนี้ด้วยล่ะ?” เหลียวฮังเอ่ยถาม

“แต่ส่วนตัวฉันคิดว่าไปเถอะ ไปตอนนี้เลยนี่แหละ” กู่ฉิงซานกล่าว

ทุกคนหันมามองหน้าเขา

กู่ฉิงซาน “สถานการณ์ของโลกในตอนนี้ จะไม่มีทางกลับไปเป็นเหมือนเดิมอย่างในอดีตอีกแล้ว ในอนาคตอันใกล้ ทุกคนอาจจะต้องพบเจอกับทุกสิ่งที่ไม่รู้จัก บางทีมรดกที่ว่าอาจเป็นขุมพลังบางอย่าง แล้วถ้าเป็นในกรณีนั้น มันจะเป็นการดีกว่าเหรอ หากสามารถผลักดันตัวเองให้แข็งแกร่งขึ้น แล้วมีพลังมากพอที่จะรับมือกับทุกสิ่งได้ด้วยตัวเอง…ฉันหวังว่าเธอจะคว้ามันมาได้สำเร็จนะ”

แล้วเขาก็เบนสายตามองลอดออกไปนอกหน้าต่าง

ภายนอก ฝนเริ่มตกหนักขึ้นเรื่อยๆ ไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลง

“ฉับพลันนั้นเอง น้ำเสียงของแอนนาก็เปลี่ยนไปเป็นยากจะคาดเดา ฟังจากคำของพระบิดา หากคิดจะรับสืบทอดมรดก ตัวฉัน…จำเป็นจะต้องใช้สิ่งหนึ่ง...”

“แล้วมันคืออะไรอย่างนั้ยหรือ?”

“ตรายมทูต สัญลักษณ์แห่งความตาย”

“โอ้ ถ้าอย่างนั้นก็น่าจะรีบบอกกันตั้งแต่แรกนะ เอาไปสิ” ขณะกล่าว กู่ฉิงซานก็ถอดตรายมทูตออกจากคอตน และสวมมันลงบนรอบคอของแอนนา

แอนนาลอบมองดูเขาอย่างลับๆ และพบว่าสีหน้าของเขาช่างมั่นคง ไร้ซึ่งร่องรอยของความลังเลใดๆ ในหัวใจของเธอจึงอดไม่ได้ที่จะบังเกิดความรู้สึกอบอุ่น

“อะไรนะ! นั่นนายมีตรายมทูตไว้ครอบครองด้วยอย่างนั้นเหรอ!” ซางหยิงฮ่าวกรีดร้อง

เขาเอ่ยด้วยความไม่อยากจะเชื่อ “นั่นมันเป็นสมบัติที่ได้รับการส่งต่อมาจากรุ่นสู่รุ่นโดยราชวงศ์แห่งจักรวรรดิศักดิ์สิทธิ์ มันไปอยู่ในมือนายได้ยังไง!”

“นั่นก็เป็นเพราะ...” กู่ฉิงซานเพียงแค่จั่วหัวประโยค สองมือของแอนนาก็ยกขึ้นมาปิดปากเขา

“นั่นไม่ใช่สิ่งที่นายควรจะรู้ หรือว่าถ้าอยากจะรู้คงต้องมาสู้กับฉันสักตั้ง” แอนนาจ้องมองไปยังซางหยิงฮ่าว ใบหน้าของเธอเริ่มเปล่งเป็นสีเพลิงเล็กน้อย ขณะที่ริมฝีปากเริ่มมีสะเก็ดไฟปะทุออกมา

ซางหยิงฮ่าวเห็นท่าทีที่เธอแสดง ก็พอจะเข้าใจเรื่องราวคร่าวๆ ได้ในทันที

“ก็ได้ๆ การเค้นสอบถามถึงความเป็นส่วนตัวของคนอื่นน่ะ มันไม่ใช่พฤติกรรมของชนชั้นสูงที่ดีนักหรอก ฉันแค่เผลอตัวไปหน่อยก็เท่านั้นเอง” เขาเอ่ยอย่างเป็นทางการ

แอนนาถอนหายใจออกมา สองตาของเธอสบเข้ากับสายตาของกู่ฉิงซานด้วยความลึกซึ้ง “อย่างนั้นฉันไปก่อนนะ”

“ไปเถอะ รักษาตัวดีๆ ล่ะ แล้วก็รีบกลับมาเร็วๆ ด้วย”

“ฉันจะพยายาม”

คนในทีมก้าวเดินออกจากวิลล่า พวกเขาเดินไปส่งแอนนาที่กำลังขึ้นรถสะเก็ดไฟอย่างรวดเร็ว

เครื่องยนต์ของรถเหินเวหาดังสนั่นราวกับฟ้าร้อง ก่อนจะทะยานตัวขึ้นและหายไปทางทิศใต้อย่างรวดเร็ว

“เอาล่ะ พวกนายก็กลับไปพักผ่อนกันก่อนเถอะ ฉันว่าจะออกไปทำธุระสักหน่อย” กู่ฉิงซานหันไปกล่าวอธิบายกับซางหยิงฮ่าวและคนอื่นๆ เล็กน้อย ก่อนจะเดินแยกตัวจากไป

เขาก้าวท้าลมฝนลงมาตามทางลาดของภูเขา จนในที่สุดก็หยุดฝีเท้าลงกลางป่า

“นี่มัน…ลูกเห็บ…?”

สองคิ้วของกู่ฉิงซานยับย่นเข้าหากัน

“เทพธิดากงเจิ้ง ช่วยทำการเชื่อมต่อดาวเทียมของกรมอุตุนิยมวิทยาจากทั่วทั้งโลก แล้วตรวจสอบสภาพอากาศให้ฉันหน่อยสิ”

“รับทราบแล้ว ใต้เท้า” เสียงของเทพธิดาขานรับคำหนึ่ง

แล้วเธอก็ตอบกลับมาอย่างรวดเร็ว “ปริมาณน้ำฝน กำลังขยายวงกว้าง และในปัจจุบันครอบคลุมพื้นที่ทั่วทั้งเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์ของพื้นดินแล้ว”

“แปดสิบเปอร์เซ็นต์”

“เก้าสิบเปอร์เซ็นต์”

“ใต้เท้า ตอนนี้พื้นดินทั่วทั้งโลกเริ่มเกิดฝนตกชุกแล้ว”

“อุณหภูมิล่ะ?”

“มีความเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย ทว่าเวลาที่ฝนตกยังคงสั้นเกินไป จำต้องใช้เวลาอีกสักพัก จึงจะตรวจสอบอย่างแม่นยำได้”

กู่ฉิงซานส่ายหัว ปากเอ่ยพึมพำ “ไม่น่าจะผิดพลาดแล้ว ‘มัน’ กำลังจะปรากฏขึ้น…”

บังเกิดม่านแสงสว่างวาบ พร้อมกับร่างของกู่ฉิงซานที่หายตัวไปจากโลกจริง

ภายในโลกแห่งผู้ฝึกยุทธ

บริเวณแม่น้ำธารเมฆามาร

ณ ภายในเต็นท์ทหาร

กู่ฉิงซานพบว่าตนเองยังคงนั่งอยู่บนฟูก ราวกลับไม่ได้จากไปไหน

เขาเฝ้ารออย่างเงียบๆ อยู่สักพัก

ทว่ากลับไร้ซึ่งเสียงของหน้าต่างระบบเทพสงคราม

กู่ฉิงซานจึงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามออกมา “ระบบ แล้วภารกิจล่ะ”

ไร้ซึ่งการตอบสนอง

“ตกลง ถ้าอย่างนั้นฉันจะถามคำถามปกติก็แล้วกัน ฉันจะต้องอยู่ที่นี่ไปอีกนานแค่ไหน?”

ติ๊ง!

ระบบกล่าว “หลังจากที่ผู้เล่นสามารถบรรลุภารกิจได้เสร็จสมบูรณ์ ท่านจะสามารถกลับไปในเวลาใดก็ได้”

กู่ฉิงซานกล่าว “แล้วภารกิจที่ว่านั่นล่ะ”

คราวนี้ระบบเงียบ

พอเจอแบบนี้ กู่ฉิงซานก็ไม่รู้ว่าตนสมควรจะเอ่ยอะไรออกมาดี

ดูเหมือนว่า ถึงแม้เขาจะถูกส่งกลับมาแล้ว แต่ภารกิจแห่งโชคชะตา‘การสู้รบขั้นแตกหัก (ครึ่งหลัง) ’ ก็ยังไม่เริ่ม ขึ้นในทันที

มองไปยังวงแหวนขนาดใหญ่ที่ลอยอยู่ใจกลางหน้าต่างระบบเทพสงคราม มันยังคงไร้ซึ่งการเคลื่อนไหวใดๆ

ภารกิจแห่งโชคชะตา ภารกิจพลังศักดิ์สิทธิ์ ทั้งสองสิ่งนี้ บางทีอาจจะต้องใช้เงื่อนไขอะไรบางอย่าง จึงจะสามารถเริ่มภารกิจได้

พอไม่ต้องพบเจอกันเรื่องราวหนักๆ ตั้งแต่แรก เขาก็ผ่อนคลายลง และเริ่มยืดตัวบิดขี้เกียจ

ในเมื่อไม่มีอะไรทำ กู่ฉิงซานจึงตบลงบนถุงสัมภาระ และหยิบขวดหยกออกมา

เขาเปิดจุกขวดหยกออก และเทมันลงบนมือ แต่กลับพบว่าไม่มีสิ่งใดตกลงมา

“เอ๋? นี่ฉันกินมันจนหมดเลยอย่างนั้นเหรอ?” คิ้วของกู่ฉิงซานเลิกสูงขึ้น ปากเอ่ยด้วยความแปลกใจ

นี่คือเม็ดยารักษาที่ศิษย์พี่ฉินเซี่ยวโหลวบรรจงปรุงมันออกมาอย่างประณีต และในช่วงที่ผ่านมานี้ ตัวเขาได้รับบาดเจ็บสาหัส จึงกินมันทุกวัน จนไม่ทันได้นับจำนวนดูเลย

คิดไม่ถึงเลยว่า ตัวเองจะกินมันไปเยอะถึงขนาดนี้

กู่ฉิงซานปล่อยจิตสัมผัสเทวะออกมา แล้วเริ่มสำรวจเส้นชีพจรลมปราณทั่วทั้งร่างกาย

เขาพบว่าอาการบาดเจ็บยังคงค่อนข้างรุนแรง แถมอัตราฟื้นฟูก็ค่อนข้างซบเซา

กู่ฉิงซานอดไม่ได้ที่จะรู้สึกกังวลเล็กน้อย

สามวันต่อจากนี้ โลกแห่งผู้ฝึกยุทธจะเริ่มทำการโจมตีโลกเทวะ

เพราะฉะนั้นในช่วงสองวันถัดจากนี้ จะช้าจะเร็ว ไม่ว่าอย่างไรภารกิจสำคัญทั้งสองก็คงจะเริ่มขึ้นอย่างแน่นอน

แต่ตัวเขาเองกลับบาดเจ็บสาหัส ไม่สามารถทำการต่อสู้ได้

กู่ฉิงซานลังเลเล็กน้อย หนึ่งมือตบลงในถุงสัมภาระ หยิบเอายันต์สื่อสารออกมา และเอ่ยวาจา ใส่ข้อความลงไปหลายคำ

ไม่นานนัก ยันต์สื่อสารก็ยังคงไม่กลับมา ทว่าเขากลับได้ยินเสียงจริงๆ ของฉินเซี่ยวโหลวแทน

“ศิษย์น้อง ข้าไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเจ้าจะใช้ยาฟื้นฟูวิญญาณขวดใหญ่หมดลงอย่างรวดเร็วเช่นนี้”

“ข้าว่าแบบนี้ไม่น่าจะใช่แล้วล่ะ เจ้าคงเอาเม็ดยารักษาของข้าไปเกี้ยวผู้ฝึกยุทธหญิงคนไหนสักคน...หรืออาจจะหลายคน มาแน่เลยใช่ไหม?”

เสียงของฉินเซี่ยวโหลวดังมาแต่ไกล ทั้งๆ ที่ยังไม่ได้เข้ามาในเต็นท์ทหาร

ม่านประตูถูกแหวกออก พร้อมกับฉินเซี่ยวโหลวที่เดินเข้ามา

สีหน้าท่าทีของเขามองไปยังกู่ฉิงซานด้วยรอยยิ้ม ทว่าทันใดนั้นเองการแสดงออกของเขาก็ต้องแปรเปลี่ยนไป

ฉินเซี่ยวโหลวไม่รอช้า วิ่งไปข้างหน้าหลายก้าว ก่อนจะคว้ามือของกู่ฉิงซานและถ่ายเทพลังวิญญาณลงไป

และกู่ฉิงซานก็ปล่อยให้อีกฝ่ายตรวจสอบสภาพร่างกายของเขา

“เจ้าได้รับบาดเจ็บสาหัสเช่นนี้ได้อย่างไร!” ฉินเซียวโหลวเอ่ยเสียงแหบแห้ง

กู่ฉิงซานกล่าว “ข้าเพียงพลั้งเผลอไปครู่หนึ่ง ไม่ทันได้ระวังตัวจึงถูกพลังตีกลับ”

“เช่นนี้คงไม่ดีแล้ว สาหัสขนาดนี้ เม็ดยาฟื้นฟูมิอาจรักษาเจ้าได้ ข้าจำต้องไปตามท่านอาจารย์มาทันที”

“ขออย่าได้ไปรบกวนท่านอาจารย์เลย”

“เจ้ารู้ตัวหรือไม่ ว่าอาการบาดเจ็บของเจ้ามันอันตรายมากแค่ไหน เรื่องนี้มันเกินมือข้า จำต้องให้ท่านอาจารย์วินิจฉัยด้วยตัวเองเท่านั้น!”

“ท่านอาจารย์มีความรู้ด้านการแพทย์ด้วยกระนั้นหรือ?”

“แน่นอน! อสูรวิญญาณและคนที่ไร้ซึ่งการเยียวยามากมายมาหาท่านอาจารย์ เพื่อต้องการที่จะให้ท่านทำการรักษาเป็นการส่วนตัว!”

“แต่นี่…”

ฉินเซี่ยวโหลวโบกมือ และรีบวิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว โดยไม่คิดใส่ใจกับคำกล่าวของกู่ฉิงซาน

ในเมื่อทำอะไรไม่ได้เขาก็เลือกที่จะเฝ้ารอ

ชั่วระยะเวลาหนึ่ง นางเซียนไป่ฮั่วกับฉินเซี่ยวโหลวก็เข้ามาในเต็นท์ทหารของเขา

“ขอบเขตก่อตั้งขั้นสูงสุด?”

เธอกวาดสองตามองกู่ฉิงซานวูบหนึ่ง ก้าวตรงเข้ามาคว้ามือของกู่ฉิงซาน แล้วถ่ายเทพลังวิญญาณลงไปเพื่อทำการตรวจสอบอย่างระมัดระวัง

ผ่านไปนาน ก่อนที่เธอจะทำเสียงฮึฮะและกล่าวตำหนิ “เจ้าโยนตนเองให้มาตกอยู่ในสภาพนี้ได้อย่างไร?”

“ฝึกฝนเจ็ดดารา มังกรแหวกธารา” กู่ฉิงซานกล่าวไปตามความจริง

ครั้งหนึ่ง เขากับฉินเซี่ยวโหลวเคยได้เข้าไปในคลังเก็บของนิกาย และภายในก็เต็มไปด้วยเทคนิคฝึกยุทธ และเทคนิคลับมากมาย แต่ส่วนใหญ่แล้วมันจะเป็นพวกสกิลของหวนคืนไร้ลักษณ์ หรือเทคนิคมนตราของธาตุทั้งห้าเสียมากกว่า ส่วนเทคนิคดาบมีไม่ค่อยมากนัก นับว่าเป็นการยากจึงจะพบเจอสักชิ้น

หลังจากที่ทำการค้นหามาเป็นเวลานาน กู่ฉิงซานก็มิได้เลือกชิ้นใด เนื่องเพราะมิได้บังเกิดความชมชอบมากเป็นพิเศษ กระทั่งได้พบกับเจ็ดดารามังกรแหวกธารา

ในเวลานั้นกู่ฉิงซานยังอยู่เพียงแค่ขอบเขตก่อตั้งขั้นต้น เขายังไม่มีคุณสมบัติมากพอ กระทั่งคิดจะสัมผัสเจ็ดดารามังกรแหวกธาราก็ยังมิอาจเอื้อม ดังนั้นจึงวางชิ้นแผ่นหยกที่บันทึกมันเอาไว้กลับคืนที่เดิม

นางเซียนไป่ฮั่วกล่าวอย่างไม่คาดคิด “โอ้? เจ้าฝึกฝนมันอย่างนั้นสินะ เช่นนั้นรูปแบบมังกรของเจ้าเล่า?”

“มังกรสายฟ้า”

ใบหน้าของนางเซียนไป่ฮั่วเริ่มผุดยิ้มขึ้นมาอย่างช้าๆ ปากเอ่ยอย่างภาคภูมิ “ยอดเยี่ยมยิ่งนัก อายุน้อยกว่ายี่สิบปี ทว่ากลับแสดงมังกรแหวกธาราออกมาได้”

“ในบรรดาสามพันคนที่ริเริ่มเข้าสู่การเป็นผู้ฝึกดาบ จะมีผู้ใดบ้างที่สามารถประสบความสำเร็จเฉกเช่นเดียวกันกับศิษย์ข้า?”

“มันเป็นความจริงอย่างนั้นหรือนี่ ที่นิกายร้อยบุปผาของข้าจะปรากฏตัวตนเช่นนี้ออกมา”

สำหรับผู้ริเริ่มเข้าสู่การเป็นผู้ฝึกดาบ อันดับแรกต้องสามารถทำให้ปราณดาบควบแน่นถึงขีดสุด จึงจะสามารถก่อร่างรังสีดาบได้

ต่อมา เมื่อก่อร่างรังสีดาบได้ พวกเขาจะได้รับอำนาจอันมหาศาลที่สามารถทำลายพันหมื่นกฎเกณฑ์ ทว่าในระยะแรกเริ่ม รังสีดาบเหล่านั้นก็มิต่างอันใดจากม้าพยศ ยากจะควบคุม

หากสามารถทำให้รังสีดาบเชื่องได้ จนถึงขั้นเพียงนึกคิด ก็สามารถควบคุมมันโจมตีเป้าหมายได้อย่างแม่นยำ คนผู้นั้นจึงจะมีคุณสมบัติที่จะได้ถูกเรียกว่าเป็นผู้ฝึกดาบ

ข้อจำกัดนี้ที่นับว่าสูงยิ่ง นั่นจึงทำให้ผู้ฝึกยุทธจำนวนมากที่คิดริเริ่มหมายจะเป็นผู้ฝึกดาบ มิสามารถเอาดีทางด้านดังกล่าวได้

จากทั้งหมดในโลกแห่งผู้ฝึกยุทธ ผู้ที่จะสามารถก้าวขึ้นมาถึงระดับที่เรียกว่าผู้ฝึกดาบได้ จึงมีทั้งหมดเพียงแค่สามพันคนเท่านั้น

และในการจัดลำดับชั้นทั้งสามพันลำดับ ก็จะเรียงลดหลั่นลงมาตามเทคนิคดาบที่คนผู้นั้นสามารถเรียนรู้และครอบครองได้ แต่สำหรับกู่ฉิงซาน เขาจดจำไม่ได้แล้วว่าตอนนี้ตนนั้นได้เรียนรู้แล้วครอบครองเทคนิคดาบเอาไว้แล้วทั้งหมดกี่กระบวนท่า

กระทั่งในตอนนี้ หนึ่งในสี่เทคนิคดาบของนักดาบนิรันดร์ ที่ได้รับการยอมรับว่ายากเย็นที่สุดในการฝึกฝนอย่างเจ็ดดารา มังกรแหวกธารา เขาก็ยังสามารถที่จะเรียนรู้มันได้

แม้ว่านางเซียนไป่ฮั่วจะมีวิสัยทัศน์สูงส่ง แต่พรสวรรค์ของกู่ฉิงซานก็ยังเหนือล้ำยิ่งกว่าที่เธอคาดการณ์เอาไว้ ยามนี้เธอรู้สึกว่ากู่ฉิงชานช่างเป็นต้นกล้าที่ดีอย่างแท้จริง

“ไปต้มน้ำอาบในถังใหญ่จนร้อน แล้วลงไปแช่มันซะ จงรอเพียงครู่ อาจารย์ว่าจะแวะเวียนไปเยี่ยมนักพรตเฒ่า และขอของบางสิ่งบางอย่างจากเขามารักษาเจ้าเอง” ระหว่างกล่าว นางเซียนไป่ฮั่วก็ลอยออกไป

หลังจากนั้นไม่นาน

กู่ฉิงซานก็ลงไปแช่ตัวเองในอ่างน้ำร้อน

“เจ้าบอกว่าอาจารย์จะไปยังวัดหลิงเย่อย่างนั้นหรือ แล้วยาชนิดใดกันที่ท่านอาจารย์จะนำกลับมา?” ฉินเซี่ยวโหลวเอ่ยถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น

“แล้วข้าจะไปรู้ได้อย่างไร” กู่ฉิงซานกล่าว

แม้จะกล่าวออกไปแบบนั้น ทว่าจริงๆ แล้วในหัวใจของเขาก็พอจะคาดเดาถึงความจริงข้อนี้ได้

วัดหลิงเย่นั้นครอบครองพลังศักดิ์สิทธิ์วัชระไร้ทำลายที่ทรงพลังยิ่ง ทว่าระหว่างกระบวนการฝึกฝนมันมีโอกาสสูงที่จะพลาดพลั้งและได้รับบาดเจ็บสาหัสโดยง่าย สาหัสถึงขั้นที่ว่าจะส่งผลกระทบอันตรายต่อเส้นชีพจรลมปราณและตันเถียนเลยทีเดียว

ดังนั้นวัดหลิงเย่จึงมีชุดยาวิญญาณ ที่เอาไว้ใช้ฟื้นฟูร่างกายจากอาการบาดเจ็บร้ายแรง

อย่างไรก็ตาม กู่ฉิงซานได้ยินมาว่ายาวิญญาณที่ว่านั่นหาได้ยากยิ่ง และน้อยนักที่วัดหลิงเย่จะแจกจ่ายมันให้แก่คนนอก

หนึ่งปีก่อน ผู้ฝึกยุทธนักสู้หวูเต๋าอันมากพรสวรรค์แห่งสำนักเหยากวาง ในระหว่างฝึกยุทธ ตัวเขาดันเกิดธาตุไฟเข้าแทรก ผลพวงของมันทำร้ายลึกไปถึงพื้นฐานวรยุทธ คนของสำนักเหยากวางจึงไปขอความช่วยเหลือจากวัดหลิงเย่

แน่นอนว่ามิได้ไปมือเปล่า พวกเขาได้เตรียมสิบล้านศิลาวิญญาณคุณภาพต่ำไปด้วย และผู้นำนิกายก็ยังเป็นคนไปด้วยตัวเอง แถมยังยืนกรานจะเฝ้ารออยู่หลายวัน จนสุดท้ายวัดหลิงเย่จึงมอบยาวิญญาณให้แก่เขาอย่างไม่เต็มใจ

ต่อมาหลังจากนั้น พระอาวุโสหลายคนก็เอ่ยเป็นเสียงเดียวกันว่า ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม พวกเขาจะไม่ยินยอมขายมันให้ในราคาถูกๆ แบบในครั้งของสำนักเหยากวางอีกแล้ว

ขณะที่กำลังคิด ทันใดนั้นโถดินเผาหลายสิบใบก็ลอยเข้ามาในเต็นท์ทหาร และวางเรียงรายอย่างเรียบร้อยลงข้างๆ กับถังอาบน้ำ

เสียงของนางเซียนไป่ฮั่วลอยตามเข้ามา “จงเทมันลงในถังน้ำร้อนครั้งละสามใบ แช่ตัววันละสี่รอบ ภายในสองวันอาการของเจ้าจักดีขึ้น”

“ฉินเซี่ยวโหลว เจ้าคอยเฝ้าดูทางด้านนี้ให้ดี หากสังเกตเห็นถึงสถานการณ์ผิดปกติใดๆ จงไปตามตัวข้าอีกครั้ง”

ระหว่างกล่าว นางเซียนไป่ฮั่วก็เดินจากไป

พวกเขาหยิบโถดินเผาขึ้นมา และเปิดมันออก

ภายในเป็นยาวิญญาณที่ถูกผสมมาอย่างดี ตราบใดที่เทลงไปในน้ำร้อน ผลลัพธ์อันทรงประสิทธิภาพของมันก็จะแสดงออกมา

กู่ฉิงซานมองไปยังโถดินเผา

ทั้งหมดทั้งสิ้น รวมๆ แล้วน่าจะมีมากกว่าสามสิบโถ

“เอาล่ะ ศิษย์น้อง อาการของเจ้าจะดีขึ้นในไม่ช้า” ฉินเซี่ยวโหลวกล่าวด้วยความยินดี

“ข้าก็มั่นใจเช่นนั้น” กู่ฉิงซานกล่าวพลางถอนหายใจ

“อะไรกัน นี่เจ้าไม่ได้มีความสุขหรอกหรือ?” ฉินเซี่ยวโหลวถามด้วยความประหลาดใจ

“แน่นอนว่าข้าย่อมต้องมีความสุข ทว่าท่านอาจารย์สามารถนำโถหม้อดินจำนวนมากมายเหล่านี้มาได้ในทันที ขณะที่บางคนต้องก้มหัวร้องไห้แทบตายกว่าจะได้มันมา” กู่ฉิงซานกล่าวต่อ

“ท่านอาจารย์คงเจียดศิลาวิญญาณออกไปนิดๆ หน่อยๆ นั่นแหละ ไม่นับว่ามีอะไรหรอก”

“แต่ด้วยสามสิบโถยาวิญญาณนี้ และอิงจากอุปนิสัยส่วนตัวของท่านอาจารย์ ข้าคิดว่าจริงๆ แล้วท่านอาจจะมิได้จ่ายออกไปมากมายสักเท่าไหร่…”

“ท่านอาจารย์ก็รู้จักเคารพตัวเองเช่นกัน ที่จ่ายออกไปมันก็น่าจะเพียงพอที่จะไว้หน้าอีกฝ่ายบ้างล่ะ” ฉินเซี่ยวโหลวกล่าวสนับสนุน

กู่ฉิงซานยอมแพ้ทันที แต่แล้วเขาก็พลันนึกได้ถึงอีกเรื่องหนึ่ง จึงเอ่ยถามออกไปว่า “โอ้จริงสิ นิกายของพวกเราพอจะมีเทคนิคฝึกยุทธในขั้นปราณปรับแต่งหลงเหลือไว้บ้างหรือไม่?”

“แน่นอนว่ามี บางอย่างท่านอาจารย์ก็บัญญัติขึ้นเอง บางอย่างก็ใช้พลังส่วนตัวไปเก็บสะสมหลายร้อยหลายพันเทคนิคฝึกยุทธมาจากรอบโลก”

“ได้ยินเช่นนั้นก็โล่งใจ ถ้าอย่างนั้นช่วยแบ่งให้ข้าสักเพียงหนึ่งจะได้ไหม?”

“แน่นอนว่าได้ แต่ข้ามิได้พกมันติดตัวมาด้วย เจ้าจงรอเพียงครู่ ข้าจักไปยังค่ายกลเคลื่อนย้ายให้ ยามกลับมาอีกครา ข้าจะนำมันมามอบให้แด่เจ้า”

“ขอบพระคุณมากศิษย์พี่สอง”

“เราคือศิษย์พี่ ส่วนเจ้าเป็นศิษย์น้อง ไม่จำเป็นต้องสุภาพนักก็ได้” ฉินเซี่ยวโหลวกล่าว และเดินออกไป

ในหัวใจของกู่ฉิงซานบรรเทาความตึงเครียดลงหลายส่วน โชคดีนิกายของเขาพอจะมีเทคนิคจากภายนอกไว้ในครอบครอง มิเช่นนั้นหากตนจำเป็นต้องไปทำการเก็บรวบรวมมันมาจากที่อื่น ก็ไม่อาจทราบเลยว่าจะต้องใช้เวลานานเท่าไหร่

เพื่อที่จะให้มนุษย์ในโลกจริงได้เรียนรู้การใช้งานพลังวิญญาณ เขาพร้อมที่จะรับมือและเต็มใจที่จะทำงานอย่างหนัก

ไม่นานนัก ฉินเซี่ยวโหลวก็กลับมา

เขาโยนอิฐสีขาวหนาๆ ให้กับกู่ฉิงซาน

“นี่มันสิ่งใดกัน? อิฐกระนั้นหรือ?” กู่ฉิงซานคว้าอิฐไว้ และเอ่ยถามอย่างประหลาดใจ

“ก็เจ้ามิได้ต้องการเทคนิคฝึกยุทธ ปราณปรับแต่งหรอกหรือ ก็ภายในนี้อย่างไรเล่า มันบรรจุสิ่งที่เจ้าต้องการเอาไว้มากกว่าสองพันประเภท”

“ทั้งหมดถูกบรรจุไว้อยู่ในอิฐก้อนนี้?”

“ใช่อิฐซะที่ไหนกัน นั่นมันคือแผ่นหยกขนาดใหญ่ต่างหาก”

“…ที่แท้เป็นเช่นนี้….”

....................................................