ตอนที่ 31 การแยกจาก
ค่ำคืนได้ผ่านพ้นไป ทิศตะวันออกเริ่มทอประกายแสงสีขาว
ไม่มีฝนตกในวันนี้
ดวงอาทิตย์ค่อยๆ ลอยขึ้นอย่างช้าๆ แขวนเด่นอยู่กลางฟ้าที่ไร้ซึ่งมวลเมฆ
ทันใดนั้นร่างของกู่ฉิงซานก็ปรากฏขึ้นในป่าทึบ
ศพของมอนสเตอร์งูยังคงนอนอยู่ใต้ฝ่าเท้าของเขา ส่วนห่างออกไปกว่าสองร้อยเมตรยังคงปรากฏลูกศรเสียบลึกอยู่บนกิ่งไม้
หนึ่งวันในต่างโลก หากเทียบกับโลกจริงแล้วผ่านไปเพียงแค่หนึ่งชั่วโมง ทว่าเมื่อออกจากโลกจริงกลับเข้ามาสู่ต่างโลก ห้วงเวลากลับผ่านไปเพียงชั่ววินาทีเท่านั้น
การไหลของเวลาช่างแปลกประหลาดเสียจริง
กู่ฉิงซานตรวจสอบถุงสัมภาระ และพบว่าเลือดงู เขี้ยวงู และของรางวัลที่ได้จากการต่อสู้ถูกยัดลงไปจนเกือบเต็ม
สองสิ่งที่มีค่ามากที่สุดจากมอนสเตอร์งูก็คงไม่พ้นถุงน้ำดีของมัน ที่เขากินไปแล้วหนึ่ง ส่วนอีกหนึ่งเก็บไว้ในถุงสัมภาระ และหากก้มลงมองจะพบว่ามันมักจะเปล่งประกายแสงระยิบระยับออกมาเป็นบางครั้ง
นี่เป็นสิ่งที่ดี จนถึงตอนนี้กู่ฉิงซานก็ยังรู้สึกว่าปราณและเลือดลมทั่วร่างของเขากำลังเติบโตอย่างรวดเร็วจนเกือบจะเอื้อมไปถึงระดับนักสู้เก่งๆ คนอื่นๆ แล้ว
หรือว่าฉันกำลังจะก้าวเข้าสู่หวูเต๋า วิถียุทธ?
กู่ฉิงซานตระหนักได้ถึงบางสิ่ง และกำลังคาดเดาไปต่างๆ นาๆ
ลืมมันเถอะ เวลานี้สมควรที่จะกลับไปยังค่ายทหารก่อนเป็นอย่างแรก
วันนี้เขายุ่งจนไม่มีเวลากินอะไรเลย ไว้ไปกินอาหารฝีมือจ้าวหลิวซักมื้อมันก็คงไม่แย่เหมือนกัน
กู่ฉิงซานเก็บอุปกรณ์ทั้งหมดอย่างรวดเร็ว และรีบเดินกลับไปตามเส้นทางเดิม
เขาไม่ได้หยุดระหว่างทางแม้จะพบเจอกับมารอสูร เขาก็เลือกที่จะหลบเลี่ยง
ฆ่ามารอสูรในช่วงเวลากลางคืน แล้วกลับสู่โลกจริงไปวิจัยและพัฒนาเกราะรบขับเคลื่อน จากนั้นก็ได้พบกับแอนนา ต่อสู้กับยอดปรมาจารย์นักสู้ ได้เจอประธานาธิบดีและเทพนักสู้ตัวเป็นๆ ที่ปกติได้เห็นเพียงแค่ในทีวีเท่านั้น ต้องเผชิญกับเรื่องราวมากมายในวันเดียว ทั้งกายและใจของเขาในตอนนี้จึงรู้สึกอ่อนล้าเล็กน้อย
มันคงจะดีกว่าถ้าใช้เวลาพักผ่อนในต่างโลก
เมื่อเขากลับมาถึงค่ายทหาร ก็พบกับจ้าวหลิวกำลังยืนอยู่หน้าทางเข้าค่าย เฝ้ารอให้เขากลับมา
เมื่อสายตาของเขาเห็นร่างของกู่ฉิงซาน จ้าวหลิวก็กล่าวอย่างตื่นตระหนก “พี่กู่ แย่แล้ว!”
“เกิดอะไรขึ้น?”
“เมื่อคืนมีพวกเผ่ามารจำนวนมากปรากฏตัวขึ้น หนึ่งตัวผ่านไป ก็มีอีกหนึ่งตัวทยอยตามมาเรื่อยๆ มาเรื่อยๆ ไม่หยุดเลย พวกมันมากันเต็มไปหมด ไม่มีทีท่าว่าจะสิ้นสุด!”
“ใจเย็นๆ ก่อน ลองเล่ารายละเอียดให้ฉันฟังหน่อยจะได้ไหม?”
กู่ฉิงซานจับจ้องอีกฝ่ายและเอ่ยถาม
จ้าวหลิวดูจะไม่ค่อยมีความรู้เกี่ยวกับกองกำลังทางทหารของเผ่ามาร เขาอ้ำๆ อึ้งๆ อยู่นาน ก็ไม่อาจกล่าวอธิบายออกมาให้เข้าใจได้
กู่ฉิงซานจึงต้องเอ่ยถามอย่างอดทน เขาถามออกไปสามสี่คำถาม และให้จ้าวหลิวค่อยๆ ย้อนนึกตอบทีละคำถาม
มันต้องใช้เวลากว่าครึ่งชั่วโมง กู่ฉิงซานจึงกระจ่างถึงเรื่องที่เกิดขึ้น
เมื่อคืนวาน กองทัพมารที่ปรากฏตัวขึ้นมิใช่กองกำลังใหญ่ แต่เป็นเพียงกองกำลังพิเศษกลุ่มเล็กๆ
กองกำลังเหล่านั้นสวมอุปกรณ์ชั้นดี ฟังจากคำพูดของจ้าวหลิว “มันดูน่ากลัวและดุร้ายยิ่งกว่ามอนสเตอร์ที่ได้พบเจอด้วยกันครั้งล่าสุดเสียอีก”
กลุ่มกองทัพมารขนาดย่อมพุ่งผ่านหน้าทางเข้าค่ายทหารไปอย่างรวดเร็ว พริบตาเดียวก็จากไปไกลลิบ
เพื่อให้แน่ใจว่าการเคลื่อนพลของฝั่งตนจะถูกอำพรางและคล่องแคล่ว กองทัพมารจึงส่งมาเพียงกองกำลังขนาดเล็กและกระทำการอย่างเงียบเชียบ
หากไม่ใช่เพราะว่าในคืนนั้น จ้าวหลิวลุกขึ้นมาเข้าห้องน้ำ เขาก็คงจะไม่รู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นได้เลย
หลังจากที่ฟังเรื่องราวของจ้าวหลิว กู่ฉิงซานก็ระลึกย้อนไปถึงรามสูรไร้พักตร์และมารกระหายเลือดเมื่อวาน ในหัวใจของเขาก็ยิ่งสับสนมากขึ้น
สิ่งใดกันที่ทำให้กองทัพมารถึงกับต้องเคลื่อนพลทหารชั้นยอดอยู่บ่อยครั้งเช่นนี้?
“ปีนี้เป็นปีสุดท้ายของราชวงศ์เฉิงใช่ไหม”
“ใช่แล้ว นี่คือปีสุดท้ายของราชวงศ์เฉิง” จ้าวหลิวพยักหน้า
กู่ฉิงซานรู้สึกสับสนยิ่งกว่าเดิม
นี่เป็นช่วงแรกที่สงครามที่แท้จริงกำลังจะเริ่มปะทุขึ้น เผ่ามารและมนุษยชาติต่างฝ่ายต่างทดสอบ เฝ้าจับตามองกันและกันอยู่ ทั้งสองฝั่งจึงไม่สมควรยอมส่งกองกำลังชั้นยอดออกมาจนกว่าจะสู้กันจนถึงเลือดหยดสุดท้าย
เผ่ามารที่ทรงพลังเหล่านี้จะปรากฏตัวขึ้นก็ในช่วงท้ายสงคราม ทว่าปัจจุบันพวกมันกลับปรากฏตัวขึ้นทั้งหมด
กู่ฉิงซานเอ่ยงึมงำ ก่อนที่จะย้อนคืนความทรงจำอย่างจริงจัง
เขารู้สึกได้ถึงสัญญาณของลางร้าย
ในชีวิตก่อนหน้าของเขา เขาเป็นถึงผู้บัญชาการการรบของสหพันธ์แห่งชาติประจำมณฑลหัวเสี่ย และยังเป็นคนแนะนำแนวทางการรบเชิงกลยุทธ์ตามคำสั่งของสหพันธ์กองทัพโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเคลื่อนไหวที่ผิดปกติทางทหาร
ทุกๆ การต่อสู้ภายในเกม เขาได้ศึกษามันอย่างรอบคอบและจริงจัง
ก่อนหน้านี้ที่พึ่งถูกส่งข้ามโลกมา พื้นฐานฝึกยุทธของเขายังคงต่ำเกินไป แถมยังได้รับบาดเจ็บ ดังนั้นกู่ฉิงซานจึงมุ่งความสนใจไปในด้านการอัปเลเวลตนเองซะส่วนใหญ่
ทว่าตอนนี้สถานการณ์ได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว เขาครุ่นคิดอีกครั้งอย่างรอบคอบ คิดในมุมมองเหมือนดั่งตอนที่ตนอยู่ในฐานะผู้บัญชาการการรบเชิงกลยุทธ์
กู่ฉิงซานละทิ้งเรื่องราวรบกวนต่างๆ ทุกอย่างไว้เบื้องหลังเขา
และเริ่มต้นเรียงลำดับความคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างจริงจัง
เนื่องจากเผ่ามารไม่ได้ส่งกองทัพขนาดใหญ่ออกมา แสดงว่าเรื่องที่พวกมันกำลังทำอยู่แน่นอนว่าย่อมไม่ใช่เรื่องราวที่เกิดขึ้นในสนามรบ
ในกรณีนี้ให้ตัดเรื่องที่เกี่ยวข้องกับสงครามออกไปได้เลยโดยตรง
ดังนั้น หรือว่าจะเป็นการลอบโจมตี?
กู่ฉิงซานหลับตาลง และร่างแผนภาพขึ้นในจิตใจของเขา
ค่ายทหารที่เขาอยู่ในเวลานี้ตั้งอยู่บริเวณแนวหน้า และขณะนี้พื้นที่โดยรอบก็ได้ทรุดโทรมลงไปจนหมดแล้ว
หรือว่าในระแวกใกล้เคียง มีที่ตั้งของมนุษยชาติที่คุ้มค่าพอที่จะส่งกองกำลังชั้นยอดอันทรงพลังของเผ่ามารจำมาโหมโจมตีอย่างเต็มกำลัง?
แต่ที่ตั้งของมนุษยชาติที่ใกล้ที่สุดก็อยู่ห่างจากที่นี่ไปตั้งพันลี้
มันไม่นับว่ามีที่ตั้งของมนุษยชาติที่คุ้มค่าพอที่จะทุ่มกำลังขนาดนี้ได้เลย
ฉะนั้น กรณีเรื่องอย่างการลอบโจมตีจึงถูกตัดออกไป
หลังจากที่ทั้งสองกรณีได้ถูกตัดออกไป กู่ฉิงซานก็ยิ่งรู้สึกวิตกกังวลมากขึ้น
เป็นไปได้ไหมว่ามันอาจจะเป็นการลอบสังหารตัวบุคคล?
กู่ฉิงซานครุ่นคิดอย่างเงียบๆ
ปีนี้ในประวัติศาสตร์ ปรากฏผู้ฝึกยุทธระดับสูงของมนุษยชาติถูกฆ่าตายในการต่อสู้
ด้วยเหตุนี้เอง ที่เป็นจุดเริ่มต้นการปะทุขั้นแตกหักของสงครามอย่างฉับพลัน! หรือว่าจะมีผู้ฝึกยุทธคนสำคัญของมนุษยชาติกำลังจะถูกเผ่ามารลอบสังหารลงที่นี่?
ในตอนนั้นเอง ชื่อๆ หนึ่งข้ามผ่านเข้ามาในจิตใจของกู่ฉิงซาน
เขาได้สติกลับคืนมา และพยายามเค้นความทรงจำอย่างรวดเร็ว
ทันใดนั้น กู่ฉิงซานก็นึกได้ถึงคนสองคน
ทั้งสองเป็นตัวตนที่ทำให้ผู้คนต้องตื่นตะลึง!…การตายของทั้งสองก่อให้เกิดความสูญเสียขั้นร้ายแรง ชนิดที่ว่าได้ย้อมประวัติศาสตร์จนกลายเป็นสีดำหมึก!
นักประวัติศาสตร์หลายคนต่างก็กล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่า ตราบใดที่หนึ่งในสองคนนี้ไม่ได้ตายลงตั้งแต่ช่วงต้นของสงคราม มีแนวโน้มเป็นไปได้สูงว่าทิศทางของประวัติศาสตร์จะเปลี่ยนไป
กู่ฉิงซานถามอย่างฉับพลัน “แล้ววันนี้ วันที่เท่าไหร่ เดือนอะไร?”
จ้าวหลิวเกาหัวและกล่าว “วันที่เจ็ดเดือนมิถุนายน”
หัวใจของกู่ฉิงซานเต้นครึกโครม นี่มันไม่น่าจะผิดพลาดแล้ว!
ผู้อาวุโสสูงสุดแห่งนิกายเฉิงเต๋า วิถีศักดิ์สิทธิ์ สุดยอดปรมาจารย์ผู้ใช้ค่ายกล กงซุนซี ก็ได้เสียชีวิตลงในวันที่ 8 เดือนมิถุนายน เช่นกัน
และในวันต่อมา นักบุญหญิงแห่งนิกายเทียนจี สวรรค์สูงส่ง หนิงเยว่ฉาน ก็ได้ตกตายลงตามกัน
กงซุนซีถูกรุมล้อมด้วยเผ่ามารกว่าสามล้านตน และเสียชีวิตลงในค่ายกลของเขา
ส่วนทางด้านหนิงเยว่ฉาน เธอได้ถูกรุมล้อมโดยห้ามารผู้ยิ่งใหญ่ และหลังจากที่ดิ้นรนต่อสู้ทั้งวันทั้งคืนสุดท้ายเธอก็ตายลง
ผู้เล่นหลายคนเมื่อเห็นบันทึกนี้ในประวัติศาสตร์ ก็ตกตะลึงจนเกือบถึงขั้นโง่งม นี่มันน่าทึ่งเกินไป ยากเกินกว่าที่พวกเขาจะเข้าใจได้
เนื่องเพราะค่ายกลหรือที่เรียกกันอีกอย่างว่าข่ายอาคมนั้น เป็นสถานๆ ที่ดีที่สุดในการหลบซ่อนและอำพราง มีโอกาสน้อยมาก หรืออาจเรียกได้ว่าโคตรซวยจึงจะถูกศัตรูพบเจอเอาได้
ในบรรดาตระกูลชั้นสูงและนิกายต่างๆ กงซุนซีนับได้ว่าเป็นผู้ใช้ค่ายกลระดับสูงสุด จนเกือบที่จะก้าวขึ้นไปอยู่ขั้นเดียวกันกับ ปรมาจารย์เต๋าเทวโลก!
ด้วยความสามารถในการจัดตั้งค่ายกลของเขา การที่ถูกเผ่ามารพบเจอ และต้องตกอยู่ภายใต้วงล้อมของศัตรูนับล้านโดยไม่คาดคิด นับว่าไม่สมเหตุสมผล
ส่วนการร่วงหล่นของนักบุญหญิงหนิงเยว่ฉานแห่งนิกายเทียนจี นับว่าเป็นเรื่องที่น่าเศร้าเป็นพิเศษ
ในโลกของผู้ฝึกยุทธ นิกายเทียนจีเป็นหนึ่งในนิกายใหญ่ที่ทรงอำนาจที่สุด หนิงเยว่ฉานไม่เพียงสามารถเข้าสู่นิกายได้ แต่เธอยังสามารถก้าวขึ้นสู่นักบุญหญิงได้ตั้งแต่วัยเยาว์ จึงไม่มีใครสงสัยเธอเลยในเรื่องพรสวรรค์โดยกำเนิด และพากันยกย่องเธอว่าเป็นผู้มีพื้นฐานวรุยทธโดดเด่นที่สุดในโลกของผู้ฝึกยุทธ!
เธอเป็นผู้หญิงที่แสนวิเศษและน่าตื่นตะลึง ทว่ากลับถูกรุมล้อมโดยห้ามารผู้ยิ่งใหญ่ ต่อสู้ทั้งวันทั้งคืน จนเหนื่อยล้าและเพลี่ยงพล้ำลงในที่สุด
ในช่วงระหว่างที่กำลังเกิดการต่อสู้ทั้งวันทั้งคืน ขอแค่เพียงได้รับข้อความจากเธอแม้เพียงสักเล็กน้อย บรรดายอดยุทธแห่งมนุษยชาติจะต้องออกไปช่วยเหลือเธออย่างแน่นอน
ทว่าจนกระทั่งเธอตกตายลง มนุษยชาติระดับสูงก็ยังไม่ได้รับข้อความจากเธอ พวกเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเธอได้ต่อสู้กับเผ่ามารยาวนานกว่าหนึ่งวันหนึ่งคืน!
มีผู้ฝึกยุทธผู้ยิ่งใหญ่คนหนึ่งเคยกล่าวยืนยันว่า หากกงซุนซีไม่ได้ตายลง เรื่องแพ้หรือชนะในสงครามคงไม่จำเป็นต้องกล่าวถึงเป็นครั้งที่สอง และหากหนิงเยว่ฉานไม่ได้ตายลง ขอเวลาเพียงไม่กี่ปีเธอจะต้องมีความสามารถมากพอที่จะต่อสู้กับเก้าราชันปีศาจโลกัลต์ได้อย่างแน่นอน เป็นตัวตนที่จะพลิกชะตากรรมของมวลมนุษยชาติ!
ทว่าน่าเสียดายที่นี่เป็นเพียงแค่คำกล่าวทางประวัติศาสตร์ มันไม่ได้เกิดขึ้นจริง สำหรับคนรุ่นต่อๆ มา คำกล่าวเหล่านี้ไม่มีความหมายใดๆ เลย
กู่ฉิงซานเดินกลับไปกลับมาอยู่หลายก้าว และครุ่นคิดเกี่ยวกับมัน
วันนี้เป็นวันที่เจ็ดเดือนมิถุนายน อีกสองวันหลังจากนี้ สองตัวตนระดับตำนานจะตกตายลง
คาดว่านี่คงจะเป็นเหตุผลที่กองทัพมารจัดระดมกำลังเคลื่อนพลทหารชั้นยอดขึ้น
สถานที่ๆ ร่วงหล่นของตัวตนระดับตำนานทั้งสองก็น่าจะเป็นตรงบริเวณ…
กู่ฉิงซานย้อนระลึกอยู่ในจิตใจของเขาอย่างเงียบๆ และไม่นานเขาก็สามารถจดจำได้ถึงตำแหน่งที่บันทึกเอาไว้ในประวัติศาสตร์
แน่นอนว่ามันอยู่ไม่ไกลจากที่แห่งนี้ ห่างออกไปเพียงแค่ราวๆ ไม่ถึงร้อยลี้ เท่านั้น
พอแน่ใจว่าใช่แน่ๆ แล้ว กู่ฉิงซานก็รู้สึกราวกับเห็นแสงสว่างวาบขึ้นในจิตใจ
หากทั้งสองตัวตนที่อันทรงพลังนี้ปรากฏตัวขึ้น แน่นอนว่าพวกเผ่ามารคงต้องเร่งทำการปิดล้อมอย่างบ้าคลั่ง
ทว่าการต่อสู้ปิดล้อมอันเข้มข้นรุนแรงระดับนี้ กู่ฉิงซานที่เป็นเพียงปราณปรับแต่งขั้นห้า คงไม่แม้แต่จะสามารถเข้าไปใกล้ได้
ขอแค่กองทัพมารที่เฝ้ารักษาการอยู่รอบนอก ก็เพียงพอแล้วที่จะคร่าชีวิตเขาได้อย่างง่ายดาย
สำหรับเขา สิ่งเดียวที่สามารถทำได้ก็คือ ใช้ประโยชน์จากโอกาสนี้หลบหนีกลับเข้าไปยังพื้นที่ๆ มนุษยชาติยังทรงอิทธิพลอยู่
ในขณะที่ความสนใจของเผ่ามารยังจดจ่ออยู่กับสองตัวตนระดับตำนาน ก็ใช้โอกาสนี้หลบหนีออกมาจากพื้นที่ของศัตรู!
กู่ฉิงซานตัดสินใจอย่างรวดเร็ว
ในกรณีดังกล่าว คุณจะสามารถหลบเลี่ยงอันตรายที่ร้ายแรงที่สุดได้ง่ายๆ โดยทำแค่เพียงหลบหนีออกไปยังทิศทางตรงข้าม
จากค่ายทหารแห่งนี้ไปยังที่ราบสูงนอกเมืองชายแดนของมนุษยชาติก็คงจะใช้เวลาซักราวๆ หนึ่งวันหนึ่งคืน
แม้นี่จะไม่ใช่เวลาสั้นๆ และยังอาจต้องพบเจอกับวิกฤตระหว่างทาง แต่มันก็ยังดีกว่า หากเทียบกับต้องตายลงในค่ายทหารที่กำลังจะล่มสลายนี้
ดังนั้น หากคุณต้องการที่จะรอดชีวิตไปให้ถึงที่หมาย จำเป็นต้องใช้ประโยชน์จากสองตัวตนระดับตำนานที่กำลังถูกเผ่ามารไล่ล่ารุมล้อมและรีบสับเท้าหนีไปให้ไวที่สุด!
กู่ฉิงซานยังไม่ได้พักผ่อน เขาสำรวจสิ่งต่างๆ บนร่างกายอย่างรวดเร็ว
เลือดงู ฟันงู ถุงน้ำดีงู ธนูกองทัพยังคงอยู่ในสภาพสมบูรณ์ไม่เสียหาย ลูกศรมีไม่มากนัก และในขณะที่เขากำลังจะเดินไปเติมเสบียงนั้นเอง
เขาก็พบกับเคียวรุ่นมาตรฐานที่ไร้ประโยชน์ แต่อย่างน้อยก็คงจะใช้แทนมีดได้หากต้องรับมือกับการต่อสู้ระยะประชิด อย่างน้อยก็ยังมีอาวุธ
“เก็บของแล้วไปจากที่นี่กันเถอะ”
กู่ฉิงซานเก็บข้าวของและกล่าวกับจ้าวหลิวเพียงไม่กี่คำ
“ไป? ไปไหน?” จ้าวหลิวกล่าวด้วยดวงตาเบิกกว้าง
ในมือของเขากำลังถือเนื้อมารอสูรที่พึ่งหมัก และกำลังจะนำมันไปแขวนตากแห้งใต้ชายคาบ้าน
“แน่นอนว่าหลบหนีออกไปจากพื้นที่ของศัตรูแห่งนี้ และมุ่งหน้าไปยังพื้นที่ราบสูงของมนุษยชาติ”
จ้าวหลิวกล่าวอย่างลังเล “แต่ว่า…พวกเราพบศิลาวิญญาณแล้วนะ ข่ายอาคมอำพรางก็กลับมาเป็นปกติและคงอยู่ได้ไปอีกซักพัก...”
กู่ฉิงซาน “ข่ายอาคมอำพรางนั้นบดบังได้สายได้เพียงแค่ศัตรูที่อยู่ในระดับต่ำกว่าแก่นทองคำเท่านั้นแหละ หากเป็นตัวที่เหนือกว่าระดับแก่นทองคำ พวกมันจะสามารถมองเห็นข่ายอาคมนี่ได้”
เขากล่าว “เมื่อวันก่อนพวกเราได้พบเจอกับมอนสเตอร์ที่เรียกว่ารามสูรไร้พักตร์ใช่ไหม อันที่จริงมันก็มองเห็นพวกเรา แต่เพราะมันมีภารกิจติดตัวอยู่ และพวกเราก็เป็นเพียงมดปลวกตัวเล็กๆ ในสายตาของมัน การดำรงอยู่ของพวกเราจึงถูกมันละความสนใจไปโดยสมบูรณ์”
จ้าวหลิวถอยไปหนึ่งก้าว ก่อนจะถอยอีกก้าว เขาส่ายหัวและกล่าว “พี่กู่ ทำไมนายถึงต้องพูดให้คนอื่นหวาดกลัวด้วย โกหกฉันแบบนี้มันหมายความว่าอย่างไร”
กู่ฉิงซานอธิบายอย่างอดทน “ถ้าฉันตัดสินใจไม่ผิด พื้นที่แห่งนี้จะกลายเป็นสนามรบในไม่ช้า หากพวกเราต้องการจะมีชีวิตรอด พวกเราจะต้องรีบออกไปก่อน”
จ้าวหลิว “นายไม่ได้ออกไปล่าสัตว์หรอกหรือ ทำไมนายถึงรู้เรื่องพวกนี้?”
กู่ฉิงซาน “ดูจากการระดมกองทัพมารก็รู้แล้ว ใจเย็นๆ มั่นใจได้เลยว่าเรื่องนี้ฉันไม่ผิดพลาด”
จ้าวหลิวยังไม่หยุดส่ายหัว “ไม่! นี่มันไม่ถูกต้อง นายจะต้องคิดผิด ข้างนอกมันอันตรายเกินไป ถ้าออกไปแล้วก็อาจจะถูกฆ่าได้ตลอดเวลา! ถ้านายจะไปก็ไปเถอะ ฉันไม่ไปหรอก!”
กู่ฉิงซานคิดถึงเรื่องเม็ดยาฟื้นฟูที่อีกฝ่ายมอบให้ ก่อนจะถอนหายใจ และเอ่ยแนะนำ “ไปกับฉัน ที่นี่ไม่ปลอดภัย หากศัตรูเลือกที่จะโจมตี แค่วูบเดียวนายก็ตายแล้ว”
จ้าวหลิวส่ายหัว ทั้งร่างของเขาสั่นกึกๆ ราวกับเสียงกลอง พลางเอ่ย “ข้างนอกมันอันตราย ภายในค่ายมีข่ายอาคม อยู่ที่นี่จะปลอดภัยมากกว่า นอกจากนี้กองกำลังมนุษยชาติจะต้องกลับมาที่นี่ไม่ช้าก็เร็ว”
กู่ฉิงซานยังคงกล่าวชักชวนอีกสองสามประโยค แต่เมื่อทัศนคติของจ้าวหลิวยังคงเด็ดเดี่ยว แม้กระทั่งสายตาที่อีกฝ่ายมองมาก็ยังแฝงไปด้วยความโกรธและความเกลียด กู่ฉิงซานก็ล้มเลิกความคิดไป
“ฉันแค่หวังว่านายจะเข้าใจ”กู่ฉิงซานกล่าวอย่างจริจัง “เมื่อเผ่ามารมาถึง หากนายคิดสำนึกเสียใจมันคงจะสายไปแล้ว”
จ้าวหลิวก้มหน้าลง แต่ไม่เอ่ยคำใดออกมา
กู่ฉิงซานเห็นเช่นนั้นก็หมุนตัวกลับอย่างหมดหนทาง และออกจากค่ายทหารไปโดยไม่แม้แต่จะเหลียวหลังกลับมาอีกเลย
กระทั่งร่างของกู่ฉิงซานเดินหายลับไปจนไม่เห็นแม้กระทั่งเงา จ้าวหลิวจึงถ่มน้ำลายออกมาอย่างแรง
“แบร่! อันตรายที่ร้ายแรงที่สุดคือการออกไปข้างนอกตะหาก ทหารที่ทิ้งค่ายแห่งนี้ไป ทุกคนตายลงในปากเผ่ามารกันทั้งนั้น”
“ทุกคนลงไปนอนอยู่ในบ่อกักศพกันหมดแล้ว เหลือแต่ฉัน! เหลือแต่ฉันที่ยังมีชีวิตอยู่!”
“เดิมทีที่ช่วยแกเพราะคิดว่าแกเป็นคนจากกองกำลังเสริม แต่ผลลัพธ์กลับกลายเป็นเพียงแค่ทหารเดนตายที่เหลือรอดเพียงลำพังจากแนวหน้า คอยดูสักสองสามวันเถอะ เดี๋ยวแกจะต้องกลับมาง้อบิดา!”
“ไอ้ตัวตลก แกมันไอ้ตัวตลกที่คิดจะพาตัวเองไปสู่ความตาย ไม่เพียงเท่านั้นกลับยังมาสร้างความสับสนให้แก่บิดาอีก!”ห
จ้าวหลิวเดินกลับไปยังที่พักพร้อมกับก่นด่าไปตลอดทาง
.......................................