ตอนที่ 109 ปลอดภัย
กู่ฉิงซานพูดคุยกับซิวซิวไปตลอดทั้งเส้นทางเพื่อบรรเทาความตึงเครียดของเธอ
“ดูร้านนั่นสิ นั่นคือร้านค้าที่ขายยันต์ชนิดพิเศษ”
“ส่วนนั่นเป็นร้านขายอาวุธ และชายร่างใหญ่ที่ไม่สวมเสื้อท่อนบนนั่นคือเจ้าของโรงตีเหล็ก”
“และนั่น ร้านที่มีประตูสีแดงรูปร่างคล้ายเตาหลอม นั่นคือร้านขายเม็ดยารักษา”
“ส่วนทางซ้าย ใช่เจ้าคาดเดาได้ถูกต้อง มันคือร้านขายอาหารวิญญาณ ที่นั่นมีของอร่อยๆ มากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งขนมขบเคี้ยวที่เรียกว่าผลน้ำเต้าหวาน เฮ้เจ้าของร้านขอผลน้ำเต้าหวานให้ข้าชิ้นหนึ่ง”
กล่าวจบ ผลน้ำเต้าหวานก็ถูกยัดใส่มือซิวซิว
‘โดยเฉพาะอย่างยิ่งเจ้าสิ่งนี้จะอร่อยเป็นพิเศษ?’ ซิวซิวลังเลเล็กน้อย ก่อนจะค่อยๆ เริ่มเลียมัน
อืม...หวานจัง
และเธอก็ค่อยๆ เริ่มกัดกินมันอย่างมีความสุข
ระหว่างทาง สายตาของกู่ฉิงซานพลันเหลือบไปเห็นสถานที่หนึ่ง ดวงตาของเขาเปล่งประกายสดใส “มาเถอะซิวซิว เร็วเข้า”
“ศิษย์พี่ เกิดเรื่องอันใดขึ้น?” ซิวซิวเริ่มกลับมาตึงเครียดอีกครั้ง
“เจ้าไม่เห็นนั่นหรือ มันคือร้านค้าที่มีไว้ซื้อขายอสูรวิญญาณ มีอสูรวิญญาณแปลกๆ มากมายอยู่ที่นั่น พวกเราไปดูกันเถอะ!”
“แล้วมันมีกระเรียนหรือไม่ ข้าชอบกระเรียน!”
“มีสิ”
“เช่นนั้นก็รีบไปดูกันเลย”
หัวหน้าผู้จัดการเฝ้ามองทั้งสองวิ่งทะยานออกไปด้วยรอยยิ้มขมขื่น
ส่วนใหญ่แล้วคนที่มาทดสอบประจำปีมักจะตึงเครียดและวิตกกังวล มีน้อยนักที่จะผ่อนคลาย
ประสิทธิภาพที่ตนเผยออกมาในการทดสอบประจำปีนั้น มันจะเกี่ยวข้องโดยตรงกับการเข้าร่วมนิกาย ว่าตนจะสามารถเข้าร่วมนิกายอะไรได้บ้าง และจะได้รับการปฏิบัติอย่างไรในนิกาย
แม้ว่าจะมีคนบางส่วนที่ได้รับเลือกจากนิกายมาก่อนแล้ว แต่พวกเขาก็ยังอดไม่ได้ที่จะประหม่าและตื่นเต้นเช่นเดียวกัน
ข้าสมควรจะเผยอะไรออกไป แล้วหากข้าทำได้ไม่ดีเล่า? ข้าควรจะทำอย่างไรกับผลสูญเสียที่ตามมา?
ถ้าหากข้าทำมันได้ดีจริงๆ จะมีนิกายที่ยอดเยี่ยมยิ่งกว่าเอ่ยขอให้ไปเข้าร่วมกับเขาหรือไม่?
นี่คือสิ่งที่วนเวียนอยู่ในสมองของเกือบทุกผู้คน
ดังนั้นถนนในเมืองเว่ยซานทั้งหมดจึงเต็มไปด้วยเหล่าผู้ฝึกยุทธที่สับฝีเท้าอย่างเร็วรี่ สีหน้าหนักอึ้งกังวลเกี่ยวกับการทดสอบที่กำลังจะมาถึง
แต่ตอนนี้ หนุ่มสาวทั้งสองที่อยู่เบื้องหน้าเขา มาเข้าร่วมการทดสอบประจำปี เห็นได้ชัดว่าเหมือนกับมาเล่นสนุกซะมากกว่า
หัวหน้าผู้จัดการยืนรออยู่สักพัก ก่อนจะเห็นว่าเด็กหนุ่มกำลังพยายามฉุดลากเด็กสาวตัวเล็กๆ ออกมาจากร้านขายอสูรวิญญาณ
รอยยิ้มจางๆ ปรากฏขึ้นบนริมฝีปากของเด็กหนุ่ม และเด็กสาวก็ดูเหมือนจะตื่นเต้นชนิดโยนความตึงเครียดทิ้งไปจนหมดสิ้น
“ศิษย์พี่ พวกเราจะทำอะไรกันดีในตอนนี้?” ซิวซิวถาม
“พักกันสักครู่ เฝ้ารอจนกว่าอีกหนึ่งชั่วยามจะมาถึง จากนั้นพวกเราจะขึ้นไปยังวังสวรรค์กัน”
หลังจากเที่ยวจนเพลินเขาก็นึกขึ้นได้ว่ามีหัวหน้าผู้จัดการตามมาด้วย จึงหันไปพยักหน้าขอโทษขอโพยอีกฝ่าย
หัวหน้ากล่าวว่าไม่เป็นไรและนำทางพวกเขาไปยังโรงเตี๊ยมเพื่อพักผ่อน
ทั้งสองนั่งลง เห็นได้ชัดว่าซิวซิวดูจะรู้สึกใกล้ชิดกับกู่ฉิงซานมากกว่าเมื่อก่อนหน้านี้ นางมักจะดึงแขนเขาและเอ่ยคำถามเกี่ยวกับการฝึกยุทธออกมาเป็นจำนวนมาก
กู่ฉิงซานที่รอบรู้ทุกเรื่องราวอยู่แล้วจึงไม่มีเหตุผลอะไรที่จะไม่เอ่ยตอบ
ไม่นานนัก ช่วงเที่ยงก็ได้มาถึง ทั้งสองหยิบอาหารแห้งที่ถูกจัดเตรียมไว้โดยฉินเซี่ยวโหลวขึ้นมากัดกินอย่างรวดเร็ว ก่อนจะพากันไปล้างหน้าล้างปากกันเล็กน้อย จากนั้นก็เริ่มทำสมาธิ ควบคุมลมหายใจ
หนึ่งชั่วยามได้ผ่านพ้นไป จู่ๆ บนท้องฟ้าด้านนอกก็ปรากฏเสียงสั่นสะเทือนขึ้นเป็นระยะๆ
ไม่นานนัก ผู้คนโดยรอบก็ตะโกนออกมา
“รอตั้งหนึ่งชั่วยาม ในที่สุดก็มาถึงซะที!”
“ทุกท่านโปรดออกมา!”
“การทดสอบกำลังจะเริ่มต้นในไม่ช้าแล้ว โปรดออกมาข้างนอกด้วย!”
ผู้ฝึกยุทธเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว รวมตัวกันเป็นกลุ่มก้อน จากนั้นจึงออกไปยังภายนอก
“ศิษย์พี่?” ซิวซิวเปิดตาหันไปมองกู่ฉิงซานและกล่าว
“พวกเราก็ไปกันเถอะ” กู่ฉิงซานกล่าวด้วยรอยยิ้ม
พวกเขาเดินไปตามกระแสผู้คนที่อยู่ภายนอก จนในที่สุดก็มาถึงด้านบนสุดของเว่ยซาน
ที่นี่บัดนี้มันได้ถูกดัดแปลงเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัสขนาดใหญ่ และภายในก็คลาคล่ำไปด้วยผู้ฝึกยุทธเร่ร่อนและนักรบที่กำลังทำรอการคัดสรร พวกเขาเอ่ยพูดคุยกันอยู่
ผ่านไปอีกสิบห้านาที ทันใดนั้นก็มีคนปรากฏตัวขึ้นกลางท้องฟ้าและตะโกนกล่าว “หลังจากนี้อีกยี่สิบลมหายใจ วังสวรรค์จะปรากฏขึ้น ขอให้ทุกคนเตรียมตัวเพื่อขึ้นไปยังวังสวรรค์”
หลังจากที่ฝูงชนได้ฟัง เสียงบ่นก็สงบลงอย่างช้าๆ ทุกคนดูจะเตรียมพร้อมแล้ว แค่เฝ้ารอโอกาสที่กำลังจะมาถึง
“สิ่งที่พวกเขากล่าวว่าวังสวรรค์คืออะไรกัน? ศิษย์พี่สองเคยเล่าว่ามันจะมาพร้อมกับเสียงฟ้าผ่า ฟ้าจะผ่าจริงหรือ?” ซิวซิวถามซอกแซก
“เดี๋ยวเมื่อได้เห็นเจ้าก็จะรู้เอง” กู่ฉิงซานไม่ยอมบอกเธอ
ขณะที่เขากำลังพูด เขาก็แนะนำให้ซิวซิวยกมือขึ้นปิดหู ขณะที่ตนเองก็ทำตามด้วยเช่นกัน
ณ จุดนี้ พลันบังเกิดอัสนีบาดฟาดผ่าลงมาดังกึกก้อง ทำเอาหลายๆ คนต้องยกมือขึ้นมาปิดหูของพวกเขา
ชายที่ยืนอยู่ข้างๆ กู่ฉิงซานยิ้มหยันและเอ่ยกล่าว “ดูท่าผู้ฝึกยุทธพวกนี้คงมิได้ฝึกปรือเท่าใด แม้กระทั่งเสียงฟ้าร้องก็มิอาจต้านทานได้ ในรุ่นนี้คงมิมีใครโดดเด่นไปกว่าพวกเราอีกแล้ว”
กู่ฉิงซานกลอกตา แต่ก็ขี้เกียจเกินกว่าที่จะไปเถียง
นี่มันมิใช่แค่เสียงสายฟ้าธรรมดาๆ แต่มันเป็นสายฟ้าของพระเจ้า ถึงจะได้ยินผ่านหู แต่ก็ยังส่งผลกับจิตเทวะ มันแข็งแกร่งมาก และไม่มีทางที่จิตเทวะจะต้านทานได้
ดังนั้นการยกมือขึ้นปิดหูทั้งสองน่ะเป็นวิธีที่ง่ายและก่อให้เกิดประโยชน์มากที่สุดแล้ว
หากคุณไม่คิดที่จะต่อต้านมันเลย บางทีจิตเทวะอาจเกิดความเสียหายได้
และก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ หลังจากที่ฟ้าผ่าดังกึกก้อง ผู้คนที่อยู่รอบตัวชายคนดังกล่าวก็เอ่ยออกมา “ศิษย์พี่ เกิดอะไรขึ้น เหตุใดเลือดกำเดาท่านจึงไหล”
คนผู้นั้นเช็ดจมูกอย่างไม่แยแส “เหอะ เมื่อคืนข้าแค่ฝึกยุทธหนักเกินไปหน่อย ขอบเขตได้ยกระดับขึ้น เลือดลมในชีพจรลมปราณจึงทะลักออกมา”
เลือดลมในเส้นชีพจรลมปราณทะลัก...
ด้วยประสบการณ์มากมายที่เคยผ่านพ้น เมื่อได้ยินคำแก้ตัวน้ำขุ่นๆ กู่ฉิงซานจึงเฉยชาไม่ได้ให้ความสนใจใดๆ ทว่าสำหรับซิวซิวนั้นต่างออกไป
ก่อนหน้านี้ซิวซิวมิเคยได้ออกไปที่ใด แถมท่านอาจารย์ก็ได้เตือน และศิษย์พี่ก็ยังเคยบอกเล่าเรื่องราวที่เคยพบเจอในครั้งอดีต ทำให้ซิวซิวเข้าใจอย่างชัดเจนในเรื่องของผลกระทบจากสายฟ้านี้
เธอเป็นเพียงแค่เด็กสาวจึงไม่สามารถอดกลั้นเอาไว้ได้ จึงหัวเราะดังลั่นจนตัวงอ
ชายคนนั้นหยุดกึกทันที สาดคู่ดวงตาจ้องมองมาและกล่าว “เด็กสาวตัวน้อย เจ้าหัวเราะอะไรกัน?”
ระหว่างกล่าว ชายคนนั้นก็เดินตรงมายังทิศทางที่ทั้งสองยืนอยู่
จิตใต้สำนึกของกู่ฉิงซานดึงซิวซิวไปไว้เบื้องหลังทันทีและกล่าว “เจ้ามีอะไรงั้นหรือ แม้กระทั่งการที่ผู้คนคิดจะหัวเราะเจ้าก็ยังไม่อนุญาต?”
ชายคนนั้นทำเสียงฮึฮะและกล่าว “เจ้าจงตามติดหลังพวกผู้อาวุโสเอาไว้ให้ดี อย่าได้เสนอหน้ามาเจอข้าเชียว เจ้าไม่รอดแน่”
กู่ฉิงซานปล่อยจิตสัมผัสเทวะออกไป กวาดขึ้นๆ ลงๆ บนตัวเขา
พลังวิญญาณมีความผันผวนอยู่ที่ระดับปราณปรับแต่งขั้นหนึ่ง
กู่ฉิงซานส่ายหัว เขาไม่แม้กระทั่งจะคิดโกรธเคืองอีกฝ่ายให้เสียเวลา
ทว่าอีกคนพอเห็นว่าเขาไม่พูด ก็คิดไปว่าตนมีชัยเหนือกว่า จึงหันหลังกลับไปอย่างภาคภูมิ
ผู้คนโดยรอบมองไปยังกู่ฉิงซาน พร้อมกับเผยท่าทีความดูแคลนออกมา
เด็กหนุ่มผู้นี้ แม้กระทั่งพูดจาตอบโต้ก็ยังมิกล้า นี่เขาเป็นผู้ฝึกยุทธจริงๆ หรือไม่?
ซิวซิวดึงชายเสื้อของกู่ฉิงซาน
กู่ฉิงซานหันหัวกลับมา ซิวซิวมองหน้าเขาและเอ่ยอย่างแผ่วเบา “ศิษย์พี่ ทำไมท่านจึงไม่คิดสั่งสอนเขา? หากเป็นศิษย์พี่สองป่านนี้คงลงมือไปแล้ว”
กู่ฉิงซานลูบหัวเธอและกล่าว “จำคำของท่านอาจารย์ได้หรือไม่ การเดินทางในครั้งนี้ทั้งขาไปและขากลับพวกเราจะต้องปลอดภัย แล้วเหตุใดจะต้องมาสร้างปัญหาเพิ่มขึ้นด้วย?”
“ยิ่งไปกว่านั้น” กู่ฉิงซานถอนหายใจ “เขาอ่อนแอมากเกินไป ข้ากลัวจริงๆ ว่าอาจจะควบคุมพละกำลังไม่อยู่”
ซิวซิวชะงักงัน ก่อนที่เธอจะจำได้ว่าฉินเซี่ยวโหลวก็เคยถูกกู่ฉิงซานหวดดาบเข้าใส่จนลอยหายออกไปบนท้องฟ้ามาแล้ว
และขณะนั้น ฉินเซี่ยวโหลวอยู่ในระดับก่อตั้งขั้นกลาง
ซิวซิวตระหนักถึงมันได้อย่างลึกซึ้ง เธอพยักหน้าว่าตนก็คิดเห็นเช่นเดียวกัน
พวกเขายกมือขึ้นปิดหูอีกครั้ง พร้อมกับสายฟ้าที่ฟาดลงมาอีกหน
ในที่สุด โลกก็กลับคืนสู่ความสงบ
เมฆทะมึนแยกย้ายกระจัดกระจาย พระราชวังลอยเด่นอยู่กลางเวหา
เพียงมองไปยังพระราชวังแค่วูบหนึ่ง ผู้คนก็อดไม่ได้ที่จะเกิดความเคารพขึ้นในจิตใจ
เหนือพระราชวังได้รับการปกปักไปด้วยรูปปั้นทั้งสี่มุม ร่างของพวกมันเปล่งประกายสดใส แต่ละตัวแกะสลักออกเป็นมังกร หงส์ มัจฉา กระทิง ลา และสัตว์เทวะตัวอื่นๆ อีกมากมาย
เบื้องหน้าวังปรากฏพื้นที่ยกสูงภายใต้ประตูโค้งมน พร้อมด้วยกลอง โต๊ะ ปากกา และม้วนกระดาษวางอยู่
และด้านล่างทั้งสี่ด้านเป็นจัตุรัสที่รายล้อมอยู่รอบพระราชวัง
แม้หลังจากที่มันจะตากลมตากฝนมานานหลายปี ทว่าพระราชวังก็ยังคงให้บรรยากาศที่น่าเกรงขามอยู่
ทว่าน่าเสียดาย ดูเหมือนว่ามันจะถูกทำลายโดยพลังอันยิ่งใหญ่ ทำให้ตัววังหายไปกว่าครึ่ง
วังสวรรค์ บัดนี้หลงเหลืออยู่เพียงครึ่งเดียว
มันลอยเด่นอยู่กลางอากาศอย่างเงียบๆ เผยโครงสร้างอันไม่สมบูรณ์แบบให้โลกหล้าได้ประจักษ์ คล้ายกำลังต้องการจะบ่งบอกถึงบางสิ่งไปยังผู้คน
“เชิญขึ้นไปยังวังสวรรค์!”
เสียงอันน่าเกรงขามจากเบื้องหน้าของเหล่าผู้ฝึกยุทธดังกังวานไปทั่ว
........................................