webnovel

ห้องเรียนพิเศษ (2/2)

ถูกส่งเข้าห้องเรียนพิเศษตามระเบียบ

อดข้าว คุกเข่านอกอาคารในคืนฝนตก โดนไม้หวายหวดขาลาย คัดลายมือหนึ่งพันหน้ากระดาษ

ห้องล้างสมองถือว่าเบาเมื่อเทียบในด้านความทรมาน แต่ติดห้าอันดับบทลงโทษที่แย่ที่สุดที่นาวีเคยเจอ เหตุผลมาจากสถานที่ล้วน ๆ

ห้องนี้เป็นส่วนหนึ่งของตึกขังเดี่ยว ตั้งอยู่ในหมู่อาคารของผู้ป่วยหนักอีกที ศูนย์รวมของคนบ้าที่ยิ่งกว่าคนบ้า ตอนโดนการ์ดลากผ่านแนวลูกกรง เด็กหนุ่มพยายามไม่สบตาคนรอบข้าง พยายามไม่มองใคร แต่ก็มักจะมีพวกขี้เบื่อที่กระแทกประตูเหล็กดังปังอย่างข่มขวัญ แถมหัวเราะชอบใจเมื่อเห็นอาการหวาดกลัวของเขา

ทั้งคนประหลาดที่ร้องโหยหวนตลอดเวลา คนหลุดโลกที่ลากสีแดงวาดรูปนามธรรมไว้เต็มผนัง คนน่าขนลุกที่อ้อนวอนเสียงแหบแห้งไม่หยุดหย่อน

"ได้-ได้โปรด…คืนมา-คืน มะ-มาา"

"เงียบโว้ย!"

ผู้คุมตะโกนด่าดังลั่น อีกคนที่เดินคู่กันมาสบถเห็นด้วย

"พวกเวรนี่ ห่าจิก ย่าน่าจะฆ่าทิ้งซะให้หมด"

เด็กหนุ่มถูกเหวี่ยงตัวเข้าไปในห้องมืดและเงียบ แต่เมื่อมีผู้ใช้งาน ภาพเคลื่อนไหวชุดหนึ่งก็ถูกฉายผ่านจอหนาหนักจนห้องสว่าง เสียงจากลำโพงดังอึกทึก ดึงดูดสายตาให้จ้องมันโดยอัตโนมัติ

ภาพยนตร์สั้นแค่ไม่ถึง 15 นาทีแต่ถูกเปิดฉายเล่นใหม่ซ้ำไปซ้ำมา ล้างสมองทั้งวันทั้งคืนจนหลอน ถึงเขาจะหันหลังไม่มองหรือนอนหลับไป ก็จะมีเสียงหวูดดังสนั่นสุ่มเปิดปลุกอยู่เนือง ๆ กันผู้ถูกลงโทษหนีด้วยนิทรา

จากประสบการณ์ นาวีรู้ว่าดิ้นรนไปก็ไม่ช่วยอะไร ยิ่งโวยวายยิ่งเปลืองพลังงาน การทุบประตูหนีมีแต่จะเจ็บมือ การเข้าไปทำลายเครื่องเล่นก็เหนื่อยเปล่า ดีไม่ดีจะโดนเพิ่มบทลงโทษมากกว่าเดิม การทนรับสภาพอยู่เฉย ๆ ดีที่สุดแล้ว

ภาพหญิงสาวลูบหน้าท้องนูนโต ฉากคลอดลูกเร้าอารมณ์ซึ้ง ตัดด้วยมารดาอุ้มทารกน้อย ภาพคู่รักนั่งปิกนิกในสวนสวย ครอบครัวพ่อแม่ลูกที่ย้ำเตือนว่ามาตรฐานของความสุขคืออะไร

นาวีเบือนหน้าหนี

เสียงเด็กร้องไห้จ้า เสียงดีดนิ้วเป๊าะ เสียงก่นด่าประณามให้เกลียดชังตัวเอง ฟังคล้ายมีคนมาตะโกนใส่หูจริง ๆ จนนักโทษเผลอหันมอง

ผู้หญิงอ้อนแอ้น อ่อนน้อม น่าปรารถนา แสดงในสื่อการสอนด้วยฉากเลี้ยงลูกทำงานบ้าน ผู้ชายบึกบึน เด็ดเดี่ยว บทบาทผู้เข้มแข็งคู่กับฉากใช้กำลัง ชกต่อย โชว์สัญชาตญาณอยากเอาชนะ

เงาร่างหนึ่งเหวี่ยงหมัดใส่อันตรายเพื่อเขา เงาเดียวกันนั้นยังเคยนั่งหมิ่นเหม่บนกระต่ายขูดมะพร้าวตัวจิ๋ว

เสียงของผู้เลี้ยงดูไพเราะ คู่กับอารมณ์อ่อนไหว ร้องไห้ง่าย ต้องให้ผู้มั่นคงกว่ากอดปลอบ จับมือ—สัมผัสผิวหนังเย็นเฉียบ—ผู้ชายก้าวร้าว ชอบการแข่งขัน ไร้น้ำตา

"??"

นาวีขมวดคิ้วไม่เข้าใจ ภาพยนตร์สั้นมีภาพแทรกที่เขามั่นใจว่าไม่เคยเจอมาก่อน แต่เมื่อนักโทษเพ่งมองอีกทีฉากกลับเปลี่ยนไปแล้ว สติชั่ววูบถูกรบกวนแตกกระเจิงในพริบตา

หญิงสาวแสนสวยอุ้มเด็กอยู่ข้างหลัง เธอร้องไห้ พยายามปลอบลูก ชายหนุ่มหล่อเหลาต่อสู้กับแก๊งอันธพาลด้วยมือเปล่า ดวงตากล้าหาญไม่แสดงความอ่อนแอ อัดศัตรูเลือดสาดโดยไม่กะพริบตา

เหวี่ยงหมัดลงหัวคนร้ายซ้ำ ๆ

แขนแข็งแกร่งโอบร่างบอบบางไว้ในอก เธอมองเขาด้วยสายตาหลงใหล นี่ล่ะ วิถีชีวิตอย่างที่ควรจะเป็น

___

ตอนโดนลากปีกออกจากห้องเรียนพิเศษ นาวีไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไรแล้ว รู้แค่ว่าหิว ง่วง และปวดหลังไปหมดจากการนอนบนพื้นปูนแข็ง ๆ

สิ่งที่ต้องการคือน้ำสักแก้ว ได้นอนสักงีบ สิ่งที่เจอคือประตูทาสีครีมของห้องผาสุข

"เดี๋ยว ทางนี้มัน—"

รอยไหม้ที่ถูกทาสีทับทำให้ดูแตกต่าง แต่ผู้ที่เคยผ่านเส้นทางนี้ครั้งแล้วครั้งเล่าจำได้ดี

"ยังต้องไปหาย่าอีกเหรอ!"

เด็กหนุ่มเอ่ยเสียงสิ้นหวัง รู้ดีว่าการโดนยายเฒ่าผู้นำศูนย์ตักเตือนเลวร้ายอย่างไร ย่าไม่ได้แย่ ไม่ได้แย่ทางร่างกาย ย่าแค่…มีวิธีบางอย่างที่จะปอกลอกตัวตนแท้จริงของผู้คนออกมา จ้องเข้าไปในดวงตาของเขา อ่านเขาออก ทำให้เขาพูด รู้จักเขาดียิ่งกว่าตัวเขาเองเสียอีก

อยู่กับหล่อนมากเท่าไรยิ่งเหมือนสูญเสียสติสัมปชัญญะเข้าไปทุกที ยิ่งในสภาพที่ถูกจำกัดปัจจัยพื้นฐาน น้ำ อาหาร การนอน ความไม่พร้อมจะทำให้เขาเปิดรับเรื่องที่ไม่ต้องการ หลงลืมเรื่องสำคัญไป สูญเสียบางสิ่งที่ความไม่สบายกายเทียบไม่ติด

ผู้คุมหันหลังกลับเมื่อนักโทษถูกทิ้งลงโซฟาเรียบร้อย ทิ้งเขาไว้กับหญิงชราแค่สองคน

สิ่งที่ดึงดูดความสนใจเด็กหนุ่มที่สุดคือชุดน้ำชาและขนมบนโต๊ะ นาวีรีบเตือนตัวเองไม่ให้เผลอแตะต้อง อาหารไม่ใช่ของจำเป็นพื้นฐานที่จะได้รับเป็นปกติ อาหารคือของขวัญเมื่อทำตัวดี ๆ เชื่อฟัง ลากเส้นเชื่อมระหว่างผู้ควบคุมกับรางวัล จนบางทีก็หลงลืมไปว่าใครกันที่พรากมันไปตั้งแต่แรก

"ยินดีต้อนรับกลับจ้ะ ขนมหน่อยไหมลูก?" หล่อนรับรู้ถึงแววตาหิวโหยของผู้อ่อนเยาว์กว่า ถึงได้หยิบยื่นความภักดีราคาแพงมาให้

นาวีส่ายหน้า กัดริมฝีปากแน่นไม่ให้ตกลงรับยาพิษ

"คราวนี้ฝันถึงอะไรเอ่ย"

"จะด่ายังไงก็ได้แต่ผมไม่ขอโทษพี่แซมหรอกนะ"

"ทำไมล่ะ"

"เขาสมควรโดนแล้ว"

"หืม…ฝันถึงอดีตอีกแล้วสิ?"

"ผมเปล่า—"

เด็กหนุ่มหยุดประโยคเถียงในหัว การรับรู้กลับคืนมา เขาเบนสายตาอึดอัดสำรวจรอบห้อง ข้างนอกแดดส่องเหมือนเดิม แต่ยากจะบอกว่าผ่านไปนานเท่าไรแล้วจากหน้าต่างฝ้า

เขาอยู่นี่ตลอด? พึ่งมาถึงห้อง? ตกใจเพราะเจอยายแก่ที่นึกว่าตายไปแล้ว ไม่สิ พึ่งก่อเรื่องมาแล้วโดนลงโทษต่างหาก หลักฐานคือหูที่ปวดหนึบจากการฟังเสียงดังมานาน ริมฝีปากก็แห้งผาก หิวข้าวหิวน้ำเหมือนไม่ได้กินอะไรมาทั้งวัน

ขนมทองหยิบ ทองหยอด ฝอยทอง เต็มถาดละลานตา กลิ่นนุ่มของชามะลิอบอวล

"หนูคงหิว"

ผู้หยิบยื่นคือผู้ควบคุม แล้วเขาก็น้ำลายสอเหมือนกับหมา เชื่อฟังเจ้าของผู้ให้อาหาร เชื่อฟังคนที่เอาปลอกคอมาสวมให้มัน ค่อย ๆ ถูกฝึกให้เชื่อง ทานเสร็จจนเกลี้ยงเกลาแล้วก็อ้อนวอนเจ้านายให้หยิบยื่นขนมชิ้นใหม่

"ไม่เป็นไรครับ ผมไม่ชอบของหวาน"

"แน่ใจนะ ย่าไม่อยากให้หนูเป็นลมเป็นแล้งไป เราพึ่งจะคุยกันได้ไม่กี่คำเอง"

"เพราะใครล่ะครับ"

"ถ้าหนูไม่ดื้อก็ไม่เป็นแบบนี้หรอกจ้ะ"

หล่อนโยนให้เป็นความผิดเขาอย่างใจร้าย มอบสายตาอบอุ่นที่ไม่ว่าจะมองแมวตัวโปรด มองน้ำชาถ้วยโปรด มองเสื้อไหมพรมตัวเก่ง หรือมองมนุษย์ที่นั่งอยู่ตรงข้ามก็ไม่ต่างกันเลย

"ถ้าย่ายังอยู่ในหลุมก็ไม่เป็นแบบนี้หรอกครับ"

"จินตนาการ…ถึงจะไม่เหมาะสมแต่ก็สะท้อนตัวตนในใจหนู"

เด็กหนุ่มแค่นเสียงเหอะใส่อย่างไร้กาลเทศะ ทั้งเบือนหน้าหนีเอือมระอาบทล่อลวงที่ถูกเล่าใหม่อีกรอบ ไม่ว่าย่าจะพยายามเท่าไรก็จำได้อยู่ดีว่าความจริงเป็นอย่างไร เรื่องที่ทำร้ายพี่แซมมันอดีตตั้งนานแล้ว

เขาในปัจจุบันน่ะ—นาวีตื่นตระหนกเมื่อใช้เวลานานกว่าจะนึกออก

บ้านสวน ไก่ ห่าน ปราสาทลม สามี ลูกที่น่ารักอีกสามคน

"บอกย่าซิว่าเป็นภาพปกติรึเปล่า"

"ปกติหรือไม่ก็ไม่เห็นต้องสนเลยครับ แค่มีความสุขก็พอแล้ว"

ชีวิตเรียบง่าย ครอบครัวอบอุ่น

"อย่างหนูน่ะหรือนาวี หนูคิดว่าเป็นไปได้จริง ๆ เหรอ"

"ย่าไม่ได้อะไรจากการหลอกผม" นาวีโต้กลับเสียงแข็งกร้าว แต่เผลอหลุบตาลงมองนิ้วตัวเองเพื่อความมั่นใจอยู่ดี แหวนแต่งงานบนมือที่โผล่พ้นขอบเสื้อแขนยาวสีขาว สิ่งยืนยันของ 'ป๊า'

ไม่มีแม้แต่รอยแหวน

เด็กหนุ่มสูดหายใจเฮือก เพ่งมองให้วงสีเงินเกลี้ยงปรากฏขึ้นมาอย่างไร้ความหวัง หรือระ-รอยแหวนล่ะ ไปไหน??

ใจเย็นลงก่อน มันหายไปตั้งแต่ตอนผิวเขาคืนสภาพเด็กลงแล้ว รอยแผลเป็นช่วงค่อนชีวิตหลังก็หายไปด้วย ยากจะหาหลักฐานทางกายภาพมาย้ำให้ตัวเองฟัง มีแต่ต้องย้ำซ้ำ ๆ ในใจอยู่นานจนกว่าจะเชื่อ

แบบนี้ไม่ดีเลย เขาไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะเป็นย่า หล่อนสามารถกระพือความสับสนเล็ก ๆ ให้กลายเป็นความจริงได้ง่ายดาย นาวีได้แต่หวังว่าเขาอาจไม่ต้องอยู่ที่นี่นานนัก ด้วยไม่มีทางล้มเลิกจนกว่าคนรักจะปลอดภัยอยู่แล้ว ไม่ว่าหลักฐานชีวิตคู่จะอยู่บนนิ้วหรือไม่ก็ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง

"หาแหวนแต่งงานอยู่เหรอ"

เด็กหนุ่มใจหายวาบ "ก็เพราะลูกน้องย่า!" เขาเสียเวลาไปจังหวะหนึ่งเพื่อนึกเหตุการณ์ "ย่าก็รู้อยู่ว่าทำไม"

"ต้องรู้สิจ๊ะ หนูเล่าให้ย่าฟังเอง ทั้งลูกสาวลูกชายคนเล็กคนโต ทั้งหมดนั่นเลย"

"อย่ามาเสือกกับครอบครัวผมนะ!"

"ครอบครัวเดียวที่หนูมีคือคุณพ่อ"

หล่อนแอบตามสืบถึงบ้านเหรอ ตั้งแต่เมื่อไร ทำไมเขาไม่รู้ตัว แล้วตอนนี้ยังแอบตามอยู่รึเปล่า นาวีนึกอยากจับหัวหล่อนกระแทกโต๊ะหรือผลักลงหน้าต่าง อยากทำลายอันตรายตรงหน้าทิ้งไป การรู้ว่าอุ้งมือเหี่ยวย่นเฉียดเข้าใกล้ลูก ๆ เหมือนเป็นการราดน้ำมันเข้ากองเพลิง

"นาวี กลับมาก่อน" ย่าเรียกด้วยเสียงเห็นอกเห็นใจ แผ่บรรยากาศเย็นเหมือนน้ำ "ลองคิดดูดี ๆ สิ หนูก็รู้ว่าชีวิตมีความสุขเป็นไปไม่ได้ใช่ไหมล่ะ มีแต่ในจินตนาการเพ้อฝันเท่านั้น ไม่ว่าดีแค่ไหนก็ไม่ใช่ความจริง"

"โกหก…" สถานที่นี้ฝึกการโกหกให้เขา แล้วตอนนี้จะมาหลอกโน้มน้าวให้เขาเชื่อเหรอ ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องหลอกลวงทั้งเพ มีหรือนาวีจะไว้ใจสิ่งที่หล่อนพ่นออกมาแม้แต่คำเดียว

ย่าถอนหายใจอย่างผิดหวัง "ความฝันเป็นเวทีของหนู ต่อให้ไม่ถูกต้องยังไงมันก็ไม่ทำร้ายใคร แต่ในความเป็นจริงมีคนอีกมากมายที่เป็นห่วงหนู หวังดีกับหนู ห่วงใยหนูจริง ๆ ลืมความฝันไปไม่ดีกว่าเหรอ"

นาวีไม่ฟังหล่อนอีกต่อไป ปล่อยให้เสียงพร่ำโน้มน้าวเป็นเสียงผึ้งบินน่ารำคาญ ผู้อ่อนเยาว์กว่ากอดอกแล้วหันหนีไปอีกทาง

ของตกแต่งห้องอยู่ในสายตาเขาพอดี รังนกเซรามิกกับนกสีน้ำตาลอ่อนสองตัว ไม่รู้ทำไมรู้สึกว่ามันดึงดูดสายตามาก

"ยังฝังใจกับปมนี้อยู่สินะจ๊ะ" หล่อนลุกไปหยิบมันตั้งลงบนโต๊ะกระจกเตี้ย ๆ ที่กั้นระหว่างคนสองวัย

ประกายสงสัยเล็กน้อยในคราแรกแปรเปลี่ยนเป็นเพลิงผลาญโหมกระหน่ำ นาวีรู้ว่าเขาไม่ควรมอง ไม่ควรฟัง ไม่ควรรับรู้เล่ห์กลของปีศาจ แต่…

โมเดลสูงทำจากเซรามิก ฐานปูนปั้นเลียนแบบกิ่งไม้ประดับด้วยดอกไม้งาม ตรงยอดบนสุดเป็นรังนกที่มีลูกตัวเล็ก ๆ อยู่สามตัว ต่างอ้าปากเรียกร้องให้แม่นกที่เกาะอยู่ขอบรังโน้มลงมาหาพวกมัน พ่อนกเกาะบนกิ่งเหนือรัง กางปีกออกเพื่อปกป้องทั้งสี่ชีวิต

เมื่อย่าเริ่มแนะนำแต่ละตัว ผู้ฟังสัมผัสถึงความคลื่นเหียนที่เริ่มก่อตัวเป็นก้อน

"พี่ใหญ่หลิน น้องตวันคนกลาง ตัวเล็กสุดนี่คงเป็นหม่อนใช่ไหม"

เวียนหัวจนอยากสำรอก

"หนูเข้าใจตั้งชื่อดีนะ"

_____