webnovel

แต่งงานครั้งนี้จะแกร่งยิ่งกว่าเดิม ตอนที่ 2

เมซเนี่ยนะ คนอย่างเมซน่ะเหรอจะมีปัญญาสืบจนเอาความลับของชาติไปขาย ความลับของตัวเขาเอง เขายังไม่เคยปิดได้สำเร็จด้วยซ้ำ

ฉันเข้าใจได้แทบจะทันทีว่ามันคือการใส่ร้าย เมซมีศัตรูมากมายกว่าที่หลายคนคิด เขาหลอกลวงผู้หญิงเอาไว้เยอะ ในนั้นมีหลายคนที่เป็นบุตรีหรือแม้แต่ภรรยาของบรรดาคนใหญ่โต ฉันสังหรณ์มานานแล้วว่าเรื่องแบบนี้ต้องเกิดขึ้นสักวัน เพียงแค่มันเกิดขึ้นเร็วกว่าที่คาดไว้

ข้อหาร้ายแรงอย่างการขายชาติไม่ได้หยุดแค่คนที่ทำ แต่มันลามไปถึงฉันและท่านพ่อท่านแม่ของฉันด้วย

ทุกคนถูกจับกุมและสอบสวนอย่างไม่เป็นธรรม ไม่ได้มีหลักฐานอะไรเป็นชิ้นเป็นอันพอที่จะใส่ความได้ เห็นได้ชัดว่าเรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวกับคดีเลยสักนิด มีใครบางคนแค้นเมซและหาทางระบายกับทุกคนที่เกี่ยวข้องกับเขา

เฮนรี ทิม และเมเบียสพยายามวิ่งเต้นอย่างเต็มที่ เฮนรีช่วยในการค้นหาหลักฐานมาคัดง้างกับพยานทั้งหลายที่ถูกจ้างมา ทรัพย์สินของครอบครัวฉันถูกอายัดระหว่างการดำเนินคดี ทิมจึงออกเงินก้อนโตเพื่อจ้างทนายที่เก่งที่สุดเท่าที่จะหาได้มาช่วยพวกเรา

เรื่องมันยุ่งขึ้นอีกชั้น เมื่อเมเบียสใช้วิธีการนอกรีตในการแก้ปัญหา เขาพยายามใช้เงินซื้อตัวพยาน หรือแม้แต่การสร้างหลักฐานปลอมขึ้นมาช่วยเมซ

เขาพลาดตรงที่มันถูกเฮนรีจับได้ และกลายเป็นเรื่องทะเลาะกันใหญ่โต

เฮนรีแน่ใจว่าเมซไม่ได้ทำเรื่องที่เขาถูกกล่าวหา แต่เขาไม่พอใจกับวิธีสกปรกของเมเบียส

ฉันยอมรับว่าวิธีของเมเบียสมันไม่ใสสะอาด แต่ในเมื่อเมซและครอบครัวฉันก็ไม่ได้รับความยุติธรรมแบบที่ควรได้ มันก็ควรจะใช้ทุกวิธีเพื่อเอาตัวรอดไม่ใช่เหรอ

เฮนรีทำเรื่องที่ถูกต้องแล้ว การหวังพึ่งพยานเท็จและหลักฐานปลอมรังแต่จะทำให้เรื่องยิ่งแย่ลง แต่ฉันในตอนนั้นกลับโกรธโทษเฮนรี หากเขาไม่ถือทิฐิจนเกินไปเมซกับครอบครัวของฉันก็อาจจะรอดไปแล้วก็ได้

ขณะที่เฮนรีกับเมเบียสเริ่มถอดใจ ทิมนั้นยังไม่สิ้นหวัง ทนายที่เขาจ้างมาถูกข่มขู่จนต้องถอนตัวไป แต่เขาก็ยังจ้างคนใหม่ที่เก่งน้อยกว่าแต่กล้ามากกว่ามาให้แทน

ขนาดทนายยังโดนกดดันมีหรือที่ทิมจะรอด เขาเองก็ถูกขู่ฆ่านับครั้งไม่ถ้วน มีอยู่ครั้งหนึ่งเขาถูกลากตัวไปกระทืบจนยับเยิน แต่ทิมก็ยังเหมือนเดิมเขายังยืนกรานว่าเชื่อในตัวเมซและเชื่อว่ายังมีโอกาสชนะคดีนี้

ฉันรู้สึกผิดต่อเขา ทุกครั้งที่ทิมมาเยี่ยมฉันในคุก เขามักจะมาพร้อมกับบาดแผลใหม่ ๆ เสมอ ฉันประหลาดใจที่เขาไม่ยอมแพ้ขนาดนี้ ฉันเคยคิดว่าถ้าอยู่ในสถานะแบบเดียวกัน ถ้าฉันมีเพื่อนอย่างเมซ ฉันคงยอมแพ้แบบเฮนรีและเมเบียสไปแล้ว

วันประหารถูกกำหนดขึ้นในอีกหลายสัปดาห์ต่อมา แม้จะทำใจไว้แล้วแต่ก็ต้องยอมรับว่าฉันหวาดกลัวมาก ฉันร้องไห้ทุกวัน เฝ้าถามซ้ำ ๆ ว่าทำอะไรผิด โกรธเกลียดทุกคนที่ทำให้ฉันต้องมาอยู่ในสภาพแบบนี้

พยานที่ถูกจ้างมา ผู้พิพากษาที่รับเงินใต้โต๊ะ บรรดาญาติพี่น้องของคนที่คิดจะแก้แค้นเมซ ตัวเมซเอง เพื่อนของเขาที่ดีแต่พูดแต่ไม่สามารถทำอะไรได้สักอย่าง คนใกล้จะตายแบบฉันพาลโทษทุกอย่างยกเว้นตัวฉันเอง

ใช่ ฉันเองนี่แหละที่สมควรโดนตำหนิที่สุด ฉันรู้ว่าเมซเป็นคนแบบไหน เขาจะหาเรื่องเดือดร้อนมาให้ไม่รู้จบ ต่อให้ฉันรอดจากเรื่องนี้ไปได้ ฉันและเมซก็คงไม่เข็ดหลาบ แล้วสุดท้ายมันก็ต้องจบลงอย่างเลวร้ายไม่ว่าทางใดก็ทางหนึ่ง

ในวันสุดท้ายที่อนุญาตให้เข้าเยี่ยม ฉันยังคงไม่ได้พบท่านพ่อท่านแม่เพื่อกราบขออภัยที่ลูกเลว ๆ คนนี้ทำให้พวกท่านต้องมาเดือดร้อนไปด้วย เฮนรี เมเบียส และทิมกลายเป็นสามคนสุดท้ายที่ฉันได้เจอก่อนที่จะถูกประหาร

เฮนรีไม่ได้พูดอะไรมาก เขาขอโทษที่ไม่ยอมโอนอ่อนกับแผนการของเมเบียส และขอโทษเรื่องที่เขาไม่สามารถช่วยอะไรได้มากอย่างที่ตนหวังไว้

ฉันไม่ยกโทษให้เขา ตอนนั้นฉันรั้นและพาลจนเกินไป เฮนรีจากไปพร้อมกับขอโทษอีกครั้ง

เมเบียสที่มักจะทำหน้าเป็นอยู่เสมอ ไม่ได้ยิ้มเหมือนทุกครั้ง ฉันยอมรับว่าโกรธเขาน้อยกว่าที่โกรธเฮนรี อย่างน้อยเขาก็พยายามในวิธีที่เขาถนัด แม้ว่าสุดท้ายมันจะโดนเฮนรีหยุดเอาไว้ได้

"ถ้ามีอะไรที่ฉันทำให้ได้อีกก็บอกมาได้เลยนะ"

"ไม่มีหรอก เว้นเสียแต่ว่านายจะช่วยให้ทุกคน ไม่สิ เมซ น่ะช่างเถอะ ทำให้ครอบครัวของฉันรอดไปได้"

ฉันพูดไปแบบนั้นแหละ คดีมันถึงที่สุดแล้ว ต่อให้ได้หลักฐานอะไรมาเพิ่มในตอนนี้ก็ใช่ว่าพวกเขาจะยอมรื้อคดีกลับมาพิจารณาใหม่

ทิมคือคนสุดท้ายที่เหลืออยู่ เขานิ่งอยู่นานจนฉันสงสัยว่าฉันหรือเขากันแน่ที่กำลังจะโดนประหาร

"เธอรู้ใช่ไหมว่าตระกูลของเรารู้จักกันมานานแล้ว"

...จะมารื้อฟื้นอะไรกันตอนนี้… นั่นคือสิ่งที่ฉันคิด

แล้วทิมก็พูดสิ่งที่ทำให้ฉันประหลาดใจ ทิมสารภาพว่าฉันคือรักแรกของเขา

มันผิดกาลเทศะเหลือเกิน กับคนที่กำลังจะตายอยู่รอมร่อ แถมคน ๆ นั้นยังอยู่ในฐานะภรรยาของเพื่อนสนิท

พวกเราสองคนรู้จักกันมานานแล้ว แต่พวกเราไม่เคยได้พูดคุยอะไรกันมาก ฉันจึงไม่รู้ตัวเลยว่าเขาสนใจฉันอยู่ ทิมบอกว่าเขาประทับใจวิธีการคิด วิธีการมองโลกของฉันที่เขาไม่เคยเห็นจากผู้หญิงคนใดมาก่อน ก็แน่ล่ะฉันจะเหมือนคนอื่นได้ยังไงก็ฉันไม่ใช่คนของโลกนี้แต่ดั้งเดิม

ฉันควรจะโกรธทิมที่มารู้สึกอะไรแบบนั้นกับภรรยาคนอื่น แต่ก็ไม่ ถ้าจะมีอย่างเดียวที่ฉันโกรธก็คงเป็นที่เขาเพิ่งมาบอกอะไรเอาป่านนี้ มันสายไปแล้วไม่ใช่เหรอ

ทิมสารภาพต่อ ตั้งแต่เขารู้ว่าฉันเริ่มคบหากับเมซ เขาก็ตัดสินใจจะไม่แพร่งพรายเรื่องนี้ให้ใครรู้ มันจะเป็นความลับที่เขาเก็บไว้และนำมันฝังไปกับร่างของเขาในวันสุดท้ายของชีวิต แต่เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นกับฉันและครอบครัวมันทำให้เขารู้ตัวว่าไม่มีอะไรน่ากลัวไปกว่าการจากลาทั้งที่ยังมีสิ่งค้างคาในใจ

"ขี้โกง" ฉันพึมพำ "เล่นพูดเรื่องที่อยากพูดอยู่คนเดียว"

ทิมยิ้มเจื่อน ๆ

ฉันเคยคิดว่าถ้าคนเราระลึกชาติได้ ความทรงจำที่น่ากลัวที่สุดก็คงเป็นความทรงจำก่อนที่เราจะจบชีวิตลง มันเป็นโชคดีเหลือเกินที่ฉันไม่มีความทรงจำเหล่านั้นเลย เรื่องสุดท้ายที่ฉันจำได้คือรอยยิ้มทั้งน้ำตาของทิม ฉันนอนหลับไปอย่างสงบโดยไม่เหลือความทรงจำน่ากลัวที่จะเกิดขึ้นในวันต่อมา

ฉ ันรู้ว่าตนถูกประหาร พร้อมกับเมซและครอบครัว นั่นคือเรื่องที่ฉันรู้จากความรู้สึกไม่ใช่ความทรงจำ

[สกิลโอกาสในการเริ่มชีวิตใหม่ทำงาน]

[กำลังทำการย้อนเวลากลับไปในวัยสิบหกปี]

"สกิลทำงาน? สิบหกปี? นั่นมันก่อนที่จะฉันจะได้เจอเมซใช่ไหมเนี่ย"

ฉันแน่ใจว่าตื่นขึ้นมาในวันเดียวกับที่ถูกส่งมาเกิดใหม่ ถูกส่งกลับมาอยู่ในอายุสิบหกอีกครั้ง

นี่ฉันหนีรอดจากความตายมาได้แล้วเหรอนี่

ก่อนที่จะใช้เวลากับความยินดีที่ได้กลับมามีชีวิต เป็นอิสระจากเมซ หรือได้ท่านพ่อท่านแม่กลับมา ฉันมีเรื่องข้องใจที่อดทนรอต่อไปไม่ได้และต้องตรวจสอบให้สิ้นสงสัยก่อน

"หรือว่านี่คือผลของสกิลโอกาสในการเริ่มชีวิตใหม่" ฉันพึมพำขณะที่ตรวจสอบสกิล

[เวสตา เวดดิงตัน Lv. 10]

[คลาส: เวดดิงวิช] [HP 44/44 MP 5/5]

[พลังกาย: 8 ปัญญา: 25 ว่องไว: 8 ทนทาน: 12 เสน่ห์: 59]

[สกิล: คำอวยพรแห่งงานสมรส, โอกาสในการเริ่มชีวิตใหม่, ผู้ทรงเสน่ห์ Lv. 29, เจรจาหว่านล้อม Lv. 12, นักขุดทอง Lv. 1]

มันมีเรื่องน่าตกใจอยู่สองสามเรื่อง เรื่องแรกคือเลเวลและค่าต่าง ๆ ของฉันเพิ่มขึ้นกว่าเดิม ฉันไม่ได้ทำเรื่องที่เรียกว่าเก็บเลเวลอะไรเลยสักนิด ไม่ได้ไปฆ่าสัตว์ประหลาดหรือรบราฆ่าฟันกับใครแล้วมันเพิ่มขึ้นมาได้ยังไงเนี่ย

ฉันเดาว่ามันอาจจะขึ้นมาในระหว่างการใช้ชีวิตก็ได้ แต่เดี๋ยวก่อนสิ มันไม่สมเหตุสมผลนี่นา ฉันจำได้ว่าตอนที่เห็นค่าพลังของตัวเองครั้งแรกมันคือตอนที่ฉันอยู่ในพิธีแต่งงานกับเมซ และตอนนั้นฉันมีแค่เลเวลหนึ่งเท่านั้น

คำตอบอยู่ในส่วนของสกิล ผู้ทรงเสน่ห์ เจรจาหว่านล้อม และนักขุดทองไม่ใช่สิ่งที่ฉันมีอยู่ตั้งแต่แรก นี่คือหลักฐานว่าฉันไม่ได้แค่กลับมาในจุดเริ่มต้นแต่ยังนำเอาบางอย่างติดตัวมาด้วย

ชีวิตใหม่แตกต่างจากเดิม อาจจะเพราะฉันแข็งแรงขึ้นกว่าเดิม บวกกับความยินดีที่เหมือนกับได้ตื่นจากฝันร้ายอย่างยาวนาน มันทำให้ฉันมีเรี่ยวแรงจนเหมือนจะทำสิ่งใดก็ได้

ในชีวิตแรกสุดฉันทำงานราวกับเป็นทาสของบริษัท มันทำให้ชีวิตที่สองของฉัน ฉันเลิกสนใจพัฒนาตัวเอง แต่ฉันสำนึกแล้วว่ามันเป็นเรื่องที่ผิดพลาด ฉันขอท่านพ่อท่านแม่เข้าเรียน แม้ว่าพวกท่านจะมองว่าผู้หญิงไม่จำเป็นต้องเรียนสูงนักแต่ท่านก็ตามใจฉัน

ฉันเลือกเรียนด้านกฎหมาย สาเหตุเพราะอะไรคงไม่ต้องบอก มันคือเหตุผลจากที่ฉันและครอบครัวเคยถูกปรักปรำจนต้องตายอย่างน่าอนาถ ฉันเลยคิดว่าอย่างนี้คราวนี้ฉันต้องเรียนรู้ในการเอาตัวรอดไว้บ้าง

มีเรื่องสำคัญอีกอย่างที่ฉันเกือบจะลืมไปแล้ว ด้วยค่าพลังของเสน่ห์หรือผลจากสกิลผู้ทรงเสน่ห์ ฉันเปลี่ยนไปเป็นคนละคน ใบหน้าเกลี้ยงเกลาไร้ริ้วรอยจนน่าตกใจ ดวงตาโตขึ้นและเหมือนกับว่าตำแหน่งเปลี่ยนไปเล็กน้อย ริมผีปากเล็กลงแต่ก็ได้รูปมากขึ้น หากมองแยกเป็นส่วนมันเป็นแค่ความเปลี่ยนแปลงในระดับที่ถ้าไม่สังเกตก็จะมองไม่เห็นชัด แต่เมื่อมันเกิดขึ้นพร้อมกัน มันก็ไม่ใช่ใบหน้าเดิมอีกต่อไป

แน่นอนว่ารูปร่างของฉันก็เปลี่ยนไปเช่นกัน ฉันสูงขึ้นเล็กน้อย ส่วนโค้งส่วนเว้าที่เดิมที่ท่านแม่ให้มาน้อยจนน่าน้อยใจก็กลับโดดเด่นจนสะดุดตา พูดชมตัวเองก็กระดากปาก แต่นี่เป็นสิ่งที่ผู้คนพูดกัน ฉันเคยถูกมองเป็นแค่ผู้หญิงจืด ๆ ที่ถึงจะไม่ขี้เหร่แต่ก็ยังไกลจากความสวย แต่ตอนนี้มันไม่ใช่อีกแล้ว

"เฮ้ย นั่น… เห็นหรือเปล่า" ชายคนหนึ่งชี้มาทางฉันขณะที่กำลังรถม้าของฉันกำลังผ่านหน้าเขาไป

"อย่าไปชี้เขาสิวะ"

"ลูกบ้านไหนเนี่ย"

"เวดดิงตันไง ไม่รู้จักได้ยังไงวะ"

เป็นความรู้สึกที่แปลกประหลาด ไม่เคยมีใครมองฉันแบบนี้มาก่อนเลย

ในชีวิตแรกของฉัน ฉันเคยคิดอยากเก็บเงินไปทำศัลยกรรม ไม่ใช่ว่าอยากสวยขึ้นให้คนมาหลงใหลหรอกนะ ฉันแค่อยากรักตัวเองให้มากขึ้นและอยากมีความมั่นใจให้มากขึ้นด้วย

แต่สุดท้ายฉันก็ตัดใจ บอกตามตรงว่าฉันกลัวเจ็บและกลัวว่าถ้าทำออกมาแล้วไม่ดีจะต้องมานั่งเสียใจทีหลัง

ดังนัั้นการที่สามารถสวยขึ้นได้ด้วยสกิลหรือค่าเสน่ห์เนี่ย จึงเป็นสิ่งที่ฉันดีใจเป็นที่สุด

หลังเข้าเรียนที่โรงเรียนกฏหมาย ฉันไม่ได้สนิทกับเพื่อนกลุ่มเดียวกับชาติก่อน มันกลายเป็นสาเหตุที่ฉันไม่ได้เจอเมซในแบบที่เคยเจอด้วย

ฉันพบเมซอีกครั้งในวัยยี่สิบสองปี เป็นช่วงเวลาที่ฉันควรจะตายไปแล้วในชาติก่อน สิ่งที่ต่างกันอย่างสิ้นเชิงคือฉันไม่รู้สึกอะไรกับเขาเลยแม้แต่นิด ไม่มีความโกรธ เกลียด สมเพชหรือความรู้สึกด้านดีเหลืออยู่ เป็นความรู้สึกเหมือนการได้พบเพื่อนสมัยเด็กที่เคยสนิทแต่พอมาเจอกันอีกครั้งมันก็ไม่ได้ต่อกันติดเหมือนเดิม

เป็นเรื่องที่ดีสำหรับฉัน หากยังโกรธอยู่บางทีมันอาจจะเพราะฉันยังมีเยื่อใยก็ได้

ข้อดีของการได้เจอเมซ มันคือทำให้ฉันได้คุยกับทิมอีกครั้ง แล้วคราวนี้ฉันไม่รอให้เขาเป็นฝ่ายเริ่ม

อาจจะน่าอายนิดหน่อย แต่ฉันที่แหละเป็นฝ่ายจีบเขา

ทำไมถึงเป็นทิมเหรอ ทำไมถึงเป็นทิมไม่ได้ล่ะ ในชาติก่อนเขาคือคนสุดท้ายที่อยู่กับฉันจนวินาทีสุดท้าย และเขาก็รักฉันมานานแล้วด้วย ทิมเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดไม่ใช่เหรอ

ถึงจะไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้ก็ตาม แต่เขารวยมาก มากชนิดที่ต้องลากเสียงยาว ๆ เลย

ฉันอาจจะไม่ได้รู้สึกกับทิมเท่ากับที่เคยรู้สึกกับเมซ แต่ฉันก็มั่นใจว่าครั้งนี้ฉันเลือกได้ถูกต้อง ทิโมธี แบ๊ครอฟไม่ใช่คนที่จะทำให้ฉันเสียใจ

ปัญหาคือมีแค่ทิมที่คิดแบบนั้น แม่ของทิมไม่เคยชอบฉันเลย

ท่านแม่ของทิมอยากให้เขาตบแต่งกับลูกขุนนางหรือไม่ก็ตระกูลที่ร่ำรวยกว่าฉัน ในสายตาของหล่อนฉันเป็นแค่ผู้หญิงสวยและอวดดี

"ผู้หญิงเรียนกฎหมายเนี่ยนะ" เป็นประโยคแรก ๆ ที่หล่อนพูดและฉันยังจำได้ถึงบัดนี้

...ช่างปะไร ฉันจะแต่งงานกับลูกของคุณ ฉันไม่ได้แต่งกับคุณเสียหน่อย อยากเกลียดฉันก็ช่าง…

โชคดีที่ท่านพ่อของทิมเอ็นดูฉันมาก อย่างที่เคยเกริ่นเอาไว้ ตระกูลของฉันและตระกูลของทิมมีสัมพันธ์อันดีมาหลายรุ่น ท่านพ่อของทิมและท่านพ่อของฉันก็สนิทสนมกันในระดับหนึ่ง แม้ท่านแม่ของเขาจะพยายามขวางแต่เขาก็ไม่สามารถห้ามเราได้

ในที่สุดพวกเราก็ได้แต่งงานกันสมใจ

ฉันเกือบจะลืมไปแล้ว แต่เสียงที่มีแค่ฉันที่ได้ยินก็ดังขึ้น

[เงื่อนไขครบถ้วน คำอวยพรแห่งงานสมรสเริ่มทำงาน]

[กำลังทำการสร้างสกิลใหม่จากคู่สมรส]

[คุณได้รับสกิลคลังพกพา]

[คุณได้รับสกิลวิเคราะห์ไอเท็ม]

[คุณได้รับสกิลค้าขาย] (ดูรายละเอียดเพิ่ม)

อันที่จริงสกิลของทิมนั้นมีมากกว่านี้มาก แต่ส่วนใหญ่มันเป็นสกิลย่อยที่ถูกรวมไว้ในสกิลค้าขาย เช่นสกิลเศรษฐศาสตร์ สกิลการเงิน หรือสกิลการทำบัญชี ซึ่งหลาย ๆ สกิลเป็นสิ่งที่ฉันรู้มาจากความรู้ในชาติก่อน แต่การที่มีสกิลก็ช่วยให้ฉันเข้าใจเกี่ยวกับการค้าขายในโลกนี้มากขึ้น

สกิลวิเคราะห์ไอเท็ม เป็นหนึ่งในทักษะที่ทิมใช้อยู่ตลอด ทิมมีความรู้เกี่ยวกับข้าวของมากมายในโลกนี้ ทั้งของโบราณ งานศิลปะ สิ่งประดิษฐ์ เขาอาจจะไม่ลงลึกด้านใดด้านหนึ่งแต่เขาก็มีความรู้อยู่มาก ส่วนหนึ่งอาจจะมาจากสกิลวิเคราะห์ไอเท็มที่เขาใช้โดยไม่รู้ตัว

มันทำให้ฉันนึกขึ้นได้อีกเรื่อง ที่เมซมีความรู้รอบตัวเยอะบางทีอาจจะเกี่ยวกับทิมก็ได้ ไม่ว่าจะเจออะไรทิมก็ติดนิสัยชอบเล่าเกี่ยวกับสิ่งนั้น เมซคงจะซึมซับความรู้มาจากทิมนี่เอง

สกิลสุดท้ายเป็นสิ่งที่ใกล้เคียงกับเวทมนตร์ที่สุดที่ฉันเคยพบ มันคือคลังเก็บของแบบพกพานั่นเอง สกิลนี้เป็นสกิลระดับแรร์ที่น้อยคนนักจะครอบครอง น่าเสียดายที่ทิมไม่เคยรู้ตัวหรือพยายามฝึกใช้มันมาก่อน

ฉันแน่ใจว่าสักวันมันจะมีประโยชน์ ไม่เพียงแค่แสดงให้ทิมเห็นฉันยังพยายามสอนให้เขาสามารถใช้มันได้ด้วย ซึ่งกว่าเขาจะทำได้มันก็เป็นเวลาอีกหลายเดือนต่อมา

ทิมไม่ได้บอกเรื่องสกิลนี้กับใครเลยแม้แต่ท่านแม่ของเขา โลกนี้คนที่มีสกิลมีอยู่มากมาย แต่เพราะว่ามันเป็นสิ่งที่พวกเขามองไม่เห็นนี่แหละ จึงไม่ใช่ทุกคนที่ใช้มันเป็น คนส่วนใหญ่ในโลกนี้ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสกิลที่พวกเขามีคืออะไรบ้าง

ทิมเป็นทั้งหุ้นส่วนรายใหญ่และประธานของบริษัท เขาไม่ได้มีหน้าที่อะไรที่จะต้องมาเกี่ยวข้องกับการขนส่งสินค้า แต่เมื่อทิมเข้าใจความลับของสกิลตนเองเขาก็เริ่มเปลี่ยนความคิด

คลังพกพามีข้อดีมากมายหลายอย่าง ข้อแรกมันไม่มีขีดจำกัดในด้านความจุ หรืออย่างน้อยที่สุดฉันและทิมก็ยังไม่เคยไปถึงจุดที่เป็นขีดจำกัดนั้น อะไรก็ตามที่มนุษย์สามารถเคลื่อนย้ายได้ มันก็สามารถถูกเก็บลงในคลังพกพาได้ทั้งนั้น

ข้อสองคือเรื่องน้ำหนัก การขนส่งสินค้าไม่ใช่ต้องคำนึงถึงขนาดเท่านั้น น้ำหนักเองก็เป็นสิ่งที่สำคัญ แต่เรื่องเหล่านี้หมดไปทันทีด้วยสกิลนี้

ข้อสุดท้ายและเป็นสิ่งที่สำคัญที่ฉันเองก็เพิ่งค้นพบ คลังพกพานั้นสามารถคงสภาพของทุกอย่างไว้ได้อย่างสมบูรณ์ อาหารที่นำไปเก็บลงคลัง แม้ว่าจะผ่านไปนานขนาดไหนจะยังคงความอุ่นและความสดเหมือนครั้งสุดท้ายที่มันถูกเก็บลงไป หากจะบอกว่าเวลาในคลังนั้นถูกหยุดลงก็คงจะไม่ผิดนัก