ดึกป่านนี้คนในบ้านคงหลับไปหมดแล้ว
นาวีค่อย ๆ ปลดกลอนเปิดหน้าต่างไม้ออก ระมัดระวังอย่างยิ่งที่จะไม่ให้เสียงเอี๊ยดของบานพับดังเกินไป สิ่งแรกที่ดึงดูดสายตาท่ามกลางสวนอันมืดมิดและแนวบ้านเรือนคือแสงสีไกล ๆ จากงานวัด สามารถเห็นได้ชัดจากห้องนอนอันมืดสนิท
ระยะห่างจากบ้านไปถึงวัดเดินประมาณ 20 นาที ระยะห่างจากเรือนไปถึงกำแพงประมาณ 10 ก้าว ระยะห่างจากหน้าต่างลงไปถึงพื้นคือประมาณ 8 เมตร ซึ่งวัดจากความกระตือรือร้นในตอนนี้—พอรู้ว่าคนรักรออยู่ สามชั้นก็แค่ความสูง
นาวีห้อยเชือกที่ทำจากผ้าปูกับผ้าม่านผูก ๆ กันลงหน้าต่าง อาศัยความคล่องแคล่วส่วนตัวปีนลงพื้นแล้วตัดผ่านสนามหญ้าโล่งโดยมีแสงจันทร์นำทาง ไปถึงเชือกไนลอนผูกปมที่คนจากอีกฝั่งเคยแอบโรยลงมาให้ ถูกเก็บซ่อนไว้ในต้นไม้และพุ่มไม้หนากันแม่บ้านหรือคนสวนบังเอิญมาเจอ
เด็กหนุ่มปีนข้ามเหล็กแหลมที่ติดบนรั้วอย่างระมัดระวัง สูดหายใจเข้าเฮือกใหญ่ตอนเท้าตกถึงพื้นด้วยความตื่นเต้นดีใจที่ได้รับอิสระ ก่อนรีบเดินผ่านชุมชนอย่างรวดเร็วไปที่วัด
ดูเหมือนว่าความเร่งรีบของเขาจะสูญเปล่า ฉัตรยังมาไม่ถึง ใต้ต้นโพธิ์ตรงทางเข้าลานไม่มีร่างคนรักยืนอยู่ นาวีเลยต้องกอดอกพิงต้นไม้แล้วกระดิกเท้ารอเซ็ง ๆ สายตาสอดส่องหาคนที่บอกว่าจะตรงมาหาเขาทันทีหลังเลิกงาน อากาศตอนกลางคืนโหดร้ายเท่าตอนกลางวัน ความร้อนระอุของเดือนเมษายนยิ่งผลักให้ผู้รอหงุดหงิดอยากปะทุ
"เดินมาเหนื่อย ๆ แล้วยังจะให้รออีก" นาวีบ่นกับตัวเองขณะใช้มือโบกลมใส่คอเสื้อ ด้วยหวังว่าจะคลายความร้อนจากจินตนาการของคนโมโหไปได้บ้าง…ถ้าเจอนะ จะบิดให้หูชา ด่าสัก 20 ประโยค ก่อนไม่คุยด้วยสัก 3 ชั่วโมง
พอได้ยินเสียงมอเตอร์ไซค์ที่จำได้ดีแล่นเข้ามา นาวีแทบจะปิดบังรอยยิ้มดีใจไว้ไม่อยู่ มือขวากระตุกอยากโบกเรียกต้อนรับ ดึงเด็กหนุ่มตัวดีที่พึ่งมาถึงเข้าอ้อมกอดแล้วบ่นบรรยายสัก 20 ปีว่าคิดถึงแค่ไหน แต่ทุกอย่างยังถูกเก็บงำไว้ใต้ดวงตาคมกริบส่อแววไม่พอใจ ความพยายามกอดอกทำหน้าบึ้งสุดชีวิตเป็นฝ่ายชนะ
ฉัตรเดินเข้ามาพร้อมรอยยิ้มทักทาย เส้นอดทนของนาวีสั่นคลอนครืน ๆ เมื่ออยู่ ๆ ทุกความทุกข์ใจที่เขาได้รับมาเหมือนสลายหายไปเลย
"อากาศร้อนเนอะ เดินมาเหนื่อยไหม รอตรงนี้นานยัง" คนนัดโยนคำถามใส่รวดเร็วเหมือนลนลาน รอยยิ้มเป็นประกายแจ่มใสลดลงเล็กน้อยจากความรู้สึกหวาด ๆ "รู้แหละว่าต้องง้อเลยซื้อโค้กมาฝาก"
ขวดแก้วใส่น้ำสีเข้มถูกยื่นมาให้ พอมีแสงส่องผ่านเห็นชัดว่าเป็นสีน้ำตาลของกรวดทราย คล้ายกับดวงตาของนาวีเพียงแต่อุณหภูมิต่างกันลิบลับ อันหนึ่งเย็นชื่นใจ อันหนึ่งร้อนเหมือนไฟเผาผลาญ
"รู้ว่ารออยู่แต่ก็ไปแวะร้านน้ำ?" เขาตำหนิกระทั่งสิ่งที่ตัวเองก็ให้อภัยตั้งนานแล้ว อีกคนมองโลกในแง่ดีสุดขั้ว อีกคนช่างระแวงไปเสียทุกอย่าง ไม่รู้เลยว่าอยู่กันได้อย่างไร
ฉัตรพึ่งจะระลึกได้ว่าการกระทำขัดแย้งกันเอง ดวงตาเบิกขึ้นพร้อมพึมพำ "จริงด้วย" ด้วยสีหน้ารู้สึกผิดเต็มที่ จนนาวีรู้สึกว่าพูดแรงไปหน่อยเลยสงสาร ยอมรับน้ำหวานที่อีกฝ่ายอุตส่าห์ซื้อให้มาในที่สุด
"ขอบใจ"
ยังไงมันก็พอมีประโยชน์ในอากาศร้อนตับแลบแบบนี้ นาวีเอาขวดแก้วของน้ำอัดลมเย็น ๆ แนบคลายร้อนตรงผิวคอ เอียงศีรษะเล็กน้อยเผยลำคอฝั่งนึงจนคู่สนทนาสามารถมองเห็นได้ชัด ได้ยินเสียงหายใจติดขัดตามมา
"ไม่มีเสื้อสีอื่นแล้วเหรอ" ฉัตรเอ่ยเสียงไม่ชอบใจ แสดงความรู้สึกอื่นนอกจากยิ้มแย้มเป็นครั้งแรกของวัน เขารู้ว่าควรเบือนหน้าหนีไปที่ไหนสักแห่ง ไม่ว่าภาพเสื้อขาวชื้นเหงื่อแนบไปกับแผ่นหลังจะน่าสนใจสักแค่ไหน ลำคอขาวที่มีหยดน้ำเกาะพราวก็ไม่ควรมองเช่นกัน
"มีปัญหาอะไรกับเสื้อผมฮึ" ความรู้สึกนาวีตรงข้ามกับยิ้มแย้มอย่างคงเส้นคงวา
"ใส่เสื้อคลุมเถอะ"
ฉัตรหมายถึงเสื้อช้อปแขนยาวที่ผ้าหนาพอ ๆ กับพรม หนึ่งในปริศนาว่าใส่เสื้อสองชั้นในเดือนเมษายนได้อย่างไร นอกจากชั้นสีเลือดหมูด้านนอกก็มีเสื้อยืดสีเทาข้างในอีกตัว พอถอดช้อปออกแล้วเห็นสร้อยเชือกถักคล้องอยู่ตรงคอ มากกว่าครึ่งถูกซ่อนใต้เสื้อยืดเปล่า รวมถึงแหวนเงินแสนสำคัญที่ร้อยอยู่ด้วยกัน
"ไม่เอา มันร้อนน"
พอเห็นว่านาวียึกยักจะปฏิเสธเด็กหนุ่มเลยบังคับใส่ให้แทน คลุมทับตรงไหล่สักหน่อยก็ยังดี แต่พอจับไหล่บางของคนรักแล้วเขาขมวดคิ้วมุ่น ระดับความยิ้มแย้มลดฮวบไหลลงเหว ความไม่พอใจคล้ายจะปะทุออกจากทุกอณูผิวหนัง
"ทำไมถึงผอมลงครับ ที่ศูนย์ฯ เลี้ยงไม่ดีเหรอ"
คำว่าไม่ดีมันน้อยไป…เด็กหนุ่มกลายเป็นฝ่ายที่ต้องหลบตาบ้าง
"ผมจะพานาวีหนีออกมาให้ได้สักวัน"
"คุยเรื่องอื่นเถอะ ไม่อยากนึกถึงแล้ว" ผู้มีเรื่องอยากปิดบังพยายามกวาดสายตามองหาหัวข้อสนทนาใหม่
ฉัตรไม่ให้นาวีต้องลำบากคิดเอง เขาดึงความอารมณ์ดีกลับมาอีกครั้งเพื่อสร้างบรรยากาศผ่อนคลายให้คนรัก ต่อบทสนทนาให้ไหลลื่นด้วยการแนะนำร้านหอยทอดเจ้าเด็ดตรงหน้าศาลา พร้อมบรรยายเหตุผลอย่างออกรสชาติว่าทำไมต้องไปลอง ไม่ปล่อยให้นาวีจมอยู่กับความคิดกังวลของตัวเองเลยแม้แต่นาทีเดียว
สี่ทุ่มถือว่าค่อนข้างดึกสำหรับงานวัด กว่าจะไปถึงร้านก็เริ่มเก็บของแล้ว คนบางตา พวกเขาได้นั่งโต๊ะใหญ่ที่เหลือเก้าอี้ตั้งสามตัว มีที่เหลือเฟือพอให้วางกระเป๋า
นาวีให้ฉัตรสั่งอาหารตามสบาย ส่วนเขาเหลือบมองประเมินผู้คนทั้งร้านโดยระวังไม่ให้ใครรู้ตัว คนน้อยก็ดีอยู่อย่างคือโอกาสที่จะตกเป็นเป้าสายตายิ่งน้อยลง ทั้งมองจากภายนอกพวกเขาก็เหมือนเพื่อนมาเที่ยวด้วยกันธรรมดา ไม่น่ามีใครสงสัยอะไร ทุกคนต่างยุ่งกับเรื่องของตัวเอง
เมื่อหอยทอดกะทะร้อนถาดยักษ์ถูกยกมาเสิร์ฟ เด็กหนุ่มพยายามเลิกวิตกแล้วมีความสุขกับปัจจุบันให้มากที่สุด
บนโต๊ะมีซอสพริกสำหรับปรุงรสเป็นกระปุก ฉัตรราดซอสสนุกมือโดยที่นาวีไม่เข้าใจเขาเลยแม้แต่นิดเดียว อากาศร้อนขนาดนี้แต่เจ้าตัวราดซอสพริกอย่างกับอาบ เข้าใจว่าแจกฟรีแต่บางทีก็เกินไป
"อะไรจะอร่อยขนาดนั้นฮึ"
"อ้อมันอ่รอย!"
สีหน้ามีความสุขกับอาหารเป็นคำตอบชัดเจน จุดประกายรอยยิ้มของผู้มองได้ไม่ยาก นาวีเห็นแล้วรู้สึกอิจฉาเจ้าของร้านหน่อย ๆ ที่ฝีมือดีจนฉัตรสวาปามอย่างกับเสพติด นึกอยากลองไปเรียนทำอาหารเลิศรสให้เขาทานอยู่ในใจ
ตอนนี้คนทำกับข้าวไม่เก่งได้แต่ตัดแบ่งส่วนของตัวเองที่ความเผ็ดน้อยนิดเข้าปาก ก่อนลองแย่งส่วนที่มีซอสสีส้มอยู่เต็มมาทานคำหนึ่งอย่างอยากรู้อยากเห็น
"เผ็ด! กินเข้าไปได้ยังไงเนี่ย"
"ไม่เห็นรู้สึกเลย"
ในขณะที่ฉัตรสามารถตอบหน้าตาย นาวีต้องยกน้ำเปล่าในแก้วใสขึ้นดื่มอึก ๆ เพราะเผ็ด ริมฝีปากแดงบวมเจ่อจนต้องหาเอาน้ำแข็งประกบให้ความเย็น เรียกใบหน้าขึ้นสีแบบแปลก ๆ จากผู้ร่วมโต๊ะ โดยที่ไม่น่ามีต้นเหตุมาจากความเผ็ด
"อีกแล้วนะนาวี ชอบดุว่าอายคนบ้างล่ะ ที่สาธารณะบ้างล่ะ แต่ก็ไม่เลิกยั่ว"
"ก็มันเผ็ดนี่! ปากตายด้านไปแล้วเหรอ"
"ไม่รู้เหรอครับ อยู่กับนาวีทานอะไรก็หวาน" ฉัตรยิ้มกรุ้มกริ่มภูมิใจในการหยอดอันไร้ที่มาที่ไป น่าหมั่นไส้จนชวนให้คนมองมือสั่นอยากถอดช้างดาวตีปาก นาวีเอื้อมไปหยิบซอสพริกทั้งขวดหมายมาราดใส่อาหารเขาแทน เอาให้พ่นไฟกันไปเลย ฉัตรรั้งมือห้ามไว้ด้วยรอยยิ้มและน้ำเสียงผวา "เดี๋ยว ๆ ใจเย็น นั่นก็เกินไป"
"ไหนบอกว่าหวาน"
"ใจผมไปไหวแต่ลิ้นผมมันไม่ตาม สงสัยต้องหาคนมาช่วยฝึกบ่อย ๆ แล้ว"
"บัดสี" นาวีติเสียงขรึมก่อนก้มหน้าลงกับจาน ใช้ความพยายามอย่างยิ่งในการเมินเฉยต่อคำพูดสองแง่สองง่ามชวนให้ใบหน้าร้อนผ่าว แต่เหมือนยิ่งเขากลั้นยิ้มเท่าไรฉัตรก็ยิ่งนึกสนุก นึกหาทุกคำที่เชื่อมโยงโอกาสหยอดคำหวานกับร้านค้าเข้าด้วยกัน
_____