เสียงนาฬิกาดังบอกเวลา 6 โมงเช้า ได้เพียงเสี้ยววิ เสียงนั้นก็ลาลับไป
เด็กหนุ่มตาเบิกโพลง จ้องมองโทรศัพท์ในมือขวา อย่างเต็มตา หาใช่ความงัวเงียประสาคนพึ่งตื่น เพราะเขาตื่นมาสักพักแล้ว
ความจริงคือ เมื่อคืนนี้เขานอนหลับไม่สนิทเท่าใดนัก เหตุเพราะว่า เขาตื่นเต้นกับวันนี้มาก
วันที่ 1 เมษา
ในขณะที่ทุกคนตั้งตารอเล่นมุกโกหก วันเมษาหน้าโง่ ตัวเขาตั้งตารอที่จะได้ทำงานใหญ่ในวันนี้ แม้จะเป็นเพียงแค่การฝึกงาน แต่มันก็เป็นงานจากบริษัทใหญ่ ที่ทุกคนใฝ่ฝัน
Fate Entertainment Kingdom Agency หรือ เฟทเอเจนซี่ บริษัทดูแลศิลปินดารา ที่ใหญ่ที่สุดในสยาม มีนักร้อง นักแสดง และคนในวงการบันเทิงอีกมากมายหลายแขนงอยู่ในสังกัด
ซึ่งยังไม่รวมบริษัทที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจบันเทิงอื่น ๆ ในสังกัดอีกมากมาย เรียกได้ว่า ถ้าใครได้ทำงานที่นี่สบายไปทั้งชาติ และสำหรับเด็กฝึกงานเช่นเขา ถ้าผ่านการฝึกงานที่นี่ได้ หลังจากนี้จะไปสมัครงานที่ไหนก็คงผ่านฉลุยเป็นแน่แท้
เด็กหนุ่มคิดเรื่องนี้ตลอดทั้งคืน ทำให้ตื่นเต้นและนอนไม่ค่อยจะหลับ แม้สุดท้ายจะข่มตาหลับได้ก็ตามที แต่ความตื่นตัว ทำให้เขาตื่นเช้ากว่าที่คาด แต่เขาก็ยังนอนลืมตาฝันหวานไปเรื่อย จนเสียงนาฬิกาปลุก
หมดเวลาฝัน เช้าแรกของการทำงานวันแรก ได้เริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการแล้ว
เด็กหนุ่มลุกจากที่นอนด้วยความทะมัดทะแมง อาบน้ำแปรงฟันอย่างอารมณ์ดี มีสะดุดนิดหน่อยตอนแต่งตัว ไม่รู้ว่าจะใส่ชุดแบบไหนดี แต่ก็จบลงตรงชุดที่สุภาพ และสมฐานะเด็กฝึกงาน ชุดนักศึกษา
เด็กหนุ่มเดินลงมาจากชั้นสองด้วยความสบายใจ และตรงไปยังโต๊ะกับข้าว ที่มีอาหารเช้าแบบฝาหรั่ง ไข่ดาว เบคอน ขนมปังปิ้ง 2 แผ่น และกาแฟอีกแก้ว นอนรอเขาอยู่บนจานอย่างสวยงาม
เด็กหนุ่มทิ้งตัวลงบนเก้าอี้ นั่งพิจารณาว่า อาหารผู้โชคดีชิ้นไหนกันนะ ที่จะได้เข้าปากเขาก่อน เขานั่งคิดอย่างใจเย็น และในที่สุดเขาก็หยิบขนมปังเข้าปาก เป็นจังหวะเดียวกันกับที่ มีเสียงหนึ่งเอ่ยทัก
"ลงมาช้านะวันนี้ ไหนบอกว่าต้องไปทำงานวันแรกไง"
เด็กหนุ่มไม่ได้พูดอะไรตอบผู้เป็นพ่อ เพราะขนมปังยังคาปากอยู่ เขายกมือซ้ายขึ้นมาดูนาฬิกาบนข้อมือ ที่เข็มยาวชี้ไปตรงเลข 3 ส่วนเข็มสั้นอยู่เลยเลข 7 มาหน่อย
เมื่อเห็นเช่นนั้นเขาก็เด้งพรวด คว้าข้าวของ แล้ววิ่งหน้าตั้งออกจากบ้านทันที
"ไอ้ลูกคนนี้นี่นะ"
ผู้เป็นพ่อบ่นพึมพำ ด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม ก่อนก้มลงไปพิจารณาว่า อาหารผู้โชคดีที่อยู่เบื้องหน้าของเขาตอนนี้ ชิ้นไหนกันนะ ที่จะได้เข้าปากเขาก่อน
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------
เด็กหนุ่มคาบขนมปังพุ่งพรวดออกมาจากบ้าน แล้วก็ค่อย ๆ วิ่งออกไป ไกลจากตัวบ้าน เรื่อย ๆ เรื่อย ๆ เผยให้เห็นว่า บ้านที่เข้าพึ่งวิ่งออกมานั้น เป็นตึกแถว 3 ชั้น 3 คูหา มีป้ายใหญ่ตรงชั้นสอง เขียนว่า ช่างยลช่างยนตร์
เด็กหนุ่มยังคาบขนมปังแล้ววิ่งต่อไป ด้วยความรวดเร็ว และถึงแม้ว่าเขาจะวิ่งได้คล่องแคล่วว่องไวขนาดไหน ท้ายที่สุดเขาก็ต้องหยุดลง แล้วใช้ชีวิตอย่างเชื่องช้า ณ ป้ายรถเมล์ เฉกเช่นเราทุกคน
15 นาที คือเวลาที่เขาต้องรอรถเมล์คันที่ต้องการ เขาใช้เวลารอ ค่อย ๆ แทะเล็มขนมปังที่คาบมาด้วยอย่างอร่อยเอร็ดจนหมด ก่อนจะมานึกเสียใจในตอนนั้น ที่เขาดันคาบขนมปังมาแค่แผ่นเดียว
ความผิดพลาดนี้ ทำให้เขาต้องนั่งรอรถเมล์ อย่างลุกลี้ลุกลนสิบกว่านาที ครั้นจะไปซื้ออะไรมานั่งกินรออีกสักหน่อยก็เกรงว่า จังหวะนั้นรถเมล์เป้าหมายจะผ่านมาพอดี
เขาจึงอดทนหิว นั่งมองรถเมล์คันแล้วคันเล่าแล่นผ่านไป พลางนั่งนึกในใจว่า ทำไมนะ คันที่ปรกติจะมาช้า ถึงมาไวในวันที่ไม่ต้องการ ส่วนคันที่ต้องการ ไม่ว่าก่อนหน้านี้ จะเคยมาบ่อย มาถี่ขนาดไหน แต่เมื่อเราต้องการจะขึ้น มันช่างมาช้าเสียนี่กระไร
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------
สถานที่ทำงานของเด็กหนุ่มนั้น อยู่อีกฟากหนึ่งของเมือง ซึ่งต้องนั่งรถเมล์ 7 ป้าย แล้วต้องต่อรถไฟฟ้าไปอีก 11 สถานี ลงเดินอีกนิดหน่อยกว่าจะถึงที่หมาย
ในระหว่างนั้นเอง ด้วยความที่เขานอนมาไม่พอนัก จึงค่อย ๆ ผล็อยหลับไป ซึ่งนั่น เป็นสิ่งที่เขาไม่ต้องการมากที่สุด ในระหว่างการเดินทางด้วยรถโดยสารสาธารณะ
เพราะเขากลัวจะลงเลยป้าย ลงผิดสถานี จากการหลับเพลินงั้นหรือ...เปล่าเลย
ทุกครั้งเวลาเขานั่งหลับบนรถเมล์ เขาจะถูกนั่งทับ ใช่แล้วอ่านไม่ผิดหรอก เขาถูกนั่งทับ
หลังจากนั้นคนที่มานั่งทับเขาก็จะตกใจ แล้วรีบลุกขึ้นมาขอโทษ พร้อมกับประโยคคลาสสิค
"ขอโทษด้วยครับ/ค่ะ ไม่เห็นว่ามีคนนั่ง"
อย่างวันนี้ บนรถเมล์ เขาโดนนั่งทับไป 3 ครั้ง บนรถไฟฟ้าอีก 2 ครั้ง
มันเป็นเหตุการณ์ที่ไม่สามารถอธิบายได้เหมือนกัน ในความไร้ตัวตน หรือถูกมองเป็นอากาศธาตุของเขา แต่เขาก็อยู่กับมันมาได้นานแล้ว นานจนเป็นเรื่องปรกติในชีวิตประจำวันของเขาไปแล้ว ตัวอย่างเช่น
ยืนรอต่อแถวตอนซื้อของ หรือจ่ายเงิน เขาก็จะถูกปาดหน้าแซงคิว
ตอนเดินเข้าไปคิดเงิน แล้วยืนอยู่เงียบ ๆ พนักงานก็พูดว่า
"ลูกค้าด้านหลัง เชิญค่า"
ทั้ง ๆ ที่เขาก็ยืนอยู่ตรงหน้าแท้ ๆ นะ แต่เรียกลูกค้าด้านหลังเฉย
สุดท้ายเขาก็แก้ปัญหาด้วยการส่งเสียงก่อน เช่น
ตอนเดินไปคิดเงินก็จะบอกพนักงานว่า
"คิดเงินให้ด้วยครับ"
พอพนักงานได้ยินก็จะสะดุ้งหนึ่งครั้ง ก่อนจะมาคิดเงินให้ตามปรกติ
อย่างตอนนั่งบนรถเมล์ เขาก็จะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมานั่งเล่น หรือนั่งดูอะไรไปเรื่อย แล้วเปิดเสียงให้มีเสียงเล็ดลอดออกมานิดหน่อย แม้จะดูไม่มีมารยาทไปบ้าง แต่พอทำแบบนี้แล้ว ได้ผลดีนักแล แต่ถ้าเขาเผลอหลับ อย่างเช่นวันนี้ รับรองได้เลยว่าโดนนั่งทับเต็ม ๆ แน่
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ดวงตาของเด็กหนุ่ม มีเงาของตึกสูง 50 ชั้น สะท้อนอยู่ แววตาของเขาเปี่ยมไปด้วยความหวัง และความฝัน ใบหน้าของเขาก็ไม่ต่างกัน อาการลิงโลดภายในจิตใจของเขา แสดงออกมาบนสีหน้าของเขาหมดแล้วในเวลานี้ เขามาไกลเหลือเกิน ในที่สุดเขาก็มาถึง นี่อาจจะเป็นจุดเริ่มต้นของเขา ในการทำงานที่บริษัทนี้ และอาจจะเป็นจุดเริ่มต้นของ บุคคลคนหนึ่ง ที่ประสบความสำเร็จที่สุดในอนาคตก็ได้
ย้อนกลับไปราว ๆ 2 อาทิตย์ก่อนหน้านี้ เฟทเอเจนซี่ ได้เรียกเขาไปสัมภาษณ์งาน หลังจากเขายื่นเรื่องขอฝึกงานที่นี่ แค่ถูกบริษัทยักษ์ใหญ่เรียกไปสัมภาษณ์ก็เกินฝันแล้ว แต่ระหว่างสัมภาษณ์ และหลังสัมภาษณ์มันเกินฝันเสียอีก เมื่อเขาได้รับข้อเสนอที่ไม่มีทางปฏิเสธได้
"ขอแค่ 3 เดือน ถ้าเธอทนทำงานนี้ได้ เราจะรับเธอเข้าทำงานที่นี่ทันที ไม่ว่าเธอจะเรียนจบหรือไม่ก็ตาม"
เสียงของประธานบริษัทยังดังก้องในหูของเด็กหนุ่มอยู่เลยแม้กระทั่งตอนนี้
ในขณะที่เด็กหนุ่มกำลังยืนฝันหวานอยู่หน้าตึก ก็มีรถลีมูซีนสีดำมาจอดด้านหลังของเขา และมีผู้หญิงคนหนึ่งเดินลงมาจากรถ ปล่อยให้รถเคลื่อนผ่านไป แล้วตัวผู้หญิงคนนั้นก็เดินผ่านเด็กหนุ่มไป
แม้จะเห็นแค่ด้านข้าง และด้านหลังของผู้หญิงคนนั้น แต่เด็กหนุ่มกลับจำเธอได้ทันที
"ประธานของเฟท เธอมาทำอะไรที่นี่"
เด็กหนุ่มคิด พร้อมกับเดินตรงดิ่งเข้าไปหาประธานทันที
"สวัสดีครับท่านประธาน"
เด็กหนุ่มเอ่ยทัก
ประธานได้ยินจึงหันหลังกลับมา
"เธอมาช้านะ ฉันรอตั้งนานแล้วเนี่ย"
ประธานกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
เจ๊พึ่งมาถึงไม่ใช่รึไง! เด็กหนุ่มคิด
ดูเหมือนว่าความไร้ตัวตนของเขาจะทำงานอีกแล้ว
"ขอโทษด้วยครับ"
เด็กหนุ่มกล่าวตามปรกติ ของคนเป็นผู้น้อย แม้จะไม่เต็มใจก็ตาม
ประธานเพ่งมองหน้าเขา แล้วขยับแว่นเล็กน้อย
"เธอเนี่ย อ่านง่ายจริง ๆ เลยนะ"
เด็กหนุ่มหน้าซีดลงเล็กน้อย มองได้ขาดมาก สมกับเป็นประธานบริษัท
"เอาเถอะ เพราะแบบนี้นั่นแหละนะ ถึงได้รับเธอเข้ามา เด็กแบบเธอไอ้เจ้านั่น มันยังไม่เคยเจอ"
เสียงของประธานมีน้ำโหเล็กน้อย
ว่าแต่ไอ้เจ้านั่นงั้นเหรอ เด็กหนุ่มคิดวนไปวนมาในหัว ไอ้เจ้านั่น...ใครวะ
ประธานยืนมองดูเด็กหนุ่มใช้ความคิดด้วยท่าทีหน่ายใจ
"เด็กหนอเด็ก นี่เธอคิดจริง ๆ เหรอว่า บริษัทจะยื่นข้อเสนอง่าย ๆ ให้น่ะ ถ้าเธอลองคิดย้อนไปอีกสักนิด ก่อนรับข้อเสนอ เธอก็คงไหวตัวทันตั้งแต่วันสัมภาษณ์แล้ว ทำไมประธานบริษัท ถึงต้องมาสัมภาษณ์งาน เด็กฝึกงานด้วยตัวเองแบบนั้นล่ะ"
เด็กหนุ่มที่กำลังใช้ความคิด ได้ยินแบบนั้นก็ดูเหมือนจะคิดอะไรออก ดวงตาของเขาเบิกกว้าง ใบหน้าของเขาเริ่มซีดเผือด ราวกับเห็นผี
"ฉิบแล้ว!"
เด็กหนุ่มหลุดคำสบถออกมาเบา ๆ
"ใช่แล้ว ไอ้เจ้านั่นน่ะ น้องชายฉันเอง"
เสียงของประธานที่เขาได้ยินจังหวะนั้น ดังก้องอยู่ในหูราวกับเสียงฟ้าผ่า เขาเงยหน้าขึ้นมองตึกสูง 50 ชั้น ที่เขามองเห็นก่อนหน้านี้ แววตาของเขาที่เคยเปี่ยมไปด้วยความหวัง กลับสะท้อนความสิ้นหวังออกมาแทน
ฝันหวานเมื่อครู่แปรเปลี่ยนเป็นฝันร้าย จุดเริ่มต้นของเขากำลังจะกลายเป็นจุดจบ เมื่อตึกหรู 50 ชั้นที่เขาเคยเห็นว่าสวยงาม ในสายตาของเขา บัดนี้กลับมีความมืดเข้ามาปกคลุม
สิ่งที่เขาเห็นอยู่เบื้องหน้าตอนนี้ คือปราสาทของจอมมาร เพราะน้องชายของประธานเป็นนักแสดงชื่อดัง ที่มีฉายาว่า จอมมารแห่งวงการบันเทิง
เด็กหนุ่มเข้าใจทุกอย่างได้ในตอนนั้นนั่นเอง ว่าทำไม ประธานถึงต้องลงทุนสัมภาษณ์งานเขาด้วยตัวเอง
"ขอแค่ 3 เดือน ถ้าเธอทนทำงานนี้ได้ เราจะรับเธอเข้าทำงานที่นี่ทันที ไม่ว่าเธอจะเรียนจบหรือไม่ก็ตาม"
เสียงของประธาน ยังคงดังก้องในหู ไม่สิต้องบอกว่า เสียงของประธาน ยังคงดังหลอกหลอนอยู่ในหูของเด็กหนุ่ม จนน้ำตาของเขาเริ่มซึมออกมา
แต่เขาก็นึกบางอย่างออก ใช่แล้ว วันนี้เป็นวันเมษาหน้าโง่ ประธานรับน้องโหดจริง ๆ หลอกเขาเสียอยู่เลย
เมื่อคิดได้แบบนั้น สีหน้าแววตาของเด็กหนุ่มก็เริ่มดูดีขึ้นมาเล็กน้อย เขาหันกลับมามองประธาน และกำลังจะอ้าปากพูดบางอย่างกับเธอ
"ไม่ได้โกหกนะ เอารับนี่ไป"
ประธานชิงพูดขึ้นมาก่อน แล้วยื่นกระเป๋าเป้สะพายข้างมาให้เขา ซึ่งเขาก็รับมันไว้โดยอัตโนมัติ แม้ว่าตอนนี้เขากำลังยืนอ้าปากค้าง จากคำพูดของประธานอยู่ก็ตาม
สมกับเป็นประธานบริษัท เธออ่านขาดอีกแล้ว ตอบคำถามของเขา ก่อนที่เขาจะถามเสียอีก
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ซัท ไอศูรย์ นภสินธุ์ ฉายาจอมมารแห่งวงการบันเทิง นักแสดงเบอร์หนึ่งของเฟท และเป็นน้องชายของประธานบริษัทด้วย
ประธานเคยเป็นผู้จัดการส่วนตัวให้กับเขามาก่อน จนกระทั่งประธานแต่งงาน แล้วก่อตั้งบริษัทขึ้นมา โดยมีน้องชายของตัวเอง เป็นนักแสดงในสังกัดคนแรก
ซัทเป็นนักแสดงเด็ก เข้าวงการมาตั้งแต่ 7 ขวบ แล้วฉายแววเด่นมานับตั้งแต่ตอนนั้น ชื่อเสียงของเขาโด่งดังมากขึ้นตามกาลเวลา เคยผ่านงานระดับฮอลลีวูดมาแล้ว แม้จะเป็นเพียงแค่บทสมทบก็ตาม
เขามีฉายามากมายที่สื่อตั้งให้ ไม่ว่าจะเป็น องค์ชายแห่งวงการบันเทิง รักแรกแห่งวงการบันเทิง ฯลฯ แต่ที่คุ้นหูที่สุดตอนนี้คือ จอมมารแห่งวงการบันเทิง ที่เขาได้รับเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านนี่เอง
เรื่องมันเริ่มขึ้น เมื่อตอนที่เขาแต่งงานสายฟ้าแลบกับดาราสาวรุ่นน้องที่ชื่อ วี นัสญภา ในตอนที่เขาอายุ 26 ซึ่งดาราสาวตอนนั้นอายุ 23 จนเริ่มมีข่าวลือว่าเธอ ท้องก่อนแต่ง
นักแสดงสาววี มีภาพลักษณ์เป็นสตรีในอุดมคติ บริสุทธิ์ผุดผ่อง เรียบร้อยราวกับผ้าพับไว้ จนได้รับฉายาว่า เจ้าหญิงแห่งวงการบันเทิง
อาจจะเป็นเพราะเหตุนี้ สื่อจึงเริ่มโจมตีซัทที่เป็นผู้ชาย ผู้ทำการ เจาะไข่แดง ผู้หญิงที่เป็นดั่งเจ้าหญิง ทำให้เธอต้องมลทิน แม้ว่าในท้ายที่สุด หลังจากแต่งงานกันไปได้ 1 ปีแล้วเธอจะไม่ได้ป่องก็ตาม แต่สื่อก็ยังไม่หยุดโจมตี
หลังจากแต่งงานฟ้าแลบกันมาได้เกือบ ๆ จะ 2 ปี ก็มีการ หย่าฟ้าแลบตามมา สื่อจึงเริ่มหนักข้อขึ้น ว่าเขาเป็นพวก ซ้อมเมีย จนเธอทนไม่ไหวจึงขอหย่าขาด
หลังจากนั้นก็มีข่าวฉาวของซัทโผล่ออกมาตามหน้าสื่อแทบทุกวัน ทั้งเรื่องมาก ขาดลามาสาย ฯลฯ แต่ยิ่งฉาวมากเท่าไหร่ ก็ส่งผลให้เขาดังขึ้นมากเท่านั้น และในที่สุดผู้คนก็เริ่มกล่าวขานกันว่าเขาคือ จอมมารแห่งวงการบันเทิง มาจนถึงทุกวันนี้
แม้ว่าทั้งหมดทั้งมวลจะเป็นเพียงแค่ข่าวลือก็ตาม การด่วนสรุปว่าเขาเป็นคนไม่ดี โดยยังไม่รู้จักตัวตนที่แท้จริงของเขาเลยสักนิด ก็ดูจะเป็นการใจร้ายเกินไป แต่ถ้าข่าวลือไม่จริง แล้วเหตุใดบริษัทนี้ จึงอับจนหนทาง แล้วจ้าง เด็กฝึกงานอย่างเขา ให้มาเป็นผู้จัดการส่วนตัวด้วยล่ะ
เด็กหนุ่มคิดระหว่างที่ลิฟต์ค่อย ๆ เลื่อนขึ้นไปด้านบน จากชั้น 1 เป็น 2 เป็น 3 บรรยากาศข้างในลิฟต์ ตอนที่เขากับประธานยืนอยู่ด้วยกันสองคนนั้น มันช่างอึดอัดเหลือเกิน เวลาก็ช่างผ่านไปอย่างเชื่องช้า กว่าลิฟต์จะมาหยุดลงตรงชั้น 50 เหมือนผ่านไปเป็นชั่วโมงเลย
ประตูลิฟต์ค่อย ๆ เปิดออกอย่างช้า ๆ พร้อมกับหัวใจของเด็กหนุ่มที่กำลังเต้นรัว 3 เดือน แค่ 3 เดือนเท่านั้น ฉันจะต้องผ่านมันไปให้ได้ เขาพยายามปลุกใจตัวเอง แล้วในที่สุดประตูลิฟต์ก็เปิดออกจนสุด
"ไม่เอา!"
มีเสียงหนึ่งดังขึ้นหน้าลิฟต์
ตามที่ประธานบอกไว้ น้องชายของเธอ อาศัยอยู่ในเพนต์เฮาส์ชั้นที่ 50 ของตึกนี้ ซึ่งชั้นที่ 50 เป็นของน้องชายเธอทั้งหมด นั่นหมายความว่า เจ้าของเสียง จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากเสียงของจอมมาร
อนาคตของเขาจบสิ้นแล้ว เขาถูกไล่ออกตั้งวันแรกของการฝึกงาน
เมื่อคิดได้ดังนั้น น้ำตาของเด็กหนุ่มก็ค่อย ๆ ซึมออกมา
"พี่สาวมาหาทั้งที นี่คือคำแรกที่ควรพูดงั้นเหรอ"
"ก็ใช่น่ะสิ ผมบอกพี่ตั้งกี่ครั้งแล้วว่าไม่เอา ช่วงใกล้จะถ่ายเรื่องใหม่ จะรับงานมาทำไมเยอะแยะ แล้วนี่อะไร งานเดือนนี้เต็มเกือบทั้งเดือนเลย เดือนหน้าจะเปิดกล้องอยู่แล้ว ยกเลิกไปให้หมดเลย ไม่เอา ไม่ทำ"
"ก็ได้ พี่จะยกเลิกให้หมดเลย ถึงจะน่าสงสารพวกคนทำงานหาเช้ากินค่ำ ที่จะไม่ได้ค่าจ้างเลยสักแดง ทั้ง ๆ ที่งานบางส่วนก็ทำไปแล้ว เพราะถูกยกเลิกงาน"
"พี่ไม่ต้องมาตีหน้าเศร้าเล่าความเท็จเลยนะ พี่แสดงได้โคตรห่วยเลย ตั้งแต่เด็กแล้ว"
"เออ ก็ฉันไม่ใช่ดาราเบอร์ใหญ่แบบแกนี่ แล้วก็นะ ฉันตีหน้าเศร้าก็จริง แต่ฉันไม่ได้เล่าความเท็จสักหน่อย บริษัทเราขนหน้าแข็งไม่ร่วงหรอก เสียค่าปรับแค่นั้น แต่พวกฟรีแลนซ์ที่ลูกค้าจ้างมานั่นแหละที่จะซวย เพราะแกเรื่องมาก อยากจะแคนงานจนหมด"
เมื่อได้ยินพี่สาวพูดแบบนั้น ตัวน้องก็ทำได้แค่กัดฟันกรอดแล้วกำหมัด เพราะที่พี่สาวพูดมานั้น มันถูกต้องทุกประการ
"ว่าแต่พี่พาใครมาด้วยน่ะ"
"อย่ามาทำเปลี่ยนเรื่องหน่อยเลยซัท นี่พี่คุยเรื่องจริงจังอยู่นะ"
"ไม่พี่ผมพูดจริง มีคนอยู่ข้างหลังพี่ ผมเห็นเขายืนเงียบมาตั้งนานแล้ว สรุปไม่ได้มาด้วยกันรึไง"
"ไอ้ซัทนะ ไอ้ชัทปลิ้นปล้อนได้โล่จริง ๆ"
ประธานพูดอย่างหน่ายใจ แล้วหันหลังกลับไปมองด้านหลังตัวเอง ซึ่งสิ่งที่เห็นทำเอาเธอสะดุ้งโหยง จนตัวโยกกันเลยทีเดียว
"โทษที ลืมไปเลยว่าเธอมาด้วย ทำไมไม่ให้สุ้มให้เสียงกันบ้าง"
เด็กหนุ่มได้ยินประธานดุแบบนั้นก็ได้แต่ทำหน้าเจื่อน
พี่น้องเล่นทะเลาะกันอย่างออกรสขนาดนั้น ใครจะไปกล้าขัดจังหวะ แต่จะไปโทษประธานฝ่ายเดียวก็ไม่ได้ ต้องโทษความสามารถในการไร้ตัวตนของเขาด้วยเช่นกัน...เอ๊ะ!
สีหน้าของเด็กหนุ่มเปลี่ยนไป เมื่อตระหนักได้ถึงเรื่องบางอย่าง เขาจึงมองตรงไปยังจอมมาร ผู้ชายคนนี้มองเห็นเขาได้ด้วยเหรอ
เด็กหนุ่มสับสน และประหลาดใจ เพราะบนโลกนี้ มีแค่ 2 คนเท่านั้น ที่สังเกตเห็นเขา เวลาเขาเงียบ นั่นก็คือพ่อกับแม่ของเขา ผู้ชายคนนี้ จอมมารแห่งวงการบันเทิง คือคนที่ 3 บางทีเขาคนนี้ อาจจะเป็นคนดีกว่าที่คิดก็ได้นะ
"ซัท นี่คือ...เอ่อ...บังโต ผู้จัดการคนใหม่ของนาย"
"สวัสดีครับ ผมชื่อพลูโตครับ"
เด็กหนุ่มกล่าวคำแนะนำตัว
"ยังเด็กอยู่เลยนี่ อายุเท่าไหร่น่ะ 20 ได้มั้ง ไม่เอาอะ เอากลับไปเถอะ"
ราวกับฟ้าผ่าลงตรงกลางกระบาล คำว่าไม่เอา มันดังสะท้อนอยู่ในหูว่า ตกงาน ตกงาน ตาลุงนี่ดูท่าว่าน่าจะไม่ใช่คนดีแน่นอน พลูโตคิดพลางเอามือเช็ดน้ำตาที่ซึมออกมา
"ก็ได้ ไม่เอาก็ไม่เอา"
ประธานพูด แล้วหันกลับมาหาพลูโต
"พี่ขอโทษด้วยนะ น้องจะต้องไปหาที่ฝึกงานใหม่แล้วล่ะ ไม่น่าเลยอนาคตของชาติต้องมาพังลงเพราะดาราเรื่องมากบางคน ไม่น่าเลยจริง ๆ ฮือ"
"เอ่อ เจ๊ครับ ปลอมมากเลยครับ"
นั่นคือสิ่งที่พลูโตอยากจะพูด แต่ไม่พูดดีกว่า
"ก็ได้ ๆ แต่พี่ต้องให้เงินเดือนน้องมันด้วยนะ อย่าทำตัวเป็นบริษัทมักง่าย จ่ายค่าแรงเป็นประสบการณ์แทนเงิน"
"บริษัทฉันยิ่งใหญ่ขนาดไหนแกก็รู้ ไม่ทำมักง่ายแบบนั้นหรอก ถึงแกไม่บอกก็จะจ่ายเงินให้น้องมันอยู่แล้ว"
"จ่ายเงินเดือนให้น้องมันเยอะ ๆ ด้วยล่ะ เพราะพี่โยนงานมาให้ผมทำเยอะอยู่เหมือนกัน"
"เออ เยอะอยู่แล้ว เยอะกว่าพนักงานปรกติด้วย เพราะทำงานกับดาราเรื่องมากที่สุดในประเทศแบบแก มันโคตรยากลำบากสุด ๆ ไปเลยไง มีสวัสดิการค่าปรึกษาจิตแพทย์ชั้นนำดี ๆ ให้ด้วยนะ เพราะทำงานกับแกมันโคตรจะเสียสุขภาพจิตเลย แล้วก็ถ้าน้องมันทำงานไม่ไม่ครบเดือน ก็จะจ่ายให้เป็นรายวัน จ่ายหนักเหมือนเดิมเช่นกัน เพราะผู้จัดการแกเคยมีหลายคนเลย ที่ทำงานไม่ครบเดือนน่ะ แค่นี้พอใจรึยังคะ ไอ้คุณจอมมาร!"
"โอเค ถ้างั้นวันนี้ให้น้องมัน...อ่าวเฮ้ย! พี่จะไปไหนน่ะ กลับมาคุยกันก่อน ยังคุย..."
ยังไม่ทันที่เขาจะพูดจบประโยค ประตูลิฟต์ก็ปิดลง ภาพสุดท้ายที่เขาเห็น คือพี่สาว ยืนโบกมือให้ แล้วยิ้มเยาะอย่างมีความสุข ก่อนประตูลิฟต์จะปิดลงอย่างสมบูรณ์
ชายทั้งสองยืนอยู่หน้าลิฟต์ของเพนต์เฮาส์สุดหรู แล้วได้แต่นิ่งเงียบ เพราะต่างฝ่ายต่างไม่รู้ว่าจะพูดอะไรยังไงดี บรรยากาศเต็มไปด้วยความอึดอัดและตึงเครียด จนกระทั่งมีเสียงหนึ่ง ทำลายมันลงไป
จ๊อก ๆ!
เสียงท้องร้องของพลูโตลากยาวเป็นกิโล แถมยังดังสนั่นเพนต์เฮาส์ ราวกับแผ่นดินไหว
"จะกินอะไรสักหน่อยไหม"
"ไม่ดีกว่าครับ"
พลูโตก้มหน้าตอบด้วยท่าทีเขินอาย โดยไม่รู้เลยว่าซัทกำลังเดินเข้ามาใกล้
ระยะห่างของทั้งสองคนตอนนี้ ไกลกันแค่เพียงหนึ่งช่วงตัวเท่านั้น
ซัทเอื้อมมือไปดันคางของพลูโตให้เชิดขึ้นมาสบตากับเขา จนพลูโตหน้าแหงนขึ้นไปประมาณหนึ่ง เพราะพลูโตเตี้ยกว่าเขาราว ๆ 10 เซนเห็นจะได้
"ฟังนะ ถ้าอยากผ่านฝึกงาน มี 2 ข้อเท่านั้น ที่นายต้องทำตาม ข้อแรกจงทำตามที่ฉันสั่ง และข้อสอง อย่าขัดใจฉัน ทำได้ไหม ถ้าทำไม่ได้ ก็ไปลาออกซะ"
"ทะ ทำได้ครับ"
"ดี"
พูดจบซัทก็กลับหลังหัน แล้วเดินห่างออกมาจากพลูโต
"แล้วจะกินอะไรล่ะ เดี๋ยวฉันทำให้"
"เอ่อ อะไรก็ได้ครับ"
"พูดเองนะ แล้วก็ระหว่างที่รอ เดินชมบ้านได้ตามสบาย"
พูดจบซัทก็เดินหายวับไป แล้วก็หายกลับมา
"ไม่แพ้อาหารอะไรใช่ไหม"
"ไม่ครับ"
พลูโตตอบ แล้วซัทก็หายวับไปอีกรอบ
....โปรดติดตามซีนต่อไป....