เมื่อคืนมีพายุเข้ารุนแรง
ท้องฟ้าตอนเช้ามืดยังเป็นสีเทา อากาศค่อนข้างเย็น หมอกขาวปกคลุมทั่วทั้งบ้านและเขตสวนให้ตกอยู่ใต้ความคลุมเครือ
เด็กชายได้ยินเสียงจิ๊บจิ๊บดังไม่หยุดหย่อน เรียกความสนใจให้ผู้ใสซื่อเดินเข้าไปหา เขาเจอต้นกำเนิดในเวลาไม่นาน รังนกจากต้นไม้นอกกำแพงร่วงลงมาในเขตสวน กลิ้งรวมกับกองใบไม้สดที่ถูกวายุพัดโหมมาเช่นกัน
สามชีวิตข้างในรังยังไม่ตาย ลูกนกน้อยยืดคอสุดชีวิตเพื่อร้องขออาหารและร้องเรียกหาพ่อแม่นก ทำทุกอย่างเพื่อให้มีชีวิตอยู่
นาวีกอดอุ้มรังขึ้นมาอย่างทะนุถนอม ก่อนพาเข้าบ้านเรือนไทยเพื่อขอร้องให้แม่บ้านคนแรกที่เจอซ่อมรังให้
"ช่วยไปก็ไม่ได้อะไรหรอกค่ะ แม่นกมันทิ้งรังแล้ว"
"แต่-แต่หนูไม่อยากให้มันตาย"
นายน้อยของบ้านงัดอาวุธหลักอันยากต่อกรขึ้นมาใช้ น้ำตาปริ่ม ๆ จะไหลออกจากดวงตาคู่โต ใบหน้าเล็กเง้างอน่าสงสารจนผู้ใหญ่ยอมช่วยเหลือ แม้รู้ดีว่าทั้งสามชีวิตจะมีจุดจบอย่างไร
พอรอยขาดถูกซ่อมเรียบร้อยด้วยด้ายสีเดียวกัน เด็กชายก็หาทางเอามันไปแขวนบนต้นไม้ต่อ นาวีใกล้ 8 ขวบแล้ว เขาโตพอที่พ่อจะอนุญาตให้ออกไปเล่นในละแวกบ้านได้ ส่วนการปีนต้นไม้สูง…อาจจะไม่ แต่ในเมื่อพ่อไม่อยู่และเหล่าพี่เลี้ยงไม่กล้าดุด่า ร่างเล็ก ๆ ถึงหาทางพาสามชีวิตกลับไปอยู่ตรงกิ่งไม้ได้โดยสวัสดิภาพ
เด็กชายเฝ้ารอตั้งแต่เช้าจนพลบค่ำ วันต่อมาก็ตื่นตั้งแต่ใกล้รุ่งเพื่อมานั่งมองตรงหน้าต่าง เฝ้าดูว่ารังนกเป็นอย่างไรบ้างแล้ว พ่อแม่นกเอาอาหารมาให้ลูกไหม ครอบครัวมันอยู่พร้อมหน้าหรือยัง แต่กลับไร้วี่แววของนกโตเต็มวัยทั้งสองตามที่แม่บ้านคาดการณ์
ลูกนกดูอ่อนเพลียมากเมื่อเทียบกับครั้งแรกที่เจอ เสียงเบาลงจนแทบไม่ได้ยิน บางตัวผงกหัวเซื่องซึมคล้ายจะหลับไปได้ทุกเมื่อ แต่นาวียังไม่ย่อท้อกับธรรมชาติอันโหดร้าย เขาเอาข้าวบดชิ้นเล็กจิ๋วปีนขึ้นต้นไม้ไปด้วย แล้วพยายามป้อนอาหารให้ลูกนกด้วยตัวเอง
ต่อให้ไม่มีปีก ไม่มีจะงอย ไม่มีทางทำได้ดีเท่าพ่อแม่จริง ๆ เป็นแค่มนุษย์ไร้เดียงสา ยังอ่อนแอและต้องให้ผู้ใหญ่มาดูแลเหมือนกัน มีแค่ความห่วงใยที่ยังทำให้เขาดิ้นรนหาทางดูแลนกน้อยต่อไป
ไม่รู้ทำไม…พวกมันตายในสามวันถัดมา
แน่นิ่งไร้เสียงร้อง นอนฟุบหน้าคว่ำลงกับพื้นรัง ตัวเย็นเฉียบเท่าอากาศภายนอก แมลงวันตัวแรกเริ่มบินมาตอม
นาวียังปีนขึ้นไปข้างบนซ้ำ ๆ เพื่อดูว่ามันจะฟื้นขึ้นมาไหม เขายังเด็กเกินกว่าจะเข้าใจความตายอย่างลึกซึ้ง ไม่แน่ว่าลูกนกแค่หลับลึกมาก ๆ หรือเปล่า ถ้าเอาข้าวคุณภาพดีกว่าเดิมให้ดมอาจฟื้นขึ้นมา ถ้าลองจิ้มปลุกอาจจะขยับตื่นก็ได้
เมื่อมดแดงไฟเริ่มขึ้น เด็กน้อยคอยปัดออก เมื่อขนเริ่มหลุดร่วงเป็นขุย เด็กน้อยพยายามแปะกลับที่เดิม เมื่อกลิ่นเริ่มไม่ดี เด็กน้อยไปหาดอกไม้หอมมาใส่ แต่พยายามเท่าไรก็ประสบแต่ความล้มเหลว
ทำไมถึงไม่ร้องอีกล่ะ?
เขาทุ่มเทให้พวกมันน้อยไปเหรอ หรือเพราะตอนนอนละเลยไม่ได้ดูแล ถ้าเฝ้าไว้ตลอดคงจะไม่ตายใช่ไหม…
___
"พ่อบอกว่าเพราะไม่มีแม่นกกกเลยหนาวตาย แล้วพวกนี้เลือกทำรังผิดที่เองถึงได้ร่วงลงมาง่าย ครั้งต่อไปก็ปล่อยมันไว้อย่างนั้นแหละ ไม่ก็ทิ้งลงกองขยะ ช่วยไปก็เสียเวลาเปล่า"
เด็กหนุ่มสรุปเหตุการณ์อย่างเยือกเย็น ก่อนปิดท้ายด้วยน้ำเสียงถากถาง
"จบแล้วครับ"
นาวีใช้พลังงานที่เหลือห้ามตัวเองไม่ให้เอ่ย 'พอใจรึยัง?' ต่อท้าย สำหรับเขาแล้วนี่ไม่ใช่การปรึกษาปมปัญหาหรือสารภาพเรื่องทุกข์ใจเลยสักนิด ในเมื่อผู้รับฟังเป็นยายแก่ผีที่ไม่น่าเปิดเผยความทรงจำให้สักเสี้ยว
ย่าเลื่อนจานใส่ขนมตาลมาให้อย่างอนุญาต มืออ่อนแรงรีบฉวยก้อนขนมขึ้นทานรวดเร็ว นาวีไม่รู้ว่าครั้งสุดท้ายที่มีอะไรตกถึงท้องมันนานเท่าไร หรือครั้งต่อไปที่จะมีอะไรตกถึงท้องมันอีกนานเท่าไร น้ำขึ้นเมื่อไรถึงต้องรีบตักเข้าปาก
เด็กหนุ่มทานเร็วจนเศษมะพร้าวร่วงเปื้อนตัก สีขาวแบบเดียวกับกางเกงผู้ป่วย
"เป็นคำพูดที่โหดร้ายมากนะ หนูพึ่งอายุเท่าไรเอง"
คนถูกถามงึมงำคำว่า เจ็ด แปด เก้า ต่อด้วยจำไม่ได้ทั้งที่มีขนมอยู่เต็มปาก ย่าถึงนิ่งเงียบไปเพื่อให้เขาทานจนเสร็จเรียบร้อย หล่อนรินน้ำจากเหยือกใส่แก้วส่งให้ด้วยความใจดี
"ธรรมชาติก็โหดร้ายแบบนี้ ยังไงมนุษย์ก็ไม่มีทางเป็นนกได้อยู่แล้ว ไม่ใช่ความผิดของหนูหรอกจ้ะ"
ขนมตาลสี่ชิ้นกินพื้นที่ได้ไม่ถึงหนึ่งในสี่ของกระเพาะอาหาร นาวีเลยดื่มน้ำตามเยอะ ๆ จนหมดเหยือกเพื่อเพิ่มน้ำหนัก หวังให้ความรู้สึกหนักท้องช่วยดับอารมณ์หิวอันรบกวนจิตใจสักนิดก็ยังดี
เศษมะพร้าวบนจานยังเหลืออยู่ เศษมะพร้าวบนตักก็ยังมี ไหนจะบางส่วนที่ตกถึงพื้นอีก ยิ่งมองยิ่งถูกความเสียดายเข้าจู่โจมไม่หยุด จนกระทั่งเห็นว่าแมวขาวมาเก็บกินเศษซากบนพื้น พฤติกรรมของมันหยุดเขาไม่ให้ลงไปทำท่าทีตะกละตะกลามได้ชะงัด
เมื่อสิ่งรบกวนเริ่มบางลงแล้ว นาวีมองมือตัวเองอย่างเคยชิน ผิวซีดเซียวเปื้อนเหงื่อมัน เล็บฉีกน่ากลัว พอยกแตะพบริมฝีปากแห้งผาก ความเจ็บแสบพุ่งขึ้นสวนทางกับบรรยากาศสุขสบายที่เริ่มจางหาย ถูกแทนด้วยความทรมานทางสังขาร
"หนูอยากทานเพิ่มเหรอ"
นาวีเพ่งมองหล่อนอย่างงุนงง เขาควรจะโกรธ…ใช่ไหม? หากเขาไม่ได้ความจำเสื่อม ต้นเหตุของความเจ็บปวดหิวกระหายก็คือหล่อน แต่บางทีมันยากจะนึกถึงในสภาพท้องว่าง นอนไม่หลับ ขาดน้ำ และสับสนกับทุกสิ่ง
เด็กหนุ่มเริ่มหายใจผิดปกติ เพ่งมองมือบางซีดเซียวเหมือนอยากให้อะไรบางอย่างปรากฏขึ้นมา แมวสีขาวรีบกระโดดขึ้นตักอย่างแสนรู้
ขนขาวล้วน ยกเว้นเส้นสีดำลากตรงสันจมูกและจุดแต้มสองแห่งตรงฐาน หน้ามันคุ้น ๆ เหมือนแมวที่บ้าน
บ้านที่นึกถึงไม่ใช่หมู่เรือนทรงไทย แต่เป็นบ้านกึ่งไม้กึ่งปูนห้อมล้อมด้วยสวน ด้านหลังเป็นลำคลอง ถัดไปอีกเป็นทุ่งอ้อยกว้างขวาง
นาวีผุดลุกขึ้นทันที
เขายืนแรงเร็วเกินจนแมวโดดแผล็วลงไป ทั้งได้ยินเสียงบางอย่างตกพื้น แต่หน้ามืดจนแทบไม่ได้รับรู้ ขาอ่อนแรงใกล้ยืนไม่อยู่ มือสั่นจับพนักพิงของโซฟา บังคับให้ตัวเองใช้ความคิดสำรวจหาความจริงอย่างเร็วที่สุด สิ่งที่จำได้สุดท้ายคืออะไร? เขาโดนลงโทษ เขาชกใครสักคน งั้นมองเช็กรอยแผลตรงมือก่อน—ไม่มี
"เดี๋ยว ไม่-ไม่ มันไม่จริง"
แหวนล่ะ
"ไม่มีอะไรอยู่ตรงนั้นหรอก หนูฝันกลางวันอีกแล้วเหรอ"
"ย่าทำร้ายเขา!"
ร่างหนัก ๆ ล้มลงเหมือนหุ่นเชิดเอ็นขาด
"ย่า…ย่าทำฉัตรหมดสติ"
"ได้ยังไงกัน ย่ายังไม่เคยเจอเขาเลย"
มืออ่อนแรงขยี้ตา เจ็บ ยกขึ้นทึ้งศีรษะสับสน
"ย่าให้ลิ่วล้อใช้พลังจิตควบคุมผม"
"หืม พลังจิตแล้วเหรอ ช่างจินตนาการเสียจริง เรื่องเหนือธรรมชาติแบบนี้ยากจะเชื่ออยู่นะ"
หญิงชราโน้มตัวมาข้างหน้าเล็กน้อย แต่นั่นก็มากพอแล้วให้นาวีผงะหนีจนข้อพับเข่าชนเบาะ พาทั้งร่างล้มลงนั่ง จมอยู่ในกองผ้าห่มและหมอนอิง ไม่ต่างจากนักโทษในกรงอันสุขสบาย
"ไม่ต้องอายหรอกจ้ะ เธอพึ่งจะ 18 เอง หุนหันพลันแล่นกับช่างคิดช่างฝันเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว"
"ผมไม่ใช่เด็กสักหน่อย"
"จากที่ย่าเห็นก็เชื่อได้ยากนะ หนูลองก้มลงมองกระจกตรงโต๊ะดูไหม"
"ผม-ผมเจอเรื่องประหลาด มันเป็นปาฏิหาริย์ต่างหาก ทั้งครอบครัวกลายเป็นเด็กชั่วข้ามคืนไงครับ ตื่นขึ้นมาวันนึงแล้วโดนลดอายุเป็นเด็ก…" นาวีพยายามอธิบายสาเหตุเพื่อเถียงย่า แต่ยิ่งพูดก็ยิ่งเหมือนโม้ ยิ่งตะกุกตะกักฟังไม่รู้ความ
"ลิ่วล้อย่าโทรหาผม แล้ว-แล้วก็—เอาตัวมาที่นี่" พอเอ่ยออกมาแล้วฟังดูน่าตลกจริง ๆ จากผู้ใหญ่ตอนปลายกลายเป็นเด็กน้อยไร้เดียงสา ชี้ไม้ชี้มืออธิบายความเชื่อแฟนตาซีให้ผู้ปกครองฟัง
ย่าฟังยิ้ม ๆ ปล่อยให้หลานวัยสี่ขวบเล่าจินตนาการหลุดโลกโดยไม่เข้าไปขัด ความอบอุ่นเอ็นดูแทบจะกลั่นตัวเป็นน้ำเคลือบดวงตา ยิ่งนาวีพูดออกไปเท่าไรอีกฝ่ายก็มองว่าไร้สาระมากขึ้นเท่านั้น เสียงของเด็กหนุ่มจึงค่อย ๆ เงียบจนหยุดลงในที่สุด
"มันเป็นความฝันของหนูจ้ะ หนูอยากให้เป็นอะไรก็ได้ แต่ย่าชอบฟังนะ มันบอกอะไรได้หลายอย่างเกี่ยวกับหนูเลยล่ะ"
ไม่ ไม่ใช่ฝัน มันคือความจริง ชีวิตจริงของเขา—นาวีกัดริมฝีปากห้ามเถียงอย่างยากลำบาก ต้องไม่ลืมว่าทุกคำของหล่อนมันผิดไปหมด แต่ถ้าเลือกเงียบเพราะไม่สามารถจำเหตุผลโต้กลับได้ เขาก็จะเป็นฝั่งที่เข้าใจผิดเสียเอง
_____