ตอนที่ 14 แค่ขอทานคนหนึ่ง
ทั้งสองคนเดินตามกันไป เพราะคำเตือนของหลิงโม่หาน แม้เธอจะเดินตามก็อยู่ห่างจากเขาถึงสามก้าว และเธอก็รู้ว่าท่านอาผู้นี้ไม่อาจใกล้ชิดสตรีเพศ มิเช่นนั้นพอถูกเธอจูบโดยไม่ทันระวัง คงไม่หมดสติไปอย่างรับไม่ได้เช่นนั้นหรอก
ถึงแม้เธอจะไม่ค่อยสบายใจ แต่ถึงอย่างไรอีกฝ่ายก็เป็นท่านอาที่อายุค่อนข้างมากผู้หนึ่ง เรื่องผ่านไปแล้วจะพูดถึงอีกก็ไม่ดีนัก ต่างฝ่ายจะได้ไม่กระอักกระอ่วนใจกันไปเปล่าๆ
แต่สิ่งที่ทำให้อารมณ์ของเธอค่อยๆ ดีขึ้นคือ เมื่อยิ่งเดินเข้าไปด้านใน ตลอดทางที่ตามเขาอยู่ด้านหลังก็เก็บยาทิพย์ได้ไม่น้อยเลย สมุนไพรชนิดนี้จะมีพลังวิญญาณอยู่ แม้เป็นเพียงพวกยาทิพย์ที่เห็นได้ค่อนข้างบ่อย แต่ก็ทำให้อารมณ์ของเธอยิ่งเบิกบานขึ้นมา
เอ๋? นั่นมันสามแฉกแดง? เป็นยาทิพย์ที่ใช้รักษาแผลภายนอกได้ดีที่สุดนี่
พอเห็นต้นยาทิพย์ที่เติบโตอยู่กลางพุ่มวัชพืช เฟิ่งจิ่ววิ่งระรื่นเข้าไปและขุดเก็บมันมาอย่างระมัดระวัง ถึงอย่างไรต้นสามแฉกแดงก็เป็นยาทิพย์ที่มีมูลค่าเทียบเท่าเงิน ยาทิพย์แบบนี้จะพบอยู่แค่ด้านในของป่า หากอยู่เพียงรอบนอกก็ไม่อาจได้พบเห็น
ความจริงแล้วยาทิพย์พวกนี้เหมือนกับยาสมุนไพรล้ำค่าที่เธอรู้จักในยุคศตวรรษที่ 21 ไม่ว่าจะชื่อยาหรือรูปลักษณ์ของยาทิพย์ก็ล้วนเหมือนกันทุกกระเบียดนิ้ว มีแค่อย่างเดียวที่ไม่เหมือนกันคือที่โลกนี้จะฝึกฝนพลังวิญญาณและพลังเร้นลับ หนำซ้ำสมุนไพรส่วนใหญ่ก็เป็นยาทิพย์ สรรพคุณของมันจึงยิ่งโดดเด่น
“ฟิ้ว!”
ในตอนนั้นเอง มีเสียงดังฟิ้วที่รวดเร็วรุนแรงพุ่งมาทางเธอ เฟิ่งจิ่วที่ขุดยาทิพย์อยู่อย่างระวังหลบออกไปด้วยความว่องไวโดยที่ยังไม่เงยหน้า ต้นสามแฉกแดงถูกเธอขุดขึ้นมาไว้ในกำมือแล้วในตอนนี้
หลิงโม่หานที่อยู่ด้านหน้าได้ยินเสียงก็หันกลับไปมองทันที มือที่อยู่ข้างกายยกขึ้นน้อยๆ เมื่อลูกศรดอกนั้นยิงไปหาขอทานน้อย ทว่าพอเห็นนางหลบได้ฉับไว เขาจึงดึงมือกลับอย่างสงบเยือกเย็น แล้วมองไปทางคนที่มาจากอีกด้านหนึ่ง
ยามนี้เฟิ่งจิ่วกำลังมองลูกศรคมกริบซึ่งปักอยู่ตรงที่เธอเพิ่งนั่งเมื่อครู่ ถ้าเมื่อครู่หลบได้ไม่เร็วพอ ลูกศรนี้คงพุ่งมาโดนร่างเธอแล้ว
สำหรับการปองร้ายที่ไร้เหตุผลเช่นนี้ ริมฝีปากของเธอแย้มรอยยิ้มไม่มีพิษภัย ทว่ามองผู้มาเยือนด้วยดวงตาที่ไม่มีรอยยิ้มอยู่แม้แต่น้อย
คนพวกนั้นคือกองกำลังที่มีกันประมาณยี่สิบคน หัวหน้าเป็นชายวัยกลางคนท่าทางสุขุม ผู้ที่ตามมาข้างกายคือชายหนุ่มอายุราวๆ ยี่สิบกับสาวน้อยวัยประมาณสิบห้าสิบหก กลุ่มคนด้านหลังต่างสวมเครื่องแบบคล่องตัวเหมือนๆ กัน คลับคล้ายว่าจะเป็นสมาชิกของสักตระกูล ดูๆ แล้วเหมือนจะเป็นตระกูลหนึ่งที่ออกมาฝึกวิชา
หลังจากพินิจมองคนเหล่านั้นโดยไม่พูดไม่จาแวบหนึ่ง สายตาของเฟิ่งจิ่วจับจ้องไปที่ร่างของสาวน้อยผู้นั้น เห็นว่านางสวมชุดกระโปรงเกาะอกผ้าโปร่งบางสีชมพู เนินอกอวบอิ่มที่โผล่ออกมาเกินครึ่งช่างทรงเสน่ห์ เอวเล็กๆ ก็บีบรัดเสียจนดูเพรียวบางอ่อนช้อย ทว่าดูจากคันธนูดำในมือกับลูกศรที่ด้านหลัง ชัดเจนมากว่านางคือคนที่ยิงลูกศรดอกนั้นมา
“ส่งต้นสามแฉกแดงมาเสีย!”
สาวน้อยผู้นั้นมองเฟิ่งจิ่วที่เนื้อตัวสกปรกด้วยแววตาหยิ่งผยอง พร้อมพูดอย่างดูถูกว่า “ขอทานไม่ไปนั่งมุมถนน ซ้ำยังกล้าวิ่งเข้ามาหาที่ตายถึงในนี้อีก ใช้ชีวิตจนเบื่อแล้วจริงๆ สินะ!”
สายตามองประเมินโดยไม่ปิดบังของเฟิ่งจิ่วกวาดมองที่ร่างนาง ก่อนที่เธอจะกล่าวด้วยน้ำเสียงเหยียดหยามเลียนอย่างอีกฝ่าย “แล้วเจ้าไม่ไปอยู่ที่เรือนอี้หง[footnoteRef:1] กลับวิ่งมาอวดเนื้อหนังถึงป่าเก้าหมอบ อยากจะยั่วยวนใครกัน?” [1: เรือนอี้หง คือที่พำนักของเจียเป่าอวี้จากเรื่อง ‘ความฝันในหอแดง’ อยู่ภายในอุทยานต้ากวนซึ่งเป็นสถานที่ที่คุณหนูและสตรีของตระกูลอยู่ร่วมกัน
]
เฟิ่งจิ่วพูดออกมาเช่นนี้ มุมปากของหลิงโม่หานด้านหน้าก็กระตุกเล็กน้อย เขาส่ายหัวกับตัวเอง ‘นางใช่ผู้หญิงเสียที่ไหน ก็เป็นอันธพาลอยู่ชัดๆ’
เมื่อคนทางด้านของสาวน้อยได้ยินกลับมีท่าทีเย็นชา สายตาแต่ละคู่ที่มีจิตสังหารจับจ้องอยู่บนร่างเฟิ่งจิ่วราวกับกระบี่คม มีเพียงชายวัยกลางคนกับชายหนุ่มที่ยังมีท่าทีเช่นในตอนแรก เพียงแค่แววตาของทั้งสองที่มองเฟิ่งจิ่วเหมือนกำลังมองคนตายก็ไม่ปาน...
“เจ้ามันรนหาที่ตาย!”
…………………………….……………………….