webnovel

บ้านร้าง (3/4)

"ชู่วว…ปลอดภัยแล้ว ไม่เป็นไร"

ถ้อยคำคุ้นเคยกระซิบจากข้างหลัง เสียงปลอบที่เหมือนจะกล่อมให้นอน อ้อมกอดที่ชวนให้พิงจมลงไป

"หนีกัน" อีกฝ่ายลดแขนลงให้นาวีหายใจได้สะดวก แต่ยังคงจับมือเขาไม่ปล่อย แล้วดึงร่างเล็กกว่าให้ตามออกจากที่ซ่อน

เด็กหนุ่มชั่งใจระหว่างปล่อยให้ตัวเองโดนลากตามใจชอบกับสะบัดหนี โลเลด้วยความรู้สึกผิดบาปอับอายอันไม่อาจห้าม ถ้าย่ารู้ต้องถูกโกรธแน่ ถ้าย่ามองอยู่ต้องโดนลงโทษหนัก แต่เท้าไม่รักดีก็ยอมก้าวตามเขาไปเชื่อง ๆ

ร่างสูงตรงหน้าดูน่าสงสัย เขาพยายามใส่เสื้อกันหนาวสีเทาอ่อน ๆ คลุมทับเพื่อกลมกลืน เผื่อต้องเนียนเข้ากลุ่มเจ้าหน้าที่ชุดขาวรึไง? จะดีมากกว่าถ้าเขาเคยเข้ามาคุยกับนาวีสักหน

ความระแวงเอาชนะความรู้สึกดีในที่สุด "จะพาผมไปไหนน่ะ" ผู้สืบทอดทำเสียงคาดเค้น รู้สึกถึงความโกรธปะทุกรุ่น ๆ ข้างในจึงพยายามดึงมือกลับเพื่อรักษาระยะห่าง—ไม่ควรเข้าใกล้ขนาดนี้เลย—ถึงอยากจะจมลงไปในอ้อมกอดเขาก็ตาม

เจ้าหน้าที่เก๊ไม่หยุดเดิน ทั้งยังเร่งพาให้มุ่งหน้าต่อ "หนีก่อนค่อยว่า จะอยู่รอให้พวกตาแดงมันกลับมาเหรอ"

"ก็-ก็อยู่ ๆ คุณโผล่มาจากไหนไม่รู้ เป็นพวกเทวัญรึเปล่า"

"ชู่ว อย่าพึ่ง" ชายน่าสงสัยกระซิบเตือน ไม่สนใจจะฟังคำถามด้วยกำลังมองหาเส้นทางปลอดภัย แววตาระมัดระวังกวาดหาแม้ความเคลื่อนไหวเล็ก ๆ ในความมืด หูฟังแม้เสียงฝีเท้าที่เบาที่สุด

"ไม่ จะพาผม—"

ผู้นำทางรีบปิดปากให้หยุด แล้วดึงร่างเล็กกว่าให้ไปหลบใต้โต๊ะไม้อย่างรวดเร็ว พาเข้าไปเบียดกันในที่แคบ ๆ จนนาวีจมอยู่ในอ้อมกอดผู้ช่วยชีวิต หลังได้ยินเสียงเหยียบเศษขยะบนพื้นข้างนอกถึงไม่มีมือปิดปากเด็กหนุ่มก็ไม่กล้าส่งเสียงอยู่ดี กระทั่งหายใจยังพยายามให้เงียบกริบ

มือใหญ่ทาบอยู่บนแผ่นหลัง ลูบคนที่ตัวสั่นให้สงบลง ดึงให้นาวีจมอยู่กับสัมผัสอื่นจนลืมกลัวไปหมด นาสิกประสาทรับกลิ่นเหงื่อรวมกับกลิ่นอายชวนคิดถึง ดึงให้เขาจินตนาการภาพห้องครัว สนามหญ้า สวนสมุนไพร ต้นไม้ใหญ่แผ่กิ่งก้านสาขา ราวกับได้กลับบ้านอันอบอุ่น

ความรู้สึกง่วงคืบคลานเข้าเชื่องช้า สวนทางกับความเสียหายของร่างกายที่ชัดขึ้น รู้สึกได้ว่าขาอ่อนเพลียหนักอึ้ง เส้นเอ็นและข้อเข่าปวดระบม พลังงานเหือดหายหมดไปจากตัว เหนื่อยจนอยากทิ้งตัวลงอ้อมกอดเขาแล้วเป็นลมมันตรงนี้เลย

"—วี นาวี อย่าพึ่งหลับสิ"

เจ้าของชื่อสลบไปวูบหนึ่งจริง ๆ รู้ตัวอีกทีเขาได้ยินเสียงปลุกร้อนรน แหบต่ำแต่นุ่มน่าฟัง เหมือนส่งมาจากที่แสนไกลแล้วค่อยชัดขึ้นในช่วงท้าย

"ฮึมม?"

เสียงถอนหายใจโล่งอกดังเหนือศีรษะ

"เดี๋ยวออกไปได้เมื่อไรผมให้นอนเต็มที่เลย แต่นาวีจะมาหลับตรงนี้ไม่ได้นะ ช่วยอดทนอีกนิดเดียว"

"อืม…" เด็กหนุ่มส่ายหน้าไล่ความมึน นิทราในอ้อมกอดอบอุ่นอยู่แค่เอื้อมแล้วแท้ ๆ แต่—ไม่ได้ จะหลับไม่ได้ ศัตรูยังป้วนเปี้ยนอยู่แถวนี้

ผู้สืบทอดเบิกตากว้างเมื่อพึ่งนึกได้

"คุณรู้ชื่อผมได้ยังไง" ดวงตาหรี่ลงจับผิด "ใครบอกฮึ แล้วรู้ได้ไงว่าผมอยู่นี่ มี…มีคนในช่วย?" ใช่หมอนี่รึเปล่าที่เกือบจะบุกรุกเข้าห้องผาสุขสำเร็จ

"ผมตามหัวใจมา"

"…"

รอยยิ้มภูมิใจของเขาเป็นสิ่งน่าหมั่นไส้ติดอันดับโลก

"นั่นหน้าต่าง โดดออกไปเล่นข้างนอกไป๊"

เจ้าหน้าที่ปลอมหัวเราะชอบใจเบา ๆ แล้วเหลือบมองออกไปตรงช่องกระจกทางขวามืออย่างชั่งใจ โต๊ะไม้หันหลังให้หน้าต่างฝุ่นจับพอดี แสงดาวจากข้างนอกบ้านผ่านเข้ามาเป็นแสงสลัว ขับให้รอยยิ้มของเขาดูราวกับมายา

"ผมอยากอยู่ตรงนี้มากกว่า"

นาวีนึกอยากทำหลายอย่างในคราวเดียว ตั้งแต่ลุกขึ้นโดดหน้าต่างหนีเองไปจนถึงเอื้อมตัวขึ้นจูบปิดรอยยิ้มขวางหูขวางตาของเขา แต่ไฟปั่นป่วนกลางอกออกมาในรูปแบบของเสียงแค่นหายใจ

"เหอะ ในสถานการณ์แบบนี้ยังจะหาเรื่องหยอดได้อีก"

"สถานการณ์ไหนก็ได้หมดครับ เตียง ระเบียง หน้าต่าง"

"ใต้โต๊ะล่ะ"

"หืมมม ร้ายนะ คนขี้โมโหเมื่อกี้ไปไหนแล้ว" คู่สนทนาหัวเราะอย่างคาดไม่ถึง แต่น่าเสียดายที่อารมณ์สนุกสนานอยู่ได้เพียงอึดใจเดียว เมื่อแววตาเป็นประกายมองลงตำแหน่งเหนือหน้าผากของเขา บรรยากาศกึ่ง ๆ ผ่อนคลายบินจากไปเหมือนนกทิ้งรัง ทำเอาเจ้าของแผลปวดใจตาม

"เจ็บมากไหม" ผู้ถามปัดเส้นผมอย่างระมัดระวัง มองเหมือนอยากให้แผลย้ายมาอยู่ที่ตัวเอง สลับกับอยากทำลายคนที่ทิ้งรอยไว้ให้เป็นจุณ

"ไม่เป็นไรหรอกน่ะ"

"ทนอีกหน่อยนะ เดี๋ยวเราผ่านสวนหลังบ้านก็จะออกไปข้างนอกได้แล้ว"

"ใครบอกจะไปด้วยฮึ"

ตัดสินจากคิ้วที่ขมวดเป็นปมในพริบตา ผู้ช่วยเหลือไม่ชอบการตัดสินใจของเขามาก จนน่ากลัวว่าจะหุนหันลักพาตัวคนให้จบ ๆ ไปเลยหรือเปล่า "แล้วนาวีจะไปไหนครับ บาดเจ็บขนาดนี้ กลับไปหาไอ้ตาแดงพวกนั้นเหรอ"

"เจออีกก็หนีอีกสิ" เขาเถียงเสียงแข็ง แต่ใจประท้วงว่าแขนขาอ่อนล้าคงเก่งสู้ปากไม่ไหว มันอยากจะนอนพักยาว ๆ มากกว่า

"สภาพนี้น่ะเหรอ"

"มันเรื่องของผม" ถึงอย่างนั้นนาวียังเอ่ยสำนึกบุญคุณตามมรรยาท คำโอหังแฝงไปกับประโยคไล่ "ขอบคุณที่ช่วย แต่ผมมีธุระต้องทำไม่ว่างไปเล่นสนุกหรอกนะ คุณน่ะกลับไปเลย"

"ไหงถึงดื้อเป็นเด็ก ๆ ไปได้"

"คุณมันไม่น่าไว้ใจ"

"ไม่น่าไว้ใจแต่กอดซะแน่นเชียว"

เด็กหนุ่มพ่นลมหายใจหงุดหงิด ทำหน้ามุ่ยไม่พอใจอย่างเด็กประถมโดนครูดุ ซึ่งพิสูจน์ข้อกล่าวหาก่อนหน้าได้ค่อนข้างชัด แต่คิดอีกทีเขาไม่ต้องขออนุญาตจากหมอนี่สักหน่อย ผู้สืบทอดตัดสินใจลุกหนี จบที่หน้ามืดเกือบคว่ำลงไปจูบพื้น ดีที่อีกคนรั้งเอวให้กลับไปนั่งที่เก่าทัน

เด็กหนุ่มรู้สึกย่ำแย่เมื่อข้อเข่าทรยศ เอ็นร้อยหวายลาออกจากงาน กล้ามเนื้อประสานเสียงประท้วง เหนื่อยจนก้าวต่อไปไม่ไหวแล้ว พอได้พักสักครั้งมันรากงอกยึดตึงไปหมด

"เป็นอะไร ตะคริวกินเหรอ ไหนเจ็บตรงไหน"

"ฮื่ออ ไม่รู้" ผู้พูดฟุบลงตำแหน่งเดิม "แค่เหนื่อยมั้ง" รับรู้ถึงอ้อมกอดที่กระชับแน่นขึ้น สัมผัสความรักในการกระทำเมื่ออีกฝ่ายพยายามเอื้อมมือไปนวดเฟ้นจุดอ่อนล้าให้

ใต้ความห่วงใยของเขาคือความเจ็บปวด ใต้น้ำเสียงเหลืออดคือการอ้อนวอนไม่ให้ไป พอเขาค่อย ๆ เอาชายเสื้อส่วนที่สะอาดเช็ดแผลให้ นาวีเหมือนถูกด้ายแดงล่องหนผูกมัดตรึงกับที่

ไม่ได้สิ ผู้สืบทอดไม่ใจอ่อนกับคนที่อาจร่วมมือกับศัตรู ยิ่งเป็นผู้ชายด้วยแล้ว…ถ้าย่ารู้จะว่ายังไง ถึงตรงนี้อยู่นอกขอบเขตพลังก็เถอะ แต่นาวีไม่สามารถสลัดความระแวงได้ทั้งหมด

จะไปหรือไม่ไปดี เขาควรเลือกทางไหนดี คงต้องหาทางทิ้งเขาแล้วกลับไปดูว่ามีอะไรอยู่หลังประตูไม้แกะสลัก ต้องแยกจากเพื่อเป้าหมาย แต่พอนึกถึงผีร้ายพวกนั้นแล้วเขายิ่งอยากอยู่กับอ้อมกอดปลอบโยนตลอดไป

แค่เอียงศีรษะขึ้นไปมองนาวีก็รู้คำตอบ ยังไงผู้ชายคนนี้ก็ไม่มีทางปล่อยเขาไปคนเดียวแน่ เรื่องจะหนีเอาตัวรอดคนเดียว เรื่องจะหวังให้อีกฝ่ายเห็นแก่ตัว เขาคิดน้อยไปเองที่คิดว่าจะไล่สำเร็จ

"พอขยับไหวไหม เราอยู่ตรงนี้นานไม่ได้"

"อื้ม" เด็กหนุ่มเกาะบ่ากว้างเหมือนเป็นเสาค้ำยัน ยอมให้ร่างสูงกว่าพาลุกขึ้นเดินต่อแม้ยังนิ่วหน้าทุกครั้งที่ลงน้ำหนักผิดจุด "ดะ-เดี๋ยว ถ้าผมตกลงไปด้วย คุณต้องตอบคำถามผมทุกข้อ"

"ตกลงเพราะไม่มีทางเลือกนี่เอามาต่อรองไม่ได้หรอกนะครับ" ผู้ช่วยเหลือมีแววตารู้ทัน "ยอมรับเถอะว่าต้องการผม"

การที่สองขาของเขาขยับแต่ละทีเหมือนลุกเป็นไฟ ยิ่งเป็นการยืนยันคำปรามาสของคู่สนทนา

____