webnovel

คู่พรหม

ป๊ามองแล้วแอบอมยิ้มดีใจ ลูก ๆ และแขกของบ้านมานั่งทานมื้อเย็นรวมกันบนโต๊ะอาหาร โต๊ะไม้ยาวขนาดหกเก้าอี้ที่ไม่เคยเต็มและว่างเปล่าเหลือสองคนอยู่พักใหญ่ วันนี้มีคนนั่งจนครบ

แขกของบ้านก็ถือว่าช่วยเหลือดีอะไรดี ช่วยจัดจาน กินเสร็จแล้วช่วยเก็บโต๊ะโดยไม่เกี่ยง ช่วยตักบัวลอยน้ำขิงแจกน้อง ๆ เป็นของหวานทั้งยังเสนอตัวรับหน้าที่ล้างจาน เป็นเด็กดีเลยล่ะ–ถ้าไม่ติดเรื่องสถานะ–คงมองเขาดีกว่านี้ ที่สำคัญคือชมเปาะตั้งแต่คำแรกยันคำสุดท้าย

"ป๊าทำกับข้าวอร่อยทุกอย่างเลย อยู่นี่สักเดือนผมคงตัวแตกแน่ ๆ"

"ข้าวเหนียวมะม่วงก็อร่อยนะ ต่อไหมหนู"

"ท้องจะแตกแล้วครับ" ชายหนุ่มผู้พึ่งทานมื้อใหญ่ ต่อด้วยของหวานสองชนิด ปฏิเสธชนิดที่สามด้วยการส่ายหน้าเป็นพัลวัน

"เดี๋ยวเอ็งนอนในห้องหนังสือนะ ป๊าเขาขนที่นอนมาให้ไว้เรียบร้อยแล้ว"

"ขอบคุณมากครับ"

ตอนนั้นเองที่แด๊ดลูบคางอย่างพึ่งนึกอะไรได้ เอ่ยพร้อมรอยยิ้มนึกสนุก "ไหว้เจ้าที่เจ้าทางก่อนนอนด้วยล่ะ"

"ครับ? เอ่อ ตรงไหนเหรอครับ ตอนเข้ามาผมไม่เห็นว่ามีศาลพระภูมิ"

"หึ ๆๆ แด๊ดมีเรื่องเล่า—"

"โอ๊ยย เรื่องลุงจรัญอีกแล้วเหรอค้าา"

หลินโวยยาวเป็นอันดับแรก ป๊าชั่งใจว่าไปเอาแมวสักตัวมาเกาคอเล่นดีไหม หรือไปเอาปลาเส้นมาแจกหมาแมวฆ่าเวลา เพราะหลังจากนี้จะเป็นเรื่องที่ผ่านการใส่สีตีไข่มาแล้วอย่างน้อยหกสิบครั้ง เล่ากันระหว่างคนในหมู่บ้าน เอามาเล่ากันต่อในบ้าน ฟังจนเลยคำว่าเบื่อไปมากโข เขาหยิบหม่อนผู้ยืนเกาะเปลมองอยากมีส่วนร่วมมาไว้ในอ้อมกอดแทน

"ป๊า หนูง่วง หยุดแด๊ดที" ขนาดตวันผู้เงียบ ๆ ยังเอ่ยปากบ่น

"ก็โรมยังไม่เคยฟังนี่หว่า"

ป๊าลูบหลังปลอบลูกชายคนกลาง "รอย่อยก่อนนะลูก นอนตอนนี้เลยไม่ดีต่อร่างกายหรอกนะ" เด็กชายถึงได้ปีนขึ้นมานั่งตักป๊า ข้างหนึ่งคือหม่อนที่จ้องผู้เล่าเรื่องตาแป๋วอย่างสนอกสนใจ อีกข้างคือตวันผู้หาที่นอนเหมาะ ๆ แล้วจมตัวลงในตักพ่อ ฟังเรื่องผีเป็นนิทานก่อนนอน

"บ้านหลังนี้น่ะไม่มีอะไรหรอก จะมีก็แต่เรื่องเดียวที่ต้องเตือนไว้ก่อน ตอนกลางคืนน่ะ…ระวังผีลุงจรัญมาขอหวย" แด๊ดเริ่ม

"เดี๋ยว ปกติต้องกลับกันไม่ใช่เหรอครับ"

"มันมีที่มาที่ไปอยู่ไอ้หนุ่ม"

ผู้เล่าเผยรอยยิ้มร้ายกาจ ในขณะที่ผู้ฟังสี่ในห้าฟุบโต๊ะเหมือนจะหลับ ชายหนุ่มที่ไม่เคยฟังมาก่อนดูเหมือนอยากจะลุกหนีแต่ก็พ่ายแพ้ต่อความอยากรู้อยากเห็นของตัวเอง กลัวแต่ก็ตั้งใจฟังหูผึ่ง

"ลุงจรัญเนี่ยแกเป็นเจ้าของบ้านคนก่อน แกฝันเห็นเสาตกน้ำมัน ตั้งแต่นั้นมาแกก็หมกมุ่นกับการขอหวยสุด ๆ พยายามกินยานอนหลับ ทำทุกทางให้ตัวเองฝัน ทั้งวันทั้งคืนไม่สนใจจะกินดื่มหรือทำอะไรนอกจากนอน จนวันนึงแกได้หลับไปตลอดกาลเข้าจริง ๆ"

หลินเท้าคางฟังเรื่องเล่าฆ่าเวลา น้องสาวมองตาแป๋วทั้งขมวดคิ้วครุ่นคิด ส่วนตวันอ้าปากหาวไม่หยุด ต่างจากโรมที่ตัวโตสุดในหมู่เด็กแต่ตัวสั่นหงึก ๆ มือเกร็งเกาะขอบโต๊ะแน่น…มันน่ากลัวขนาดนั้นเลยเหรอ?

"บ้านสวนหลังนี้น่ะอยู่ไกลจากชุมชนอยู่โข กว่าเพื่อนบ้านจะรู้ว่าแกตายก็หนอนไชยั้วเยี้ยแล้ว เน่าอยู่ตรงประตูรั้วนี่เอง!"

"คราวที่แล้วแด๊ดบอกว่าเขาใหลตายบนเตียงนี่" หลินเถียง

"เหมือนกันแหละน่า"

"อย่าไปฟังมาก แด๊ดเขาใส่สีตีไข่ไปเรื่อยแหละโรม"

"เค้าระ-รู้กันได้ไงครับ"

"หมาจรคาบกระดูกแกไปแทะเล่นแล้วคนในตลาดเจอพอดี ฮู่วว พูดแล้วขนลุกเลย" แต่แววตาชอบอกชอบใจของแด๊ดไม่ได้เข้ากับคำว่าขนลุกเลยสักนิด แถมต่อมายังไปลูบหัวล้อเล่นกับสุนัขตัวโปรดด้วย "หือ ฟ็อกกี้ แกรึเปล่าไอ้หนู" ครึ่งชิวาว่าเห่าอ๋องแอ๋งขอเศษอาหารที่อาจหลงเหลืออยู่บนโต๊ะ

"ไม่จริงใช่ไหมครับ เน่…ตะ-ตวัน ไม่ไม่จริงใช่ไหม"

ตวันอ้าปากหาวตาจะปิด พยักหน้าสัปหงกให้โรมหลอนขึ้นเป็นสองเท่า ให้ป๊ารับรู้ว่าถึงเวลาพาลูกนอนแล้วแหละ ถึงหม่อนจะกอดอกเก๊กน่าเคร่งฟังเรื่องผีก็เถอะ ทารกตาใสแจ๋วตอนสี่ทุ่มเป็นสิ่งสุดท้ายที่คนจะนอนต้องการ

"พี่-พี่หลิน ยะ-อย่าแกล้งโรมเล่นสิ" ชายหนุ่มหันไปหาคนข้างตัวอย่างขอความช่วยเหลือ

"เรื่องโม้แบบนี้อะนะ? ระดับความเป็นไปได้มากกว่าผู้ใหญ่กลายเป็นเด็กหน่อยนึง" ผู้ใหญ่กลายเป็นเด็ก—ยกมุมปากขึ้นเชิงเยาะเย้ย

"ฮ่า ๆ ไม่มีอะไรหรอกน่า พวกฉันอยู่มายี่สิบปีแล้วมั้งยังไม่เคยเจอสักหน" แด๊ดเฉลยหลังเห็นว่าแขกของบ้านจะเป็นลมกลางโต๊ะอาหารเข้าไปทุกที "ที่น่ากลัวคือราคาบ้านต่างหาก เฮี้ยนแค่ไหนก็สู้เศรษฐกิจไม่ได้"

"อ้ออ ฮ่า ๆ ล้อเล่นสินะครับ" โรมหัวเราะตามแด๊ดแต่เสียงแห้งกว่าเยอะจากความผวาที่ยังไม่หมด เขาถึงกับถามย้ำอีกรอบ สายตามีความหวังสุดขีดจนเข้าขั้นกดดัน "สินะครับ???

"เออ หยอกเล่นน่า ไม่เจอหรอก"

"แหะ ๆ ดีจังเลยครับ"

"แค่กก *แค่บางที* —แค่ก"

การเอาคืนของแด๊ดทำเอาโรมหน้าซีดพูดไม่ออก

___

เรื่องเล่าของสามีไม่มีผลอะไรกับการนอนของป๊า หรือต้องบอกว่าความจริงพวกเขาไม่ค่อยเชื่อเรื่องผีสางสักเท่าไร ที่สำคัญคือราคาบ้านเฮี้ยนกว่าจริง ๆ คิดว่าเก็บเงินกันไว้มากพอแล้วตอนจ่ายยังกระอักเลือด

ค่ำคืนแรกหลังลูกกลับมาจึงเปี่ยมไปด้วยความเหนื่อยอ่อน แต่ก็มีความสุขจนหลับสบาย นอนกับสามีสองคนบนเตียงกว้างโดยไร้อาการปวดหลัง ปวดข้อ ปัญหาเสียงกรน ฯลฯ โดยมีเตียงไม้หลังน้อยขังทารกไว้ข้างใน ตั้งอยู่ระหว่างที่นอนกับผนังฝั่งหน้าต่าง

เด็กมาพร้อมปัญหาอีกหนึ่งอย่างคือร้องกลางดึกแล้วต้องงัวเงียมาปลอบ ครั้งหนึ่งเรียกร้องความสนใจ ครั้งสองหิวนม ครั้งสามสะดุ้งตื่นเพราะเสียงแอ้ดังมาก ต้องตาลีตาเหลือกลุกขึ้นไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น

"ลูกร้อง!"

ป๊าผุดลุกขึ้นมาก่อน แด๊ดใกล้สวิตช์มากกว่าจึงไปเปิดไฟ แสงสว่างสีนวลฉายให้เห็นลูกหม่อนผู้พยายามปีนออกจากที่คุมขัง แล้วไม่รู้ปีนท่าพิสดารอย่างไร เท้าติดอยู่ระหว่างซี่ไม้กับฟูกนอนหนา ห้อยหัวลงมาจากเปล พยายามคลานพาตัวเองออกจากพันธนาการแต่เหมือนมีปีศาจร้ายรั้งขาไว้ ดวงตากลมโตเริ่มมีหยดน้ำรื้น ๆ

"ตายแล้วหม่อน ไปทำอีท่าไหนถึงติดได้ล่ะเนี่ย"

พวกเขาช่วยปลดปล่อยทารกจากที่นอนกันโดยด่วน แด๊ดอุ้มขึ้นปลอบในขณะที่ป๊าเช็กขาอวบ ๆ เพื่อดูรอยช้ำ โชคดีที่ไม่เป็นอะไรมาก ก่อนจะไม่ลืมเช็กผ้าอ้อมต่อ ต่อให้รักแค่ไหนสิ่งที่เห็นเปื้อนอยู่ตอนนี้ก็ทำใจรักไม่ลง แค่พยายามไม่ย่นจมูกชัดเจนเกินไปนักเผื่อลูกจะคิดว่าป๊าโกรธ

"โอ๋ ๆๆ ขวัญเอ๊ยขวัญมา"

"เดี๋ยวต้องเปลี่ยนผ้าอ้อมด้วยนะ"

"หืมม กินเข้าไปเยอะเหรอหม่อน" แด๊ดทำเสียงเล็กเสียงน้อยล้อเล่นกับลูก "กินเก่งนะตัวแค่เนี้ย"

สองสามีทำงานกันเป็นทีม เริ่มด้วยป๊าปูผ้าขนหนูผืนใหม่ไว้พื้นที่โล่งบนโต๊ะ แด๊ดวางเด็กกับพื้นแล้วทำความสะอาดด้วยทิชชูเปียก ป๊าทิ้งผ้าอ้อมสกปรก จัดการหยิบผ้าอ้อมอันใหม่กับแป้งกันผื่นขึ้นมาวางเตรียม แต่ผ้าอ้อมใหม่ไม่พร้อมสักทีแด๊ดถึงอุ้มลูกขึ้นรอ หยอกล้อกันให้เสียงร้องไห้กระซิกของทารกน้อยสงบลง

ป๊าทั้งงัวเงียและเริ่มหงุดหงิดอย่างกับวัยรุ่นอารมณ์แปรปรวน ไม่รู้ไอ้ซองสีน้ำเงินนี่มันจะหนาไปไหน เมื่อก่อนไม่เคยมีโอกาสได้ใช้ ไม่รู้เลยว่าตอนมึน ๆ มันจะฉีกยากเป็นสองเท่า ไม่นึกเลยว่าพอง่วง ๆ การดูแลทารกจะยากเป็นสิบเท่า

เมื่อก่อน…เขาหยุดมือกะทันหัน

"ป๊า ร้องไห้เหรอ เฮ้ย ป๊าเป็นอะไร"

"เรา…เรารับลูกมาเลี้ยงตอนสามขวบนี่ใช่ไหม" จะปิดบังตอนนี้ก็สายไปแล้ว ป๊าสูดจมูกดังฟืด ฝืนยิ้มให้หม่อนผู้จ้องคุณพ่อตาโตอย่างไม่เข้าใจ

"อยากเจอพวกหนูให้เร็วกว่านี้จัง"

"ปาาปะ?"

"ว่าไงลูก"

แววตาของสามีอ่อนลง ยื่นลูกมาใกล้ ๆ เพื่อให้ทารกยื่นแขนออกไปจับป๊าได้ ทำเสียงนิ่มเล็กเลียนแบบหม่อนตอนโตได้ไม่ค่อยเนียนเท่าไร มันประหลาดจนน่าหัวร่อ "ตัวเล็ก ปลอบป๊าหน่อยเร็ว โอ๋ ๆ ไม่เศร้านะคะป่าป๊า"

"ไม่ได้เศร้าสักหน่อย ซ-ซาบซึ้งต่างหาก แค่ถ้ามีโอกาสได้เลี้ยงตั้งแต่เกิดก็คงจะดี"

เหล่านางฟ้าและเทวดาตัวน้อย ๆ ที่เขาไม่มีโอกาสได้เห็นจุดเริ่มต้น เสียดายจนเศร้า แต่ก็สุขใจกับสิ่งที่มี กลายเป็นความรู้สึกหวานปนขมขมวดปมอยู่ข้างใน พวกเขาไม่เคยมีโอกาสได้อุ้มตอนลูกพึ่งลืมตาดูโลก ไม่ใช่คนแรกที่ลูกเห็น ไม่ได้เอ่ยคำแรกที่ลูกได้ยิน ไม่เคยประคับประคองตอนลูกหัดเดิน

…ไม่ปกติ…

ใครอยู่กับหลินตอนลูกอ่อนแอ หลงทาง เด็กคนนั้นมีแต่ต้องเข้มแข็งขึ้นด้วยตัวเอง ใครกันจะป้อนคำว่ารักให้ตวันในทุก ๆ วัน บอกเขาว่าไม่ต้องไล่ตามหรือรอคอยความรักจากนอกบ้าน ใครจะคอยกอดหม่อนแล้วบอกว่าจะร้องไห้ออกมาบ้างก็ได้ ไม่จำเป็นต้องมีความสุขตลอดเวลา ใครจะประคบประหงมลูกในวันที่เด็กน้อยต้องการ

ต่างเป็นโอกาสที่พวกเขาไม่มีวันได้มี

วินาทีนี้ไม่คิดว่าการโดนลดอายุเป็นคำสาป เรื่องอัศจรรย์ที่เกิดขึ้นเป็นของขวัญอันล้ำค่า

"แด๊ด…"

เมื่อมัวแต่ชักช้าสิ่งไม่คาดฝันจึงมาเยือน ตอนป๊ายื่นมือออกไปเพราะอยากกอดลูก เขาสัมผัสถึงความเปียกแฉะที่ไม่ใช่น้ำตา

"แด๊ดลูกฉี่!"

"แอรร่ ดาดา" หม่อนหัวเราะเอิ๊กอ๊ากกับสีหน้าของพ่อผู้ตาเหลือกวิ่งเข้าห้องน้ำ ก่อนสีหน้าผู้ใหญ่ทั้งสองจะกลายเป็นปลงโลก

"ไม่ทันแล้วล่ะ…มองในแง่ดี อย่างน้อยก็แค่ฉี่"

บทเรียนของวันนี้: อย่าดราม่าระหว่างเปลี่ยนผ้าอ้อม

พวกผู้ใหญ่ต้องรีบจัดการทำความสะอาดก่อนได้อาบน้ำกันอีกรอบ กว่าจะเสร็จ กว่าจะกล่อมทารกให้นอนได้ ต่างทิ้งตัวลงเตียงกว้างด้วยความรู้สึกเพลียสุดขีด

"เหนื่อยเนอะ"

ป๊าก็บ่นไป แต่ไม่รู้ทำไมอีกคนยิ้มสนุก ไม่รู้ทำไมเขาถึงยิ้มตามไปด้วย

"มา ๆ ขอหอมให้หายเหนื่อยหน่อย"

"โอยย ไม่ง่วงเหรอ กี่โมงกี่ยามแล้วเนี่ย—อื้อ" ป๊าพลิกตัวหนีแล้วก็โดนแด๊ดกอดจากข้างหลังอยู่ดี ร่างหนัก ๆ เกาะกอดทั้งฝังจมูกลงกับแก้มนุ่มได้สำเร็จ พอจะหอมเป็นครั้งที่สอง ป๊าหันกลับไปหาให้กลายเป็นการจูบแทน

จุมพิตที่ไม่มีอะไรมากไปกว่าสัมผัสริมฝีปากกัน แต่ความอบอุ่นที่แฝงมาช่างลึกซึ้งเหนือคำว่ารักใด ๆ

"จริงนะ ไม่อยากให้ป๊าต้องเศร้าเลย"

"ก็บอกว่าซึ้งไงเล่า"

"แบบที่เอาไว้นึ่งข้าวเหนียว?"

"เฮ้ออ!" ป๊าเบือนหน้าหนีเอือมระอา เขากระเถิบตัวไปเกือบสุดขอบเตียงแบบพอกันที ได้เวลานอนหลับยาว ๆ แต่ตัวรุ่มร่ามร่วมเตียงยังจะลากพากลับไปขังในอ้อมกอดอีก

"จริงนะ สัญญาว่าจะคอยกอดเสมอตอนที่ป๊าเศร้า"

"ไม่ต้องบอกก็รู้"

เขาทำมาตลอด

รักมาตลอด

เคียงข้างมาตลอด

"อย่างกับฝันไปเลย…"

"ครับ?"

"ชีวิตที่มีความสุขขนาดนี้…เหมือนฝันเลย" ป๊ากระซิบถ้อยคำผ่านลมหายใจเบา ไม่ใช่เพราะไม่แน่ใจ แต่เพราะกลัวว่าถ้าพูดออกมาดัง ๆ แล้วสักวันหนึ่งทุกอย่างจะสลายเป็นละอองหาย กลัวว่าต้องตื่นขึ้นมาในวันที่ทุกอย่างเป็นเพียงจินตนาการ

"ในฝันแด๊ดทำอะไรบ้างล่ะ"

"ไม่รู้สิ"

"ถ้าได้เข้าฝันป๊าแด๊ดจะกอด" เขากอดแน่นขึ้นจนแผ่นหลังเริ่มร้อน ฟาดเท้าก่ายขาจนเหมือนจะประกอบร่างกัน มอบความอบอุ่นเกินพิกัด "อะไรอีกครับ"

"รัก"

"รักอยู่แล้ว"

"งั้นจูบ"

มือใหญ่จับคางให้เขาหันกลับไปรับริมฝีปากหวาน—ไม่ รับลูกบอลกระแทกหน้าจะคล้ายกว่า เสียง 'มฮวั่ฟ' ที่ฟังไม่เป็นคำน่าเกลียดจนชวนให้หัวเราะ

"โอ้ยย เสียงเนาะ"

"อะไรอีกไหมครับ"

"สัญญาว่าจะตื่นขึ้นมาตอนเช้าด้วยกัน"

"ตลอดไป"

ริมฝีปากประกบผนึกคำสัญญา ก่อนคู่ชีวิตจะหลับตาลงไปพร้อมกัน

_____