ตอนที่ 130 พบเจอ
ทันใดนั้น กู่ฉิงซานก็พลันนึกไปถึงมิติอันแปลกประหลาดที่เขาเคยพบเจอ มิติที่ซึ่งร่างร่างหนึ่งถูกตอกตรึงไว้บนเสาร์สีบรอนซ์
“ตราบใดที่ธาตุทั้งห้าของทั้งสองโลก”
บ้าจริง! ประโยคที่เขากำลังจะพูดในตอนนั้น มันหมายความว่าอย่างไรกันแน่นะ
กำปั้นของกู่ฉิงซานเกร็งแน่น
พอจะมีวิธีที่จะทำให้ฉันสามารถไปพบเขาได้อีกครั้งหรือไม่?
กู่ฉิงซานขบคิดถึงเรื่องนี้อย่างเงียบๆ
เวลานี้ในทางฝั่งโลกแห่งผู้ฝึกยุทธ การทดสอบประจำปีก็ได้สิ้นสุดลงแล้ว หลังจากนี้ไปมนุษยชาติก็จะเข้าสู่สภาวะสงครามขั้นแตกหัก
เมื่อกลับเข้าสู่โลกแห่งผู้ฝึกยุทธอีกครั้ง ไม่ว่าจะพร้อมหรือไม่ เขาก็คงไม่แคล้วต้องรับมือกับสถานการณ์ที่กำลังจะมาถึง
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ในโลกนี้ก็น่าห่วงไม่แพ้กัน หรือว่าเขาควรพักเรื่องทุกอย่างที่คอยกวนใจออกไป แล้วมุ่งเน้นไปยังการฝึกฝน เพื่อที่จะได้ตัดผ่านเข้าสู่แก่นทองคำ บางทีเมื่อก้าวเข้าสู่ขอบเขตแก่นทองคำแล้ว เขาก็อาจจะถูกส่งไปยังมิติอันแปลกประหลาดนั้นอีกครั้ง แล้วได้รับคำตอบที่ยังคงค้างคาอยู่ก็เป็นได้
“รายงาน! พวกซอมบี้ค่อยๆ ทวีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ พวกเราแทบจะไม่สามารถต้านมันต่อไปได้ไหวแล้ว!” พันเอกหวังหยานอ้าปากกล่าวด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหอบ
ถึงแม้ว่าพวกเขาจะทรงพลังและอยู่ในขอบเขตบรรพชนนักสู้ ทว่าอย่างไรเสียก็ยังเป็นมนุษย์ ลิมิตทางกายภาพย่อมมีขีดจำกัด ยิ่งต่อสู้ยืดเยื้อไปเท่าไหร่ ความอ่อนล้าก็ยิ่งสะสมเพิ่มพูนมากขึ้นเท่านั้น
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับซอมบี้ที่แม้ฝ่ายเดียวกันจะตกตายไปแล้วนับหมื่นตน แต่ก็ยังพยายามโถมโจมตีเข้ามาอย่างบ้าคลั่งและกระหายเลือด ต่อให้พวกเขาแกร่งกว่าคนปกติ ไม่ช้าก็เร็วย่อมต้องเหนื่อยล้า
กู่ฉิงซานได้สติกลับคืน เขาถอนหายใจและเอ่ยกล่าว “ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็กลับกันเถอะ อย่างไรซะพวกมันก็ไม่กินซากศพของพวกเดียวกันเองอยู่แล้ว เอาไว้พวกเราค่อยกลับมาเก็บศพมันในภายหลังก็ได้”
เขายกคันธนูขึ้น สองเท้าก้าวเดิน ขณะที่สองมือขยับเป็นภาพติดตา ยิงศรออกไปอย่างต่อเนื่อง
ศรมากมายถูกยิงออกไปเพื่อเปิดทางหนี เหล่าผู้คนในกลุ่มจ้องมองฉากยิงธนูของเขาด้วยความตะลึงงัน ก่อนจะตั้งสติและพากันมุ่งหน้ากลับไปอย่างเงียบๆ
ณ อาคารฐานที่มั่น
สองตาของกู่ฉิงซานกำลังเฝ้ามองภาพต่างๆ จากมุมมองของดาวเทียมเฝ้าระวัง เพื่อทำการวิเคราะห์สถานการณ์ในจัตุรัส
สามนายทหารและหัวหน้าทีมจ้าวโหยวบางก็อยู่ภายในห้องนี้ด้วยเช่นกัน ขณะนี้ทั้งสามกำลังสบสายตากัน ปากไม่กล้าเอ่ยกล่าว ทำได้เพียงส่งสัญญาณลับหลังกู่ฉิงซานอย่างเงียบๆ
หวังหยานยกมือขึ้นชี้มายังตัวเขา ก่อนจะยื่นออกไปชี้จ้าวโหยวบาง
จ้าวโหยวบางขบคิด ก่อนจะยกมือของตนขึ้นแล้วชูขึ้นสามนิ้ว จากนั้นก็หุบลงเหลือเพียงหนึ่ง
หลังจากส่งสัญญาณออกไป เขาก็ขบคิดอีกเล็กน้อย ก่อนจะทำท่าทีเป็นยิงธนูและยกนิ้วโป้งขึ้นมา
สามพันเอกส่ายหัวด้วยรอยยิ้ม
ความหมายของการสัญญาณมือที่พวกเขากำลังสื่อสารกันก็คือ ทั้งหมดกำลังคำนวณความแข็งแกร่งของกู่ฉิงซาน และสรุปได้ว่ากู่ฉิงซานมีระดับความแข็งแกร่งแค่เพียงหนึ่งในสามส่วนของพวกเขาเท่านั้น ทว่าฝีมือธนูของอีกฝ่ายนั้นไม่เลวเลย
ในความเป็นจริง ทุกคนในห้องนี้ล้วนอยู่ในขอบเขตบรรพชนนักสู้ ดังนั้นสายตาของพวกเขาย่อมแหลมคมไม่ธรรมดา
เห็นได้ชัดว่ากู่ฉิงซานยังไม่ได้เผยพลังทั้งหมดของตนออกมา พวกเขาจึงทำได้เพียงลองคาดคำนวณความแข็งแกร่งของอีกฝ่ายแค่คร่าวๆ เท่านั้น
จ้าวโหยวบางเดาว่า เด็กหนุ่มผู้นี้ต้องมีเบื้องลึกเบื้องหลังที่ยิ่งใหญ่มากเป็นแน่
“เอาล่ะ” กู่ฉิงซานเอ่ยออกมาอย่างกะทันหัน “ผีดิบกินคนเริ่มทยอยตัวแยกย้ายออกไปแล้ว คุณกับทีมสำรวจช่วยออกไปนำร่างของผีดิบตัวแดงกลับมาให้ผมด้วยนะ”
คนในห้องหันมองหน้ากัน สื่อสารกันทางสายตา
ทั้งหมดลุกขึ้นยืน และเดินจากไป
กู่ฉิงซานนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะถอนหายใจบรรเทาความตึงเครียดออกมา
ในเมื่อทั้งทุกคนในทีมสำรวจออกไปเก็บกู้ซากศพ การคุ้มกันก็ย่อมแน่นหนา ดังนั้นในเรื่องความปลอดภัยมันคงจะไม่น่าเป็นกังวลใดๆ
หลังจากที่คนในทีมได้ออกไปแล้ว เขาก็หันกลับมาเฝ้ามองภาพถ่ายจากดาวเดียวอีกครั้ง ทั้งคนทั้งร่างจมอยู่ในห้วงความคิด
“ทำไมฉันถึงไม่ได้รับของอะไรเลยนะ?”
ในโลกก่อนหน้า หลังจากที่ซอมบี้ถูกฆ่าตาย ของบางสิ่งบางอย่างก็จะปรากฏขึ้น
เมื่อผู้เล่นฆ่าสิ่งมีชีวิตที่เรียกรวมๆ กันว่ามอนสเตอร์ พวกเขาจะมีสิทธิ์ที่จะได้รับไอเท็มที่พวกมันดรอปทิ้งเอาไว้ได้
แต่คราวนี้ หลังจากที่เขาฆ่าผีดิบกินคนสีแดง ระบบกลับไม่เด้งแจ้งเตือนว่าเขาได้รับไอเท็มใดๆ เลย
“ระบบ ทำไมฉันถึงไม่ได้รับของดรอปเลยล่ะ” เขาเอ่ยถามโดยตรง
ติ๊ง!
“นั่นเพราะคุณเป็นคนพิเศษที่แตกต่างออกไป คุณเป็นเจ้าของระบบหน้าต่างเทพสงคราม”
“แล้วถ้าอย่างนั้นเวลาทำภารกิจสำเร็จ ฉันจะได้อะไรตอบแทนกันล่ะ”
“กรุณาทำการตรวจสอบด้วยตัวคุณเอง คุณสามารถอ้างอิงได้จากไอค่อนเทพสงครามที่พึ่งได้รับในครั้งก่อนได้”
ไอค่อนเทพสงคราม…
กู่ฉิงซานเลื่อนสายตาลงมายังส่วนล่างของหน้าต่างสถานะ
ไอค่อนแรกก็คือ ‘วิชายุทธเทพสงคราม’ ที่ได้มาตอนถูกส่งข้ามโลก เพื่อใช้เปิดหน้าต่างระบบเทพสงคราม
ไอค่อนที่สองก็คือ ‘พลังศักดิ์สิทธิ์เทพสงคราม’ หลังจากที่บรรลุเนื้อเรื่องพิเศษ ภารกิจแห่งโชคชะตา เขาก็ได้รับมันมาเป็นรางวัล
ขณะนี้ ในรายการของพลังศักดิ์สิทธิ์ มีเพียงไอค่อน สายฟ้าเล่ยเดี๋ยน ลอยเด่นอยู่ภายในอย่างโดดเดี่ยว
รางวัลนี้มาจากภารกิจแห่งโชคชะตา
หรือว่าฉันจะสามารถได้รางวัลจากภารกิจแห่งโชคชะตาเท่านั้น?
เช่นนั้นก็หมายความว่า ฉันต้องเฝ้ารอจนกว่าจะถึงช่วงเวลาที่จะสามารถเข้าไปมีส่วนร่วมในสถานการณ์ที่เพียงพอจะเปลี่ยนแปลงหน้าประวัติศาสตร์ของโลก ฉันก็จะได้รับภารกิจแห่งโชคชะตาอีกครั้งใช่รึเปล่า?
ต้องใช่แน่ๆ ไม่น่าจะผิดพลาดแล้ว!
กู่ฉิงซานพยักหน้าอย่างเงียบๆ
ทันใดนั้นฉากฉากหนึ่งบนหน้าจอก็ปรากฏขึ้น มันได้ดึงดูดความสนใจของเขาจากห้วงความคิด
“แย่ล่ะสิ”
หนึ่งมือทุบลงบนโต๊ะจนเกิดเสียงดังปัง ปากรีบเอ่ยกล่าว “เทพธิดากงเจิ้ง!”
“ฉันอยู่นี่”
“รีบระดมกำลังทีมเกราะรบขับเคลื่อน มุ่งหน้าตรงไปยังทิศทางของจัตุรัสเพื่อทำการช่วยเหลือทีมสำรวจเร็วเข้า”
“จากภาพถ่ายดาวเทียมระดับของซอมบี้ตัวนี้มันสูงเกินไป อาวุธเทคโนโลยีไม่สามารถจัดการมันได้” เทพธิดากล่าว
“ไม่ต้องถึงขั้นจัดการมัน ขอแค่ให้พวกหุ่นรบยื้อเวลาเอาไว้ก็พอ ยื้อไว้จนกว่าฉันจะไปถึง!”
ขณะที่กล่าว สายตาของเขาก็เบนไปยังหน้าต่างระบบเทพสงคราม
ครึ่งบนของนาฬิกาทราย ยังมีเม็ดทรายอยู่เป็นจำนวนมาก
โชคดีจริงๆ ที่ยังพอมีเวลา!
ณ จัตุรัส
ชายหนุ่มคนหนึ่งยืนอยู่บนเหนือหัวรูปปั้นสลัก เขามักจะชอบทำท่าทีขยับแว่นตาจนเป็นนิสัย แต่บัดนี้แว่นดังกล่าวได้หายไปแล้ว ทำให้ดูราวกับว่าเขากำลังยกมือขึ้นขยับอากาศที่ว่างเปล่าอยู่
แผ่นหลังของเขาปรากฏกระดูกหนามแหลมที่ดูดุร้าย แลคล้ายก้านปีกที่กำลังหุบเข้าหุบลง ทุกครั้งที่มันขยับ จะปรากฏเลือดสังหารสาดกระจายหยดย้อยลงบนพื้น
“เจ้าพวกมนุษย์” ชายหนุ่มกล่าว “ถึงแม้ว่าจะเป็นพวกมืออาชีพ แต่ก็ยังอ่อนแออยู่ดี”
หวังหยานที่กำลังประคองร่างของจ้าวโหยวบางที่ชุ่มไปด้วยเลือดตะโกนเสียงดังลั่นไปยังสมองควอนตัม “ขอย้ำ เรียกกำลังเสริม! ขอย้ำ เรียกกำลังเสริม!”
คนอื่นๆ อีกหลายคนไม่คุกเข่าก็นอนแผ่อยู่กับพื้น ตามร่างกายปรากฏร่องรอยถูกเชือดเฉือนอยู่ทั่วทุกหนแห่ง
คนที่อาการหนักที่สุดก็คงไม่พ้น มืออาชีพหญิงเพียงหนึ่งเดียวที่เสียเลือดมากเกินไปและกำลังตกอยู่ในอาการโคม่า
วินาทีต่อมา กำลังเสริมก็ได้มาถึง!
เกราะรบขับเคลื่อนไร้คนขับทั้งยี่สิบลำ ส่งเสียงคำรามของเครื่องจักร บินตรงมายังจัตุรัส และทุ่มโจมตีไปยังชายหนุ่มที่ยืนอยู่บนรูปปั้น
เสียงกระสุนที่ถูกระดมยิงราวกลองชุด ตามด้วยเสียงคำรามของลูกระเบิดดังสนั่นขึ้นอย่างต่อเนื่อง
หากสามารถกำจัดฝ่ายตรงข้ามได้โดยเร็วก็คงจะดี มิฉะนั้นแล้วเสียงอึกทึกเช่นนี้ ย่อมที่จะดึงดูดฝูงผีดิบกินคนให้เข้ามา
ท่ามกลางหมอกควันที่เกิดจากระเบิดและกระสุนนับไม่ถ้วน ปรากฏร่างเงาสีเลือดเปล่งประกายวาบผ่าน มันใช้บางสิ่งบางอย่างที่แหลมคมเชือดเฉือนทะลวงผ่านเหล่าหุ่นรบตัวแล้วตัวเล่า
ตามมาด้วยเสียงดังสนั่นของเหล็กจักรกลที่ร่วงลงกระแทกกับพื้น
หุ่นรบกำลังเสริมทั้งหมดที่อยู่เบื้องหน้าเขา ถูกหั่นสะบั้นเป็นชิ้นๆ เปราะบางราวกับชั้นเต้าหู้
ร่างเงาเลือดหยุดนิ่งอยู่กลางอากาศ แปรเปลี่ยนกลับกลายเป็นชายหนุ่ม ก่อนที่เขาจะโบยบินกลับไปยืนอยู่เหนือหัวรูปปั้นอีกครั้ง
รูปปั้นดังกล่าวนี้ คือรูปปั้นเสมือนของชนชั้นสูงที่เก่าแก่และมีขนาดใหญ่โต ทั้งหน้าตาและรูปร่างล้วนเหมือนกับตัวจริงไม่มีผิดเพี้ยน
ชายหนุ่มดูเหมือนจะชมชอบที่จะยืนอยู่เหนือหัวของรูปปั้นรูปนี้เป็นอย่างมาก
“ไหนขอฉันดูซิ หนึ่ง สอง…เจ็ด... เจ็ดมืออาชีพ! วันนี้ฉันจะได้ฆ่าพวกมืออาชีพถึงเจ็ดคน!”
เหลือบมองด้วยหางตาลงไปยังเบื้องล่าง ปากเอ่ยกล่าวประกาศชะตากรรมของคนทั้งกลุ่ม
ทันใดนั้นเอง พลันปรากฏเสียงเสียงหนึ่งดังเข้ามาจากระยะไกล
“ผีดิบกินคนน่ะทำได้แค่กัดกิน แต่มันไม่สามารถกลายพันธุ์ได้”
“ผีดิบนักฆ่าน่ะทำได้แค่ฆ่าสังหาร ไม่เพียงแต่จะสร้างอารมณ์สุขสมให้แก่ตนเอง ทว่ายังสามารถกลายพันธุ์ได้อีกด้วย แบบนี้มันไม่แฟร์กับพวกผีดิบกินคนเลยนี่นา”
“แต่ก็นั่นล่ะนะ เดิมทีโลกของพวกมารน่ะ มันก็ไม่ได้มีอะไรยุติธรรมอยู่แล้ว”
กู่ฉิงซานเดินออกมาจากมุมถนน
“มิสเตอร์กู่ หนีไปเร็วเข้า!” นายทหารตะโกนด้วยความตื่นตระหนก
“เจ้านักวิทยาศาสตร์…” เหล่าผู้เชี่ยวชาญเผยถึงความประหลาดใจ
ชายหนุ่มจ้องมองไปยังกู่ฉิงซาน ทันใดนั้นสีหน้าอันดุร้ายของเขาก็เผยถึงความปีติ
“มดตัวจ้อยเพิ่มมาอีกตัวแล้ว ดันต้องมาเผชิญหน้ากับพลังอันไร้ที่เปรียบของฉัน...เสียใจด้วยนะ วันนี้ดูท่าว่าแกคงจะโชคไม่ดีซะแล้วล่ะ!”
กระดูกแหลมที่อยู่เบื้องหลังเขากางออก ทั้งคนทั้งร่างพลันหายวับไปในทันที
“โอ้ นั่นสินะ บู๊แม่งเลยดีกว่า พอดีฉันก็ไม่ค่อยจะถนัดพูดสักเท่าไหร่เหมือนกัน” กู่ฉิงซานเอื้อมมือออกไป คว้าจับดาบพิภพที่ปรากฏขึ้นจากความว่างเปล่า
วินาทีต่อมา ร่างของเขาก็หายไปจากตำแหน่งที่เคยยืนอยู่ แต่กลับปรากฏร่างของชายหนุ่มอีกคนขึ้นมาแทนที่
“เอ๋?” ชายหนุ่มเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงสับสน
ตามด้วยเสียงของคมดาบที่เตรียมจะเจาะแหวกอากาศเข้ามาจากเบื้องหลัง
“ช่างไร้เดียงสา” ชายหนุ่มเยาะหยัน
ทั้งร่างของเขาสั่นสะท้าน เสี้ยวลมหายใจต่อมา คมกระดูกแหลมนับไม่ถ้วนก็ทิ่มทะลวงออกมาจากร่างกายจากทั่วทุกทิศทาง!
ทั่วทั้งสามร้อยหกสิบองศา! ไร้ซึ่งจุดบอดใดๆ!!
หนามกระดูกของเขานั้นแข็งแกร่ง! แม้กระทั่งเหล็กกล้าหรือโลหะผสมของหุ่นรบก็ยังสามารถเฉือนผ่านได้โดยง่าย
ทว่าภายใต้ความคาดหวังของชายหนุ่มว่าจะสัมผัสได้ถึงความรู้สึกอันยอดเยี่ยมของเลือดเนื้อที่ถูกทิ่มแทงกลับไม่ปรากฏออกมา เขากลับได้ยินเพียงเสียงหวีดของสายลม และความเจ็บปวดอันยากจะอธิบายบริเวณแผ่นหลัง
เทคนิคลับ…ตัดจันทรา!
ปรากฏแสงสว่างจ้าจนวิสัยทัศน์ของผู้คนโดยรอบมืดบอดไปชั่วขณะหนึ่ง บางคนเอ่ยพึมพำ “นี่มัน...แสงจันทร์?”
“ใช่แล้ว เส้นแสงที่โค้งลงตามแนวดาบที่ฟาดฟันเปล่งประกายราวกับแสงจันทร์ไม่ผิดเพี้ยน” จ้าวโหยวบางยืนยัน
ดวงตาของเขายังคงกระจ่างชัด เขาสามารถเห็นได้อย่างชัดเจนว่ายามที่หนามกระดูกทิ่มแทงออกมา กู่ฉิงซานไม่คิดแม้จะล่าถอย ทว่าวินาทีนั้นเอง ทั้งคนทั้งดาบกลับหลอมรวมกันเป็นหนึ่งเดียว เปล่งประกายเจิดจ้าและฟาดฟันแสงจันทร์ที่ส่องสว่างสีขาวนวลออกมา
แสงจันทร์สีขาวสดใสเปล่งประกายราวกับภาพฝัน หนามกระดูกแหลมแตกกระจายออกเป็นชิ้นๆ ลอยฟุ้งไปทั่วท้องฟ้า
“อ๊า...!” ชายหนุ่มกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด
เขากระโจนขึ้นไปบนอากาศอย่างเร่งร้อน ก่อนจะบินกลับไปยืนอยู่เหนือหัวรูปปั้น
“ฉันเข้าใจแล้ว ที่แท้แกก็ไม่ใช่มดธรรมดาๆ”
ระหว่างกล่าว ชายเด็กก็ยื่นมือออกไป นิ้วทั้งห้ากางออก
ปรากฏเลือดสังหาร ลอยหมุนวนอยู่ในฝ่ามือของเขา
“เทคนิคของแกช่างยอดเยี่ยม เป็นอะไรที่น่าตื่นตาสุดๆ! สารภาพตามตรงว่าฉันไม่เคยพบเห็นใครใช้ดาบได้อย่างแกมาก่อน แต่”
สีหน้าของเขาเผยถึงความหยิ่งผยอง และเอ่ยอย่างภาคภูมิ “เมื่อต้องเผชิญหน้ากับพลังอันสมบูรณ์แบบของฉัน ด้วยเทคนิคของแกน่ะ สุดท้ายมันก็เป็นแค่สิ่งไร้ประโยชน์!”
.........................................