ตอนที่ 32 จุดเริ่มต้นสู่ความตาย
กู่ฉิงซานวิ่งวนอยู่ในป่าจนกระทั่งเขาได้พบกันพื้นที่เปิดโล่ง จึงค่อยๆ ชะลอฝีเท้าลง ก่อนจะข้ามผ่านมันอย่างระมัดระวัง
แต่เมื่อวิ่งออกไปอีกเพียงไม่กี่สิบจั่ง เขาก็พบกับพื้นที่เปิดโล่งอยู่เบื้องหน้าอีกครั้ง
คราวนี้กู่ฉิงซานเลือกที่จะเดินอ้อม
พออ้อมไปอีกเส้นทางหนึ่ง ขณะที่ตัดกิ่งไม้หนาทึบไประหว่างทาง พื้นที่เปิดโล่งก็ปรากฏสู่สายตาของเขาอีกครั้ง
ไกลออกไปจนสุดสายตา จะพบกับพื้นที่เปิดโล่งเต็มไปหมด
กู่ฉิงซานถอนหายใจเฮือกหนึ่งก่อนจะกัดฟันแล้วกระโดดขึ้นไปบนที่สูง
เขายกธนูกองทัพขึ้นแล้วยิงลูกศรลงไปยังพื้นดิน
ศรเจาะลึกลงไป จนเหลือเพียงแค่ส่วนปลายขนนก
และไม่ปล่อยให้เขาต้องรอนาน จู่ๆ ใบหน้าขนาดใหญ่ราวๆ สนามเด็กเล่นก็ผุดขึ้นมาจากพื้นที่เปิดโล่ง
ใบหน้านั้นถุยลูกศรออกมา และจ้องมองไปยังกู่ฉิงซานพลางเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงทุ้มลึกอย่างช้าๆ “เจ้า…ทำไม…ถึงรู้…ว่าข้า…อยู่ที่นี่…”
กู่ฉิงซานมองสวนกลับไปและกล่าว “ดินบริเวณนี้มันดูใหม่เกินไป”
“ใหม่…หมายความว่าอะไร?” ใบหน้าที่ผุดขึ้นมาเผยให้เห็นถึงความสับสน
มันคือมารที่ ‘ซ่อนเร้น’ อยู่ในที่แห่งนี้ มีชื่อเรียกว่า ‘มารเคลื่อนพิภพ’
ตั้งแต่เกิดมามันก็สามารถต้านทาน เทคนิคมนตราและธาตุทั้งห้าได้ในระดับหนึ่ง หากเป็นผู้ฝึกดาบที่มาพบเจอกับมัน ป่านนี้คงถูกลากลงไปใต้ดินแล้ว
‘ซ่อนเร้น’ นับว่าเป็นหนึ่งในพลังศักดิ์สิทธิ์ที่มีประสิทธิภาพยิ่ง นอกจากนี้พวกมันบางตัวยังมีความเข้าใจเกี่ยวกับความสามารถทางวิญญาณอันบริสุทธิ์ได้อย่างลึกซึ้งอีกด้วย
มารเคลื่อนพิภพเรียกได้เลยว่าแทบจะอยู่ยงคงกระพัน ในการสู้รบระหว่างมนุษยชาติมันทำให้ผู้ฝึกยุทธมากมายต่างพากันปวดหัวไปตามๆ กัน
กระทั่งเมื่อไม่นานมานี้ ผู้เล่นพึ่งจะค้นพบว่ามันมีจุดอ่อนร้ายแรงอยู่อย่างหนึ่ง และนั่นก็คือสมองของมันไม่ค่อยจะดีนัก
ไม่ว่าจะเป็นคำกล่าวของใครก็ตาม หากคำกล่าวนั้นสามารถกระตุ้นความสนใจของมารเคลื่อนพิภพได้ มันก็จะเชื่อคำพูดของเขา
กู่ฉิงซานกล่าว “แกควรจะเอาดินจากที่ๆ แกจากมาด้วย และกลบๆ เอาไว้ข้างบน สีบนร่างกายแกจะได้สอดคล้องกับสีดินบนพื้น”
เขากล่าวต่อ “ถ้าหากเป็นในกรณีนั้น ฉันก็จะหาแกไม่พบ ไม่ใช่แค่เพียงฉัน แต่ไม่ว่าใครก็จะไม่มีทางหาแกพบ”
“จริงๆ หรือ…?”
“จริงๆ หรือ…?”
“จริงๆ หรือ…?”
“จริงๆ หรือ…?”
เสียงเดียวกันนับไม่ถ้วนได้ดังขึ้น
กู่ฉิงซานยังคงใจเย็น เขายืนนิ่งอยู่บนกิ่งไม้และหันไปมองรอบๆ
ใบหน้าขนาดใหญ่ค่อยๆ ผุดขึ้นมาจากพื้นดิน สีหน้าของพวกมันดูตื่นเต้นเล็กน้อย ทุกสายตาจับจ้องมายังกู่ฉิงซาน
ใบหน้านับไม่ถ้วนผุดขึ้นมาจนเรียกได้ว่าแทบจะครอบคลุมทั้งภูเขา
นี่คือกองทัพมารเคลื่อนพิภพ กองกำลังหลักของเผ่ามาร!
แม้ว่ารามสูรไร้พักตร์จะทรงพลัง แต่ด้วยจำนวนที่น้อยจนเรียกได้ว่าขาดแคลน ทำให้การจะเรียกใช้มันจะต้องเป็นช่วงเวลาจำเป็นที่จะใช้สังหารศัตรูเท่านั้น แต่นี่อีกฝ่ายถึงขั้นส่งแม้กระทั่งกองทัพเดนตายอย่างมารเคลื่อนพิภพมาด้วยนี่มัน…
“แน่นอนว่ามันเป็นความจริง จะไม่มีใครสามารถหาแกพบ” กู่ฉิงซานมองไปรอบๆ ก่อนจะหัวเราะเสียงดัง “แต่ฉันไม่เชื่อหรอกว่าแกจะไปนำดินมาได้ แน่จริงก็ลองดูสิ แล้วฉันจะรอดูอยู่ที่นี่”
ใบหน้าของมารตนหนึ่งก็เผยให้เห็นถึงกระตือรือร้นและกล่าว “งั้นก็ดี…เจ้า…รออยู่ที่นี่นะ…”
สิ้นคำกล่าว ใบหน้าที่พึ่งเอ่ยออกมาก็จมลงไปใต้ดิน และหายไปจากสายตาอย่างรวดเร็ว
“ฉันก็จะไป...เหมือนกัน…”
“ฉันก็จะไป…เหมือนกัน…”
“ฉันก็จะไป…เหมือนกัน…”
“ฉันก็จะไป…เหมือนกัน…”
ใบหน้าคนขนาดใหญ่หายไปจากพื้นดิน พวกมันต่างพากันใช้ ‘ซ่อนเร้น’ อย่างไม่ลังเล
สถานที่ๆ มารพวกนี้จากมา น่าจะเป็นฐานทัพหลักของกองทัพมารที่อยู่ห่างออกไปหลายพันลี้ ด้วยความเร็วของมารเคลื่อนพิภพ สมควรจะใช้เวลาอยู่ครู่หนึ่งจึงจะกลับมา
มารเคลื่อนพิภพได้จากไปแล้ว กู่ฉิงซานก็เริ่มเคลื่อนไหว เขาวิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว
เพียงแค่คำกล่าวไร้สาระ กองทัพมารเคลื่อนพิภพทั้งหมดก็ถึงกับเคลื่อนไหว การเคลื่อนทัพขนาดใหญ่เช่นนี้ เกรงว่าเพียงแค่ครึ่งทางพวกกองทัพมารก็คงจะรู้ตัว และมีโอกาสเป็นไปได้สูงที่พวกมันจะถูกสั่งให้กลับมาประจำการที่แนวหน้าอีกครั้ง
ถ้าพวกมันกลับมาก่อนที่เขาจะจากไป ทุกอย่างก็เป็นอันจบ
กู่ฉิงซานกำลังเตรียมที่จะหลบหนีไป แต่ในตอนนั้นเอง เขาก็ได้ยินเสียงดังมาจากจุดที่ไกลออกไป
“สหายตัวน้อย ขอบคุณสำหรับการขับไล่การปิดล้อม แต่ขออนุญาตถามหน่อยจะได้ไหม สหายตัวน้อยต้องการให้ฉันเรียกว่าอะไร?”
กู่ฉิงซานหันกลับมาอย่างฉับพลัน ก่อนจะพบชายชราที่ใบหน้าเปื้อนยิ้มกำลังจับจ้องมายังเขา
กู่ฉิงซานยกธนูกองทัพขึ้นและกล่าว “ฉันเรียกว่ากู่ฉิงซาน ทหารแนวหน้าจากกองพันทหารม้า แล้วคุณล่ะ? ไม่ทราบว่าเป็นใคร มีบัตรยืนยันตัวตนไหม?”
ชายชราโยนบัตรยืนยันตัวตนออกไป กู่ฉิงซานคว้ารับมัน ก่อนจะถ่ายเทพลังวิญญาณลงไปบนบัตรยืนยันตัวตนในมือ
ทันใดนั้นบัตรยืนยันตัวตนก็สว่างวาบ เปลวไฟลุกโชนขึ้นจากบัตร ก่อนจะร้อยเรียงออกมาเป็นทิวแถว ภายในประกอบด้วยคำไม่กี่คำ
“หัวหน้านายพลกงซุนซี”
หัวใจของกู่ฉิงซานเต้นครึกโครม
หัวหน้านายพล พันธมิตรผู้ฝึกยุทธแห่งมนุษยชาติ อาวุโสสูงสุดแห่งนิกายเฉิงเต๋า ปรมาจารย์ค่ายกลผู้ยิ่งใหญ่ กงซุนซี!
เป็นเขาไปได้อย่างไร!
เห็นได้ชัดว่ากู่ฉิงซานพึ่งออกมาจากค่ายทหารได้ไม่นาน และอยู่ห่างไกลจากสถานที่ๆ ชายคนนี้ถูกรุมล้อม แล้วทำไมเขาถึงมาอยู่ที่นี่?
กงซุนซีน่าจะกำลังจะตายในเร็วๆ นี้ แล้วจะบังเอิญมาพบกับฉันในเวลานี้ได้อย่างไร เขาไม่ได้ถูกพวกมารรุมล้อมหรอกหรือ?
หัวใจของกู่ฉิงซานปรากฏแสงสว่างวาบ ลางสังหรณ์ร้ายค่อยๆ ปกคลุมข้างในจิตใจ
เขาโยนบัตรยืนยันตัวตนออกตัวเองออกไป และปล่อยให้อีกฝ่ายตรวจสอบ
หลังแลกกันยืนยันตัวตน ทั้งสองฝ่ายรู้สึกโล่งใจลงเล็กน้อย
กู่ฉิงซานอดไม่ได้ที่จะถามออกไป “ที่แท้ก็นายพลกงซุน ไม่ทราบว่าทำไมคุณถึงมาอยู่ที่นี่คนเดียว?”
กงซุนซีถอนหายใจ ก่อนจะหยิบดิสก์ค่ายกลแผ่นเล็กๆ ขึ้นมา และกดสองมือลงพร้อมตะโกน “ค่ายกลซ่อนเร้น จงเปิด!”
กู่ฉิงซานสัมผัสได้ว่าเบื้องหน้าของเขาแปรเปลี่ยนอย่างฉับพลัน ทิวทัศน์ทั้งหมดจางหายไปในพริบตา เมื่อวิสัยทัศน์กลับมาอีกครั้ง เขาก็พบว่าตัวเองกำลังยืนอยู่ด้านหน้าวิหารเต๋า
ภายนอกวิหารเต๋า สี่ทิศทาง ออก ใต้ ตก และเหนือ ล้วนว่างเปล่า ไม่อาจมองเห็นได้ทั้งในทางตรงและระยะไกล
ที่แท้ในภูเขาลูกนี้ ก็เป็นที่ซ่อนของวิหารเต๋า!
สามารถจัดตั้งค่ายกลที่ไกลไปจนถึงเส้นขอบฟ้าได้ ค่ายกลน่าหวาดหวั่นขนาดนี้ เป็นที่ชัดแจ้งแล้วว่าคนๆ นี้คือกงซุนซี!
กู่ฉิงซานเดินเข้าไปในวิหารเต๋ากับกงซุนซี แต่กลับพบเพียงคนๆ หนึ่งในชุดคลุมสีขาวราวหิมะ สวมใส่เกราะทองคำ กำลังนั่งอยู่บนเบาะรองนั่งอย่างเงียบๆ
เกราะที่คนๆ นี้สวมใส่ไม่ได้ใหญ่โตจนดูเทอะทะ แต่มันบางเบาแลดูละเอียดอ่อนเผยให้เห็นสัดส่วนโค้งเว้าอันงดงามของเธอสะท้อนออกมา
เธอโค้งศีรษะลงเล็กน้อยเมื่อกงซุนซีเดินเข้ามา และเมื่อเธอพบว่าอีกคนที่เข้ามาด้วยมีระดับวรยุทธไม่ถึงขอบเขตก่อตั้ง เธอก็ก้มหัวลงอีกครั้ง
ในตอนที่เธอเงยหน้าขึ้น กู่ฉิงซานเห็นว่าบนใบหน้าของเธอสวมหน้ากากเงิน บดบังใบหน้าของเธออย่างสมบูรณ์
“สหายตัวน้อยฉิงซาน ต้องขอบใจคุณจริงๆ ที่ขับไล่กองทัพมารเคลื่อนพิภพไป มิฉะนั้นพวกเราก็คงจะติดแหง่กอยู่ที่นี่เป็นแน่”
“เขาน่ะเหรอ? เป็นคนขับไล่กองทัพมารเคลื่อนพิภพ?”เสียงของหญิงสาวที่ฟังดูเป็นผู้ดีดังตอบโต้ออกมา
น้ำเสียงของหญิงสาวในชุดเกราะทองคำดูจะประหลาดใจ ทว่าภายใต้หน้ากากเงินจึงไม่อาจเห็นสีหน้าของเธอได้
“มันเป็นเรื่องจริง” กงซุนซีกล่าว “มารเคลื่อนพิภพเป็นมารที่สามารถปลดผนึกธาตุดินจากธาตุทั้งห้าได้ ดังนั้นมันจึงมีความสามารถในการควบคุมดิน และมีอิทธิพลอย่างมากต่อค่ายกลของฉัน แต่ตอนนี้พวกมันถูกเขาหลอกจนเคลื่อนทัพออกไปหมดแล้ว”
“หลอก?”
หญิงสาวเกราะทองดูจะสับสนยิ่งกว่าเดิม
กงซุนซีจึงเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้แก่เธอ
หญิงสาวเกราะทองมองกู่ฉิงซานและเอ่ยถาม “คุณรู้จุดอ่อนของเจ้ามอนสเตอร์ตัวนี้ได้อย่างไร?”
กู่ฉิงซานคิดคำตอบไว้ในใจอยู่ก่อนแล้ว เขาจึงตอบกลับอย่างเยือกเย็น “ในกองพันทหารม้าแนวหน้า ทุกๆ วันต้องต่อสู้กับเผ่ามารทุกชนิด ฉันชอบที่จะศึกษาลักษณะของพวกมัน ดังนั้นเลยพอจะรู้เรื่องพวกนี้มาบ้างเล็กๆ น้อยๆ ”
“กองพันทหารม้า? นั่นไม่น่าเป็นไปได้ แต่ถ้าที่พูดมาเป็นความจริง…” หญิงสาวเกราะทองงึมงำ “เท่าที่ฉันรู้มา กองพันทหารม้าแนวหน้าถูกทำลายลงแล้วโดยกองทัพหลักของเผ่ามาร มันเกือบที่จะถูกกวาดออกไปโดยสมบูรณ์ และคุณอาจจะเป็นคนเดียวที่รอดชีวิต”
วินาทีนั้นกู่ฉิงซานก็แสร้งเผยให้เห็นถึงความโกรธและความโศกเศร้าออกมา…ในเวลาเหมาะเจาะ!
ประกายแสงสว่างวาบขึ้นในดวงตาของกงซุนซี เขาเอ่ยถาม “แล้วคุณรู้อะไรเกี่ยวกับพวกมอนสเตอร์ตัวอื่นๆ บ้างไหม?”
ในปัจจุบันนี้ นี่เป็นช่วงต้นของการเผชิญหน้าระหว่างเผ่ามารและมนุษยชาติ เป็นช่วงเวลาที่ยังไม่สามารถเข้าใจลักษณะของเผ่ามารได้อย่างสมบูรณ์ ดังนั้นจึงเกิดการสูญเสียไปเป็นจำนวนมาก
ทหารหลายกองทัพถูกกวาดทำลายลง แม้กระทั่งร่องรอยของข่าวสารก็ยังไม่ถูกส่งกลับมา ดังนั้นพวกเขาจึงไม่อาจควานหาลักษณะ นิสัย และจุดอ่อนลึกล้ำของเผ่ามารได้
มันจะเป็นประโยชน์อย่างมากในสงคราม หากมีทหารจากกองพันทหารม้าที่ยังรอดชีวิตจากค่ายแนวหน้า ที่สามารถบ่งชี้ลักษณะต่างๆ ของเผ่ามารได้
“ก็พอจะรู้อยู่บ้าง” กู่ฉิงซานกล่าวอย่างมั่นใจ
พวกเขาทั้งสองคนนี้ปลดปล่อยกลิ่นอายพลังวิญญาณที่ท่วมท้นราวกับทะเลอันมืดมิด กู่ฉิงซานไม่อาจแน่ใจได้ว่าพวกเขาจะปฏิบัติดีต่อตนหรือไม่ ดังนั้นจึงแสดงให้เห็นถึงประโยชน์ในการดำรงอยู่ของเขา
แน่นอน พอได้ยินดังนั้น กงซุนซีและหญิงสาวเกราะทองก็หันมามองหน้ากันและกัน ก่อนจะพยักหน้าออกมาในเชิงพึงพอใจ
.....................................