ตอนที่ 97 กะทันหัน
หัวหน้าทหารสาดสายตาไปยังโจวไค่หวูและเอ่ยสั่ง “ภายใต้คำสั่งของเทพธิดากงเจิ้ง กองทหารรักษาการณ์ หน่วยปฏิบัติการพิเศษ ทีมที่สามจึงได้มายังที่เกิดเหตุและเริ่มต้นจัดการผู้ต้องสงสัย”
“โจวไค่หวู คุณต้องถูกคุมตัวไปกับพวกเรา!”
โจวไค่หวูได้ยินเช่นนั้น เขาก็เอ่ยปากเพื่อต้องการจะกล่าวอะไรบางอย่าง ทว่าร่างทั้งห้ากลับวูบไหวอย่างพร้อมเพรียง แล้วปิดล้อมรอบตัวเขาจากทุกทิศทาง
แต่ละคนที่รุมล้อมวางมือลงบนไหล่ของเขา
แขนของคนทั้งห้าราวกับตะกั่วหนัก แม้โจวไค่หวูจะพยายามดิ้นรน แต่ก็ทำไม่ได้แม้เพียงเขยื้อน
ดวงตาของเขาเบิกกว้าง ก่อนจะหันไปมองรอบๆ และพบว่าทหารทั้งห้าที่รุมล้อมเขาอยู่นี้ ทุกคนล้วนแล้วแต่อยู่ในขอบเขตบรรพชนนักสู้!
“บัดซบ ไอ้สารเล” โจวไค่หวูมีคำมากมายในจิตใจที่ต้องการจะเอ่ยกล่าว แต่สองคำนี้ดูเหมือนเป็นสิ่งที่เขาอยากจะเปล่งมันออกมามากที่สุด
“หุบปากซะ!”
หนึ่งในทหารง้างเท้างัดเข้าใส่ท้องของเขา จนโจวไค่หวูร่วงลงไปนอนครางกับพื้นดิน
หนึ่งในนายทหารล็อกตัวโจวไค่หวู ย่ำฝีเท้าจนพื้นสั่นสะเทือน กระโจนกลับขึ้นไปยังท้องฟ้าเบื้องบน
ระหว่างที่อยู่กลางอากาศ เมื่อไปได้เพียงครึ่งทางแรงส่งจากการกระโดดของเขาก็ตกลงจนเกือบจะร่วงหล่น แต่นายทหารก็ตะคอกคำหนึ่งพร้อมระเบิดฝีเท้าที่ย่ำลงบนอากาศที่ว่างเปล่า ปลดปล่อยพลังของหวนคืนไร้ลักษณ์ออกมา วินาทีนั้นบังเกิดเสียงฉีกกระชากหวีดหวิวของอากาศ ทั้งคนทั้งร่างก็ทะยานเหนือขึ้นไปบนท้องฟ้าอีกครั้ง
ในที่สุดร่างของทั้งสองก็หายเข้าไปในยังประตูทางเข้าของยานรบ
จากนั้นนายทหารอีกสี่คนก็กระทำเช่นเดียวกัน และทะยานกลับขึ้นตามไป
เทพธิดากงเจิ้งเอ่ยต่อ “ผลจากการคำนวณเบื้องต้น ทุนก่อสร้างของอาคารหลังนี้มีมูลค่าประมาณแปดพันล้านเครดิต เริ่มทำการคำนวณอัตราค่าเสื่อมราคา ผลออกมาว่าในปัจจุบันมันมีมูลค่าหลงเหลือเพียงหกพันสามร้อยล้านเครดิต ใต้เท้าผู้ทรงเกียรติกู่ฉิงซาน คุณต้องการถ่ายโอนกรรมสิทธิ์ของอาคารหลังนี้เพื่อนำไปหักหนี้ในส่วนที่โจวไค่หวูจำเป็นต้องชดใช้หรือไม่?”
“แน่นอนว่าต้องตกลง เพราะฉันมีลางสังหรณ์ว่าเขาคงจะไม่มีทางชดใช้เงินให้ฉันได้” กู่ฉิงซานกล่าว
“ทว่าขณะเดียวกัน ถึงแม้ฉันจะได้มันมาครอบครองแต่ก็ยังไม่มีพลังมากพอที่จะจัดการกับคาสิโนแห่งนี้ได้” กู่ฉิงซานผายมือไปทางซางหยิงฮ่าว “บ่อนคาสิโนแห่งนี้ฉันขอฝากให้นายหาคนมาจัดการ แต่พวกเราจะทำแค่ธุรกิจพนันที่ถูกกฎหมายเท่านั้น ส่วนกำไรที่ได้ นายเอาไปสาม ฉันเจ็ด”
ซางหยิงฮ่าวยกมือขึ้นลูบคางและกล่าว “แบ่งเงินกันงั้นเหรอ? นายนี่เป็นหุ้นส่วนที่ดีจริงๆ เลยนะ”
เขาเอ่ยอย่างไร้ซึ่งความลังเลเสียใจ “ทรัพย์สินของหุ้นส่วนจู่ๆ ก็พุ่งทะยานราวกับติดจรวด แน่นอนว่านี่ย่อมเป็นประโยชน์ต่อองค์กรของฉัน แต่น่าเสียดาย กลุ่มนักฆ่าไม่อาจเปิดเผยตัวตนต่อสาธารณะได้ ไม่อย่างนั้นเงินลงทุนของฉันในนั้น คงได้ติดตัวแดงแน่”
“แต่ฉันสามารถเอามันมาตั้งเป็นบริษัทบังหน้าต่อสาธารณะก็ได้นี่นา จะเรียกมันว่าอะไรดีล่ะ บริษัทนักฆ่า…บริษัทรับแล่เนื้อดิบดี?”
กู่ฉิงซานหันไปมองอีกฝ่ายอย่างฉับพลัน ทันใดนั้นจู่ๆ หน้าของฉินเซี่ยวโหลวก็ปรากฏขึ้นมาซ้อนทับกับซางหยิงฮ่าว
ในเรื่องความหน้าหนานี่สูสีไม่แพ้กันเลยทีเดียว ถ้าสองคนนี้ได้เจอกันมันจะเป็นอย่างไรนะ…
กู่ฉิงซานส่ายหัวอย่างรวดเร็ว
เทพธิดากงเจิ้งกล่าว “ฉันจะทำการส่งบุคลากรเข้าไปในอาคารเพื่อเก็บรวบรวมหลักฐานความผิดเพิ่มเติมของโจวไค่หวู ทำการร้องขอให้เจ้าของอาคารใต้เท้าผู้ทรงเกียรติกู่ฉิงซานทำการยินยอมให้เข้าไปตรวจสอบ”
กู่ฉิงซานเผยยิ้มออกมาและกล่าว “ด้วยความยินดีเป็นอย่างยิ่ง”
กู่ฉิงซานและซางหยิงฮ่าวลุกขึ้น ก่อนจะเดินเข้าไปในส่วนของล็อบบี้ แล้วพวกเขาก็พบกับดู่กู้ฉง
“ต้องขอบคุณการกระทำของคุณเลยจริงๆ ที่ทำให้ธุรกิจของฉันถูกตีค่าระดับความอันตรายจนกลายเป็นสีเหลือง” ดู่กู้ฉงกล่าวหยอกด้วยรอยยิ้ม
“ต้องขอโทษด้วยนะ คุณอยากจะให้ฉันช่วยชดใช้ให้ไหม?” กู่ฉิงซานกล่าว
“เงินน่ะมันเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย แต่ในวันนี้ฉันค่อนข้างมีความสุขมากทีเดียว –ตอนนี้คงต้องขอตัวก่อน แล้วพวกเราค่อยมาติดต่อกันในภายหลัง” กล่าวจบ ดู่กู้ฉงก็เดินตรงออกจากคาสิโนไป
“เป็นหญิงสาวที่ไม่เลวเลยจริงๆ แต่น่าเสียดายที่เธอดันเป็นพวกมีแนวโน้วว่าชอบคนซาดิสต์” ซางหยิงฮ่าวจ้องมองแผ่นหลังของเธอและเอ่ยงึมงำ
กู่ฉิงซานเดินเข้าไปหาบริกร
และบริกรก็เห็นถึงกระบวนการทั้งหมดที่พึ่งเกิดขึ้น เขาจึงตอบสนองทันที และนำทางทั้งสองกลับเข้าไปยังลิฟต์
บริกรกดปุ่มและลิฟต์ก็เริ่มขยับ
‘ติ๊ง’
ลิฟต์ได้ลงมาจนถึงชั้นล่างสุด
ประตูลิฟต์เปิดออก
เบื้องหน้าประตูลิฟต์คือกรงอันมืดมิดที่ทอดยาวออกไป มิอาจมองเห็นถึงสิ่งที่อยู่ภายในได้
สามารถได้ยินแค่เพียงเสียงอันน่าเขย่าขวัญที่หากใครได้ฟังคงถึงขั้นขนลุกตั้งชัน ดังสะท้อนออกมาจากในกรง
กู่ฉิงซานสามารถได้ยินถึงเสียงภายในกรงอย่างชัดเจน มันคือเสียงของอะไรสักอย่างที่กำลังกัดแทะกระดูกอยู่
เสียงชนิดนี้ เมื่อได้ยินมันแม้กระทั่งซางหยิงฮ่าวก็ยังรู้สึกไม่สบายใจ
มีเพียงกู่ฉิงซานที่กลับมาจากวันสิ้นโลกเท่านั้น ที่รู้จักเสียงประเภทนี้ และรู้ดีว่าเจ้ามอนสเตอร์มันกำลังกระทำสิ่งใด
บริกรหันหลังกลับและกล่าว “ผมจำเป็นต้องทำการยืนยันเสียก่อน สรุปแล้วท่านสุภาพบุรุษทั้งสองต้องการรางวัลใหญ่แบบใดกัน?”
สีหน้าของกู่ฉิงซานดูมีเลือดฝาดขึ้น เขาเอ่ยอย่างจริงจัง “จริงสิ เดิมทีพวกเรามาที่นี่เพื่อต้องการรางวัลใหญ่นี่นา”
ซางหยิงฮ่าวพยักหน้า
บริกรกล่าว “เช่นนั้นโปรดตามกระผมมา ทว่าท่านสุภาพบุรุษทั้งสองจะต้องระมัดระวังตัวให้ดี ที่แห่งนี้มีสิ่งแปลกๆ มากมาย โปรดอย่าแตะต้องมันโดยไม่ยั้งคิดเด็ดขาด”
ระหว่างกล่าว เขาก็เดินนำทางไป
ทั้งสองติดตามไปอย่างใกล้ชิด ต่างฝ่ายต่างก็ไม่มีใครเอ่ยอะไรออกมา เดินไปได้สักพักก็มาถึงกรงสุดท้าย
ที่นี่ถูกติดตั้งไว้โดยโครงสร้างเหล็กอย่างมิดชิด หากบนผนังไม่มีแถวปุ่มสวิตช์อยู่ ก็คงไม่มีใครรู้ว่าตรงส่วนนี้ก็เป็นกรงขังเช่นกัน
บริกรก้าวไปเบื้องหน้าและกดปุ่มบนผนัง
โครงสร้างเหล็กหนาแยกออกจากกันเป็นสองฟากฝั่ง พร้อมกับหมอกไอเย็นที่วูบสวนออกมา ปะทะกับใบหน้าจนเกือบชา
“เดิมทีมันเคยเป็นชิ้นส่วนที่ใหญ่มาก แต่ทั้งหมดไม่เน่าก็เสียหายไปแล้ว ทางเราไม่สามารถหาวิธีอื่นในการรักษาสภาพของมันเอาไว้ได้ จึงทำได้เพียงเท่านี้” บริกรกล่าวเสริม
กู่ฉิงซานเดินเข้าไป และทั้งร่างก็พลันรู้สึกหนาวสะท้าน
ภายในห้องรักษาอุณหภูมิ ปรากฏชั้นน้ำแข็งขนาดใหญ่ตั้งอยู่
ภายในชั้นน้ำแข็ง มีชิ้นเนื้อขนาดยักษ์ถูกแช่เอาไว้
เนื้อค่อยๆหดตัวลงอย่างช้าๆ หลังจากนั้นครู่หนึ่งมันก็ขยายตัวขึ้นอีกครั้ง
“ของดีนี่นา”
กู่ฉิงซานกล่าวชื่นชม
เมื่อซางหยิงฮ่าวกับบริกรได้ฟัง พวกเขาต่างก็หันมามองหน้ากันด้วยความสงสัย
กู่ฉิงซานไม่สนใจทั้งสอง เขาเดินเข้าไปก่อนจะวนรอบชั้นก้อนน้ำแข็งขนาดใหญ่รอบแล้วรอบเล่า เพื่อยืนยันถึงคุณค่าของก้อนเนื้อ
นี่คือหัวใจอของมอนสเตอร์เอกภพ แต่มันเป็นเพียงแค่ส่วนที่เล็กมากๆ ส่วนหนึ่งเท่านั้น
หากจะวัดคุณค่าของมอนสเตอร์เอกภพ บริเวณที่อยู่ส่วนนอกหรือชั้นผิวภายนอกจะมีคุณค่าต่ำที่สุด ส่วนที่มีประโยชน์จริงๆก็คือส่วนเนื้อ และกระดูก สำหรับชิ้นส่วนที่มีคุณค่ามากที่สุดก็คืออวัยวะภายใน
และในบรรดาอวัยวะภายใน หัวใจถูกนับว่ามีคุณค่ามากที่สุด
กู่ฉิงซานไม่สนไม่แคร์สายตาผู้คนรอบข้าง เขาคว้าดาบออกมา ก่อนจะตัดเศษส่วนหัวใจของมอนสเตอร์เอกภพอย่างรวดเร็ว
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับดาบพิภพ ชั้นน้ำแข็งหนาก็ถูกหั่นจนแลดูราวกับเป็นเต้าหู้บางๆ
ไม่ว่าดาบพิภพจะกวาดไปที่ใด ชั้นน้ำแข็งก็จะปริแตกออกอย่างง่ายดาย
บริกรที่เฝ้ารออยู่ข้างๆ ดูเหมือนจะเตรียมพร้อมเอาไว้อยู่แล้ว เขาหยิบกระเป๋าขนาดเล็กที่ภายในมีกล่องโลหะออกมา
กู่ฉิงซานนำเศษชิ้นส่วนหัวใจของมอนสเตอร์เอกภพไปวางใส่พร้อมกล่าวขอบคุณเขาด้วยรอยยิ้ม
บริกรโค้งคำนับเล็กน้อยและเอ่ยปากกล่าว “ท่านคือเจ้านายคนใหม่ของเรา ดังนั้นเราจึงย่อมสมควรกระทำทุกสิ่งอย่างที่ท่านต้องการหรืออยากให้พวกเราทำ”
บริกรได้นำทั้งสองมายังกรงเหล็กหนา ที่มิดชิดอีกห้องและกล่าว
“นี่คือรางวัลใหญ่ชิ้นที่สอง คนประหลาดคนหนึ่ง”
“นี่เราจำเป็นต้องรับรางวัลแปลกๆ แบบนี้ด้วยเหรอ” ซางหยิงฮ่าวอดไม่ได้ที่จะเอ่ยขัด
“แน่นอนว่าไม่”
กู่ฉิงซานได้สิ่งที่ต้องการมาแล้ว ดังนั้นเขาจึงไม่จำเป็นต้องสนใจสิ่งอื่นใดอีก ทว่าจู่ๆ เขาก็ต้องเปลี่ยนความคิดไป
ความกังวลที่ซ่อนอยู่ในส่วนลึกของหัวใจของเขา ขณะนี้มันได้วาบผ่านออกมาอย่างกะทันหัน
กู่ฉิงซานพยายามต่อสู้กับความตื่นตระหนกจนปรากฏชั้นเหงื่อเย็นบางๆ บนแผ่นหลังเขา
กู่ฉิงซานหันมาให้ความสนใจกับเจ้าสิ่งนี้ทันที
จะมีบ้างเป็นบางครั้งที่เหล่าผู้ฝึกยุทธจะถูกกระตุ้นโดยความรู้สึกอะไรบางอย่าง และนั่นหมายถึงว่ากำลังจะมีเรื่องสำคัญเกิดขึ้น
“รอก่อน” เขากล่าว “ขอให้ฉันได้ลองดูมันก่อน”
เมื่อได้ฟัง บริกรก็เปิดประตู
กู่ฉิงซานและซางหยิงฮ่าวเกิดความรู้สึกอยากรู้อยากเห็นขึ้นในตอนนี้
ก่อนหน้านี้บริกรกล่าวว่ารางวัลที่สองคือชายแปลกๆ
แล้วมันแปลกอย่างไร?
ผนังเหล็กหนาแยกออก และเลื่อนเปิดไปทางฝั่งเดียวอย่างช้าๆ
สิ่งที่อยู่ภายในทำให้กู่ฉิงซานต้องตกตะลึง
นี่มันต่างกับเมื่อครู่ ที่เป็นห้องรักษาอุณหภูมิขนาดกว้างใหญ่ ทว่าตรงส่วนนี้กลับเป็นเพียงพื้นที่แคบๆ เท่านั้น
เบื้องหน้าพวกเขา ปรากฏชายชราที่ผ่ายผอม ทั้งมือ เท้า และคอล้วนถูกล็อกตรึงไว้ด้วยห่วงเหล็ก ยึดติดแน่นอยู่บนผนังเหล็ก
ตรงช่องท้องของชายชราถูกเปิดออก และภายในก็ว่างเปล่าโดยสมบูรณ์ อวัยวะภายในทั้งห้าของเขาได้หายไป
ทว่าหน้าอกของเขากลับยุบๆ พองๆ เล็กน้อย แสดงให้เห็นว่าเขายังคงหายใจอยู่
สองตาของชายชราปิดสนิท ดูเหมือนว่าเขากำลังนอนหลับอยู่
“นั่นเขายังมีชีวิตอยู่จริงๆ น่ะหรือ?” สีหน้าของซางหยิงฮ่าวเริ่มแปรเปลี่ยนไป
“ใช่แล้ว เขายังมีชีวิตอยู่” บริกรตอบ
ซางหยิงฮ่าวอ้าปากค้าง และไม่อาจเอ่ยคำใดออกมาได้อยู่เนิ่นนาน
ในฐานะที่เป็นถึงชนชั้นสูงจากเก้าตระกูลใหญ่ ดังนั้นเขาจึงได้พบเห็นสิ่งแปลกประหลาดต่างๆมามากมายตั้งแต่ยังเยาว์วัย
แต่สิ่งเหล่านั้นมันไม่มีความหมายใดๆ เลยหากเทียบกับสิ่งที่อยู่เบื้องหน้าเขาในตอนนี้
ชายที่สูญเสียอวัยวะภายในทั้งห้า แต่กลับยังคงสามารถดำรงชีวิตได้อยู่
หากสาเหตุเกิดจากการกลายพันธุ์ทางพันธุกรรมในระดับดีเอนเอแล้วล่ะก็ ตราบใดที่สามารถบันทึกและสกัดชิ้นส่วนดีเอนเอที่สอดคล้องกันได้ มนุษยชาติก็จะสามารถศึกษาถึงความลี้ลับของการเป็นอมตะได้!
ในมุมมองทางการแพทย์และชีววิทยา นี่นับว่าเป็นเหตุการณ์ครั้งสำคัญในประวัติศาสตร์ของอารยธรรมมนุษย์!
........................................