webnovel

0131 ต่อสู้

ตอนที่ 131 ต่อสู้

 

กู่ฉิงซานมองไปยังกระดูกหนามแหลมที่แตกกระจัดกระจายบนแผ่นหลังของอีกฝ่ายและถอนหายใจออกมา 

เขาเอียงคอไปด้านข้าง ก้มลงพูดกับสมองควอนตัมที่วางอยู่บนพื้นดินและกล่าว “เริ่มทำการบันทึก ผีดิบนักฆ่ากลายพันธุ์ระดับห้าได้ปรากฏตัวขึ้นแล้ว ไม่มีใครสามารถต่อกรกับมันได้นอกเสียจากตัวตนระดับเทพนักสู้ ผู้ใช้ธาตุทั้งห้าที่สามารถปลดผนึกถึงขั้นสี่ และสุดท้ายผู้ที่สามารถปลุกเทคนิคเทียนซวนขั้นสูง” 

“เริ่มต้นบันทึกวิดีโอ” เสียงของหญิงสาวดังออกมาจากสมองควอนตัม “แต่ฉันต้องการที่จะเตือนใต้เท้าผู้ทรงเกียรติกู่ฉิงซานเช่นกัน ว่าจากการอ้างอิงจากภาพที่บันทึกถึงการต่อสู้รายบุคคลทั้งหมดของคุณ รูปแบบการต่อสู้ส่วนบุคคลของคุณ ต่อให้อยู่ในสภาวะสมบูรณ์แบบที่สุด ก็ยังคงไม่สามารถเอาชนะฝ่ายตรงข้ามได้” 

“ฉันจำเป็นต้องมายื้อเขาเอาไว้ มิฉะนั้นสมาชิกทีมเหล่านี้คงจะตายกันหมด” กู่ฉิงซานกล่าว 

เทพธิดากงเจิ้งรีบเอ่ยอย่างรวดเร็ว “กำลังเสริมกำลังจะถูกส่งไปช่วยเหลือใต้เท้าผู้ทรงเกียรติ โปรดอยู่ประจำตำแหน่งเดิมของคุณและพยายามรักษาชีวิตเอาไว้ให้ดี”  

กู่ฉิงซานพยักหน้าเล็กน้อย 

เขามองไปยังชายหนุ่ม ปากเอ่ยกล่าว “นี่คงจะเป็นการพบกันครั้งแรกสินะ ยินดีที่ได้รู้จัก” 

ชายหนุ่มชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวตอบ “ยินดีเช่นกัน” 

กู่ฉิงซานหันไปยังสมองควอนตัมที่ยังเปล่งแสงสว่างและกล่าว “บันทึก ถึงแม้ตัวเป้าหมายจะติดเชื้อไวรัสไปแล้ว แต่นิสัยพื้นฐานที่ใช้ในชีวิตประจำวันช่วงที่ยังเป็นมนุษย์ก็ยังคงไม่ถูกกำจัดออกไป ตัวอย่างเช่น คำที่เอ่ยกล่าวทักทายกันเมื่อครู่” 

“ทำการบันทึกแล้ว” 

กู่ฉิงซานมองมายังชายหนุ่มอีกครั้งและเอ่ย “นายยังพอจะจดจำคนที่ตัวเองรักได้ไหม?” 

ยังไม่ทันจะได้รับคำตอบ เลือดสังหารของอีกฝ่ายก็ซัดเข้าใส่สมองควอนตัมของกู่ฉิงซาน บดขยี้มันจนเหลือทิ้งไว้เพียงเศษซาก! 

บนใบหน้าของชายหนุ่มเผยถึงร่องรอยขบขันและกล่าวถาม “แกจะสัมภาษณ์ฉันไปเขียนหนังสือรึไง? เก็บปากที่ยังเอ่ยได้ว่าพูดคำสั่งเสียดีกว่าไหม?” 

“บันทึก...ไม่สิ สมองควอนตัมพังไปแล้วมันคงจะบันทึกต่อไปไม่ได้อีก อย่างไรก็ตาม ชัดเจนว่าเขายังพอจะมีความทรงจำเกี่ยวกับคนรักอยู่ แต่ไม่ยินดีที่จะเอ่ยถึงมัน” กู่ฉิงซานมองไปยังเศษชิ้นส่วนสมองควอนตัมด้วยคิ้วขมวดมุ่น “และการทำลายสิ่งของๆ คนอื่นอย่างมักง่ายเช่นนี้ บ่งบอกถึงการไร้มารยาท ครอบครัวไม่สั่งสอน” 

เมื่อชายหนุ่มได้ยินคำพูดของเขา

วินาทีต่อมาหมอกเลือดจำนวนมหาศาลก็พลันฟุ้งกระจายออกจากร่างกลายพันธุ์ กระแสเลือดสังหารสีแดงข้นก่อตัวขึ้นเป็นเส้นสาย แปรเปลี่ยนสสารกลายเป็นเปลวเพลิง ไหลบ่ามารวมกันบนฝ่ามือของเขา 

“สารเลว! แกกล้าลามปามถึงแม่ฉัน!” คู่ดวงตาสีแดงเข้มของชายหนุ่มสาดประกายไปด้วยความบ้าคลั่ง 

“ปากดีนัก ฉันจะส่งแกไปอยู่ร่วมกับยมบาลเดี๋ยวนี้ล่ะ!” 

แท่งกระดูกหนามขนาดใหญ่ทะลุออกมาจากแผ่นหลังของเขาอีกครั้ง ทว่าคราวนี้มันไม่ได้มาเปล่าๆ แต่หมอกเลือดกลับติดตรึงอยู่กับมันด้วย ส่งผลให้ฉากนี้แลดูคล้ายการงอกเงยของปีกสิ่งมีชีวิต 

สองปีกสยายออก ชายหนุ่มกระโจนทะยานตัวขึ้นมาในมุมสูง 

คู่ดวงตาประกายคมกล้า หนึ่งมือที่ลุกท่วมด้วยเปลวเพลิงวาดตรงลงมายังทิศทางที่อีกฝ่ายยืนอยู่ 

หัวใจของกู่ฉิงซานกระตุกวูบ ลางสังหรณ์ร้องเตือนถึงวิกฤติจนกล้ามเนื้อกระตุกไปทั่วทั้งร่างกาย 

ใช้ออกด้วยย่นระยะเหลือเพียงหนึ่งนิ้ว! 

ปง! 

เปลวเพลิงเลือดสังหารมิได้วิ่งตรงเป็นเส้นแสง ทว่ามันกลับปรากฏขึ้นท่ามกลางอากาศที่ว่างเปล่าเสียดื้อๆ ระเบิดเข้าใส่ตำแหน่งที่กู่ฉิงซานเคยยืนอยู่ เมื่อสิ้นเสียงปะทะก็ทิ้งไว้เพียงหลุมลึก 

“เจ้าหมอนี่ยังไม่ตาย แล้วมันหายไป...?” สีหน้าที่กำลังจะผ่อนคลายลงของเด็กหนุ่มนิ่งค้างไปทันที 

ไม่รีรอให้ขบคิด กู่ฉิงซานปรากฏตัวขึ้นเบื้องล่างเขาอย่างไร้สรรพเสียง ฝ่าเท้าย่ำกระทืบพื้นทะยานขึ้นไปยังเบื้องบนเตรียมที่จะตอบโต้ 

“น่าแปลกจริงๆ นี่แกสามารถหายตัวไปได้ในพริบตาได้อย่างไรกัน?” ปากเอ่ยพึมพำ สายตามองไปยังอีกฝ่ายที่ง้างประกายคมดาบหมายจะฟาดฟันเข้ามา ทว่าชายหนุ่มกลับมิได้เผยถึงความหวั่นวิตกใดๆ ทั้งสิ้น 

“แต่ถึงทำได้แล้วมันจะอย่างไร? สุดท้ายแกก็ไม่อาจเอาชนะฉันได้อยู่ดี!” ร่างชายหนุ่มวูบไหว ทิ้งตัวลงไปต้อนรับกู่ฉิงซาน

ระยะห่างระหว่างทั้งสองตีวงแคบลงอย่างรวดเร็ว 

ดาบพิภพถูกกุมกระชับในท่วงท่าที่เหมาะสม ในมือจีบออกตระเตรียมที่จะใช้ฝ่าวารีเชี่ยว! 

มองไปยังรังสีดาบจำนวนมหาศาลที่ปรากฏขึ้นอย่างฉับพลัน ลางสังหรณ์ไม่ดีของชายหนุ่มก็ร้องเตือนทันที เขาเร่งความเร็วยิ่งขึ้น ควบคุมเลือดสังหาร บิดมันเป็นเกลียวแส้ พันล้อมรอบตัวกู่ฉิงซานจากทุกทิศทาง 

“เสร็จฉันล่ะ”  

ไม่มีใครรู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ บัดนี้นิ้วทั้งห้าของเขาจู่ๆ ก็แปรเปลี่ยนรูปร่างเป็นเรียวแหลมราวกับคมมีด 

สองมือของชายหนุ่มพรวดตรงมายังแผ่นหลังของกู่ฉิงซาน หมายมั่นที่จะเจาะทะลวงเข้าสู่หัวใจของอีกฝ่ายโดยตรง 

ปฏิกิริยาของกู่ฉิงซานก็ฉับไวไม่แพ้กัน เขาสวนกลับคมมีดนี้ด้วยกระบวนท่าดาบ ตัดสะบั้นใบดาบอันคมกล้าฟาดฟันไปยังเบื้องหลัง 

รังสีดาบที่ซ้อนทับกันบนใบดาบเมื่อครู่แตกกระจัดกระจายสลายหายไป ทว่ากลับปรากฏชั้นสายฟ้าเล่ยเดี๋ยนเข้ากะพริบวาบเข้ามาแทนที่! 

ตัวดาบช่างมีความทนทานและยืดหยุ่นที่สูงนัก แม้จะแปรเปลี่ยนกระบวนท่าที่ใช้ออกอย่างฉับพลัน ทว่ามันกลับดูจะไม่ได้รับผลกระทบใดๆ เลย 

ประกายคมกล้าระหว่างสองอาวุธมีคมฟาดฟันเข้าใส่กัน สายฟ้าเล่ยเดี๋ยนถูกชักนำจากดาบสู่ดาบ ไหลผ่านเข้าสู่ร่างของศัตรูอย่างไม่ทันตั้งตัว 

เปิดใช้งาน ชิกง! สูญสิ้นการควบคุม 

“เปรี๊ยะ! อ๊า...” 

ชายหนุ่มหวีดเสียงแหลม สองแขนชักกลับอย่างแรงตามสัญชาตญาณจนเสียสมดุล 

จังหวะนี้ล่ะ! 

กู่ฉิงซานไม่มีพลาด ฉวยโอกาสทองวาดดาบพิภพสะบั้นตามติดสวนกลับไป 

ชายหนุ่มไม่อาจควบคุมร่างกายของเขา ทำได้เพียงเอี้ยวตัวหลบคมดาบออกไปทางด้านข้าง 

ดาบแรกเฉือนผ่านสีข้างของอีกฝ่าย กู่ฉิงซานไม่รีรอใช้ออกด้วยกระบวนท่าต่อเนื่องทันที 

รังสีดาบอันไร้ที่สิ้นสุดคดเคี้ยวไปมา ก่อนจะหลอมรวมอยู่ที่ใบดาบ เปล่งประกายสาดแสงหมายมั่นที่จะสับสะบั้นพิฆาตศัตรู...ตัดจันทรา! 

กู่ฉิงซานทั้งคนทั้งร่างแปรเปลี่ยนเป็นรังสีดาบแสงขาวนวลราวพระจันทร์ในยามค่ำ ประกายแสงสาดกะพริบวาบไปทั่วทั้งบริเวณ 

ร่างกลายพันธุ์ถูกสับสะบั้นแยกออกจากกันเป็นสองส่วน เศษอวัยวะภายในร่างกายถูกกระแสลมอันดุดันของคมดาบเป่ากระจายไปทั่วผืนฟ้า 

กู่ฉิงซานร่อนลงบนพื้น 

กระบวนการต่อสู้ทั้งหมด เกิดขึ้นแค่เพียงไม่กี่วินาทีเท่านั้น 

การปะทะระหว่างทั้งสอง สลับแปรเปลี่ยนกันทั้งรุกทั้งรับหลายต่อหลายครั้ง ทำให้มองคราแรกยากที่จะแยกออกและตัดสินว่าใครจะแพ้ชนะ 

กลุ่มนายทหารและเหล่ามืออาชีพมองไปยังฉากนี้ ไม่มีใครคาดคิดเลยว่าเพียงไม่กี่ลมหายใจการต่อสู้ก็จบลงเสียแล้ว 

ทว่าเมื่อมองไปยังกู่ฉิงซาน ท่าทีของเขากลับดูจะไม่ผ่อนคลายลงเลยแม้แต่น้อย 

เขาเงยหน้าขึ้น จ้องมองไปบนท้องฟ้าด้วยสีหน้าหนักอึ้ง 

เห็นแค่เพียงร่างทั้งสองซีกแปรเปลี่ยนกลายเป็นเลือดสังหาร ค่อยๆ ผสานหลอมรวมเข้าด้วยกันอีกครั้ง 

และร่างของชายหนุ่มกลายพันธุ์คนเดิม เพิ่มเติมคืออยู่ในสภาพไร้รอยขีดข่วนก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าต่อตาฝูงชน 

“เทคนิคดั้งเดิมของตัวตนที่เป็นเพียงมนุษย์ กลับสามารถเผยความแข็งแกร่งออกมาได้ถึงขนาดนี้เลยอย่างงั้นหรือนี่” 

สองแขนของเด็กหนุ่มยกขึ้นกอดอก ปากอ้ากว้างถอนหายใจ ศีรษะเอียงเอนไปยังด้านข้างด้วยความฉงน 

“แต่เมื่อกี้ฉันว่าฉันก็บอกไปแล้วนะ ว่าเมื่อต้องเผชิญหน้ากับพลังอันสมบูรณ์แบบของฉัน เทคนิคใดๆ ก็ล้วนไร้ค่า ไม่มีประโยชน์ใดๆ อีกต่อไป” เขาฉีกยิ้ม จ้องมองไปยังกู่ฉิงซาน 

“ก็คงจะเป็นอย่างที่แกพูดนั่นล่ะนะ” กู่ฉิงซานโยนดาบกลับคืนเข้าไปในอากาศที่ว่างเปล่า และคว้าจับคันธนูยาวออกมาแทนที่ 

ธนูเย่หยู 

เขาคว้าจับลูกศร และวางมันลงบนคันธนู 

ชายหนุ่มกลายพันธุ์มิได้ตื่นตระหนกหรือเคลื่อนไหวใดๆ มีเพียงดวงตาที่หรี่ลง มุ่งเน้นสมาธิไปกับสิ่งเดียวที่ผิดแผกออกไปในฉากนี้ 

เขาจดจ้องลงมายังธนูเย่หยูอย่างใกล้ชิดชนิดหัวชนฝา ทว่าเขากลับไม่สามารถรับรู้ได้ถึงการดำรงอยู่ของธนูเล่มนี้ได้เลยแม้แต่น้อย 

นี่ทำให้ชายหนุ่มกลายพันธุ์รู้สึกสงสัย 

อย่างไรก็ตาม กู่ฉิงซานดูจะไม่สนใจถึงสิ่งที่อีกฝ่ายกำลังขบคิด สายธนูถูกขึงจนตึง ศรอันแหลมคมถูกผละออกไป! 

ยิงระเบิด! 

กังหันลม! 

ระบำผันผวน! 

ระบำผันผวน! 

ระบำผันผวน! 

ห่าลูกศรกว่าสามสิบดอก ถูกบรรจงใช้ออกด้วยระบำผันผวนของกู่ฉิงซานในลมหายใจเดียว! พวกมันเลื้อยวูบไหวอย่างมิอาจคาดเดา ปิดกั้นทางหนีของชายหนุ่มจากทุกเส้นทาง! 

“โอ้พระเจ้า!” เหล่าฝูงชนที่จ้องมองฉากนี้ต่างพากันอุทานออกมา 

ไม่เพียงแต่ครอบครองเทคนิคดาบที่แข็งแกร่งจนอยู่เหนือขอบเขตความเข้าใจของมนุษย์ แม้กระทั่งเทคนิคยิงธนูของเขาก็ยังยากที่จะหาตัวจับและไม่มีใครเคยพบเจอมาก่อน! 

ชายหนุ่มกลายพันธุ์พรวดหลบไปทางขวา สลับไปทางซ้าย ทว่าร่างกายของเขาก็ยังคงถูกเจาะทะลวงโดยศรแหลมอันคมกล้า ราวกับตัวเขาเป็นเพียงประติมากรรมที่มิอาจเคลื่อนไหว คอยถูกใช้ซ้อมยิงเป็นเป้าอยู่ร่ำไป 

“อย่าพึ่งได้ใจไปนัก ต่อให้แกจะสามารถทำได้ถึงขนาดนี้ มันก็ไร้ประโยชน์อยู่ดี!” ชายหนุ่มเปล่งเสียงคำรามเย้ยหยัน 

ปรากฏชั้นเลือดไหลนองออกมาจากร่างกายของเขา บรรดาศรแหลมที่เสียบลึกเข้ามาในร่างกายก็ค่อยๆ ละลายหายไป 

“นั่นสินะ มันไร้ประโยชน์จริงๆ ด้วย” ขณะนั้นเอง กู่ฉิงซานก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่และเอ่ยปากกล่าวออกมา 

ความแข็งแกร่งของทั้งสองนับว่าห่างชั้นกันมากเกินไป การที่เขาอยู่รอดมาได้นานขนาดนี้เป็นเพราะสกิลต่างๆ ที่ตนมีไว้ในครอบครองคอยช่วยเหลือเท่านั้น 

กู่ฉิงซานตบลงในถุงสัมภาระ คว้าจับเม็ดยาฟื้นฟูพลังวิญญาณขึ้นมา และกลืนมันลงไป 

เนื่องเพราะปริมาณพลังวิญญาณของเขาได้ลดลงอย่างรวดเร็ว และมันจะส่งผลโดยตรงต่อจำนวนครั้งที่สามารถโจมตีได้  ดังนั้นเขาจึงต้องบังคับเพิ่มมันด้วยเม็ดยาฟื้นฟู 

วินาทีต่อมา ร่างเงาเลือดก็วูบไหวอย่างฉับพลัน พรวดตรงดิ่งมายังกู่ฉิงซาน 

กู่ฉิงซานยกธนูเย่หยูขึ้นอีกครั้ง และยิงสวนกลับไป! 

ร้อยก้าวผ่านหยาง! 

ยิงระเบิด! 

แม้ชายหนุ่มกลายพันธุ์จะถูกยิงเข้าแสกหน้ากลางอากาศ ทว่าเขากลับไม่คิดแยแสมันเลย ทั้งร่างบิดเป็นเกลียว ปะทะเข้ากับลูกศรจนชะงักงันเพียงชั่วครู่ ก็โฉบต่ำลงมาอีกครั้ง 

ธนูยาวในมือกู่ฉิงซานวูบไหว กระบวนท่าต่อไปถูกใช้ออก! ระบำผันผวน! 

ทั่วทั้งท้องฟ้า ปรากฏเงาสีเทาเลื้อยลดคดเคี้ยวไปมาอย่างไม่อาจคาดเดาทิศทางได้ มันแลดูคล้ายงูเวหาที่กำลังหลงทิศ เผลออีกทีก็ฉกกัดเข้าไปในร่างกายของผีดิบนักฆ่าเสียแล้ว 

“ฮ่าๆๆ ไร้ประโยชน์!  ศรของแกน่ะมันไม่อาจฆ่าฉันได้!” 

ฝ่ายตรงข้ามดูจะตระหนักดีถึงพลังของลูกศร คราวนี้เขาเลือกที่จะพุ่งตรงลงไปปะทะกับมันเองเลยโดยตรง ในหัวหมายมั่นว่าต่อให้ต้องได้รับบาดเจ็บนิดๆ หน่อยๆ เขาก็จะต้องฆ่าอีกฝ่ายให้จงได้! 

ร่างกลายพันธุ์วูบไหวจนเห็นเพียงประกายเงาสีเลือด ความว่องไวของเขาเพิ่มขึ้นเป็นเท่าทวีอย่างฉับพลัน!

 เงาเลือดบิดตัวม้วนเป็นเกลียวทะลวงผ่านศรอันแหลมคม พุ่งเข้าใส่กู่ฉิงซาน 

เงื้อมมือของเขาแปรเปลี่ยนเป็นคมมีดเรียวยาวที่เจิ่งนองไปด้วยเลือดสังหาร พร้อมที่จะแสดงอิทธิฤทธิ์อันทรงพลังของมันออกมาทันทีที่ปะทะกับเป้าหมาย! 

ชายหนุ่มกลายพันธุ์ฉีกยิ้ม เฝ้ารอช่วงเวลาอันยอดเยี่ยมที่กำลังจะมาถึง 

ทว่าวินาทีต่อมา ในวิสัยทัศน์ของเขา คันธนูยาวของอีกฝ่ายก็หายวับไป 

เสี้ยวพริบตาเดียว สองมือของอีกฝ่ายก็จับกุมดาบยาวเอาไว้อีกครั้ง และชี้ตรงมายังตัวเขา 

ขณะนี้ ระยะห่างระหว่างทั้งสองแคบลงไม่ถึงหนึ่งเมตร ซึ่งเป็นช่วงระยะวัดใจระหว่างความเป็นความตาย! 

ชายหนุ่มที่เมื่อครู่ได้รีดความว่องไวออกมาจนถึงขีดสุด แม้จะสัมผัสได้ถึงสถานการณ์ไม่สู้ดีนัก ทว่าขณะนี้มันสายเกินไปแล้วที่จะหลีกเลี่ยง! 

กู่ฉิงซานย่อมไม่พลาดที่จะคว้าโอกาสนี้ ปากอ้าตะโกนก้อง ร้องออกด้วยชื่อกระบวนท่าดาบ 

เทคนิคลับ…ฝ่าวารีเชี่ยว! 

ฮู้ม...! 

รังสีดาบรวมตัวกันเป็นกลุ่มก้อน ซ้อนทับกันชั้นแล้วชั้นเล่า ก่อนจะระเบิดออกราวกับกระสุนปืนใหญ่ อัดกระแทก ตอกเข้าใส่ศัตรูเบื้องหน้ากว่าห้าครั้ง เปลี่ยนร่างกลายพันธุ์อันแข็งกร้าวให้ตกอยู่ในสภาพรุ่งริ่ง เศษชิ้นส่วนต่างๆ กระจัดกระจายไปทั่วชั้นอากาศ 

ปรากฏเสียงหนักทึบครั้งหนึ่ง ร่างของชายหนุ่มลอยเคว้งอยู่กลางท้องฟ้าราวกับว่าวที่สายป่านขาด ก่อนจะร่วงตกลงไปยังอีกฝั่งของลานจัตุรัสอย่างแรง! ฝุ่นสีเทาคละคลุ้งไปทั่ว 

“สวยงามมาก!” ทีมสำรวจเฮลั่นยกใหญ่ 

ความตึงเครียดในหัวใจของทั้งหมดค่อยบรรเทาลง 

ทว่าคิ้วของกู่ฉิงซานกลับยังคงขมวดมุ่น ปลายดาบยาวยังคงชี้ไปยังทิศทางเบื้องหน้า 

“ลุกขึ้นมาซะ อย่ามาเล่นละครตบตากันหน่อยเลย การโจมตีแค่นี้ฆ่าแกไม่ได้หรอก” เขากล่าว 

สิ้นเสียง ร่างกลายพันธุ์ก็กระตุกเล็กน้อย ก่อนจะยืนหยัดขึ้นอย่างมั่นคง 

“ไม่ตายก็จริง แต่เมื่อกี้นี้ยอมรับเลยว่าทำเอาใจฉันหายวาบ” ชายหนุ่มกล่าว “น่าเสียดายที่แกไม่ใช่ผีดิบนักฆ่า ไม่อย่างนั้นฉันคงจะยินดีน้อมรับแกมาเป็นลูกน้องแล้ว” 

ภายใต้สายตาที่มองมา แฝงไปด้วยความประหลาดใจและชื่นชม ทว่าส่วนมากยังคงไว้ซึ่งความเกลียดชังและเจตนาฆ่า 

“ค่าตัวฉันแพงนะ แกจะจ่ายไหวเหรอ” กู่ฉิงซานกล่าว 

“เหอะ ดูเหมือนว่าการละเล่นล่าสังหารในวันนี้คงจะกินเวลามากกว่าปกติไปบ้างสินะ” ร่างกลายพันธุ์ย่ำฝ่าเท้าลงจนพื้นแตกร้าว มุ่งตรงมายังกู่ฉิงซานทีละก้าว ทีละก้าว 

อย่างไรก็ตาม ในตอนนั้นเอง สมองควอนตัมของทีมสำรวจก็สว่างวาบขึ้นโดยพร้อมเพรียง 

ตามมาด้วยเสียงของเทพธิดากงเจิ้งลอดออกมาจากมัน 

“เทพนักสู้ซางซ่งหยางกำลังจะมาถึงพื้นที่สู้รบในอีกหนึ่งนาที ใต้เท้าผู้ทรงเกียรติกู่ฉิงซานโปรดประจำตำแหน่งและรักษาชีวิตเอาไว้ให้มั่น” 

ม่านตาของชายหนุ่มหดลีบลงอย่างฉับพลัน 

ช่วงเวลาที่เขาเติบโตขึ้น ตลอดมามักจะได้ยินชื่อของเทพนักสู้ซางซ่งหยางอยู่เป็นนิจ ขณะนี้ตัวเขาบังเกิดความลังเลขึ้นในหัวใจ ก่อนที่มันจะกลับกลายแปรเปลี่ยนเป็นความหวาดกลัวอย่างช้าๆ 

ตัวเขาไม่อาจทนรับบาดเจ็บได้อีกต่อไปแล้ว แม้ว่าเขาจะเป็นผีดิบนักฆ่าที่ทรงพลังเป็นอย่างมากก็ตามที ทว่าท่ามกลางความมืดมิด อาจมีคู่แข่งของเขานับไม่ถ้วนหลบซ่อนตัวอยู่ เฝ้ารอคอยโอกาสที่จะเข่นฆ่าสังหารเขาเช่นกัน 

ระหว่างที่ชายหนุ่มลังเลใจ จู่ๆ หางตาของเขาก็เหลือบเห็นคันธนูในมือของกู่ฉิงซานที่ถูกยกขึ้นอีกครั้ง พร้อมลูกศรที่แนบลง และกำลังเล็งเป้ามาที่ตนเอง 

“ระยำเอ๊ย! ฝากเอาไว้ก่อนเถอะ!” 

เขาสบถด่า ก่อนจะแปรเปลี่ยนตนเองเป็นเลือดสังหารและเร่งรุดจากไปอย่างรวดเร็ว 

กู่ฉิงซานนิ่งค้างอยู่สักพัก ก่อนจะค่อยๆ ลดธนูเย่หยูลง 

ในที่สุดความตึงเครียดก็ค่อยบรรเทาลงเล็กน้อย 

การต่อสู้ในครานี้เล่นเอาเลือดในหัวใจเขาสูบฉีดจนเกือบทะลักล้นออกมาเลยทีเดียว อีกฝ่ายแข็งแกร่งเกินไป ทุกช่วงเวลาที่ไหลผ่าน ราวกับเขากำลังก้าวเดินอยู่ผ่านยอดตึกสูงด้วยลวดสลิงบางๆ เพียงเส้นเดียว ทุกการโจมตีออกไปก็เปรียบดั่งการก้าวขยับออกไปหนึ่งก้าว 

“แม้จะสามารถกลายพันธุ์ได้ค่อนข้างรวดเร็ว ทว่าในด้านประสบการณ์การต่อสู้ดูจะยังอ่อนหัดอยู่นิดหน่อย” 

ระหว่างกล่าว เขาก็ตบลงบนถุงสัมภาระ หยิบเม็ดยาฟื้นฟูขึ้นมาและโยนมันเข้าไปในปาก

 พลังวิญญาณของกู่ฉิงซานบัดนี้เหือดแห้งไม่หลงเหลือเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หากไม่ใช่เพราะว่าเขามีประสบการณ์ในการต่อสู้มามากมาย และไม่เผยทีท่าว่าจะพ่ายแพ้โดยง่ายออกมา เกรงว่าป่านนี้อีกฝ่ายคงโถมโจมตีโต้กลับเขาอย่างบ้าคลั่งไปแล้ว 

สัตว์ประหลาดซอมบี้อันน่าสยองขวัญตนนี้ หากมิใช่ เทพนักสู้ ผู้ใช้ธาตุทั้งห้าที่ปลดผนึกขั้นสี่ และผู้ใช้เทคนิคเทียนซวนระดับสูง ทั้งสามตัวตนออกหน้ารับมือเองโดยตรง มันก็เป็นไปไม่ได้เลยที่จะจัดการมันลงในเวลานี้ 

แน่นอนว่าตัวเขาขณะนี้ก็เป็นดั่งเช่นเดียวกันกับที่ผีดิบนักฆ่ากล่าว ‘พื้นฐานวรยุทธของเขานั้นยังอ่อนแอเกินไป’ 

ทว่าขณะเดียวกัน ตัวเขาในขณะนี้ก็เป็นดั่งเช่นเดียวกันกับที่ผีดิบนักฆ่าเอ่ยชื่นชมเช่นกัน ‘หากเขามิใช่นักดาบที่ครอบครองสกิลดาบระดับสูง เขาคงถูกอีกฝ่ายใช้ความแข็งแกร่งอันห่างชั้น บดขยี้ไปหลายครั้งแล้ว ไม่อาจที่จะมาลืมตาอ้าปากได้อย่างในตอนนี้อีกต่อไป’ 

หากสับเปลี่ยนเป็นผู้ฝึกยุทธคนอื่นมาแทนที่ คนคนนั้นคงจะถูกมอนสเตอร์ซอมบี้ตัวนี้สังหารลงไปตั้งนานแล้ว 

“เทพนักสู้กำลังจะมาจริงๆ งั้นเหรอ?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม 

เทพธิดากงเจิ้งกล่าว “มาจริงๆ ทว่าไม่รวดเร็วนัก อย่างน้อยก็คงจะใช้เวลาอีกสักสิบนาที” 

กู่ฉิงซานเอ่ยอย่างประหลาดใจ “แต่เมื่อครู่คุณบอกว่าอีกแค่หนึ่งนาทีนี่” 

กู่ฉิงซาน “ยอดเยี่ยม ที่แท้คุณก็โกหกเป็นด้วย” 

เทพธิดาเอ่ยถาม “นั่นคือคำชมใช่หรือไม่?” 

เทพธิดา “นี่นับว่าเป็นหนึ่งในกลยุทธ์ที่คิดค้นขึ้นมาสดๆ ยามเมื่อต้องพบเจอกับปัญหาร้ายแรงเช่นในครั้งนี้” 

กู่ฉิงซานกล่าว “เอาล่ะๆ ตอนนี้ก็รีบส่งข้อความไปบอกใต้เท้าผู้ทรงเกียรติ เทพนักสู้ ก่อนเป็นอันดับแรกเถอะ บอกเขาว่าไม่ต้องกังวลวิตกกังวลไป ไม่จำเป็นต้องเร่งรีบมาแล้ว” 

กู่ฉิงซานเดินไปหาเหล่าทีมสำรวจที่อยู่เบื้องหน้าและกล่าว “พวกคุณยังพอที่จะขยับตัวไหวไหม?” 

หลายคนพยักหน้าครั้งแล้วครั้งเล่า จ้องมองมายังเขาอย่างไม่อาจละสายตาได้ ราวกับกำลังเฝ้ามองทีเร็กซ์ที่สวมเนื้อหนังในคราบมนุษย์ 

“งั้นก็ดี เอาล่ะ รีบกลับฐานที่มั่นกันก่อนเถอะ เกรงว่าหลังจากที่ผีดิบนักฆ่าจากไปแล้ว พวกผีดิบกินคนตนอื่นก็คงจะทยอยกันกลับมายังที่นี่” 

หลังจากที่กู่ฉิงซานกล่าวจบ เขาก็หันไปมองซากศพร่างสีแดงเลือดของผีดิบกินคนชั้นยอด จากนั้นก็มองไปยังเหล่ามืออาชีพและนายทหารที่อยู่ในสภาพน่าสังเวชอีกครั้ง 

“ใครที่ยังพอมีแรงอยู่ มาช่วยกันลากเจ้าสิ่งนี้กลับไปด้วยกันกับฉัน” 

“ฉันเอง!” คนที่ยังพอสามารถเคลื่อนไหวได้ต่างเอ่ยปากออกมาอย่างพร้อมเพรียง ราวกับได้รับฟังคำประกาศิต 

“ถ้ามีคนช่วยมากมายขนาดนี้…ดีล่ะ มาช่วยกันยกมันกันเถอะ” 

กล่าวจบ บางคนก็แยกไปช่วยยก บางคนก็ช่วยพยุงผองเพื่อน พากันถอยทัพกลับไป

........................................