webnovel

แต่งงานครั้งนี้จะแกร่งยิ่งกว่าเดิม ตอนที่ 3

มันทำให้ทิมเกิดไอเดียอะไรใหม่ ๆ ขึ้นมามากมาย เขาสามารถขนส่งผลไม้ข้ามจากอีกทวีปอย่างไม่จำกัดและยังคงความสดใหม่เหมือนเพิ่งถูกเก็บมาจากสวน เขาสามารถขนส่งสินค้าขนาดใหญ่ที่เดิมทีต้องขนข้ามทวีปผ่านทางทะเลโดยใช้แค่ตนเองกับม้าดี ๆ สักตัวเท่านั้น

กิจการของบริษัทแบ๊ครอฟที่ใหญ่โตอยู่แล้วเติบโตขึ้นมากอีกในระยะเวลาสั้น ๆ ฉันหลงคิดไปว่าเรื่องนี้จะทำให้อคติของแม่สามีที่มีต่อฉันลดลงบ้าง แต่มันตรงกันข้าม

"อวดดี เธอรู้ตัวไหมว่าเธอไปสอนอะไรให้ลูกฉัน"

"คะ?"

"รู้ไหมว่ามันทำให้เขาต้องไปทำหน้าที่ที่เขาไม่เคยต้องทำ"

ฉันรู้ว่าท่านแม่ของทิมไม่ได้มีความรู้เกี่ยวกับการทำธุรกิจนัก ฉันจึงพยายามอธิบายทุกอย่างให้ง่ายที่สุด ฉันบอกท่านว่าด้วยคลังพกพาของทิมมันทำให้เรามีโอกาสใหม่ ๆ ที่ไม่เคยมีมาก่อน ชนิดสินค้าของเรามีมากขึ้น ตลาดของเราใหญ่ขึ้น ลูกค้ามากขึ้น และเงินหมุนเวียนในระบบก็เพิ่มขึ้นจากไม่กี่เดือนก่อนอย่างมหาศาล

"สู่รู้" เธอกระแทกเสียงใส่ฉัน "แล้วมันเรื่องอะไรที่จะต้องให้ลูกชายของฉันมาทำงานหนักด้วย เขาควรจะอยู่ที่นี่กับฉันกับครอบครัว ไม่ใช่ออกไปตะลอน ๆ อยู่ต่างแดนแบบนี้"

เรื่องที่เธอพูดมาไม่ได้ไร้ประเด็นทั้งหมด ฉันเองก็ไม่ได้หวังพึ่งพาสกิลคลังพกพาของทิมไปตลอด ทิมเข้าใจเจตนานี้เช่นกัน เขาต้องการใช้มันเพื่อกระตุ้นตลาดเท่านั้น ในอนาคตพวกเราจะต้องหาวิธีการในการขนส่งที่ดีกว่าเพื่อไม่ให้ทุกอย่างถูกฝากไว้กับคนที่มีสกิลสองคนคือฉันและเขา

แต่ท่านแม่ของทิมไม่ได้เข้าใจเรื่องนั้น เธอยังคงโทษฉันว่าเป็นสาเหตุทำให้ลูกชายสุดที่รักต้องห่างไป

ครั้งล่าสุดที่ทิมกลับมา ฉันจึงตัดสินใจคุยกับเขาเรื่องนี้อีกครั้ง

"ว่าไงนะ คุณอยากให้ผม เลิกเดินทางเหรอ"

"ใช่แล้ว ท่านแม่พูดถูกนะ คุณเป็นผู้บริหาร มันไม่ใช่งานที่ต้องทำเอง"

ทิมขมวดคิ้ว "แต่มันเป็นความคิดของเธอเองนะ แล้วมันก็กำลังไปได้สวยด้วย เหล้าที่ทำผลเลิฟเบอร์รีและผลเลิฟเบอร์รีสดของบริษัทเรากำลังได้รับความนิยมอย่างมากในประเทศโดเมล และเราก็กำลังเจรจาเปิดเส้นทางการขนส่งเพิ่มด้วย"

"ฉันรู้… แต่ท่านแม่ของคุณไม่พอใจ ฉันไม่อยากถูกท่านเกลียดมากไปกว่านี้"

ทิมหัวเราะและส่ายหัวดิก "คุณคิดมากไป ท่านแค่กังวลมากไปหน่อยเลยอาจจะบ่นเยอะไป แต่ท่านไม่ได้เกลียดคุณหรอก"

ฉันเคยคิดจะเก็บเอาไว้ แต่วันนั้นฉันทนไม่ไหวแล้ว ฉันตัดสินใจเล่าเรื่องที่ทิมไม่รู้

ท่านแม่คอยกลั่นแกล้งฉันตลอด บางครั้งก็เป็นแค่คำพูดจิกกัด บางครั้งก็เป็นการให้ท้ายคนรับใช้ให้ปฏิบัติกับฉันอย่างไม่ให้เกียรติ มีหลายเหตุการณ์ที่ท่านแม่ทำให้ฉันเจ็บช้ำน้ำใจแต่ฉันก็เลือกที่จะอดทน

ทิมไม่ได้พูดอะไรมาก แต่ฉันรู้ว่าเขาไม่ค่อยพอใจนักที่ฉันตำหนิท่านแม่ของเขา ถึงจะรักฉันมากแค่ไหนเขาก็ไม่เอาความรักนั้นมาเปรียบกับความรักของท่านแม่

ในแง่หนึ่ง ฉันรู้สึกประทับใจ เขาคือคนดีอย่างที่ฉันเชื่อ แต่อีกด้านฉันก็รู้สึกสิ้นหวัง มันเหมือนกับว่าคนที่ควรจะเข้าใจฉันที่สุด ไม่แม้แต่จะรับฟังความจริงเลย

เราทะเลาะกันเบา ๆ และจบด้วยการที่ต่างคนต่างซุกปัญหาที่ว่าไว้ใต้พรม ปัญหากับท่านไม่ได้หายไปไหน ในวันที่เขาออกเดินทางอีกครั้ง สงครามภายในบ้านระหว่างแม่สามีและลูกสะใภ้จะเริ่มขึ้นอีก

ฉันไม่ได้เฉลียวใจเลยว่านั่นคือครั้งสุดท้ายที่ได้คุยกับทิม

ทิมออกเดินทางและกลับถึงบ้านอีกครั้งเพียงแค่ร่างของเขา ทิโมธี แบ๊ครอฟได้จากไปแล้ว

ฉันหมดสติไปทั้งวัน ตื่นมาก็ยังเข้าใจว่าเป็นความฝัน ฉันใช้เวลาอยู่นานกว่าจะยอมรับเรื่องที่เกิดขึ้น ทิมเสียชีวิตจากการถูกดักปล้น

เขามีผู้คุ้มกันมากมาย หลายคนในนั้นเคยเป็นทหารฝีมือดี เรื่องแบบนี้จึงไม่ควรเกิดขึ้นได้เลย

ฉันมารู้ภายหลังว่ากลุ่มโจรที่โจมตีทิมไม่ใช่โจรทั่วไปแต่เป็นโจรเรียกค่าไถ่ที่มีชื่อพอสมควร ทิมโด่งดังมากขึ้นจากที่เขาบุกเบิกตลาดใหม่ในอาณาจักรอื่น เขาดูน่าสนใจในสายตาของโจรกลุ่มนี้ พวกมันคงคิดจับตัวเขาเรียกเงินค่าไถ่ก้อนโต

ทิมควรจะยอม แต่เขากลับเสี่ยงสู้ และผลลัพธ์ของมันคือชีวิตของเขา

ฝันร้ายของฉันมันเพิ่งเริ่มขึ้นหลังการจากไปอย่างกะทันหัน

ท่านแม่โทษทุกอย่างว่าเป็นความผิดของฝัน มันไม่ใช่แค่การเหน็บแนบหรือพูดจาจิกกัดให้เจ็บใจ แต่มันรุนแรงขึ้นจนเป็นการลงไม้ลงมือ

ฉันเข้าใจว่าเธอรู้สึกอย่างไรจึงไม่ตอบโต้หรือแม้แต่พยายามเดินหนี บางทีฉันเองก็คงอยากลงโทษตัวเองเช่นกัน

แต่เรื่องมันไม่จบแค่นั้น หลังจากนั้นไม่นานฉันก็เริ่มล้มป่วยและป่วยหนักแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อนแม้แต่ในชาติที่แล้วหรือชาติแรกสุด

[คุณได้รับสกิลต้านพิษ]

[คุณได้รับสกิลต้านอัมพาต]

[คุณได้รับสกิลต้านความเจ็บปวด]

...อะไรกัน ทำไมถึงได้สกิลต้านพิษมาล่ะ…

...หรือว่าฉันกำลังโดนวางยา…

ฉันช่างอ่อนโลก ในตอนนั้นหัวของฉันไปคิดถึงศัตรูทางการค้าของบริษัท หรือใครสักคนที่ฉันเผลอไปขัดผลประโยชน์ไม่ว่าจะรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็ตาม ฉันไม่ได้คิดเลยว่ามันจะเป็นฝีมือของคนใกล้ตัว

ใช่ ท่านแม่เกลียดฉัน เกลียดจนสกิลที่ฉันมีก็ช่วยฉันจากความเกลียดนั้นไม่ได้

แต่เธอคือท่านแม่ของทิม แม่ของผู้ชายแสนอ่อนโยนคนนั้น ฉันนึกไม่ออกว่าฉันทำให้เธอเกลียดชังขนาดนี้

ฉันปรึกษาเรื่องนี้กับเฮนรีและเมเบียส ทั้งสองดูไม่แปลกใจอย่างที่น่าจะเป็น ที่หนักหนาสุดก็คงเป็นตัวเมเบียสที่สารภาพว่าเขาอาจจะเกี่ยวกับเรื่องนี้โดยไม่รู้ตัว

"ราว ๆ เดือนนึง หลังจากงานแต่งของเธอ ท่านแม่ของทิมถามฉันเกี่ยวกับยาพิษ"

"หาาา" ฉันและเฮนรีร้องเสียงหลง

"เธอไม่ได้บอกว่าจะเอาไปทำอะไร แต่ฉันคิดว่าเธออาจจะเอาไปฆ่าหนูหรือไม่ก็ตัวอะไรที่มารบกวนสวน" เมเบียสหัวเราะแบบไม่รู้กาลเทศะ

"นี่มันยาพิษร้ายแรงไม่ใช่เหรอ ใครจะเอาของแบบนี้มาฆ่าหนูกัน นายอ้างว่าไม่รู้เนี่ยนะ" ฉันโวยวาย รู้สึกโกรธเมเบียสจนเกือบจะร้องไห้ออกมา

"เมเบียส" เฮนรีสูดลมหายใจเข้าออกหลายครั้งเพื่อข่มความโกรธเอาไว้ "นี่ไม่ใช่เรื่องล้อเล่นนะ นายมียาแก้ใช่ไหม"

"ก็มีอยู่ เดี๋ยวฉันจะเอามาให้ก็แล้วกัน เลิกจ้องแบบนั้นสักที" เมเบียสตัดบทไปทั้งแบบนั้น

เมเบียสไม่ได้บอกความจริงทั้งหมด ยาที่เขานำมาให้สามารถถอนพิษได้แค่ส่วนหนึ่ง มันทำให้ฉันไม่ตายในทันทีแต่ไม่ได้ทำให้ฉันหายขาด

ฉันตัดสินใจย้ายกลับมาอยู่บ้านของท่านพ่อท่านแม่ ฉันไม่อยากถูกวางยาซ้ำและไม่สามารถไว้ใจแม่ของทิมได้อีก ผู้หญิงคนนั้นไม่ใช่เพิ่งโกรธแค้นฉันหลังจากที่ฉันทำให้ลูกชายของเขาต้องไปตายข้างนอก เธอเริ่มวางยาฉันตั้งแต่ยังไม่รู้เรื่องสกิลคลังพกพา

มันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับสกิลนั้น ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องที่เขาต้องเดินทางไปแดนไกล ท่านแม่ของเขารู้สึกว่าลูกชายสุดที่รักกำลังถูกแย่งไป ฉันคือคนที่แย่งความรักนั้นไป นั่นคือเหตุผลทั้งหมดที่ฉันถูกวางยา

สกิลต้านทานพิษและต้านความเจ็บปวดเลเวลต่ำช่วยอะไรฉันไม่ได้มาก ฉันทนทรมานอยู่นานร่วมปีจนร่างกายทรุดโทรมถึงขีดจำกัด

เทียบกับครั้งแรกแล้ว ครั้งนี้คือความตายที่ทรมานฉันมากที่สุด แต่มันก็จบลง

ฉันเกือบลืมไปแล้วว่าตนเองมีสิ่งนั้นอยู่ จนกระทั่งมันดังขึ้นมาอีกครั้ง

[สกิลโอกาสในการเริ่มชีวิตใหม่ทำงาน]

[กำลังทำการย้อนเวลากลับไปในวัยสิบหกปี]

"กลับมาอีกแล้ว" ฉันพึมพำ

ร่างของฉันยังนอนอยู่บนเตียงหลังเดิม แต่ความเจ็บปวดหลังมลายหายไปจนหมดสิ้น เป็นครั้งแรกในหลายปีที่ฉันสามารถนอนต่ออย่างเป็นสุขได้

ไม่มีความเจ็บปวด ไม่มีเสียงร้องไห้ของท่านพ่อท่านแม่ที่ทรมานร่วมไปกับฉัน ทุกอย่างจบสิ้นแล้ว

ฉันบอกกับตัวเองว่ายังคงรักทิมอยู่ แต่ชีวิตใหม่คราวนี้ฉันจะไม่เลือกเขาแล้ว แม่ของเขาคือผู้หญิงที่ร้ายกาจและโหดเหี้ยมผิดมนุษย์ ฉันไม่ต้องการอยู่ร่วมชายคากับคนแบบนั้นอีก และฉันก็แน่ใจด้วยว่าทิมไม่มีทางทิ้งแม่ของเขาหรือแม้แต่เชื่อว่าแม่ของเขาสามารถบ้าคลั่งได้ขนาดไหน

"เหนื่อยจัง ทำไมชีวิตคนเราถึงเหนื่อยขนาดนี้นะ"

ฉันปรับอารมณ์อยู่นานกว่าที่จะเริ่มยิ้มออกอีกครั้ง ฉันไม่อยากให้ท่านพ่อและท่านแม่เป็นกังวลกับฉันมากไปกว่านี้ พวกท่านดีต่อฉันมากและฉันก็ดีแต่ก่อปัญหาให้พวกท่าน

ฉันเริ่มจากการสำรวจตัวเองเพื่อคิดให้ดีอีกครั้งว่าจะทำอย่างไรกับอนาคตต่อไปนี้

[เวสตา เวดดิงตัน Lv. 32]

[คลาส: เวดดิงวิช] [HP 347/347 MP 5/5]

[พลังกาย: 29 ปัญญา: 35 ว่องไว: 31 ทนทาน: 38 เสน่ห์: 83]

[สกิล: คำอวยพรแห่งงานสมรส, โอกาสในการเริ่มชีวิตใหม่, ผู้ทรงเสน่ห์ Lv. 70, เจรจาหว่านล้อม Lv. Max, นักขุดทอง Lv. 1, นักกฏหมาย Lv. 6, คลังพกพา, วิเคราะห์ไอเท็ม Lv. 11, กฏหมาย Lv. 6, ค้าขาย (ดูรายละเอียดเพิ่ม), ต้านพิษ Lv. 19, ต้านอัมพาต Lv. 14, ต้านความเจ็บปวด Lv. 10]

"เฮ้ยยย" ฉันเผลอหลุดปากร้องเสียงดังด้วยความตกใจ ก็คิดอยู่ว่าต้องเพิ่มขึ้นมาเยอะ แต่ก็ไม่คิดว่ามันจะขนาดนี้

ค่าพลังทุกอย่างเพิ่มขึ้นอย่างมาก ฉันก็แค่ใช้ชีวิตอย่างปกติเหมือนคนทั่วไป จะมีต่างบ้างก็แค่นอนกึ่งเป็นอัมพาตอยู่หลายปี ทั้งหมดก็นับเป็นประสบการณ์ด้วยเหรอ

เอาเถอะ จะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม ฉันแกร่งขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แกร่งขนาดไหนน่ะเหรอ ฉันเคยชวนพวกคนงานมาทดสอบประลองกำลังกัน ผลคือแม้แต่คนงานตัวใหญ่สุดก็ไม่สามารถชนะงัดข้อกับฉันได้ แต่ฉันกลายเป็นยอดมนุษย์ไปแล้วเหรอเนี่ย

ที่ทำให้ฉันใจชื้นที่สุดคงเพราะมีสกิลสุดรักอย่างผู้ทรงเสน่ห์และคลังพกพาติดมาด้วย ผู้ทรงเสน่ห์ฉันคิดว่าคงไม่เพิ่มเลเวลไปมากกว่านี้แล้ว แต่ลำพังแค่เลเวลตอนนี้มันก็ทำให้ฉันกลายเป็นหญิงที่ถูกหมายปองมากที่สุดในอาณาจักรไปเรียบร้อย

สกิลเล็ก ๆ ที่ได้แถมมาหลังจากการนอนทรมานอยู่บนเตียงเป็นอีกอย่างที่ทำให้ฉันอุ่นใจ ด้วยพลังต้านพิษน้อง ๆ ที่มือสังหารมี มันจะเป็นสิ่งที่การันตีว่าฉันจะไม่เจอเรื่องเลวร้ายแบบชาติที่แล้ว ยาพิษทั่วไปใช้กับฉันไม่ได้อีกต่อไป

อาจจะเป็นเพราะเคยรู้สึกว่าตนเองไร้กำลัง พอเริ่มมีมันฉันก็ยิ่งอยากมีมากขึ้น ฉันขอท่านพ่อและท่านแม่เรียนฟันดาบ พวกท่านตามใจฉันเกือบทุกเรื่อง แต่เรื่องนี้มันไม่ง่ายเหมือนตอนที่ขอเรียนกฎหมาย

มันอาจจะดูอ้อมค้อมไปสักนิด แต่ฉันช่วยงานที่บ้านอย่างเต็มที่เพื่อให้ท่านยอมรับว่าฉันเป็นผู้ใหญ่แล้ว ความรู้ที่ได้มาจากทิมผนวกด้วยสกิลคลังพกพา สกิลเกี่ยวกับการค้าและสกิลเจรจาหว่านล้อมที่ได้มาจากเมซ ทั้งหมดรวมกันทำให้ฉันไร้ผู้ต่อต้าน

เพียงหนึ่งปีฉันก็ช่วยทำให้ฐานะของครอบครัวเจริญขึ้นกว่าสองเท่า

สิ่งที่ฉันทุ่มเททำ เป็นผลให้ท่านพ่อและท่านแม่ไว้ใจฉันมากขึ้น สุดท้ายพวกท่านก็ยอมรับว่าท่านตามความคิดของฉันไม่ทัน และไม่ว่าฉันจะเลือกอะไรพวกท่านก็จะไม่ขัดอีก

ฉันได้เรียนในโรงเรียนสอนฟันดาบอย่างสมใจ การเข้ามาที่นี่ไม่ใช่แค่มีค่าเล่าเรียนก็จะเข้ามาได้ ที่นี่มีการสอบเข้าที่เข้มงวด แม้แต่ฉันที่มีค่าพลังเหนือกว่าคนทั่วไปก็ยังสอบผ่านชนิดฉิวเฉียด

ฉันเลือกที่นี่เพราะอาจารย์ของที่นี่คือนักดาบเลื่องชื่อในอดีต อัศวินในวังเกือบทุกคนก็ล้วนแล้วแต่เคยผ่านการฝึกของเขามาแล้วทั้งนั้น ถ้าไม่ติดที่เขามีสายเลือดของคนชั้นล่างอาจารย์เองก็คงเป็นหนึ่งในขุนนางใหญ่ในวังอย่างแน่นอน

ฉันไม่เข้าใจเรื่องพวกนี้นัก ถ้าฉันเป็นราชาก็คงเลือกคนที่เก่งที่สุดอย่างอาจารย์มาไว้ข้างกาย เรื่องชาติตระกูลอะไรเนี่ยมันไม่น่าจะเกี่ยวกับการทำสงครามไม่ใช่เหรอ แต่ก็นั่นแหละ ฉันจะไปเข้าใจได้ยังไง ฉันไม่ใช่ราชาสักหน่อย

สกิลดาบนั้นถูกแบ่งออกเป็นหลายระดับ มีทั้งสกิลดาบขั้นต้น สกิลดาบขั้นกลาง และสกิลดาบขั้นสูง นอกจากนั้นก็ยังมีพวกที่เป็นท่าไม้ตายที่ถูกแยกออกมาต่างหากด้วย

อาจารย์เป็นยอดคนอย่างที่ฉันคิดไว้ ฉันเก็บสกิลดาบขึ้นต้นจนเต็มภายในเวลาไม่นานและได้สกิลดาบขั้นกลางมาหลังจากนั้น ความเร็วในการฝึกของฉันเหนือกว่าลูกศิษย์ทุกคนที่อยู่ในรุ่นเดียวกัน แต่ฉันมองไม่เห็นเลยว่าตัวเองจะมีทางเอาชนะอาจารย์ได้

ต่อให้ฝึกอีกสักสามสิบสี่สิบปีก็คงยากที่ตามทัน

อ๊ะ แต่ว่าบางทีฉันอาจจะมีเวลาไม่จำกัดก็ได้นะ ก็ฉันยังหาวิธีหนีจากสกิลโอกาสในการเริ่มชีวิตใหม่ของตัวเองไม่ได้เลยนี่

สี่ปีผ่านไปอย่างรวดเร็ว ตอนนี้ฉันอายุยี่สิบเอ็ดปีแล้ว ชีวิตของฉันในรอบนี้ไม่มีโอกาสได้ข้องเกี่ยวกับผู้ชายคนไหนเลย ฉันเอาแต่ทำงานให้ที่บ้านและทุ่มเทกับการฝึกที่โรงฝึก จนวันหนึ่งท่านอาจารย์ก็บอกกับฉันว่าท่านไม่มีอะไรจะสอนฉันอีกแล้ว

"ถ้าไม่นับเจ้านั่นแล้ว เจ้าคือคนที่เรียนวิชาของข้าได้เร็วที่สุด" ชายชราผู้กร้านโลกเอ่ยชมเป็นครั้งแรก ถึงจะชมเขาก็ไม่ได้ชมอย่างเต็มที่ คำพูดถึงเจ้านั่นที่เขามักจะเปรยอยู่เสมอทำให้ฉันหงุดหงิด

"น่าเสียดายที่ลูกศิษย์คนโปรดของอาจารย์ไม่อยู่ตรงนี้ ไม่งั้นหนูจะขอประลองกับเขาให้รู้กันไปเลยว่าใครเป็นอันดับหนึ่ง"

เสียงหัวเราะดังมาจากข้างหลังทำให้ฉันตกใจจนสะดุ้ง นานแล้วที่ไม่มีใครสามารถเข้าใกล้ฉันขนาดนี้ได้โดยที่ฉันไม่รู้ตัว

"ประลองดูสักครั้งก็ไม่เสียหาย" ชายผู้นั้นตอบ ฉันรู้จักเขา เขาคือลูกศิษย์คนโปรดที่อาจารย์พูดถึงมาตลอด

ถึงแม้ว่าจะเป็นครั้งแรกที่เจอเขาในชาตินี้ แต่ฉันคุ้นเคยกับใบหน้าและท่าทางนั้นดี เขาคือท่านบารอนแห่งตระกูลเจย์ฟรีด เฮนรี เจย์ฟรีดนั่นเอง

ในชาติก่อน ๆ ฉันเคยได้ยินวีรกรรมของเฮนรีมาไม่น้อย อาจเพราะว่าเขาเป็นเพื่อนกับเมซ ทิม และเมเบียส ฉันจึงรู้สึกเชื่อไม่ลงว่าเขาถูกนับว่าเป็นยอดคนแห่งยุค จนกระทั่งวันนี้ที่ฉันได้ประลองดาบกับเขา

[เฮนรี เจย์ฟรีด Lv. 81]

[คลาส: ฮีโร]

[การตรวจสอบสกิลและสเตตัสล้มเหลว]