webnovel

0110 ในมุมมองของนักดาบ

ตอนที่ 110 ในมุมมองของนักดาบ

ผู้ฝึกยุทธเริ่มเคลื่อนไหว

และกลุ่มแรกที่เคลื่อนไหว คือบรรดาเหล่าผู้ฝึกยุทธที่ยืนอยู่ในมุมมุมหนึ่ง 

พวกเขาเรียกเรือเหาะขนาดใหญ่ออกมา พร้อมกับทำการเลือกห้าสิบถึงหกสิบผู้ฝึกยุทธที่จะเดินทางขึ้นไปยังสถานที่เบื้องบน 

หัวหน้าผู้ฝึกยุทธประกาศลั่น “ซ่งหยางซีแห่งนิกายหลิวหยุนเหมินเมฆาล่อง ขอนำพาเหล่าสาวกมาเข้าร่วมการทดสอบประจำปี!” 

เขาหันไปยังทิศทางของวังสวรรค์ และโค้งคำนับลงด้วยความเคารพ 

เรือเหาะเริ่มทะยานขึ้นอย่างช้าๆ ผู้คนของนิกายหลิวหยุนเหมินค่อยๆ ลอยขึ้นไป 

ชายชราคนหนึ่งยืนขึ้น กล่าวดังสนั่น “ฮั่วฉานเฟย์แห่งนิกายหวังเจี้ยนหมื่นดาบ ขอนำพาเหล่าสาวกมาเข้าร่วมการทดสอบประจำปี!” 

นี่คือหนึ่งในนิกายที่ใหญ่ที่สุด และยังเป็นนิกายของผู้ฝึกดาบที่ใหญ่ที่สุดในโลกอีกด้วย 

เขาคำนับไปยังทิศทางวังสวรรค์ด้วยความเคารพ 

หลังจากคำนับเสร็จสิ้น ก็พลันปรากฏดาบเล่มยักษ์ลอยขึ้นหรือน่านฟ้าของผู้ฝึกยุทธนิกายหวังเจี้ยน คนแล้วคนเล่าทะยานขึ้นไปบนดาบยักษ์ ก่อนจะขี่มันลอยขึ้นไปยังวังสวรรค์ 

ทันใดนั้น ทั่วทั้งลานจัตุรัสก็พลันกลายเป็นตื่นเต้นและมีชีวิตชีวามาก 

นิกายแล้วนิกายเล่าเริ่มใช้ออกด้วยวัตถุเหินอากาศ นำพาเหล่านักรบและผู้ฝึกยุทธเร่ร่อนที่อยู่ในขอบเขตปราณปรับแต่งและก่อตั้งที่ยังไม่สามารถบินได้ ไปยังวังสวรรค์ 

“หลี่หยวนซีแห่งสำนักหมิงไห่ห้วงทะเลลึก ขอนำพาเหล่าสาวกมาเข้าร่วมการทดสอบประจำปี” 

“ไป๋เจียงไห่แห่งลัทธิไป๋ซานภูผาขาว ขอนำพาเหล่าสาวกมาเข้าร่วมการทดสอบประจำปี” 

...

“หลี่ฉิงเหยาแห่งสำนักเหยากวาง ขอนำพาเหล่าสาวกมาเข้าร่วมการทดสอบประจำปี” 

กู่ฉิงซานหันไปมอง และพบว่าในสำนักเหยากวางปรากฏใบหน้าที่แสนจะคุ้นเคย 

เหลิงเทียนสิงพยักหน้าพร้อมกับยิ้มไปทางเขา อีกฝ่ายถ่ายทอดความคิดมาว่า “ข้าเป็นผู้ฝึกยุทธบังคับกฎคนแรกที่รับหน้าที่ทำการทดสอบเบื้องต้น สำหรับขึ้นไปยังเบื้องบน ถ้าขึ้นไปได้เราค่อยคุยกันอีกครั้ง” 

สำนักเหยากวางโบกสะบัดมือ พริบตานั้นปรากฏรัศมีเปล่งประกายหลากสีสันปกคลุมเหล่าสาวกทั้งหมด ก่อนจะทะยานขึ้นไปยังวังสวรรค์ 

“แท้จริงแล้วในโลกแห่งผู้ฝึกยุทธกลับเต็มไปด้วยวัตถุเหินเวหาแปลกประหลาดมากมาย เพียงแค่มองข้ากลับรู้สึกสนุกแล้ว” ซิวซิวจับจ้องไปยังหลากหลายนิกายที่ทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า เอ่ยกล่าวด้วยความสนใจ 

กู่ฉิงซานยิ้มและกล่าว “วัตถุเหินเวหาแต่ละชิ้นจะเป็นตัวแทนที่บ่งบอกถึงลักษณะนิกายของพวกเขา” 

ซิวซิวขบคิดอย่างรอบคอบ และเอ่ยขึ้นทันใด “มิน่าแปลกใจเลย วัตถุเหินเวหาของนิกายหวังเจี้ยนจึงเป็นดาบยักษ์ ขณะที่นิกายเหยากวางคือรัศมีแสงแห่งท้องทะเล ส่วนนิกายหลิงเฉาอสูรวิญญาณ ก็เป็นเต่ายักษ์ที่มีอายุเกือบหมื่นปี ” 

“ทว่าบางนิกายก็ยังเลือกที่จะใช้เรือเหาะอยู่ คาดว่าคงเป็นเพราะพวกเขาไม่มีทรัพยากรทางการเงินหรือพลังงานที่จะใช้ลงทุนไปกับมันมากพอ” เธอกล่าวอย่างช้าๆ 

“ยอดเยี่ยม ซิวซิว เจ้าช่างหลักแหลมเสียจริงๆ” กู่ฉิงซานกล่าวเยินยอคำหนึ่ง “นี่คือโอกาสที่จะแสดงให้เห็นถึงเสน่ห์ของนิกายของตนเอง เป็นการประกาศศักดา ขณะเดียวกันมันก็เป็นการดึงดูดเหล่าอัจฉริยะอีกด้วย” 

ในเวลานี้เริ่มมีนิกายทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้ามากขึ้น และมากขึ้นเรื่อยๆ วัตถุเหินเวหาทุกชนิดลอยอยู่เต็มท้องฟ้าดูละลานตา จนกู่ฉิงซานรู้สึกวิงเวียน 

หลังจากนั้นไม่นาน เสียงของใครบางคนก็ดังขึ้น “หานเทียนหมิงแห่งนิกายเทียนจี ขอนำพาเหล่าสาวกมาเข้าร่วมการทดสอบประจำปี” 

นิกายเทียนจี? 

กู่ฉิงซานเลื่อนสายตาไปมอง แล้วเขาก็พบกับหนิงเยว่ฉาน 

ที่นี่ไม่ใช่แนวหน้า ดังนั้นเธอจึงไม่สวมเกราะรบในวันนี้ และหน้ากากก็ไม่ได้ถูกสวมใส่เช่นกัน 

เธอสวมชุดที่แลดูมีสีสันตรงคอปกร้อยเรียงไปด้วยขนนก แม้จะยืนอยู่ท่ามกลางฝูงชนแต่เขากลับสามารถพบเจอเธอได้อย่างง่ายดาย ภาพ ณ ขณะนี้ราวกับหงส์กำลังยืนอยู่ท่ามกลางฝูงไก่ หรือเปรียบเปรยได้อีกอย่างว่าดอกบัวขาวที่พึ่งโผล่พ้นน้ำ 

ราวกับตระหนักได้ถึงสายตาของกู่ฉิงซาน หนิงเยว่ฉานเงยศีรษะขึ้น คู่ดวงตาที่สดใสราวกับหยาดน้ำในฤดูใบไม้ร่วงเบนออกมายังทิศทางของเขา 

จากนั้นก็ตกลงบนร่างของเขา 

กู่ฉิงซานยิ้ม 

หนิงเยว่ฉานก็ยิ้มตอบ 

“เหตุใดข้าจึงไม่เห็นศิษย์พี่สองของเจ้า?” เธอหรี่ตาลง และถ่ายทอดความคิดส่งมา 

“...เขาป่วยน่ะ” 

“เช่นนั้นไว้ขึ้นไปยังเบื้องบน พวกเราค่อยมาพูดคุยกันอีกครั้ง” 

“ตกลง” กู่ฉิงซานตอบรับ 

ทว่าในตอนนั้นเอง สายตาของหนิงเยว่ฉานก็ตกลงมายังเอวของกู่ฉิงซาน และพบกับดาบพิภพที่แขวนอยู่ ริมฝีปากของเธอก็พลันเม้มสูงด้วยความไม่พอใจทันที 

การแสดงออกดังกล่าวนี้ ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของหญิงงามแห่งนิกายเทียนจี ส่งผลให้ผู้ฝึกยุทธชายจำนวนมากเบนความสนใจไปยังเธอ ทว่าเมื่อต้องปะทะกับสีหน้าเย็นชาของอีกฝ่าย พวกเขาก็ทำได้เพียงแค่เก็บอาการไว้อย่างเงียบๆ 

เหงื่อเย็นเริ่มปกคลุมแผ่นหลังของกู่ฉิงซาน เขาเริ่มสำนึกเสียใจที่ไม่ได้แอบซ่อนดาบเอาไว้ 

“จบแล้ว มันจบแล้ว วิ่งหนีไปตอนนี้คงไม่ได้ผล” 

กู่ฉิงซานงึมงำเสียงกระซิบ 

สำหรับนิกายเทียนจี นอกจากการสร้างค่ายกลและด้านเทคนิคทำนายชะตาแล้วนั้น พวกเขายังโดดเด่นในด้านเทคนิคมนตราจากธาตุทั้งห้า ดังนั้นวัตถุเหินเวหาของพวกเขาก็คือ กงล้อหยินหยางขนาดยักษ์ที่ประกอบไปด้วยธาตุทั้งห้าและทิศทั้งแปดที่ใช้ทำนายชะตา 

กงล้อหยินหยางนำพาผู้คนแห่งนิกายเทียนจีทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าเมื่อเห็นภาพนี้กู่ฉิงซานจึงค่อยผ่อนคลายลงเล็กน้อย 

จากนั้น นิกายต่างๆ ก็เริ่มปล่อยวัตถุเหินเวหา ทะยานขึ้นไปบนวังสวรรค์ 

หลงเหลือนิกายที่ยังไม่ได้ขึ้นไปอยู่ไม่มากนัก 

ทันใดนั้น จู่ๆ ก็ปรากฏเสียงดังขึ้น 

“ข้าใคร่ขอถามพี่ชายหน่อยจะได้ไหม ว่าเจ้าสิ่งนี้มีชื่อเรียกว่าอะไร?” 

กู่ฉิงซานหันไปมองก่อนจะพบกับเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่น่ามีขนาดตัวพอๆ กับเขา อีกฝ่ายสวมชุดคลุมเต๋าสีน้ำเงินตัวใหญ่ และกำลังยืนอยู่เบื้องหลังเขา 

ชายคนนี้มีดูมีลักษณะที่สง่างาม พฤติกรรมและมารยาทของเขาดูสมบูรณ์แบบ ไม่เผยให้เห็นถึงร่องรอยของข้อผิดพลาดใดๆ ในระหว่างกล่าว น้ำเสียงก็ยังสุภาพอ่อนโยน เผยถึงทัศนคติและความจริงใจ ส่วนเรื่องขอบเขต ดูเหมือนว่าเขาจะอยู่ในขอบเขตก่อตั้งขั้นสุดท้าย 

กู่ฉิงซานอายุราวๆ สิบแปดถึงสิบเก้าปี ก็สามารถมาถึงขอบเขตก่อตั้งได้แล้ว ทว่าคนผู้นี้ก็มีอายุพอๆ กับเขา แม้จะอยู่ในขอบเขตเดียวกันแต่อันดับขั้นของอีกฝ่ายกลับสูงกว่าถึงสองขั้น กล่าวได้ว่าเป็นมังกรและหงส์ในหมู่มวลมนุษย์ 

ทว่าชายคนนี้เวลาที่เขามองมายังกู่ฉิงซาน มันดูราวกับว่ากำลังแลดูมด และกำลังตรวจสอบเขาอย่างลึกล้ำ 

ถึงแม้ว่าอีกฝ่ายจะซ่อนมันไว้อย่างดีแล้วก็ตาม แต่ก็ไม่อาจซ่อนเร้นมันจากกู่ฉิงซานผู้ที่ข้ามผ่านชีวิตและความตายมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วนได้ 

เนื่องเพราะคู่ดวงตาเหล่านี้นั่นเอง ที่ทำให้กู่ฉิงซานรู้สึกไม่ชอบใจผู้ชายคนนี้ 

การที่ชายผู้นี้เข้ามาพูดคุย ย่อมมิใช่แค่เพียงอยากคบหาในฐานะสหาย แต่ต้องมีจุดประสงค์อื่นแอบแฝงอยู่ด้วยเป็นแน่ 

จริงๆ แล้วกู่ฉิงซานยังไม่ทันจะได้เอ่ยชื่อออกไป ชายที่อยู่ตรงข้ามเขาก็เอ่ยปากขึ้นอีกครั้ง 

“นักบุญแห่งนิกายเทียนจีดูเหมือนจะให้ความสนใจกับดาบเล่มนี้ของเจ้า ดังนั้นข้าจึงค่อนข้างที่จะอยากรู้เกี่ยวกับมัน ไม่ทราบว่าเจ้าพอจะให้ข้ายืมดูดาบเล่มนี้จะได้หรือไม่?” 

คำกล่าวนั้นช่างแสนสุภาพ ทว่าเนื้อหากลับหยาบคายไม่น้อย 

มันไม่เพียงแต่จะบอกว่าชายผู้นี้แอบมองหนิงเยว่ฉานเท่านั้น แต่ยังเปิดเผยว่าอยากจะแย่งชิงดาบของกู่ฉิงซานอีกด้วย 

สำหรับผู้ฝึกดาบ ดาบนั้นคือชีวิต มันคือคู่หูที่จะฝ่าฟันช่วงเวลาแห่งชีวิตและความตายร่วมกัน  แล้วเขาจะนำมันออกไปให้ผู้อื่นเล่นสนุกได้อย่างไร 

ยิ่งไปกว่านั้นในโลกใบนี้ ยังมีเทคนิคมนตราหลายพันชนิดที่จะสามารถใช้ในการตรวจสอบอาวุธ เพื่อหาจุดอ่อนของผู้ใช้ 

นอกจากนี้พลังศักดิ์สิทธิ์ทั่วๆ ไปยังสามารถส่งผ่านไปยังอาวุธของผู้ฝึกยุทธ และอาจส่งต่อผ่านเข้าไปยังตัวของเจ้าของจนเกิดมลทินได้ 

หากพบเจอกับดาบบางเล่มที่มีสติปัญญา พวกที่ตามล่าวิญญาณในดาบ ก็จะดึงวิญญาณนั้นออกไปด้วยใจมุ่งร้าย ทำร้ายวิญญาณในดาบด้วยมนตราทมิฬ และทำให้ตัวดาบถูกทำลายลง 

อาวุธมิใช่สิ่งที่จะขอยืมกันได้ง่ายๆ นี่คือสามัญสำนึกทั่วไปของผู้ฝึกยุทธ ไม่ว่าผู้ฝึกยุทธคนใดก็ย่อมต้องตระหนักถึงมันอย่างชัดเจน 

อย่างไรก็ตาม อีกฝ่ายกลับเลือกที่จะกล่าวว่าต้องการยืมดาบของเขาออกมาโต้งๆ 

กู่ฉิงซานกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ขออภัยด้วย ข้าคงต้องปฏิเสธ” 

ชายคนนั้นตะลึงงัน ก่อนที่วินาทีต่อมาเขาจะเผยสีหน้าแปลกๆ 

“เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าเป็นใคร?” เขากล่าว 

“ก็เจ้าไม่เคยกล่าว ข้าจะไปทราบได้อย่างไร” กู่ฉิงซานกล่าว 

ชายคนนั้นส่ายหัวและถอนหายใจ “แม้กระทั่งเรื่องง่ายดายอย่างการสังเกต เจ้าก็ยังไม่ผ่านคุณสมบัติ แต่ยังกล้าที่จะมาเข้าร่วมการทดสอบประจำปี?” 

“ใช่ ข้ากล้ามา” กู่ฉิงซานกล่าวออกไปตามความจริง 

“ข้าจะเอ่ยปากอีกเป็นครั้งสุดท้าย จงมอบดาบนั่นมาให้ข้าดูเสีย” 

กู่ฉิงซานขบคิดก่อนกล่าว “จริงๆ แล้วมันก็พอเป็นไปได้” 

อีกฝ่ายพยักหน้า และสีหน้าของเขาก็ดีขึ้นหลายส่วน 

“เช่นนั้นโปรดนำอาวุธของเจ้าออกมาและปล่อยให้ข้าเล่นสนุกกับมันบ้าง เป็นอย่างไร?” กู่ฉิงซานอย่างจริงใจ 

ใบหน้าของชายคนนั้นหม่นทะมึนลง เขากล่าว “นานมาก นานมากแล้วที่ไม่มีใครกล้าเอ่ยกับข้าเช่นนี้ เจ้าจะไม่ให้ข้ายืมมันจริงๆ ใช่ไหม?” 

เบื้องหลังเขา ปรากฏเหล่าผู้ฝึกยุทธที่สวมเสื้อคลุมเต๋าสีน้ำเงินเหมือนกัน สาดสายตามายังกู่ฉิงซาน 

กู่ฉิงซานแกล้งทำเป็นไม่เห็น แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ไม่ให้ยืม” 

ฝ่ายตรงข้ามเรียกร้องต้องการดาบของเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนเจตนาฆ่าที่ถูกระงับไว้มาเป็นเวลานานกำลังจะปะทุออกมา 

เขามองไปรอบๆ 

มีผู้คนมากมายเกินไป หากถูกโจมตี มันจะไม่ใช่การง่ายที่จะปกป้องซิวซิว 

มือของกู่ฉิงซานคว้าจับไปที่ด้ามดาบ 

ชายผู้นั้นหันไปมองรอบๆ และสังเกตเห็นว่ายังมีประมุขนิกายหลายคนอยู่ที่นี่ เขาก็กลับมาจ้องกู่ฉิงซานด้วยแววตาล้ำลึกและกล่าวคำหนึ่ง “แล้วเจ้าจะต้องเสียใจ” 

จากนั้น อีกฝ่ายก็เดินจากไป 

เมื่อจากไป ซิวซิวก็เอ่ยปากออกมา “ศิษย์พี่” 

กู่ฉิงซานมองไปยังท่าทีหวาดกลัวของเธอจึงยิ้มออกมาและกล่าว “ไม่เป็นไรหรอก” 

“ศิษย์พี่ไม่ยินยอมที่จะแสดงอาวุธของตนให้ผู้ฝึกยุทธคนอื่นๆ ดูอย่างงั้นหรือ” ซิวซิวถาม 

“แน่นอนว่าไม่ทุกคนหรอก ยกเว้นไว้เพียงเจ้า ท่านอาจารย์ และศิษย์พี่ นอกเหนือจากนั้นมิอาจยินยอมได้” กู่ฉิงซานกล่าวอย่างเด็ดขาด 

ซิวซิวพยักหน้าเหมือนจะเข้าใจ แต่ก็อาจจะไม่เข้าใจเช่นกัน 

เมื่อชายคนนั้นเดินกลับไปยังนิกายตน เขาก็ตะโกนออกมาคำหนึ่ง  

“หลี่ฉางอันแห่งอารามชิงหยุนฟ้ากระจ่าง ขอนำพาเหล่าสาวกมาเข้าร่วมการทดสอบประจำปี” 

ทุกสรรพเสียงโดยรอบพลันเงียบงัน 

แม้กระทั่งเหล่านิกายที่กำลังเตรียมจะทะยานบินก็พลันหยุดการเคลื่อนไหว พวกเขาไม่กล้าที่จะแสดงท่าทีหยาบคายต่อเสียงนี้ 

อารามชิงหยุน คือนิกายของหนึ่งสามไตรภาคี น้อมสวรรค์ซวนหยวน! 

แล้วหลี่ฉางฮันก็เป็นศิษย์ที่แท้จริงภายใต้น้อมสวรรค์ซวนหยวน! 

ท่ามกลางสายตาของสาธารณชน หลี่ฉางอันหันไปมองกู่ฉิงซานด้วยรอยยิ้ม 

เขากวาดจิตสัมผัสเทวะออกไป ถ่ายทอดความคิด “ทีนี้เจ้าจะนำดาบมามอบให้ข้าได้หรือยัง?” 

แม้ใบหน้าของเขาจะยังคงสงบและอ่อนโยน แต่กลับปรากฏร่องรอยของความเย้ยหยันในสายตา ราวกับว่าเขากำลังเฝ้ารอที่จะเห็นสีหน้าตกตะลึงด้วยความหวาดกลัวของกู่ฉิงซาน 

อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าเขาจะผิดหวัง 

กู่ฉิงซานเผยยิ้มจ้องมองไปยังอีกฝ่าย พยักหน้าส่งสัญญาณ และในปากเอ่ยกล่าวออกมาเป็นคำๆ แบบไร้เสียง 

“ไปลงนรกซะ”

........................................