webnovel

ความใกล้ชิด

เช้าวันนี้สิปรางค์มาถึงที่ทำงานแต่เช้าเช่นเคย ปกติแล้วหล่อนจะมาถึงที่ทำงานเป็นคนแรกเสมอ วันนี้หล่อนขับรถมาเองไม่ได้มากับหนุ่มข้างบ้านที่ชื่อวิน

คิดถึงหนุ่มตัวสูงคนนั้นแล้วก็ต้องอดอมยิ้มไม่ได้ หลังๆมานี่หล่อนและเขาสนิทสนมกันมากขึ้น แม้รถของหล่อนจะซ่อมเสร็จแล้ว แต่บางครั้งเขาก็ยังชอบมารอแวะรับหล่อนในตอนเย็นหลังเลิกงานเพื่อชวนไปหาสรรหาอาหารมื้อเย็นก่อนกลับบ้าน แล้วก็เป็นเหตุให้หล่อนต้องมาทำงานกับเขาในเช้าวันรุ่งขึ้นเสมอๆ

แต่แล้ววันนี้เมื่อเดินมาถึงหน้าห้องทำงาน สิปรางค์ก็ต้องประหลาดใจที่พบใครคนนั้นที่หล่อนกำลังนึกถึง ยืนรอหล่อนอยู่ก่อนแล้ว

"คุณสิปรางค์ครับ ผมมีเรื่องจะคุยด้วย"

"อ้าว ช่างวิน มาถึงที่นี่มีเรื่องอะไรคะ"

หญิงสาวทักเขาหน้าตาสดชื่น ในที่ทำงานเขาและหล่อนจะเรียกกันอย่างนี้เสมอ หล่อนออกจะแปลกใจเล็กน้อย ที่อยู่ๆวินก็ขึ้นมาหาที่สำนักงานแต่เช้า เพราะปกติชายหนุ่มจะอยู่แต่ในโรงงาน เขาแทบจะไม่เคยปรากฏตัวบริเวณออฟฟิศแถวนี้เลย ยกเว้นแต่เมื่อเขามีธุระกับคุณวิชิต

วินเดินตามหญิงสาวเข้ามาในห้องทำงาน ชายหนุ่มหันหลังปิดประตูก่อนที่จะถามหล่อนเสียงเรียบ

"นี่อะไร มะปรางจะให้รื้อสนามบอลของพวกผมงั้นเหรอ" นายช่างหนุ่มวางเอกสารเสนอเซ็นต์ลงบนโต๊ะทำงานของตัวเล็กตรงหน้า เขาได้รับเอกสารนี้เมื่อวาน พื้นที่นี้อยู่ในความรับผิดชอบของแผนกซ่อมบำรุง สิปรางค์ต้องการลายเซ็นอนุมัติจากเขา

"ก็เห็นเป็นที่ว่าง มันสำคัญอะไรนักหนา น่าจะเอาใช้ทำประโยชน์อย่างอื่นได้ดีกว่า"

หญิงสาวพยายามอธิบายให้สั้นที่สุด หล่อนไม่ต้องการให้ชายหนุ่มรู้ว่าหล่อนกำลังประเมินราคาทรัพย์สินทุกอย่างของโรงงาน และเตรียมปรับพื้นที่ในทุกๆส่วนในโรงงานเพื่อเข้าสู่โหมดการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ต่อไป ซึ่งหากยิ่งทำได้เร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งดี งานของหล่อนก็จะได้จบเร็วขึ้นเท่านั้น

"มะปราง พวกผมใช้สนามนั้นเล่นบอกกันอยู่บ่อยๆแล้วงี้จะให้ไปเล่นกันที่ไหน" วินพยายามใช้เสียงอ่อน มะปรางของเขาเป็นพวกไม่ชอบยอมแพ้ เขาต้องค่อยๆตะล่อมหล่อน

"ก็ลานหน้าโรงซ่อมบำรุงก็ได้มั้ง"

"มะปราง ตรงนั้นมันพื้นปูนเล่นไม่สนุกเท่าพื้นหญ้า"

"ก็แค่เล่นกันอาทิตย์ละวัน" หญิงสาวยักไหล่ ทำหน้าเบื่อหน่าย

"สาม"

"ห้ะ"

"อาทิตย์ละสามวัน จันทร์ พุธ ศุกร์" นายช่างหนุ่มตอบอย่างใจเย็น

"นี่จะไปแข่งซีเกมส์กันรึไง เล่นอะไรกันนักหนา"

"นี่ยังดีที่ไม่เล่นกันทุกวันนะ เอาเถอะ ผมไม่เซ็นต์"

"วิน เราให้เวลาถึงเย็นนี้ จัดการเซ็นต์ให้เรียบร้อย แล้วก็นี่มีเรื่องอื่นอีกไหม เดี๋ยวเรามีประชุมกับคุณวิชิต" สิปรางค์ตัดบทแล้วหันหน้าเข้าหาจอโน้ตบุ๊คตรงหน้าอย่างรวดเร็ว

นายช่างหนุ่มมองหญิงสาวด้วยความน้อยใจ นี่หล่อนไม่เคยเห็นคุณค่าของพนักงานเลยใช่ไหม

และเมื่อเห็นว่าคนตรงหน้าไม่มีทีท่าว่าจะสนใจเขาอีก วินจึงหันหลังเดินออกไปโดยทิ้งเอกสารไว้บนโต๊ะ

สิปรางค์เงยหน้าขึ้นจากโน้ตบุ๊คของตนเอง หญิงสาวมองตามหลังชายหนุ่มไปแล้วถอนหายใจ นี่หล่อนจะบอกเขาได้อย่างไรว่าความจริงแล้วหล่อนกำลังช่วยโรงงานแห่งนี้ต่างหาก การขายที่ดินได้ก่อนจะปิดโรงงาน อย่างน้อยก็ทำให้โรงงานมีบัญชีทรัพย์สินที่ดูดีบ้าง เห็นทีหล่อนอาจจะต้องรอให้วินอารมณ์ดีๆแล้วค่อยไปเกลี้ยกล่อมเขาที่บ้านกระมัง…

ทว่าในตอนเย็น เมื่อสิปรางค์แวะไปหาชายหนุ่มที่บ้านหลังเลิกงาน หล่อนก็ได้รับคำบอกกล่าวจากลุงแปงที่กำลังยืนรดน้ำอยู่ที่แปลงผักหลังบ้านของวิน

"คุณวินเปิ้นไปตีสนุ๊กค้าบ"

หญิงสาวตัดสินใจตามไปหาวินที่ร้านสนุกเกอร์ในตัวเมืองแม่ริมตามคำบอกพิกัดของผู้ดูแลสวน สิปรางค์เป็นคนใจร้อน ยิ่งถ้าเป็นเรื่องงาน อะไรที่จะทำให้สำเร็จอย่างรวดเร็วได้ หล่อนก็จะทำทันที

และเมื่อเข้าไปถึงข้างในร้านก็พบวินอยู่ที่นั่นจริงๆ หล่อนเห็นเขากำลังยืนคุยกับชาวคณะอยู่ที่โต๊ะสนุกเกอร์ด้านในสุด มากันครบทีมเชียวช่างอู๊ด ช่างโต้ง น้องปัณณ์ก็ด้วย แถมด้วยคนงานอีกสองสามคนที่หล่อนจำหน้าได้

"เฮ้ย มาได้ไงเนี่ย" หัวหน้าแก๊งทำหน้าตกใจเมื่อหญิงสาวปราดเข้าประชิดตัว

"อ่ะ เซ็นต์ซะ" คนตัวเล็กยื่นเอกสารไปข้างหน้าชายหนุ่ม

"เซ็นต์ไรครับ อย่ามายืมตังค์ผม ผมไม่มีให้ยืม" ว่าแล้วคนตัวสูงก็เดินห่างออกไป เขาเดินวนไปเวียนมาที่ขอบมุมของโต๊ะ ตาก็พลางจ้องแต่ลูกสีๆที่ตั้งอยู่สงบนิ่งบนโต๊ะ

ในขณะที่ทุกคนกำลังจ้องมองสิปรางค์อย่างสงสัยว่าหล่อนมาทำไม ชายหนุ่มต้นเรื่องกลับก้มลงแทงลูกสนุ๊กสีขาวตรงหน้าไปกระแทกลูกสีดำลงหลุมไปท่ามกลางเสียงโห่ร้องดีใจ วินหันไปพยักพเยิดกับลูกทีม

"ก็เรื่องพื้นที่ร้างไง" สิปรางค์รำคาญกับเความลีลาของคุณหัวหน้าช่างคนนี้เหลือทน ทำไมคราวนี้ช่างดื้อดึงอย่างนี้ ปกติก็เห็นเป็นคนเรื่อยๆเฉยๆนี่นา น่าเบื่อหน่ายเหลือเกิน หล่อนอยากจะทำงานให้เสร็จๆไป

"ร้างไหน" เขายังทำท่าไม่สนใจหล่อน เดินไปรอบโต๊ะอีกด้านนึง ตอนนี้ลูกทีมของเขาก็เริ่มไม่สนใจหล่อนบ้างแล้ว ทุกคนหันมาใจจดจ่อกับลูกสีๆบนโต๊ะกันต่อไป

"โอ๊ย ก็พื้นที่ข้างโรงซ่อมบำรุงไง" หญิงสาวเริ่มจะหมดความอดทน

"อ๋อ หนามบอล" วินตอบมาลอยๆ

พอได้ยินคำว่าสนามฟุตบอล คราวนี้เป็นช่างโต้งที่หันขวับมาทางหญิงสาว

"นั่นแหละ เราต้องรีบปิดเคสนี้ เอาพื้นที่ไปใช้ทำอย่างอื่น อย่าลีลามากนักเลยน่า"

"ก็บอกแล้วผมไม่เซ็นต์ จะไล่ผมออกก็ตามใจ" คนดื้อก็ยังดื้อต่อ แล้วก็หันไปอธิบายกับลูกน้อง "เขาจะเอาสนามบอลของหมู่เฮาขาย"

"เฮ้ย ลูกพี่ จะยอมได้จะใด จะฮื้อเฮาไปเล่นตี้ใด" ช่างโต้งเริ่มการโวยวาย และตามด้วยช่างอู๊ด

"คุณสิปรางค์คับ พวกผมเล่นกันแถวนั้นมาเป็นปีๆแล้วคับ"

"ใช่ เนอะ อยู่ๆจะมาแย่งไปเฉย เนอะ บ่ยอมคับ บ่ยอม" คนเป็นลูกพี่ได้ใจ ยักคิ้วหลิ่วตาให้หล่อน

สิปรางค์ยืนนิ่ง เห็นท่าทางเขาเป็นคนง่ายๆสบายๆ บทจะดื้อนี่ หัวชนฝาจริงๆ แต่นี่เขาดื้อจริงหรือตั้งใจจะกวนประสาทหล่อนกันแน่

ก็ได้ กวนมา กวนกลับ

"งั้นเอางี้ มาแข่งสนุ๊กกัน ถ้าดิฉันชนะ ช่างวินต้องเซ็นต์นะคะ" หญิงสาวเริ่มหาวิธีใหม่ ยังไงหล่อนก็ต้องจบเรื่องนี้ให้ได้เร็วที่สุด หล่อนมีเรื่องต้องทำอีกมาก

วินหยุดชะงักการจ้องลูกกลมๆบนโต๊ะนั่น แล้วหันมาจ้องหญิงสาวแทน ชายหนุ่มเลิกคิ้วทำหน้าประหลาดใจกับคำท้า แต่เพราะเสียงเชียร์จากลูกทีม ทำให้เขาเอ่ยออกไปอย่างรวดเร็ว

"ได้ครับ เกมเดียวจบ ไม่มีต่อให้"…

ท่ามกลางเสียงเชียร์ดังก้อง การแข่งขันดำเนินไปอย่างดุเดือด สิปรางค์เคยเล่นสนุกเกอร์มาบ้างสมัยเรียนหนังสือที่อเมริกา แม้หล่อนจะไม่ใช่คนชอบไปสังสรรค์ตามผับตามบาร์ แต่ในบางครั้งที่หล่อนกำลังเครียดอย่างหนักจากการเรียน หญิงสาวก็จะทนการคะยั้นคะยอของเพื่อนๆไม่ไหว จนต้องตามไปคลายเครียดที่โต๊ะสนุกเกอร์ตามผับเล็กๆบ้าง และก็เหมือนดังเช่นเรื่องอื่นๆ หล่อนจริงจังกับการเล่นสนุ้กเกอร์จนเป็นฝ่ายที่ชนะเพื่อนๆเสมอๆ

แต่ผลปรากฏว่าครั้งนี้คนชอบเอาชนะกลับเป็นฝ่ายแพ้ วินยักคิ้วหลิ่วตาเย้ยหยันหล่อนเต็มที่ แม้จะหัวเสียแค่ไหน แต่หญิงสาวต้องรักษาคำพูด หล่อนฉีกเอกสารนั้นต่อหน้าทุกๆคน

"เชิญเล่นบอลกันตามสบายต่อไปค่ะ"

เสียงไชโยโห่ร้องจากเหล่าทีมบอลดังขึ้น พร้อมกับเสียงขอบคุณหญิงสาวดังเซ็งแซ่

"พี่ปรางใจดีที่สุด" เสียงจากหนุ่มน้อยปัณณ์ลูกพี่ลูกน้องของหล่อนก็ตามมาด้วย

ใจดีอะไรกันล่ะ ชั้นแพ้พนันย่ะ

สิปรางค์ส่ายหน้าอย่างเหนื่อยหน่ายใจ เรื่องเล็กๆน้อยๆแค่นี้ทำไมหล่อนจัดการไม่ได้ หญิงสาวหันหลังจะเดินกลับ แต่ด้วยความที่หล่อนมัวแต่หัวเสียและคิดว่าควรจะอย่างไรต่อไปดี ทำให้หล่อนเผอิญก้าวไปเหยียบเท้าของชายคนหนึ่งในกลุ่มชายวัยกลางคนที่นั่งอยู่โต๊ะใกล้ๆกันนั้น แต่สิปรางค์ไม่ทันรู้ตัวจึงตั้งท่าจะเดินต่อไป

"อ้าว เหยียบตีนกันแล้วไม่ขอโทษล่ะครับ" เสียงห้าวดังขึ้นมาทำให้หญิงสาวต้องหันกลับมา

"อ้าว ขอโทษนะคะ ไม่ทันเห็น" คนกำลังหัวเสียเอ่ยขอโทษอย่างรวดเร็วและหมุนตัวเดินกลับออกไป หล่อนกำลังอารมณ์ไม่ดี หล่อนอยากรีบออกไปจากที่นี่

"เดี๋ยวสิคร้าบ เจ็บนะคร้าบ จะขอโทษง่ายๆอย่างนี้หรือคร้าบ" แต่กลับมีมือมาจับต้นแขนของหล่อนเอาไว้

"เอ๊ะ น้อง พี่ก็ขอโทษแล้วไงคะ จะเอาไงอีก แค่เหยียบเท้าทำไมต้องทำให้เป็นเรื่องใหญ่ ก็นั่งกันอยู่เกะกะ มันก็ต้องมีเดินพลาดกันบ้าง แล้วก็ปล่อยแขนพี่ด้วยค่ะ อยู่ดีๆน้องจะมาจับแขนคนอื่นเขาโดยที่ไม่ได้รับอนุญาตได้ยังไงคะ"

สิปรางค์เริ่มขึ้นเสียงอย่างยาวเหยียดบ้าง หล่อนเกลียดนักผู้ชายที่ชอบมาหาเรื่องผู้หญิง คิดว่าหล่อนจะกลัวหรือ

"ใครน้องมึง"

คราวนี้ฝ่ายโน้นเริ่มเอาจริงและมีหน้าตาถมึงทึง แต่ก่อนที่สิปรางค์จะได้ต่อปากต่อคำอะไรอีก ก็มีแผ่นหลังของร่างสูงมาออกหน้าบังหล่อนเอาไว้

"สุมาเต๊อะอ้าย อย่ามีเรื่องกันเลยนะ" น้ำเสียงทุ้มๆนั้นเอ่ยขอโทษด้วยเสียงเรียบๆ

"เล่นเอาส้นสูงมาเหยียบตี๋นฮาเต็มๆแบบนี้ จะแค่ขอสุมก๋า บ่ปอเว้ย" หากอาการไม่พอใจของคนตรงหน้ายังคงอยู่

"วิน! ไม่ต้อง เดี๋ยวเราเคลียร์เอง" คนตัวเล็กข้างหลังเขาพยายามจะแซงออกมาอยู่ข้างๆหน้า

หากคนตัวสูงไม่ยอม เขากางแขนออกพยายามกันคนตัวเล็กนั้นไว้ข้างหลัง แล้วพูดเสียงเรียบๆกับคนตรงหน้าต่อไป

"แล้วอ้ายจะฮื้อผมยะจะใด"

ชายวัยกลางคนหันไปมองรอบๆ ทำท่านึกตรึกตรอง จะให้มันทำอะไรถึงจะสะใจที่สุด แม่งใช้ส้นสูงมาเหยียบเท้ากู เจ็บจะตายห่า

"งั้นคิงก่อต้องยกมือไหว้ขอโทษฮาอีปี้นี่"

"เฮ้ย! ช่างวิน! อย่านะ!"

ทีมงานของนายช่างใหญ่ต่างประสานเสียงขึ้นมาพร้อมกัน ตอนนี้คณะของวินและฝ่ายตรงข้ามเขามายืนประจัญหน้ากันแล้ว เตรียมพร้อมที่จะมีเรื่องกันเต็มที่

"ช่างบ่ดียอมมัน ไอัพวกนี้มันชอบหาเรื่องอยู่แล้ว" คนงานคนหนึ่งของเขาโวยวาย

"บ่ดีไปกลัวมันช่างวิน เดี๋ยวเฮาโทรตามพวกคนงานตี้โฮงงานมาอีกก่อได้" คนงานอีกคนเริ่มเลือดร้อนขึ้นมา

"ใช่! วิน! จะบ้าเหรอ อย่าไปยอม มีเรื่องก็มีเรื่องสิ" สิปรางค์ก็ไม่ยอมเช่นกัน หล่อนไม่เคยกลัว ตอนอยู่อเมริกา เมื่อยามถูกราวีจากแก๊งต่างชาติ หญิงสาวก็ไม่เคยกลัวใครทั้งนั้น หล่อนมีสเปรย์พริกไทยพกไว้ติดตัวตลอด

คนตัวเล็กยังพยายามจะเบียดตัวเล็กๆของหล่อนขึ้นมาอยู่ข้างๆคนตัวสูงหัวหน้าช่างใหญ่ แต่วินเอามือผลักหล่อนไปข้างหลัง

"อยู่เฉยๆน่ะ"

เขาหันมาบอกหล่อนเสียงเรียบๆแต่จริงจัง แม้ว่าวินจะมีอายุน้อยกว่าหล่อน และชายหนุ่มก็มักจะมีท่าทีสบายๆ ไม่เคยเดือดเนื้อร้อนใจอะไร แต่เมื่อไหร่ที่เขาทำเสียงเข้มขึ้นมา สิปรางค์ก็ต้องยอมฟังเขาทุกที

"ผมขอโทษคับอ้าย"

วินยกมือขึ้นมาไหว้ฝ่ายตรงข้ามท่ามกลางความตื่นตระหนกอ้าปากค้างของเหล่าลูกทีมและคนงานของเขา น้ำเสียงที่ดูจริงใจและการไหว้ของเขาก็สร้างความประหลาดใจให้กับฝ่ายตรงข้ามเช่นกัน

"เลิกแล้วกันเต๊อะคับ ผมฮู้ว่าอ้ายเจ็บ ผมว่าส้นรองเท้าของคนนี้เขาก่อแหลมอยู่" วินปรายตาไปที่เท้าของหญิงสาวตัวเล็กข้างหลัง

เมื่ออีกฝ่ายทำตามที่ตนเองขออย่างคาดไม่ถึง แถมชายหนุ่มตัวสูงคนนี้ยังเห็นด้วยกับเขาเรื่องส้นสูงของหญิงสาว ชายวัยกลางคนก็ยอมที่จะไม่เอาเรื่อง

"เออ งั้นแล้วไป ฝากบอกเปิ้นโตยว่าทีหลังก่อโตยฮื้อมันระวังๆน่อย" และน้ำเสียงนั่นก็ดูเป็นมิตรขึ้นมาเมื่อพูดกับวิน แต่สายตาที่ปรายมาทางหญิงสาวนั่นยังมีความหมันไส้

"โหย วิน ยอมยกมือไหว้เค้าได้ไงอ่ะ เรานึกว่าวินเป็นนักเลงพอนะเนี่ย" สิปรางค์ถึงกับเอ่ยออกมาด้วยความผิดหวัง หล่อนไม่เคยยอมแพ้ใครง่ายๆ

"โหย ช่างวิน…"

"โหย อ้ายวิน…"

"โหย พี่วิน…"

ทั้งชาวคณะต่างก็รำพึงออกมาด้วยความผิดหวังเต็มที่เหมือนกับสิปรางค์

"ช่างเถอะ กลับกันดีกว่า"

วินยักไหล่ พลางเดินนำเอาไม้คิวไปเก็บ สิปรางค์ยังยืนอยู่ที่เดิม มองตามเขาไปอย่างประหลาดใจแกมประทับใจ ผู้ชายคนนี้ยอมยกมือไหว้ขอโทษนักเลงกลุ่มนั้นแทนหล่อน วินาทีนั้นเป็นครั้งแรกที่หญิงสาวรู้สึกว่ามีผู้ชายคนนึงที่สามารถปกป้องหล่อนได้ ภายใต้ท่าทางที่สบายๆของชายหนุ่ม หล่อนรับรู้ได้ถึงความเข้มแข็งและการมีวุฒิภาวะของเขา

การปกป้องของคนคนหนึ่งอาจะไม่ใช่เรื่องของตาต่อตาฟันต่อฟัน แต่อาจเป็นการยอมรับลดศักดิ์ศรีของตนเองเพื่อให้เรื่องจบ

หญิงสาวไม่รู้ว่าหล่อนยืนจับตาการเคลื่อนไหวของคนตัวสูงอย่างนั้นอยู่นานเท่าไหร่ รู้ตัวอีกทีเมื่อเห็นชายหนุ่มหันมาเหมือนมองหาหล่อน และเมื่อเขามองเห็นหญิงสาวยังยืนอยู่ตรงที่เดิม วินก็เลิกคิ้ว บุ้ยหน้าพร้อมกับชี้นิ้วไปยังประตูทางออก สิปรางค์ยิ้มหวานให้ชายหนุ่มก่อนจะรีบเดินเข้าไปหาเขาในทันที…

"ผมก็คิดอยู่แล้ว ว่าเค้าไม่น่ายอม ช่างวินนี่บทจะดื้อเค้าก็ดื้อมากนะครับ" ผู้จัดการสูงวัยกล่าวยิ้มๆหลังจากฟังสิปรางค์ฟ้องเรื่องสนามบอลจบลง

"นี่เค้าเห็นความสนุกสนานของพรรคพวกตัวเองสำคัญกว่าผลประโยชน์ของบริษัทนะคะ"

หญิงสาวยังไม่วายไม่เข้าใจความคิดของคนที่นี่ การเล่นบอลจะไปสำคัญกว่ารายได้ของโรงงานได้อย่างไร

วิชิตนั่งนึกถึงใบหน้าของชายหนุ่มผู้ถูกกล่าวหาแล้วก็อดยิ้มไม่ได้ นี่ถ้าคุณสิปรางค์ได้มาเจอวินตอนสมัยเป็นวัยรุ่นเมื่อเข้ามาทำงานใหม่ๆ เห็นทีต้องทะเลาะกันบ่อยเป็นแน่แท้

วินเป็นคนรักเพื่อนพ้องมาตั้งแต่ไหนแต่ไร และเขาไม่เพียงแต่จะใส่ใจในเรื่องของงาน แต่เขาก็ยังใส่ใจคนรอบข้างเสมอ ด้วยเหตุนี้ชายหนุ่มจึงเป็นที่รักของทุกคนในโรงงาน วิชิตรู้ว่าเคยมีโรงงานที่ใหญ่กว่าแห่งอื่นๆในเชียงใหม่มาเสนอนายช่างหนุ่มให้ไปทำงานด้วยในราคาค่าตัวที่สูงกว่าที่นี่มากมาย แต่เขาก็ไม่เคยเห็นวินจะสนใจ ผู้สูงวัยเคยคุยเรื่องนี้ตรงๆกับนายช่างหนุ่มอยู่บ้าง เพราะเขาเองก็มองวินเป็นเหมือนหลานชาย และเมื่อพอจะมองเห็นทางก้าวหน้าของวินเขาเองก็อยากจะสนับสนุน แต่ตัวชายหนุ่มเองกลับไม่มีความทะเยอทะยานนั้นเลย วินยังคงยืนยันที่จะทำงานในโรงงานแห่งนี้ไปเรื่อยๆ

วิชิตรู้ว่าความผูกพันกับวินที่มีต่อโรงงานแห่งนี้มีความหมายกับชายหนุ่มมาก…

"ก็ไม่เป็นไรนี่ครับ ปล่อยให้หนุ่มๆเค้าใช้สนามกันไปเถอะครับ" ผู้จัดการโรงงานหันกลับมาที่หญิงสาวตรงหน้า แล้วก็พูดต่อด้วยเสียงเบา

"อีกไม่กี่เดือนโรงงานก็จะปิดแล้ว ไว้เราค่อยปรับพื้นที่กันตอนหลังก็ได้ครับ"

สิปรางค์มองชายสูงวัยด้วยสายตาที่เห็นใจ ทำไมหล่อนจะไม่เข้าใจว่าวิถีชีวิตที่นี่เป็นอย่างไร มันก็เป็นสิ่งที่หล่อนกำลังหนักใจเพิ่มขึ้นทุกวัน

คนที่นี่ผูกพันกับโรงงานแห่งนี้กันมากกว่าที่หล่อนคิด…

ความเงียบงันปลอดคนของออฟฟิศในช่วงเย็นทำเอาชายหนุ่มสองคนที่กำลังเหลียวซ้ายแลขวาท่ามกลางแสงสลัวรู้สึกใจชื้นขึ้น

"กว่าจะหาโอกาสอย่างวันนี้ได้นี่ ไม่ง่ายเลยนะพี่ ปกติคุณสิปรางค์แกกลับดึกทุกวัน ผมรอแกไม่ไหวหรอกพี่"

หนุ่มไอทีพูดพลางพาหัวหน้าฝ่ายผลิตย่องอย่างเบาๆไปที่ห้องทำงานของหญิงสาวผู้มาจากรุงเทพ วุฒิชัยลองพยายามเปิดประตู ก็พบว่าประตูล็อกอยู่

"ห้องทำงานคุณสิปรางค์เค้าล็อกทุกทีเลยพี่ เอาไงดี กุญแจสำรองก็อยู่ที่คุณวิชิตคนเดียว" เติ้ดเหลียวซ้ายแลขวาด้วยความหวาดหวั่นอีกที เขารู้สึกประหม่าที่จะต้องมาทำอะไรลับๆล่อๆแบบนี้

"ผมกลัวเหมือนกันนะพี่ ถ้าเค้าจับได้ขึ้นมาล่ะ"

"ไปห้องประชุมละกัน เอาน่า ไมค์ตัวเล็กนิดเดียวไม่มีใครสังเกตเห็นหรอก" ชายหนุ่มหัวหน้าฝ่ายผลิตพยายามปลอบใจ

เขาเดินนำไปที่ห้องประชุม แล้วเดินดูรอบๆห้องเพื่อหาที่เหมาะๆในการที่จะติดไมโครโฟนดักฟัง

"ติดตรงหัวโต๊ะตรงนี้ก็แล้วกัน เห็นบางทีคุณสิปรางค์กับคุณณัฐเค้าก็ชอบมาคุยกันที่ตรงนี้"

วุฒิชัยก้มลงดูได้โต๊ะประชุมใหญ่กลางห้อง แล้วก็ชี้ตำแหน่งให้หนุ่มไอทีดำเนินงาน ส่วนตัวเขาเองก็เดินออกไปดูต้นทางที่ประตูห้อง…

"มาเลย มาเลยครับพี่น้อง หงส์กะเป็ดรึจะสู้นกอินทรี"

ช่างอู๊ดตะโกนก้องก่อนจะวิ่งนำกลุ่มคนงานเข้าไปในสนามบอล เหล่าสิงห์ค้าแข้งทั้งหลายต่างเฮโลขานรับแล้ววิ่งกันเข้าไปดวลแข้งกันอย่างกระเหี้ยนกระหือรือ

"ฟุตบอลมันสนุกยังไงเนี่ย กะอีกแค่ลูกบอลเล็กๆลูกเดียว แย่งกันอยู่ได้"

สิปรางค์พึมพำอย่างไม่เข้าใจมาจากข้างสนาม ลูกกลมๆลูกนึงที่คนวิ่งไล่ตามกันเป็นสิบ หล่อนไม่เคยสนใจกีฬาประเภทนี้ ไม่เคยแม้แต่จะปรายตาดูเวลาที่เห็นการถ่ายทอดสดการแข่งขันทางทีวี

"ก็ต้องลองเล่นดูล่ะนะ"

เสียงท้าทายจากชายหนุ่มข้างๆทำให้หญิงสาวขมวดคิ้ว

หรือหล่อนควรจะลองดู? เกิดมายังไม่เคยเตะฟุตบอลเลย เอ หรือมันจะน่าสนใจจริงๆ

"เฮ้ย ผมพูดเล่นครับ ไม่ต้องลองไปหมดซะทุกอย่างก็ได้"

เหมือนวินจะอ่านใจหล่อนออก สิปรางค์ปรายตามองเขา ท่าทางที่เขากำลังจ้องมองเกมในสนามนั้นดูมีความสุขมากอีกแล้ว ทำไมผู้ชายคนนี้ถึงมีความสุขกับอะไรได้ง่ายเหลือเกิน

"โอเค งั้นเดี๋ยวจะแค่ลองเป็นคนดู อยากจะรู้ว่าถ้าตั้งใจดูจริงๆมันจะสนุกขนาดนั้นหรือเปล่า"

แล้วหญิงสาวก็หันไปตั้งใจดูเกมข้างหน้าอย่างจริงจัง วินอดไม่ได้ที่จะแอบเหลือบมองดูหล่อน ท่าทางคนตัวเล็กกำลังตั้งอกตั้งใจเหลือเกิน ทำไมผู้หญิงคนนี้ถึงได้ตั้งใจที่จะทำอะไรไปเสียทุกอย่างนะ มะปรางของเขาจริงจังกับชีวิตแบบนี้ตลอดเลยหรือ…

"เอ้า ชนครับพี่น้อง จะอี้มันต้องฉลองน่อย"

ช่างอู๊ดตะโกนในวงสุราข้างสนามบอลหลังจากที่ทีมบอลของเขาได้ชัยชนะในวันนี้

"โห ลูกนั้นนาอ้าย แม่งถ้าบ่ได้ผมเสียบนี่ เฮาแป๊แน่นวล" ช่างโต้งเอ่ยด้วยความภาคภูมิใจ แล้วก็พูดต่อไป "นี่ขนาดช่างวินลงแค่ครึ่งหลังนา หมู่เฮายังชนะ เอ้า ชนครับพี่น้อง"

แล้วการชนแก้วกันก็เกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า ก่อนที่ช่างอู๊ดจะหันมาเห็นแก้วในมือของหัวหน้าเขาเป็นน้ำอัดลม

"เฮ้ย ใครชงเหล้าฮื้อช่างวินหน่อยก่ะ"

"วันนี้ผมดื่มบ่ด้ายอ้ายอู๊ด เดี๋ยวผมต้องไปส่งใครบางคนเขาตี้บ้าน"

ชายหนุ่มมองมาทางคนตัวเล็กที่นั่งอยู่ตรงข้าม ทำตายิ้มกรุ้มกริ่ม เขาเห็นหล่อนมองมาทางเขาแวบเดียว ก่อนที่จะหันไปชนแก้วกับกลุ่มคนงานอย่างเฮฮาต่อไป วันนี้เขาต้องงดดื่มไปโดยปริยาย เมื่อเห็นหญิงสาวเข้าร่วมวงฉลองด้วย

วินไม่เคยรู้มาก่อนว่าหญิงสาวดื่มเหล้าเป็น หล่อนไม่ได้แสดงทีท่าว่าเจนจัดในการดื่ม หากแต่สิปรางค์นั่งดื่มไปเรื่อยๆ พลางฟังคนโน้นคนนี้โม้ หัวเราะบ้างเวลาช่างอู๊ดแซว ส่วนช่างโต้งก็ขยันเติมเหล้าให้หญิงสาวอยู่เรื่อยๆ แต่หล่อนก็ไม่มีทีท่าว่าจะเมามายเลย วินนั่งสังเกตหญิงสาวอยู่เงียบๆ มะปรางของเขามีอะไรให้แปลกใจอยู่เสมอ…

"ผมไม่ยักจะรู้ว่ามะปรางคอแข็งขนาดนี้"

วินเดินนำหญิงสาวมาที่มอเตอร์ไซค์หลังจากจบการดวลครั้งยิ่งใหญ่

"วิน คือเราเมามากตอนนี้" หากคนตัวเล็กสารภาพกับเขาด้วยท่าทางโอนเอน

"คือเมื่อกี้เราต้องฝืนนั่งตัวตรง เข้าใจไหม ปกติเราไม่ดื่มขนาดนี้ แอลกอฮอล์มันไม่ดีต่อสุขภาพ ไม่เข้าใจจริงๆ จะกินเหล้ากันไปทำไมนักหนา เปลืองเงิน เปลืองเวลา เอื๊อกกกก…" หล่อนพูดพล่าม ขณะกำลังพยายามยืนให้ตรง

หากนายช่างหนุ่มไม่ได้สนใจ เขากำลังถอยมอเตอร์ไซค์ออกมาจากสถานที่จอด

"ขึ้นมาครับ" ชายหนุ่มส่งหมวกกันน็อคให้หล่อน "เกาะแน่นๆนะจ๊า เดี๋ยววันนี้ซิ่งหน่อย"

แต่เขาก็ออกรถไปอย่างช้าๆ ในตอนแรกหญิงสาวได้แค่จับชายเสื้อเขาไว้อย่างหลวมๆ แต่วินก็จับมือทั้งสองข้างของหญิงสาวมากอดเอวเขาไว้ให้แน่นๆ ชายหนุ่มไม่ได้หมายความตามที่พูด เขากลับขี่มอเตอร์ไซค์ไปตามทางอย่างช้าๆ

สิปรางค์แนบตัวซบแผ่นหลังของชายหนุ่มไว้แน่นไปตลอดทาง รู้สึกกึ่งเมากึ่งอบอุ่นใจที่ที่มีคนพาส่งไปบ้าน นี่เป็นครั้งแรกที่หล่อนดื่มแอลกอฮอล์จนรู้สึกเมา ปกติหล่อนควบคุมตัวเองได้เสมอ แต่ครั้งนี้… หล่อนกลับกล้าทลายความยับยั้งชั่งใจของตัวเอง กล้าเปิดใจสนุกสนานไปกับบรรยากาศตรงหน้าร่วมกับชาวคณะของวินและคนงานคนอื่นๆ

เพราะหล่อนรู้ไง ว่ามีคนคนนึงคอยปกป้องและดูแลหล่อนอยู่ใกล้ๆ…

วินพยุงสิปรางค์ขึ้นไปส่งที่หน้าประตูบ้านพัก เขาเพิ่งรู้ว่าสิปรางค์เมาจริงๆ ก็เมื่อตอนที่มาถึงหน้าห้องพักแล้วหล่อนพยายามควานหากุญแจ แต่ไม่สำเร็จ ชายหนุ่มเลยบอกให้หล่อนส่งกระเป๋ามาให้เขา หญิงสาวหลับตาและเอนตัวมาซบไหล่เขา

"ดีจังเลย มีวินมาส่ง ไม่ต้องขับรถเอง เอื๊อก…" หล่อนกอดแขนเขาแน่นโหยหาที่พึ่งพิงไม่ให้ตัวเองล้ม

"ดีจังเลย มีคนเปิดประตูบ้านให้ด้วย เอื๊อก…" คนตัวเล็กยังคงพึมพำด้วยน้ำเสียงแบบเด็กๆในขณะที่หลับตา

หากนายช่างหนุ่มกลับรู้สึกแปลกๆ แปลกที่เขาอยากจะยืดเวลาการไขกุญแจนี้ออกไปให้นานที่สุด เขาเริ่มรู้สึกตัวมาระยะนึงแล้ว นานมากแล้วที่เขาไม่เคยมีความรู้สึกแบบนี้ให้ใคร ชายหนุ่มจำได้ว่าครั้งสุดท้ายที่เขามีความรู้สึกนี้ก็คือมีให้คุณแป้ง มันเป็นความรู้สึกที่อยากจะคุ้มครอง อยากจะปกป้องผู้หญิงคนหนึ่ง ผู้หญิงที่ดูเหมือนจะเก่งไม่เคยต้องพึ่งพาใคร

หรืออาจเพราะมะปรางของเขาเป็นคนแบบนี้ มะปรางผู้ซึ่งมีแต่ความเข้มแข็ง มันเลยยิ่งทำให้เขาอยากแสดงให้หล่อนเห็นว่า ผู้ชายที่ดูเหมือนจะไม่มีอะไรคนนี้ก็ดูแลหล่อนได้…

ในที่สุดชายหนุ่มก็ไขกุญแจเปิดประตูห้องเข้าไปสำเร็จ เขาโอบหล่อนพาไปนั่งที่โซฟาข้างๆเตียงนอน หญิงสาวยังคงกอดแขนเขาแน่น ท่าทางเหมือนกึ่งหลับกึ่งตื่น

"มะปราง ผมต้องกลับแล้วนะครับ" น้ำเสียงทุ้มๆนั้นอ่อนโยน

"อื้อ" หล่อนตอบรับ หากสองแขนเล็กๆนั่นยังคงเกี่ยวแขนเขาไว้แน่น

วินมองสิปรางค์ด้วยสายตาแห่งความเอ็นดู เขาเอื้อมมือไปปัดไรผมที่ตกลงมาปรกหน้าหญิงสาวขึ้นไปทัดหู นี่หรือ คุณสิปรางค์คนเก่งของบริษัท เวลาเมาแล้วช่างเหมือนเด็กน้อย ชายหนุ่มเผลอลูบผมหล่อนเล่น ใบหน้าใสที่แดงเรื่อด้วยฤทธิ์แอลกอฮอล์นั้นดูหวานยิ่งขึ้นในยามนี้ หญิงสาวหลับตาพริ้ม มันทำให้วินอดใจไม่ไหว…

และแล้วเขาก็เผลอก้มลงไปจะจูบหน้าผากหล่อน

"โอ๊ย!"

ทว่ามันเป็นจังหวะที่คนสวยเงยหน้าขึ้นมาอย่างรวดเร็วพอดี หน้าผากที่เขาหมายจะจูบ จึงกระแทกคางของชายหนุ่มอย่างจัง

"อุ๊ย ขอโทษ ง่วงจัง"

หญิงสาวเอนตัวออกห่างจากเขา ยกมือขึ้นเสยผม พร้อมกับหาว

เอ้อ…

วินหน้าเจื่อนไป เขาเอามือลูบคางป้อยๆ แต่สิปรางค์ไม่ทันสังเกตเห็น หล่อนเอนหลังไปพิงที่พนักโซฟา แล้วทำท่าจะหลับอย่างจริงจัง

หนุ่มนายช่างถอนหายใจ จ้องมองหญิงสาวด้วยความรู้สึกที่เขาเองก็บอกไม่ถูก

รู้แต่ว่าเขาต้องออกไปจากที่นี่ ตอนนี้เลย!

ชายหนุ่มประคองสิปรางค์ให้เปลี่ยนจากท่านั่งเป็นเอนตัวนอนลงที่โซฟา เขาจัดท่าทางให้หญิงสาวนอนในท่าที่สบายที่สุด หยิบผ้าห่มผืนบางจากบนเตียงนอนมาคลุมให้ ถอดรองเท้าส้นสูงทั้งคู่วางไว้ปลายเตียง หึหึ ส้นสูงคู่นี้สินะที่เกือบจะพาเขาและพรรคพวกไปมีเรื่องกับนักเลงเจ้าถิ่น

วินยืนมองอยู่ครู่หนึ่งให้แน่ใจว่าหญิงสาวนอนสบายดีแล้วจึงตัดสินใจหันหลังกลับ แต่ก่อนที่จะเดินพ้นออกจากประตูไป เขาก็ได้ยินเสียงเล็กๆพึมพำมาจากทางโซฟา

"ขอบคุณมากมากเลยน้า วินน่ารักที่สุดเลย"

นายช่างใหญ่อมยิ้ม ก่อนที่จะรีบออกไปจากห้องพักของหญิงสาวโดยทันที…